Jump to content


Photo
- - - - -

{กระทู้ขอความรู้} ใครพอรู้เรื่องโครงการเงินกู้มิยาซาว่าบ้างครับ มันคืออะไร


  • Please log in to reply
11 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 แมวน้อยสีน้ำเงิน

แมวน้อยสีน้ำเงิน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,491 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 22:27

เพื่อนแดงของผมมันบอกว่า...

 

"โครงการเงินกู้มิยาซาวา เป็นโครงการผลาญเงินระดับชาติของพรรค ปชป.ไอ้พวกนกหวีดดัดจริตจะว่าไง?"

 

ช่วงนั้นยังไม่สนใจการเมืองเลยไม่รู้ ว่ากู้เกี่ยวกับอะไร ทำไมต้องกู้ ใครรู้รบกวนอธิบายทีครับ

 

ขอบคุณครับ


"เสียงข้างมากเพียงหนึ่งวัน ใช้อ้างความชอบธรรม 4 ปี"


#2 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 22:31

มันเป็นผลพวงปฏิวัติ เอ้ยจากการที่ จิ๋ว+แม้ว เอาประเทศไปจำนำกับ

ไอเอ็มเอฟ ครับ ตอบแค่นี้พอ ตอบยาวกว่านี้ แดงมันฟังไม่รู้เรื่องหรอก



#3 phoosana

phoosana

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,687 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 22:45

เขาว่ากู้เงิน 53000 ล้าน เอามาดายหญ้าข้างถนน :D
 
ลองดูคำชี้แจงฝั่ง ปชป. บ้าง
 
ใครลวงใครหลอกผมไม่ทราบ ต้องไปดูว่าเงื่อนไขในการกู้ วัตถุประสงค์แท้จริงคืออะไร

http://www.ryt9.com/s/ryt9/191196
We love fender.

#4 น้องจุบุจุบุ

น้องจุบุจุบุ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,006 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 22:55

เงินกู้มิยาซาว่าก็คือการกู้เงินเพื่อเอามาใส่ในระบบก็เท่านั้น โดยไปกู้จาก รมต ที่ชื่อมิยาซาว่านี่ละ

แต่เอามาใส่ระบบด้วยการจ้างงาน ถ้าดูเผินๆก็คิดว่าไม่เห็นจะมีอะไรแต่จริงๆแล้วนำไปจ้างงาน 

พอจ้างงานเขาก็เอาเงินไปซื้อของต่อ พอซื้อของบริษัทได้เงินก็เอาเงินไปจ้างพนักงานต่อนั้นละ

ช่วยไม่ให้เศรษฐกิจชลอตัวก็เท่านั้น

 

แต่การเอาเงินใส่ระบบก็ไม่ใช่ว่าดี ถ้าคนสานต่อไม่เป็นเงินพวกนี้จะเสียเปล่า

ถ้าไม่กี่ปีนี้ก็รัฐบาลมาค ใช้การแจกเช็ค 2000 นั้นก็คือการใช้เงินใส่เข้าไปในระบบ

ในอีกรูปแบบนึง โดยให้เป็นเช็ค บังคับให้เอาไปซื้อของเป็นหลักแต่จุดหมายก็ยังเป็นรูปแบบเดียวกัน

ก็ค่อนข้างประสบผลดี จนเงินคลังค่อนข้างสูงในช่วงปีนั้น



#5 Alone

Alone

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,726 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 23:11

แอบอยากรู้เหมือนจขกท. ด้วยเหมือนกัน ขอบคุณคุณน้องจุบุจุบุ (ชื่อแอบคิกขุ อิอิ) ที่ให้ข้อมูลครับ  :)

 

 

 

จริงๆ แล้วผมรู้สึกสงสัยเสื้อแดงมากๆ ไม่ใช่แค่กรณีตั้งข้อสงสัยในโครงการนี้หรอกนะแต่เป็นการตั้งข้อสงสัย

ในเรื่องการทุจริตทุกเรื่อง (โดยเฉพาะของรัฐบาลปชป.) คือถ้ารู้ลึกรู้จริงว่ามีการทุจริตแล้วตอนนั้น

มัวอมสากอยู่รึไงครับทำไมไม่เรียกร้องให้เพื่อไทยที่เป็นฝ่ายค้านฟ้องศาล หาทางสกัดกั้น

หรือแม้กระทั่งเผยแพร่ข้อมูลแฉให้คนในสังคมรับรู้

 

ตอนเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านเห็นเอาแต่เรื่องบ้าบออะไรก็ไม่รู้มาโจมตี อย่างเรื่องอภิสิทธิ์หนีทหารเงี้ย

อภิสิทธิ์สองสัญชาติเงี้ย (เรื่องที่เข้าท่าหน่อยก็มีเรื่องตัดต้นไม้ที่เขาใหญ่) แต่ทีตอนเพื่อไทย

เป็นรัฐบาลนี่ขุดคุ้ยเก่งจังรู้ไปหมดทุกเรื่อง (แต่หน้าที่บริหารในฐานะรัฐบาลงี้ไหงมันห่วยแตกจริง)

 

สรุปมันมาเป็นรัฐบาลเพื่อมา "ค้าน" กับ "โกง" เหรอ?

 

 

 

 

ปล. ผมไม่กลัวหรอกคนโกงน่ะถ้าระบบตรวจสอบมันดีและทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตาและทำตามกติกา

ที่มันเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้คือคนโกงมันทำลายระบบตรวจสอบและไม่เคารพกติกานี่แหละ

 

ปล. 2 ผมไม่ค่อยเข้าบอร์ดเท่าไร แต่พรุ่งนี้เจอกันที่ราชดำเนินครับทุกคน



#6 UncleSam

UncleSam

    เด็กชายชุดฟ้า ผู้น่ารัก

  • Members
  • PipPipPip
  • 738 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 23:15

เงินกู้มิยาซาว่าก็คือการกู้เงินเพื่อเอามาใส่ในระบบก็เท่านั้น โดยไปกู้จาก รมต ที่ชื่อมิยาซาว่านี่ละ

แต่เอามาใส่ระบบด้วยการจ้างงาน ถ้าดูเผินๆก็คิดว่าไม่เห็นจะมีอะไรแต่จริงๆแล้วนำไปจ้างงาน 

พอจ้างงานเขาก็เอาเงินไปซื้อของต่อ พอซื้อของบริษัทได้เงินก็เอาเงินไปจ้างพนักงานต่อนั้นละ

ช่วยไม่ให้เศรษฐกิจชลอตัวก็เท่านั้น

 

แต่การเอาเงินใส่ระบบก็ไม่ใช่ว่าดี ถ้าคนสานต่อไม่เป็นเงินพวกนี้จะเสียเปล่า

ถ้าไม่กี่ปีนี้ก็รัฐบาลมาค ใช้การแจกเช็ค 2000 นั้นก็คือการใช้เงินใส่เข้าไปในระบบ

ในอีกรูปแบบนึง โดยให้เป็นเช็ค บังคับให้เอาไปซื้อของเป็นหลักแต่จุดหมายก็ยังเป็นรูปแบบเดียวกัน

ก็ค่อนข้างประสบผลดี จนเงินคลังค่อนข้างสูงในช่วงปีนั้น

 

 จำได้ว่าตอนนั้นมีการจ้างนักศึกษาปริญญาตรีตกงานทุกจังหวัด ในโครงการชื่อ บัณฑิตอาสา

 

 ทำหน้าที่เก็บ สถิติ ข้อมูลต่างๆ จากชาวบ้าน ได้เงินเดือนประมาณ 5000 บาท

 

 จำคร่าวๆ ได้แค่เนี๊ยเพราะว่าตอนนั้นยังเป็นเด็กเล็กนัก  -_- 



#7 bubblesafari

bubblesafari

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 83 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 23:17

ตอบเสื้อแดงไปเลยค่ะ

เงินกู้มิยาซาว่า คือเงินที่กู้มาจากน้องมิยาบิ

:D  :D  :D  :D  :D


Edited by bubblesafari, 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 23:18.


#8 อาวุโสโอเค

อาวุโสโอเค

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,790 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 23:45

 มิยาซาวา รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น ระหว่าง พ.ศ. 2542 - 2545 จัดตั้ง"กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับประเทศกำลังพัฒนา"

 

เพื่อให้ฟื้นจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ.2540 ไทยนำโครงการนี้มาใช้สมัยนายชวน หลีกภัย

 

เป็นนายกรัฐมนตรี โดยรู้จักกันในชื่อ กองทุนมิยาซาวา 

 

ที่มา http://www.davance.c...t/hothit25.html

 

นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ ส.ส.ขอนแก่น ขณะนั้น เป็นผู้ตั้งกระทู้สอบถามในสภา ตามกระทู้ที่ 490 ร. และผู้ตอบในขณะนั้นคือ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์

 

รัฐมนตรีว่ากลางกระทรวงการคลัง ขณะนั้นได้ชี้แจงในสภาเรื่องเหตุผล ความจำเป็นและแนวทางดำเนินงาน รายละเอียดตามได้ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 69 ก

 

วันที่ 1 ส.ค. 2542 ซึ่งในตอนหลังปราก็ว่า  นพ เปรมศักดิ์ เพียยุระ ออกมา แฉ ความชั่วของ นักโทษหนีคดีคนนี้ ยิ่งตอกย้ำ ความเลวได้ยิ่งขึ้น..ต้องบอกก่อนว่า นพ คนนี้

 

เป็นอดีต สส พรรค ความหวังใหม่ จากนั้น พรรคนี้ โดนอำนาจ เงิน โดนอำนาจชั่วเข้าครองงำ ผนวกกับ หัวหน้าพรรค ในตอนนั้น บิ๊กจิ๋ว มันก็ชั่วเหมือนกัน เลยควบรวมกันได้

 

..สุดท้าย นพ เปรมศักดิ์ ก็ต้องมาอยู่พรรค ทรท ..แต่เพราะได้รับรู้ ถึงความชั่ว ของ นช แม้ว ทั้งในเรื่อง ทุนนิยมสามานต์ ทั้งเรื่อง เอื้อประโยนช์ให้ตัวเองและพวกผ้อง

 

และเรื่อง ล้มสถาบัน ที่ นพ ผู้นี้ ยืนยันว่า มีเครือข่าย และทำกันมาตั้งนานแล้ว มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน สุดท้าย นพ คนนี้ ทนไม่ไหว ได้ยื่นใบลาออกจาก พรรค

 

ในช่วงที่ เลือกตั้ง พรรค ทรท เล่นอยู่พรรคเดียว เมื่อ นพ ผู้นี้ ลาออก ทำให้ สส ในสภา ไม่ครบ 500 คน และไม่สามารถ เปิดประชุมสภา ได้ และท่านก็ได้ไป บวช ...

 

และวันนี้ ท่านออกมา แฉ ความชั่วของ นช แม้ว ผู้นี้ ได้ชัดเจน เข้าไปอีก เนื่องจาก เนื้อหาที่แฉ มาจาก คนวงใน แท้ๆ เลย

 

ที่มา http://talk.mthai.com/topic/107689

 

มันยิ่งขุดยื่งมันครับ  :lol:  


การเมืองไม่ใช่เพื่อกลุ่มใด แต่เพื่อทุกคนในประเทศ

#9 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 00:15

หรือจะเอาคำตอบจากเสื้อแดงตัวพ่อ ที่ไม่ยอบรับว่าตัวเองเป็นเสื้อแดง

วีระ มุก เอ้ย ธีรภัทร

 

 

ถึงแม้ว่าจะจ้างมารื้อฟุตบาทแล้วเรียงใหม่ 3 รอบก็ต้องทำ

(อ้างถึงคำพูดใครสักคน ในการแก้ไขวิกฤตของเมกา)



#10 เรื่อยๆเอื่อยๆ

เรื่อยๆเอื่อยๆ

    There is a face beneath this mask, but it isn't me.

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,223 posts

ตอบ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 02:08

ตอนนั้นคนตกงานมากครับ รัฐบาลก็ไม่มีเงินมาจ้างลูกจ้าง พี่ผมก็เคยเป็นลูกจ้างงบนี้ ตามความเข้าใจของผม งบนี้จะเป็นงบจัดจ้างมากกว่างบจัดซื้อ ถ้ามีการโกงที่เป็นไปได้คือตั้งงบจ้างลูกหลานหัวคะแนนมาทำงาน แต่ถามว่ามันจะเป็นการโกงระดับชาติเลยหรือ ผมก็ไม่เคยเห็นตัวเลขความเสียหายจากโครงการนี้จากฝั่งที่เล่นเรื่องนี้

ถ้าเสื้อแดงคนไหนมีก็ช่วยเอามาตีแผ่แล้วกันครับ ใครโกงผมไม่ชอบทั้งนั้น



#11 GuoJia

GuoJia

    Siam

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,463 posts

ตอบ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 02:36

ผมจำได้ ตอนนั้นไอ้แม้วเริ่มมา และเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี

มีบัณฑิตเพิ่งจบเป็นลูกจ้างชั่วคราวงบมิยาซาว่านี่แหละ ได้เงินเดือนกับงบนี้อยู่ 2 ปีมั๊ง

มันบ่นว่าชวน+ธารินทร์ทำเศรษฐกิจไม่ดี เบื่อจะเลือกทักษิณ

นึกในใจเมิงมีแดกอยู่ทุกวันก็เพราะงบมิยาซาว่า ยังเสือกบ่น ไม่ลาออกไปหาแดกกับไอ้แม้วล่ะ


“ ...คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา ,

ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ “


#12 isa

isa

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 447 posts

ตอบ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 10:10

เรื่องของเงินกู้มิยาซาว่า ผมถือว่าเป็นความด้อยความรู้อย่างน่าตำหนิของคอลัมน์นิสต์และสื่อมวลชนไทยซึ่งปัจจุบันหลายๆคนผันตัวเองไปเป็นเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ครับ คือถ้าเป็นคนทั่วไปไม่รู้ก็ยังพอว่า แต่คนเป็นสื่อซึ่งมีหน้าที่ต้องชี้นำและให้ความรู้ต่อสังคมดันไม่รู้นี่มัน Fail สุดๆแล้วล่ะครับ

 

ปัญหาของประเทศไทยในช่วงปี 40 ก็คือขาดการหมุนเวียนของกระแสเงินสดอย่างหนัก เนื่องจากส่วนหนึ่ง เอาเงินกองทุนสำรองของประเทศไปต่อสู้แพ้ในศึกต่อสู้ปกป้องค่าเงินบาท (หลายๆท่านอาจจะให้ข้อมูลตรงนี้ได้ดีกว่าผม) อีกส่วนเกิดจากการลดค่าเงินบาทชนิดปุบปับ ทำให้ค่าเงินบาทรูดจากประมาณ 25 บาท ลงไปอยู่ที่ราวๆ 50 บาท ซึ่งตอนนั้นภาคธุรกิจไทยกำลังกู้เงินดอกเบี้ยต่ำของประเทศมาปล่อยกู้ต่อหรือไม่ก็ขยายกิจการกันอย่างสนุกสนาน จึงเป็นหนี้กันทั้งประเทศ ผลก็คือ หนี้เพิ่มเป็นเท่าตัวภายในชั่วข้ามคืน ยังไม่นับดอกที่เพิ่มเท่าตัวเช่นกัน

 

ลองนึกภาพง่ายๆ สมมุติว่าคุณกู้เงินมา 1 ล้านเหรียญ จ่ายดอกเบี้ยที่ 3 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับหนี้ปัจจุบันของคุณเป็น 1 ล้าน 3 หมื่นเหรียญ หรือถ้าคิดอัตราเงินไทยด้วยค่าแลกเปลี่ยนตอนนั้นก็คือ 25 ล้านบาท บวกด้วยดอกเบี้ย 7 แสนห้าหมื่นบาท แต่พอค่าเงินบาทตกปุ๊บ หนี้คุณกลายเป็น 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย 1.5 ล้านบาททันที ทั้งๆที่หนี้ต่างประเทศยังเป็น 1 ล้านเหรียญเท่าเก่า พอเห็นภาพมั้ยครับ

 

ผลก็คือเบื้องต้น เงินบาทไทยถูกสูบออกจากระบบเพื่อจ่ายหนี้ต่างประเทศ อีกส่วนหนึ่งก็คือธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆได้รับผลกระทบ ถูกยุบไปบ้าง ถูกสั่งเพิ่มทุนบ้าง ซึ่งกระทบต่อการปล่อยกู้ และเมื่อไม่มีเงินกู้จากธนาคาร บริษัทต่างๆก็เจ๊งไปบ้าง ลดพนักงานบ้าง และเมื่อมนุษย์เงินเดือนไม่มีเงินจับจ่าย การซื้อขายในท้องตลาดก็ลดปริมาณลงอย่างมโหฬาร ซึ่งทำให้ไม่มีการผลิตเพิ่ม จ้างงานเพิ่ม ลงทุนเพิ่ม เป็นวงเวียน เข้าสู่ภาวะของการซึมยาว

 

ทางแก้ที่ใช้กันเป็นสากลก็คือใช้เงินจากภายนอก อัดฉีดเข้าสู่ระบบ แต่การอัดเงินเข้าระบบก็มีหลายวิธี  และมีข้อดีข้อเสียต่างกัน

-          ทางแรกก็คืออัดเข้าทางธนาคาร แต่บ่อยครั้งที่พบว่าวิธีนี้ล้มเหลว เพราะธนาคารมักจะเอาเงินไปเก็บไว้เฉยๆ หรือปล่อยกู้อย่างเข้มงวด ดอกเบี้ยสูง ทำให้เงินที่เข้าไปในระบบหมุนช้าและถูกดองไว้ในระบบธนาคาร

-          ทางทีสองก็คืออัดฉีดเข้าไปทางคนชั้นกลาง ทางเจ้าของกิจการ ผ่านเงินกู้หรือโครงการช่วยเหลือต่างๆ แต่วิธีนี้ก็ไม่เหมาะกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นกัน เพราะคนชั้นกลางมักจะมีวินัยการเงินมากกว่า ถ้าเอาไปลงทุนต่อยอด ก็ต้องวางแผนกันอย่างรอบคอบ บางส่วนอาจจะหายไปกับการกลายเป็นเงินออม เงินทุน การอัดฉีดแบบนี้ จะเหมาะกับช่วงเศรษฐกิจกำลังเติบโตขยายตัวมากกว่าช่วงเศรษฐกิจฟุบ

 

-          ทางสุดท้ายที่ง่ายที่สุดและสะดวกที่สุด ก็คืออัดฉีดเข้าไปทางรากหญ้า โดยผ่านการจ้างงานในท้องถิ่น เพราะลักษณะของรากหญ้าก็คือวินัยการออมเงินต่ำ ได้มาใช้ไป อย่างตอนเช้ารับจ้างได้มาสามร้อยห้าร้อย ตกเย็นก็ตั้งวงล้อมขวดเหล้าหมดแล้ว เงินก็เลยถูกอัดเข้าสู่ระบบได้รวดเร็วทันใจ ส่วนพวกโครงการอะไรพวกนั้น มันเป็นแค่จุดประสงค์รองเท่านั้นแหละครับ จุดประสงค์หลักก็คือเอาเงินเข้าระบบ

 

อย่างไรก็ดี การอัดเงินเข้าทางรากหญ้านั้นมีสิ่งที่จะต้องระวัง ข้อแรก อย่าให้เป็นการแจกเงิน เพราะจะกลายเป็นประชานิยม และทำลายวินัยการทำงานของประชาชน กลายเป็นงานการไม่ทำมารอเงินแจก ข้อที่สอง เงินที่ให้จะต้องไม่มากจนเกินไป เพราะอย่างที่บอกว่ารากหญ้านั้นมีวินัยการใช้เงินต่ำ ถ้าแจกน้อยๆ ผลลัพธ์จะจบแค่ใช้หมดเป็นศูนย์ แต่ถ้าให้มากเกินสมควร มันจะถูกเอาไปสร้างเป็นสภาพหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ หรือไม่ก็ถูกใช้ในการทำธุรกิจที่ขาดการวางแผนทำให้กลายเป็นสภาพหนี้ อย่างที่เกิดกับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านของทักษิณจำนวนมาก ที่กู้เอาไปถอยรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูกบ้าง หรือเอาไปทำธุรกิจขายเครื่องกรองน้ำ ฯลฯ พอไม่มีเงินผ่อนต่อ รถก็ถูกยึดบ้าง ธุรกิจล้มเหลวกลายเป็นหนี้เป็นสินบ้าง กลายเป็นภาระของทั้งเจ้าตัวและทั้งสังคม

 

การอัดฉีดเงินสู่ระบบทางรากหญ้าไม่ใช่เพิ่งมามีนะครับ สมัยมรว.คึกฤทธิ์ ก็เคยทำเป็นเงินผันคึกฤทธิ์ลงสู่ท้องถิ่น ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยโตเร็วขึ้นในระดับหนึ่งก็จริง แต่ผลเสียก็คือทำให้คนไทยเคยชินกับการจ้างวาน ซึ่งทำให้ระบบ "ลงแขก" ในท้องถิ่นหายไป ทำให้การทำนามีต้นทุนสูงขึ้น

 

ในอเมริกาเองก็เคยมีการใช้ระบบนี้ ในสมัยปธน.แฟรงกลิน ดี รูสเวลล์ ในช่วงปี 1829 ที่อเมริกาเผชิญหายนะเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทั้งตลาดหุ้นล่ม และพายุฝุ่นจากการทำเกษตรแบบทำลายผิวดิน คนอเมริกาตกงานทันทีเป็นล้านๆ จนปธน.ฮูเวอร์แก้ไม่ไหว ต้องลาออก รูสเวลล์ใช้วิธีสร้างงานทั่วประเทศทั้งถนน ทั้งทางรถไฟเพื่อแก้ไขภาวะว่างงานและปั๊มเงินเข้าระบบ ไม่นานนัก เศรษฐกิจอเมริกาก็กลับเข้าที่อีกครั้ง

 

ปัญหาของสื่อบ้านเราก็คือส่วนใหญ่จะเอียงซ้าย และมีมุมมองว่าทุกคนเท่าเทียมกัน (เหมือนๆกัน) ดังนั้นพวกนี้จะไม่ยอมทำความเข้าใจกับความแตกต่างของการ Treat คนต่างระดับกันแตกต่างกัน จึงทำให้การแก้ปัญหาแบบถูกฝาถูกตัวของประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าตาและถูกใจคนพวกนี้ครับ  -_-






ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน