กลางค่อนมาทางปลายปี พ.ศ. 2553 ! ก่อนกระโจนลงมาเล่นการเมืองครั้งแรกในชีวิต เรามีโอกาสเปิดใจ 'ตั๊น จิตภัสร์' ครั้งยังใช้นามสกุลเก่า 'ภิรมย์ภักดี' ในห้องปรับอากาศกระทรวงไอซีที หลายปีถัดมา จากห้องทำงานที่ฉ่ำเย็นไปด้วยแอร์คอนดิชั่น ชีวิตตั๊นพลิกผันต้องมานั่ง เดิน วิ่ง กระทั่งบ่อยครั้งก็ต้องกินนอนบนพื้นดิน พื้นคอนกรีตร้อนๆ ตอนปลายปี พ.ศ. 2555 ในฐานะหนึ่งในแกนนำ กปปส.
จิตภัสร์ กฤดากร
พร้อมด้วยข้อกล่าวหาหนักหนาสาหัสในชีวิตพ่วงท้ายมาด้วยว่าเธอเป็น 'กบฏ'
คงจะไม่ผิดหากจะบอกว่า 5 เดือนที่ผ่านมา หลายสิ่งถาโถมเข้ามาในชีวิตเธอมากมาย โดยเฉพาะคำปราศรัยภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้ที่มีความคิดอีกฝากฝั่งนำมาโจมตีกัน จนเป็นที่มาของจดหมายของ ลุง 'สันติ ภิรมย์ภักดี' ทำนองตำหนิบทบาทนักการเมือง จนเป็นที่มาของการตัดสินใจเปลี่ยนนามสกุลที่ใช้มาทั้งชีวิตเป็น 'กฤดากร' (คำสั่งพระยาภิรมย์ภักดี คำสัมภาษณ์ตั๊น? เจาะเบื้องหลังก่อนจดหมายคำรามของสิงห์ https://www.thairath...ent/life/390688) และเรื่องอื่นๆ อีกสารพัดมากมาย
ยิ้มสดใสของตั๊น
วันที่อากาศและการเมืองร้อนระอุพอๆ กัน ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสได้นั่งถามตั๊น 'จิตภัสร์ กฤดากร' หลังเวทีสวนลุมพินีในทุกเรื่องที่หลายคนไม่กล้าถาม หรือเคยได้ฟังจากปากเธอจริงๆ ครั้งแรก กับบทสัมภาษณ์ที่ไม่เชียร์ ไม่ชม แต่จะถามกันตรงๆ ต่อหน้าเจ้าตัว!
Q : คุณนอนอยู่แถวนี้..?
นอนแถวนี้ค่ะ พอย้ายมาที่สวนลุมฯ ตั๊นและแกนนำต้องย้ายมาที่นี่ด้วย เพราะลุงกำนันเป็นห่วงความปลอดภัยของแกนนำทุกคน อยากให้อยู่รวมๆ ในที่เดียวกันหมด พอมาอยู่ที่สวนลุมฯ ตั๊นมีโอกาสเปิด 'โรงเรียนใต้ต้นไม้' ขึ้นมาด้วย โดยตอนกลางวันก็ช่วยๆ ดูแลจุดนั้น จุดนี้ ตกตอนกลางคืนก็ขึ้นเวทีปราศรัย และสรุปข่าวเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิม
Q : ทำไมถึงเรียกว่าโรงเรียนใต้ต้นไม้?
ก็เรียนใต้ต้นไม้เลยค่ะ โต๊ะนี่เป็นโต๊ะญี่ปุ่น นั่งปูเสื่ออยู่กับพื้น ไม่มีห้อง ไม่มีแอร์ อยู่ใต้ต้นไม้จริงๆ(หัวเราะ) ยังได้อยู่ ยังไม่ละลายค่ะ
ตั๊นกับนกหวีดคู่ใจ
Q : หน้าที่หลักอยู่ที่โรงเรียนต้นไม้ทำอะไร?
ตั๊นจะดูแลภาพรวมค่ะ คือเราจะเป็นเหมือนผู้ประสานงานดูแลอุปกรณ์การศึกษาให้เรียบร้อย คือเราโชคดี มีกลุ่มอาสาเข้ามาช่วยไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิต่างๆ มาสอนเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นจุฬาฯ พวกแพทย์อาสาเอง โดยความตั้งใจเราอยากให้เหมือนกับ 'ซัมเมอร์แคมป์' ตั๊นอยากทำให้มันเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนมากกว่า นอกจากที่เราจะมาสอนวิชาเลขหรือภาษาไทย คือเราจะสอนเป็นกิจกรรมนอกห้องเรียนมากกว่า
อย่างวันก่อนก็มีทีมแพทย์ศึกษาอนามัยมาสอนวิธีแปรงฟันให้ถูกต้อง สอนวิธีสระผม วิธีล้างมือให้สะอาดหมดจด กับเด็กๆ หรือวันก่อนคนมาอยู่ร่วมกันมหาศาลแบบนี้ เหาก็จะเยอะมากๆ (เน้นเสียง) เมื่อวานก็กำจัดเหาไป 25 คน ตั๊นก็จับตัดผมสั้นหมดเลย สิ่งที่ตั๊นต้องการที่จะเห็นก็คือ อยากจะเห็นน้องๆ หลายๆ คนที่ติดตามคุณพ่อคุณแม่มาร่วมชุมนุม อยากให้เขาเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับส่วนรวม แบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และอย่างที่เห็นคือทุกคนจะแบ่งปันเอื้อเฟื้อดูแลซึ่งกันและกัน รู้สึกเหมือนว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน วันนี้เราเห็นมันก็ดีใจมากๆ ปัจจุบันมีเด็กเข้ามาเรียนกับเรามากสุดก็แตะ 100 คน ส่วนน้อยสุด 50 คน
ตั๊นมีโอกาสเปิด โรงเรียนใต้ต้นไม้
Q : เด็กๆ จำภาพคุณเป็นครูในแบบไหน?
เป็นครูใจดี ไม่ดุ (หัวเราะ) ที่จริงตั๊นจะไม่ได้เรียกตัวเองว่าครู จะแทนตัวเองว่า พี่หรือน้อง ส่วนใหญ่กิจกรรมนอกห้องเรียนที่เราสอนเราจะเน้นย้ำว่าจะไม่มีการพูดถึงม็อบ ไม่มีการว่ารัฐบาลให้เด็กๆ ฟัง เราแค่อยากจะปลูกฝังเรื่องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้กับพวกเขา ที่ผ่านมาเรามีผู้ใหญ่ใจดีมามอบทุนการศึกษามากมาย บางคนมามอบหนังสือให้ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว ซึ่งเราก็จะมาเล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกเขา เล่าความเป็นมาตามประวัติศาสตร์ชาติไทย หลังจากนั้นก็จะมีกิจกรรมเสริมจินตนาการ เช่น ให้น้องๆ วาดรูปต่อยอดความคิด
ตั๊น ครูใจดีของเด็กๆในโรงเรียนใต้ต้นไม้
Q : ไหนจะงานราษฎร์ ไหนจะงานหลวงสอนหนังสือ เหนื่อยไหม?
ตอนนี้เหนื่อยขึ้น พอเปิดโรงเรียนอยู่กับเด็กๆ นี่เหนื่อยขึ้นเยอะ สามวันแรกที่เปิดโรงเรียนคือตั๊นไม่ขึ้นเวทีเลยจนพี่สาทิตย์ วงศ์หนองเตย โทรมาจิกโทรมาว่าอยู่ไหน โทรมาตามบอกคุณไม่ขึ้นเวทีไม่ได้นะ (หัวเราะ) คุณต้องขึ้นทุกคืน เราก็บอกพี่ ไม่ไหวแล้ว ตั๊นจะสลบแล้ว จริงๆ อยู่กับเด็กๆ เหมือนจับปูใส่กระด้ง ตอนนี้เริ่มชิน เร่ิมลงตัว ก็ปล่อยและไปช่วยจุดอื่นได้มากขึ้น ความรับผิดชอบของตั๊นหลักๆ อยู่กับบนเวที เมื่อก่อนนี้ จะต้องไปบุกปิดตามสถานที่ราชการ ต้องไปดูตามมวลชนก็เป็นอีกบทหนึ่งด้วย
แต่เอาเข้าจริง พอมาถึงเดือนที่ 5 บางวันก็เหนื่อยนะ แต่ก็ยังไม่ท้อ ยังไปต่อได้ เหนื่อยเฉพาะร่างกาย เพราะเราต้องอยู่ข้างนอกตลอด บางทีฝนตก แดดออก อากาศร้อนมากก็กระทบ ยังเป็นห่วงผู้ชุมนุมเลยว่าจะไหวรึเปล่า แต่ตอนนี้ร่างกายปรับสภาพได้แล้ว
Q : แฟนไม่ห่วง?
ไม่มีค่ะ โสดมาปีกว่าแล้วค่ะ (ยิ้ม) อยู่ที่นี่ไม่มีใครกล้าจีบแน่นอน เพราะต้องผ่านการ์ด กปปส. ไม่รู้กี่คน (หัวเราะ) ทุกวันนี้เราทำงานตรงจุดนี้ก็อยากจะทำงานให้เต็มที่ แต่ไม่ได้หมายความว่าปิดตัวเอง เพียงแต่ยังไม่มีเวลาที่จะไปรู้จักกับใคร เรายังทำหน้าที่ตรงนี้ ได้รับมอบหมาย ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้ทำหน้าที่ตรงนี้ให้เต็มที่ เดี๋ยวผู้ใหญ่เขาจะรู้สึกเอ๊ะ ทำไมเราไม่ทุ่มเทเลย พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมากที่เขาเฝ้ามองเราอยู่เป็นกำลังใจให้ เราไม่อยากให้เขาผิดหวังในตัวเรา
Q : จากชีวิตเป็นนักการเมืองทำงานในสภาปกติ ต้องออกมาบนท้องถนน จนกลายเป็นกบฏแบบที่ฝ่ายตรงข้ามเรียกกัน วันนี้นั่งทบทวนตัวเองไหมว่าชีวิตเสียอะไรไปบ้างไหม?
ไม่รู้สึกว่าเสียอะไร สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ตั๊นรู้สึกว่ามีโอกาสที่ทำ โชคดีที่มีโอกาสที่เดินตามความฝันและอุดมการณ์ของตัวเอง
Q : เรื่องความขัดแย้งในครอบครัวจนเป็นที่มาของการเปลี่ยนนามสกุลจาก 'ภิรมย์ภักดี' มาเป็น 'กฤดากร' เรื่องจริงเป็นแบบที่ข่าวออกไปไหม เพราะไม่มีใครเคยได้ยินจากปากคุณเลย?
เรื่องนี้ต้องเรียนว่า การเมืองรุนแรงมากๆ ช่วงนี้ ครอบครัวเรามีธุรกิจอย่างที่รู้ๆ กัน ซึ่งสิ่งที่ทำให้ตั๊นต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก 'ภิรมย์ภักดี' เป็น 'กฤดากร' ตั๊นเป็นห่วงครอบครัว จึงต้องออกมาขอเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับครอบครัวตั๊นด้วย เพราะเรื่องจริงๆ ครอบครัวตั๊นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมวลมหาประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว มีแค่ตั๊นเพียงคนเดียวที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหว ดังนั้นมันก็ไม่เป็นธรรมที่ครอบครัวจะโดนโยงเข้ามาในเรื่องของการเมืองเพราะ ตั๊น และที่เราเปลี่ยนนามสกุลก็เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้กับครอบครัวไม่ถูกโยงมา เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย
จริงๆ เรื่องการลงมาเล่นการเมืองของตั๊น เราก็ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว ตั๊นเป็นคนชัดเจนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่า อยากจะเข้ามาเล่นการเมืองนั้น ก็เป็นความฝันตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งเราเปิดเผยมาตั้งแต่ต้น แน่นอนว่าไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือที่บ้านเลยแม้แต่นิดเดียว ตั๊นพูดตรงนี้เลยว่าการที่มา ณ จุดนี้ ไม่มีการผลักดันจากครอบครัวเลย เพราะเราเรียนจบมาเราก็พูดเลยว่า เราอยากจะเข้ามาทำการเมืองชัดเจน เป็นอาชีพในฝันมาก พอการเมืองรุนแรงตั๊นก็ต้องออกมาทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเรียกร้องความเป็น ธรรมให้กับครอบครัวเรา
เปิดหมดครั้งแรก จิตภัสร์ กฤดากร
Q : ตามข่าวบอกว่าคุณเป็นคนแรกในครอบครัวที่เข้ามาเล่นการเมือง ซึ่งคำสั่งพระยาภิรมย์ภักดี ผู้ก่อตั้งบริษัทบุญรอด ท่านห้ามคนในตระกูลนี้เล่นการเมือง เขาบอกว่าคุณคือคนแรกที่แหกกฎ?
ถ้าจะย้อนไปจริงๆ ก็มีคุณลุงก็เคยเป็น ส.ว.คุณพ่อเองก็เคยเป็น ตั๊นก็ไม่แน่ใจว่า ส.ว. นี่คือเต็มตัวไหม ในความหมายนี้ไหม
Q : ตอนตัดสินใจเปลี่ยนนามสกุลที่ใช้มาตั้งแต่เกิด คิดอะไรอยู่?
ใจหายค่ะ (เสียงเศร้า) อย่างที่บอกตั๊นใช้นามสกุลนี้มาตั้งแต่เกิด อย่าลืมว่าครึ่งหนึ่งตั๊นก็เป็น 'ภิรมย์ภักดี' อีกครึ่งหนึ่งก็เป็น 'กฤดากร' ซึ่งแน่นอนว่าเราภาคภูมิใจในตัวของบรรพบุรุษทั้งสองฝั่งอยู่แล้ว ภูมิใจที่ทั้งสองฝั่งได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ
Q: ไม่ได้โกรธฝั่ง 'คุณสันติ ภิรมย์ภักดี' ที่ทำจดหมายออกมาเหมือนตำหนิการเล่นการเมืองของคุณ?
ไม่เลยค่ะ
Q : ก่อนออกจดหมายฉบับนี้ คุณสันติ ภิรมย์ภักดี ส่งสัญญาณอะไรมาก่อนไหม?
ไม่ค่ะ (ตอบเร็ว) อย่างที่บอก ตั๊นอยู่ที่ม็อบตลอดเวลา ไม่เจอหน้าครอบครัวเลย แต่ถามว่าเสียใจไหม มันไม่ใช่คำว่าเสียใจ มันเป็นเหมือนหน้าที่หนึ่งที่เราต้องทำ และคุณพ่อคุณแม่ก็คอยให้คำปรึกษาและอยู่ข้างๆ ตั๊นเสมอ อย่างช่วงเวลาที่ตั๊นเปลี่ยนนามสกุลไปเป็น 'กฤดากร' ก็เป็นการตัดสินใจภายในครอบครัว ไม่ใช่เราตัดสินใจคนเดียว
รอยยิ้มของตั๊นในวันนี้
Q : วันนี้มีผลกระทบรอบข้างมากมาย แม้กระทั่งในตระกูลภิรมย์ภักดีเอง คุณพ่อ คุณแม่ก็ยังให้กำลังใจ ปัจจุบันก็ยังสนับสนุนให้เล่นการเมืองอยู่?
ใช่ค่ะ ยังเป็นกำลังใจให้ค่ะ แล้วก็เป็นการตัดสินใจของตั๊นเองด้วยเพราะว่าเราก็โตพอแล้วที่จะตัดสินใจอะไรเองได้
Q : จากลูกหลานพระยา วันนี้กลายเป็นกบฏ ตื่นขึ้นเป็นกบฏวันแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง?
ก็อย่างที่บอกว่าเราไม่ใช่กบฏ เราเป็นแค่กบฏในระบอบทักษิณ ไม่ใช่กบฏของชาติ เพราะที่เราทำวันนี้เราทำเพื่อชาติเรา ทำเพื่ออนาคตของประชาชน อนาคตของลูกหลาน เรามาสู้เพื่อชาติมากกว่า เรามาเรียกร้องเพื่อให้มีการปฏิรูป เพราะเราเห็นปัญหาอยู่หลายปัญหา
ตั๊นกบฏในระบอบทักษิณ
Q : อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ผลักคุณออกมาสู่ถนน?
คืออุดมการณ์แน่นอน วันที่เรายกระดับและก็ร่วมการชุมนุมที่สามเสน ตอนนั้นที่ทำในฐานะรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ก็มาดูแลเวที ขึ้นปราศรัยบ่ายโมง บ่ายสองไม่มีคนเลยจนยกระดับมาถึงราชดำเนิน จนต้องมีการแบ่งแยกระหว่างพรรค ระหว่างผู้ชุมนุมอย่างชัดเจน คือลุงกำนันเขาจะพูดคุยกับทุกคน แกก็บอกว่าความเต็มใจของทุกคนและทุกคนก็พร้อมที่จะสู้ พอที่ราชดำเนินเราก็คุยกันดึกจนตีสามตีสี่เลย
มาถึงวันนี้ หน้าที่เราก็เปลี่ยนไปคือ เร่ิมยกระดับมีหน้าที่เพ่ิมมากขึ้น เนื่องจากผู้ใหญ่ท่านเห็นความมุ่งมั่น และความตั้งใจของเราเลยมอบหมายภารกิจให้เพิ่มเติมๆ จนมาถึงต่อสู้บนท้องถนนอย่างทุกวันนี้ ถามว่าต่างกันไหม สู้ในสภากับสู้บนถนน แตกต่างกันแน่นอนค่ะ เพราะงานบนท้องถนนมันต้องเคลื่อนที่อยู่ตลอด ต่างกับการทำงานพรรค ซึ่งเมื่ออุดมการณ์เรามาทางนี้ ก่อนหน้าเรามีการพูดคุยกับครอบครัวหลายครั้ง บางทีอาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ว่าครอบครัวของตั๊นก็จะมีเหตุผลซึ่งกันและกัน และเราก็เคารพการตัดสินใจของกันและกัน
Q : ออกมาบนถนนกับอยู่ข้างในเจออะไรบ้างที่ในสภาไม่เคยเจอ?
การปราศรัย การขึ้นเวทีทุกวัน ขึ้นแรกๆ ก็กลัว ประหม่ามากๆ แต่ตอนนี้ไม่กลัว (หัวเราะ) ตั๊นจำได้เลยวันแรกที่ไปปราศรัยหาเสียง ต้องไปปราศรัยแข่งกับคู่แข่งครั้งแรกไม่รู้พูดไม่ถูก คือจะพูดอะไรดี แต่ทุกวันนี้ก็ไม่กลัวแล้ว พูดได้เลยนี่ถือว่าเป็นการพัฒนาตัวเองแบบฝึกหัด แบบอย่างเข้มข้นมาก จริงๆ ตั๊นได้กำลังใจจากประชาชนทุกคนที่เข้ามาให้กำลังใจเราเยอะมากๆ อย่างช่วงที่ตั๊นต้องเปลี่ยนนามสกุลจะมีคนเข้ามาให้กำลังใจตลอด มันทำให้เรารู้สึกว่า เขาไม่ทอดทิ้งและก็เป็นกำลังใจให้เรา เป็นกำลังใจให้สู้ต่อจนถึงวันนี้ หนึ่งในประสบการณ์ที่เราประทับใจมากๆ ก็คือ ในพื้นที่อยู่ในกรุงเทพฯ คนในพื้นที่ก็จะรู้จักเรา แต่ทุกวันนี้พี่น้องที่มาจากต่างจังหวัดก็รู้จักเราหมด
เรื่องราวประทับใจเกิดขึ้นทุกวัน หนึ่งในเรื่องที่ประทับใจมากที่สุดก็คือ วันแรกๆ ของการชัตดาวน์ฯ ตั๊นได้รับมอบหมายให้ไปที่กระทรวงต่างประเทศ คนที่มาร่วมขบวนตั๊นเป็นคนต่างจังหวัดหมดเลย มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งมาบอกว่าภรรยาจะคลอดลูก ก็ตั้งชื่อลูกสาวว่า 'จิตภัสร์' เพราะอยากให้ลูกสาวเกิดมาเข้มแข็ง แข็งแกร่งเหมือนเรา เลยรู้สึกประทับใจมาก ไม่คิดว่าเราจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ เรื่องแบบนี้รุ่นน้องเยอะมากที่เข้ามาบอกว่า พี่ตั๊นเป็นไอดอล เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้หลายๆ คนออกมาสู้เพื่อประเทศชาติ ส่วนประสบการณ์แย่ๆ ไม่มีค่ะ เพราะตั๊นคิดว่าที่ผ่านมา มันเป็นการเดินเกมการเมืองของฝั่งตรงข้ามที่ต้องการใส่ร้ายป้ายสี แต่กำลังใจรอบด้านเราดีก็โอเค
Q : เจอโจมตีเยอะพอสมควรทั้งบนเวทีและด้านล่าง อย่างมีคนเอาภาพตอนสวมชุดว่ายน้ำไปเที่ยวมาปล่อย ที่บ้านก็โดนระเบิด?
ทำใจนะคะ เห็นบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะมันเป็นคนละบทบาทและหน้าที่ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ สำหรับเหตุการณ์ปาระเบิดตอนนั้นมันทำให้เราเห็นได้ว่ามีกระบวนการอย่างนี้ เกิดขึ้นเพื่อที่จะลดขวัญกำลังใจ สร้างความหวาดระแวงให้กับคน ก็เป็นเรื่องของการเมือง ถ้าเราเข้าใจตรงจุดนี้เราจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร
Q : เรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากอีกเรื่องหนึ่ง คือคำแปลการปราศรัยต่อชาวชนบท ซึ่งเป็นที่มาของการเปลี่ยนนามสกุล จริงๆ แล้วคุณจะสื่อสารว่าอะไร?
ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน เพราะว่าทุกวันนี้เราสู้เพื่อทุกคนแต่ต้องเข้าใจว่าวิธีการใส่ร้ายป้าย สีการสร้างความแตกแยกนี่คือระบอบทักษิณทำมาตลอด 10 ปี พยายามทำให้สังคมอ่อนแอเพื่อพวกตัวเองจะได้มีอำนาจในการบริหารประเทศ ในเมื่อสังคมอ่อนแอเขาก็สามารถบริหารอะไรหลายๆ อย่างได้ง่ายขึ้น เพราะมีหลายกลุ่มที่แตกแยกกัน
สิ่งแรกที่เขาทำคือ วาทกรรมคำว่า 'อำมาตยาธิปไตย' หลังจากนั้นวาทกรรมแบ่งแยกระหว่าง 'คนมีการศึกษา' กับ 'คนไม่มีการศึกษา' คนมีเงิน กับคนไม่มีเงิน คนต่างจังหวัดกับคนกรุงสังเกตได้ว่าม็อบกับมวลมหาประชาชนตั้งแต่ต้นก็มีการ ใส่ร้ายป้ายสีกันโดยไม่ชอบธรรม เพราะเห็นว่านี่เป็นม็อบของคนกรุง แต่ทุกวันนี้มีพี่น้องทุกจังหวัดมาชุมนุม เขาก็เลยไม่ออกแล้วบางทีก็มาหาว่าเราจ่ายตังค์บ้าง อ้าว แล้วก็มาหาว่าเราเป็นม็อบคนรวย หาว่าเป็นม็อบอำมาตย์ ม็อบไฮโซ แต่ว่าพอมาอีกวันมาบอกว่าเราจ่ายตังค์ เปิดกล่องข้าวเจอเงินสองพัน ตั๊นยังหาไม่เจอเลย พยายามที่จะหาเปิดอยู่เหมือนกัน
Q : ไม่ใช่อย่างที่มีการโจมตีคำปราศรัยของคุณต่อว่าคนต่างจังหวัดไม่ฉลาด?
ถ้าลองไปอ่านให้หมด ตั๊นไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่คนที่ไปแปลตั๊นก็ไม่รู้ว่าไปแปลกันได้อย่างไร คือสิ่งที่เราพูดไปเราอยากสื่อสารว่า 'ทำไมต้องการปฏิรูป เพราะต้องการยกระดับของประเทศ และทุกจังหวัดได้รับความเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แต่การพัฒนาแต่กรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด ทุกจังหวัดต้องได้การยกระดับเท่าเทียมกัน เพราะเรื่องของประชาธิปไตย
แต่พอมันออกเป็นภาษาอังกฤษ ฝั่งตรงข้ามก็ตัดให้สั้นลงแล้วยังมาแปลให้อีก คือมันเป็นเจตนารมณ์ที่จะใส่ร้าย แต่ว่าทั้งหมดนี้ตั๊นก็เข้าใจเพราะว่ามันเป็นกระบวนการ ไม่ได้โกรธอะไร เพราะว่าเป็นกระบวนการแบ่งแยกแบ่งชั้นอย่างที่บอก ตั๊นถือว่าตั๊นตกเป็นเหยื่อ ด้วยสถานะทางสังคมและด้วยครอบครัวของตั๊นมันก็เลยง่ายที่จะตกมาเป็นคำพูด อย่างนี้ ซึ่งทุกวันนี้ไม่มีใครรู้สึกอย่างนั้น เพราะเราแสดงออกให้เห็นแล้ว เพราะเรากระทำอย่างไร เขาถึงบอกว่าคนเราจะพูดอะไรก็พูดได้ แต่ว่ามันอยู่ที่การตั้งใจที่จะทำอะไร
Q : อยากบอกหรือสื่อสารชาวต่างจังหวัดที่ไม่ได้รับข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วน ตรงจากคุณบ้างไหม?
ทุกวันนี้ชัดเจนแล้วในกระบวนการ กปปส.หรือพลังมวลมหาประชาชนที่เราเรียกร้องการปฏิรูปเพื่อการยกระดับให้เท่า เทียมกันทั่วประเทศ และเราไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่งและไม่ได้ทำเพื่อครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง เราทำเพื่อทุกคน ผลประโยชน์ที่จะได้มาไม่ใช่ว่าคนนู้นจะได้รับผลประโยชน์ คนนี้จะได้รับผลประโยชน์ ไม่ใช่ มันคือคนทั้งประเทศที่ได้รับผลประโยชน์ ตั๊นไม่ได้มาสู้เพื่อครอบครัวของตั๊น แต่ตั๊นสู้เพื่ออุดมการณ์
Q : ถ้าอยากจะสื่อสารกับพี่น้องที่มีความคิดต่าง คุณอยากจะบอกพวกเขาว่าอะไร ?
ตั๊นคิดว่าพี่น้องเสื้อแดงทุกคนก็ต้องรักชาติเหมือนกัน ไม่มีใครรักชาติไปมากกว่ากัน แต่ว่าอาจจะอยู่ที่แกนนำเป็นการปลุกปั่นหรือว่าคำพูดที่ชักชวนมากกว่า ที่สร้างคำพูดให้เกลียดชังฝ่ายตรงข้าม คืออย่างฝั่งเราจะพูดตลอดว่าพี่น้องเสื้อแดงก็คือประชาชนคนไทยเหมือนกัน เราไม่ได้เกลียดเขา เราก็พร้อมที่จะรับเขาเข้ามา
สิ่งที่อยากให้ทำก็คืออยากให้พี่น้องเสื้อแดงลองย้อนกลับไปมองแกนนำแต่ละ คนว่า สิ่งที่เขาสู้อยู่เพราะผลประโยชน์ส่วนตัวใช่ไหม คือถ้าพี่น้องเสื้อแดงหันมาเห็นแกนนำของตัวเองว่า ต่อสู้พระมหากษัตริย์ ต้องการจะล้มเจ้า และต้องมาดูอีกว่าที่เขาสู้เพราะประโยชน์ส่วนตนหรือประโยชน์ส่วนตัว ถ้าเกิดแค่นี้ในพี่น้องเสื้อแดงไปพิจารณาดูเอาเอง
Q : เคยบอกเราเรื่องความฝันแรก ตอนนี้ยังยืนยันอยากจะเป็นนายกฯ อยู่ไหม?
ตั๊นฝันอยากเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนจะเป็นได้หรือไม่ ตั๊นขอทำวันนี้ให้ดีที่สุดก่อน เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตเราเป็นยังไง ความฝันเป็นความฝัน ทุกคนสามารถมีความฝันได้ แต่ต้องอยู่กับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทุกวันนี้เราก็สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องมวลมหาประชาชนมากว่า 5 เดือนแล้ว ซึ่งมันก็นานมาก ยิ่งผูกพัน ยิ่งมาทำโรงเรียนใต้ต้นไม้อยู่กับเด็ก ก็ยิ่งผูกพันมากยิ่งขึ้น เราก็คงเดินหน้าให้ถึงที่สุดให้มีการปฏิรูปอย่างแท้จริง
Q : ถ้านายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยนั่งอยู่ตรงนี้ คุณจะพูดว่าอะไร?
คือบางทีเราต้องนึกถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว บางทียึดผลประโยชน์ส่วนตัวจนลืมคนรอบข้าง ลืมประเทศชาติ และลืมประชาชน ถ้าเกิดยอมที่จะถอยและยอมให้มีการปฏิรูปเพราะเชื่อว่าทุกวันนี้ทุกคนมาสู้ เพื่อประเทศในสิ่งที่เราสู้ ไม่ใช่เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง พี่น้องเสื้อแดงก็ได้รับผลประโยชน์ พี่น้องตำรวจก็จะได้รับผลประโยชน์ มันไม่ใช่แค่ กปปส. หรือมวลมหาประชาชนในนี้ เป็นระดับคนทั้งประเทศ ถ้าเห็นจุดนั้นและเห็นเหมือนกัน ก็ควรเปิดช่องทางและให้โอกาสในการพัฒนา
Q: ในอนาคตถ้าเหตุการณ์สงบ มีโอกาสที่คุณจะกลับไปเปลี่ยนนามสกุลเดิมไหม?
ไม่นะคะ ตั๊นภาคภูมิใจทั้งสองนามสกุลไม่ว่าจะนามสกุลไหน กฤดากร หรือภิรมย์ภักดี ในตัวตั๊นก็มีสองนามสกุลนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าตามบัตรประชาชนจะระบุว่าเรานามสกุลอะไรอยู่ แต่หัวใจตั๊นก็ยังเป็นทั้ง 'ภิรมย์ภักดี' และ 'กฤดากร' ค่ะ
Q : จะกลับไปเป็น ส.ส. อีกไหม?
ขอให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
Q : ต้องยืนยันก่อนว่าต้องมีการปฏิรูปประเทศไทยคุณถึงจะเข้าไป แต่ถ้าไม่มีก็จะไม่กลับไปเป็นส.ส.อีก?
ตั๊น คิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคตที่ประเทศชาติต้องเดินต่อไป และเราอยากเห็นว่าต้องมีการปฏิรูปก่อนเพราะทุกวัน เราก็สู้กันเพราะจุดนี้ เพื่อความมั่นคงที่ยังยืน และไม่อยากให้ประเทศมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีกไม่เช่นนั้นมันก็จะสะดุดขาตัว เองอย่างนี้ตลอดเวลา
Q : ฝันแรกอยากเป็นนายกฯ หญิง แล้วความฝันครั้งล่าสุดของคุณคืออะไร?
ตั๊นอยากให้มีการปฏิรูป อยากจริงๆ อยากให้เราได้รับชัยชนะ ซึ่งมันจะเป็นชัยชนะของประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง ตั๊นอยากให้ประเทศไทยกลับมาสามัคคีกันเหมือนเดิม กลับมารักกันเหมือนเดิม ไม่มีการแบ่งแยกสี เพราะเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน เราแตกแยกกันพอแล้วในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าระบอบทักษิณที่เข้ามาสร้างความแตกแยกให้กับสังคมเรา ตั๊นก็อยากเห็นที่เราจะก้าวผ่านจุดนั้นไปได้
http://www.thairath..../content/413067