อันนี้หมายควายว่าไงหรือน้องมานี
เฮ้ออ พูดแล้ว ก็เสียดาย อาเฮียทักกี้ พ่องูหญ่ายของมานี
อิอิ ก็หมายความ อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ
ว่า อาเฮียทักกี้ พ่องูหญ่ายของน้องมานี
ไม่น่าโดนตะหานใจร้ายเฉดหัว ไปอยู่ ดูไบ ไง
ถ้า อาเฮียยังอยู่ กิจการเก็งกำไรในโลหะมีค่า ของมานี คงอู้ฟู่กว่านี้ มั้ง 555
แหม๊ ? ก็มานี ปลื้ม อาเฮีย ทักกี้ นิหน่า
แบบว่า พูชาย สไตล์ โกง แต่ เก่ง แบบ อาเฮีย มันหายาก นิคะ
ปกติ มานี เจอแต่ ประเภท ดีแต่โง่ โกงแล้ว เจื๋อก ไม่เก่ง อ่ะค่ะ
ยี้ เจอ พูชายประเภทนี้ แล้ว ฝากผีฝากไข้ ด้วยไม่ลงอ่ะ
ร่วมหอลงโลงด้วยแล้วก็มีแต่เจ๊งบ๊ง
เหมาะที่เอาไว้ ควงเล่นแก้เซ็ง ซะมากกว่า 555
แต่ แค่ มานีแอบมีใจให้ อาเฮียทักกี้ แค่นี้
ถึงกับ มาหาว่า มานี เป็นเสื้อ แดง เลยหรอ
คือว่า รู้ค่ะรู้ว่า อาเฮีย เค้าโกง ไม่ใช่ไม่รู้
แล้วก็ ไม่ได้ เห็น ว่า เฮียเค้า เป็นคนดี ทำอะไร ก็ไม่ผิด ด้วยแต่ก็ยัง อดชื่นชมใน ความเก่ง ของเฮียเค้า มิได้อ่ะ
( มานี ชอบ มองคนแบบแยกส่วน อ่ะ )
เฮ้อออ พี่บ่าวไม่เคย ดูละครหลังข่าวภาคค่ำ หราาาาาาาา
เด๋วนี้ เทรนด์ พระเอกละคร ทั้งหลาย จะออกแนว แบด บอย น้าาาาาา
แถม นางเอก ส่วนใหญ่ มักจะ รักคนรวย ชอบคนดี แต่ หนีตาม คนเลว อ่ะคะ อิอิ
ตรรกะ ธรรดา ๆ ตามประสา ปุถุชน ที่ใช้ สามัญสำนึก ( Ego ) ในการเอาชีวิตรอดไง
ตามหลัก จิตวิทยา Ego เป็นสิ่งจำเป็น ในการ ปรับ สมดุลของ Id (สีดำ ) กับSuper ego ( สีขาว )
จนทำให้ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนอย่างพวกเรา มีชีวิตรอด ในโลกสีเทา ได้นะ จำไว้
หยุดโลกสวย แล้ว คิดว่า ประเทศไทย จะต้องให้ คนดี ปกครอง ประเทศ เท่านั้น ซะทีเหอะ
สังคมแบบ ยูโธเปีย หรือ ยุค พระศรีอาริย์ น่ะ มันเกิดขึ้นยาก นะ
ยากพอ ๆ กับ การจะเคี่ยวเข็ญ ให้ คนไทยทั้งประเทศ หันมา รักษา ศีล 5 นั่นแหล่ะ
ขนาด จะ รณรงค์ ให้ พวกมันหันมาปฏิรูป ตัวเอง ยังยากเลย แล้ว พี่บ่าวคิดหรือคะ ว่า
ว่า ไอ้การ ปฏิรูป การเมือง มันจะเกิดได้จริง ไทยแลนด์จะเป็น ดินแดนยูโธเปีย เลิกฝันกลางวันซะทีเหอะน่า
เอาเวลา ไปดูละครน้ำเน่าช่อง7 เป็นเพื่อน มานีดีกว่า อย่าดูแต่ บลู ตะกาย เยยยย
อ่ะ เอ เดอะ เลตเตอร์ ที่ มานี เคย เม้าส์มอยด์ กับ ไอ้เจ้า พี่ชายนอกไส้
เมื่อ สมัย 10 ปี ก่อนมาฝาก เผื่อว่า อ่านแล้ว จะ เข้าใจ อะไร ๆ ขึ้นมามั่ง อิอิ
Thursday, June 17, 1999 4:17 AM
From: อิกระโถนปากร้าย
To: นู๋บี
มาแล้วครับ
ถึง…นู๋บี สาวไร่แห้ว บ้านโคกอีแร้ง
สวัสดีครับ...น้องบี
REF อืม...พี่เคยคิดไหม ว่าคนเราเกิดมาเพื่อ อะไร...?
เคยคิดครับ ไม่ใช่คิดอย่างเดียว
เสียเวลาค้นหาคำตอบอยู่นานพอสมควรเลยครับ
แต่ไม่อยากบอกน้องบี เพราะรู้ดีว่าน้องบีเป็นโรคหัวใจ
แถมต่อมความดียังบกพร่องอีกด้วย...อิอิ
เอาเป็นว่า...คงคล้ายๆ แบบนี้มั้ง
คนเราเกิดมามีอะไรมาด้วยเล่า
แล้วแบบนี้ไยคิดเอาอะไรไปมากหลาย
ยิ่งไขว่คว้าหลายๆ สิ่งไปมากมาย
แต่สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเอาไว้เลย
แต่ก็ว่ามิใช่ไม่มีแม้แต่ฝัน
หรือปล่อยวันให้เลยล่วงไปเฉยเฉย
หรือทำตัวไร้สาระเสียจนเป็นคนเชย
หรือละเลยผู้คนบนหนทางระหว่างเดิน
หรืออีกอย่างหนึ่ง....ก็แบบนี้
ขอให้เธอเป็นคนดีของชีวิต
ตามที่เธอมีสิทธิ์และคิดฝัน
เป็นอะไรก็ได้ไม่สำคัญ
เพียงยึดมั่นในความดีเท่านี้พอ
บางทีการพูดอะไรมากไป อาจจะทำให้น้องบีเอียนได้
แต่สังคมใช่ไร้ซึ่งคนดีจริงๆ นะ...แม้ว่าจะมีน้อยเหลือเกิน
แต่พูดก็พูดเถิดนะ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของชีวิตมันคืออะไร
เพราะมันไม่สามารถบอกออกมาเป็นตัวตน เป็นสิ่งของ หรือเป็นรูปธรรมได้
บางทีผมก็รู้สึกว่า....ผมมีชีวิตเพื่อผู้อื่น
หรือว่าถ้าจะคิดดีๆ ให้ลึกๆ ลงไป มันก็เหมือนมีชีวิตเพื่อตัวเอง
อืม...น่าจะเป็นเพื่อตัวเองมากกว่านะครับ
เพราะถึงจะทำเพื่อคนอื่น แต่ก็ทำไปตามความคิดของเรา
ดังนั้น...ตราบใดที่คนเรา ยังคิดว่าตัวเองมีค่า เขาจึงรู้ว่าควรมีชีวิตอยู่
หากคนใดรู้สึกว่าชีวิตเขาไร้ค่า ไม่แน่นะเขาอาจกำลังจะจากไป
อ้อ..จริงซิ...เดี๋ยวจะหาว่าผมอุดมคติเกินไป
ที่ผมบอกว่ามีชีวิตเพื่อผู้อื่นนั้น
ผมหมายถึงคนในครอบครัวน่ะครับ
เพราะผมเป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาวสามคน
พ่อจากไปตั้งแต่ผมยังเรียนมัธยมปลาย ครอบครัวเราลำบากมาก
โชคดีที่โอกาสดีๆ มีให้พวกเราได้หยิบยื่น ประกอบกับ
ความมุ่งมั่น อดทน ต่อสู้ ไม่ท้อแท้ ของพวกเราในอดีตที่ผ่านมา
จึงทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ณ ปัจจุบัน
บางครั้งผมเคยคิดที่จะเอาเรื่องของตัวเองมาเขียนเป็นนิยายเหมือนกันนะ
แบบว่าอยากเป็นกำลังใจให้กับคนที่อ่าน อยากให้เขารู้ว่า
หากใครมีอำนาจที่จะฝันถึงชีวิตที่ดีงาม
เขาก็จะมีชีวิตที่งดงามรออยู่ข้างหน้า
อืม...ผมบ่นอะไรนะ ทนๆ ฟังหน่อยนะครับ
เช่นเดียวกันครับ เวลาที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ..ผมก็มักจะทุ่มเทเช่นกัน.
เพียงแต่ต่างกันตรงความรู้สึกที่สะท้อนกลับ
เพราะถ้าผมเขียนอะไร แล้วคนอ่านไม่ยอมรับ...ผมเฉยๆ นะ
ไม่รู้สิ....เพราะผมเขียนในสิ่งที่ผมอยากจะบอกเท่านั้น
และผมก็คิดว่า คนที่อ่านเขาคงจะรับรู้ในสิ่งที่ผมเขียนบ้าง
ถึงแม้ว่าอาจจะมีใครที่อ่านแล้วไม่สนใจ ไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร
เพราะผมเขียนให้คนที่อ่านรู้เรื่องน่ะ
และไม่คิดว่า มันเป็นความล้มเหลว
สมัยที่ผมทำกิจกรรมนักศึกษา
ผมเคยคิดฝันว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้นแบบนี้
คนอื่นจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ พยายามที่จะทำให้ทุกๆ คน
พัฒนาตนเองไปสู่สิ่งที่เรียกว่า...ปัญญาชน
เพื่อว่าวันหนึ่งเมื่อผมและเขาจบการศึกษาออกไป
จะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีพัฒนาประเทศชาติ
หลายครั้งที่ผมต้องเสียน้ำตา ให้กับอะไรบางสิ่งที่ไร้ค่า
จึงจะรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของสิ่งที่ดำรงอยู่
เชื่อไหมล่ะครับ ต่อให้วันหนึ่งบีเขียนได้ดีอย่างไร
คนที่อ่านก็ใช่ว่าจะเข้าใจเหมือนกันไปทุกคน
คนที่จะเข้าใจสิ่งที่บีเขียนก็คือคนที่บีอยากบอกเขาต่างหาก
ในโลกนี้มีหนังสือดีๆ มากมาย
บางเล่มเขียนขึ้นจากเลือดเนื้อ จากชีวิตจริงๆ
บางเล่มเขียนมาจากประสบการณ์ทั้งชีวิตของคน
แต่หนังสือเหล่านั้นก็ตั้งอยู่ในร้านหนังสือเฉยๆ
เขียนในสิ่งที่เป็นความสุข และบีพอใจนะถูกแล้วครับ
เวลาผมทำ paper ส่งอาจารย์ตอนเรียน
ผมเองก็คิดว่า ตัวเองทำได้ดีแล้วนะ แต่คะแนนที่ได้กลับไม่ดีเท่าไร
บางครั้งผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันไร้ค่าเลยนะครับ
ตรงกันข้ามในยามที่ผมหยิบมันขึ้นมาอ่านทีไรผมกลับรู้สึกภูมิใจ
ที่มันมาจากหยาดเหงื่อและความยากลำบากของเรา
สมัยผมเรียน ป.โท...คนโดดเรียนกันมาก
ส่วนใหญ่ก็มักจะให้เพื่อนๆ ที่สนิทเซ็นชื่อแทนให้
ผมบอกกับเพื่อนว่า ถ้าผมไม่มาก็ไม่ต้องเซ็นชื่อแทนนะ
มีอยู่วิชาหนึ่ง ผมขาดเรียนบ่อย เพราะมีภารกิจต้องกระทำ
ทำให้ผมต้องทำ paper เพิ่มมากกว่าคนอื่นอีกหนึ่งเรื่อง
แน่นอนว่า ผมรู้สึกว่านี้คือผลตอบแทนของความซื่อสัตย์
แต่ก็ไม่ได้นึกเสียใจอะไรที่ไม่ให้เพื่อนเซ็นชื่อแทน
เพราะอะไรรู้ไหมครับ....เพราะผมเคยฟัง ส.ศิวรักษ์
พูดไว้ในการอภิปรายครั้งหนึ่ง ตอนนั้นมีคนเขียนคำถามขึ้นไปถามว่า
หากคิดจะเป็นคนดี จะเป็นได้อย่างไร
เขาตอบว่า..ต้องกล้าที่จะมีชีวิตที่ไม่มั่นคง
.
คนดีมักจะเจ็บปวดอยู่เสมอครับ....
เอ....มันเกี่ยวกับเรื่องงานเขียนที่บีพูดถึงหรือเปล่าเอ่ย
น่าจะเกี่ยวบ้างนะ นิดๆ ทางอ้อมน่ะ...555555555
วันนี้ผมบ่นมากไปไหมครับ อย่าเพิ่งหลับนะ
ช่วยไม่ได้นี่นา อยากหลวมตัวให้ผมรู้ e-mail เองนี่นา
555555 สำนวนคุ้นๆ ไหมครับ 55555555555
มันก็เหมือนกับเรื่องขายเต้าฮวยนั่นแหล่ะ
อาจจะมองจากมุมใด มันก็ให้ความหมายที่มุมนั้น
ไม่มีผิดไม่มีถูก มีแต่ความเหมาะสมว่าอะไรเหมาะสมกับเรา
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญและต้องมีเหมือนกันก็คือ
เราต้องมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ
จริงสิ....น้องบีปวดหัวมากพอหรือยังครับ
REF ที่พี่ บ่นเกี่ยวกับคุณธรรมให้ฟังน่ะ...แหะ ๆบีปวดหัวแฮะ
ในโลกแห่งความเป็นจริง น่ะ จะมีสักกี่ คนที่ดีแท้...เป็นผู้เสียสละ ?
ทุกคนมันก้อมีอัตตาด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ใคร จะมีน้อย-มากต่างกัน...
และใครจะซ่อนมันไว้ได้แนบเนียน
มีสิครับ...กี่คนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามีแน่ๆ ครับ
โลกสวยงามได้มิใช่เพราะคนดีจำนวนมาก
หากเพราะคนดีจำนวนน้อยต่างหากครับ
ตุ๊กตาล้มลุกน่ะ มันมีเยอะแล้วครับ
ผมเลยไม่ค่อยอยากจะเป็นเท่าไร
บางครั้งก็เลยอยากได้เลือดจากการหกคะเมนตีลังกาบ้าง
แม้รู้ดีว่าอาจจะไม่ได้กลับมา ณ จุดเดิม
แต่ก็รู้ว่าจุดยืนใหม่นั้น ไม่คับแคบลงกว่าเก่าแน่นอนครับ....
ผมชื่นชมคนต่างกันไปหลายระดับนะครับ ยกตัวอย่างเช่น
อานันท์ ปัณยารชุน / นพ.ประเวศ วสี / เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ใครนะบิ๊กของน้ำมันบางจากที่เพิ่งลาออกไป /อุทัย พิมพ์ใจชน
อ้อ...ในอดีต...ก็ท่านปรีดี พนมยงศ์ / ป๋วย อึ้งพากร (เขียนไม่ถูก)
จิตร ภูมิศักดิ์...
อิอิ....แค่นี้ดีกว่า ขี้เกียจคิดแล้วอ่ะ
มันขึ้นอยู่กับจุดที่เรามองต่างหาก
ไม่ใช่ว่าต้องเลือกระหว่าง พ่อแม่ กะ ประชาชนและอุดมการณ์
เพราะมันไม่ใช่ด้านที่ตรงข้ามกัน
หากมันเป็นด้านที่สอดคล้องกันต่างหาก
ถ้าสังคมเลว ครอบครัวเราก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น
พ่อแม่เราก็ลำบาก เพียงแต่ผลกระทบอาจจะมาทางอ้อม
บางทีก็มองไม่เห็นว่ามันเป็นเพราะสังคม
เช่นเดียวกันถ้าสังคมดี พ่อแม่เราก็ดีด้วย
เราทำดีแก่พ่อแม่และสังคมไปพร้อมๆ กันได้
อดีตที่ผ่านมา มิใช่ว่าเขาโง่ หลงระเริง หรือเป็นเครื่องมือของใคร
คนที่ไม่อยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ย่อมไม่รู้หลอกว่า ทางเลือกนั้นมีอย่างไร
ตรงกันข้ามสิ่งที่มองเห็นแน่ๆ ก็คือ จิตใจที่เสียสละต่างหากครับ
มีใครสักกี่คนที่จะยอมลำบาก ยอมเสี่ยงชีวิต
ทำในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่ได้อะไร มิสู้เรียนจบๆ ไปหางานทำมิดีกว่า
น้ำที่ไหลนอง แม้เอาผ้าซับเพียงใด
คงต้องซับไปเรื่อยๆ
บางครั้งจึงต้องคิดที่จะปิดก๊อกน้ำ
แต่ถ้ามัวแต่คิดที่จะปิดก๊อกน้ำ
น้ำก็อาจไหลนองไปทั่ว
แล้วเราจะทำอย่างไร
คนหนึ่งอาจทำสิ่งหนึ่ง
อีกคนหนึ่งอาจจะทำสิ่งหนึ่ง
คนหนึ่งอาจดูเหมือนโง่เขลา
อีกคนหนึ่งที่เอาตัวรอด อาจดูเหมือนประสบความสำเร็จ
สังคมยกย่องคนเช่นไร
แนวโน้มที่คนในสังคมจะเป็นเช่นนั้น
หากเงินตราเป็นสิ่งสำคัญ
คนก็ต่างทำเพื่อเงินตรา
สรุปว่า....ไม่สิ้นสุด...อิอิ
พิมพ์จนเมื่อยมือแล้วอ่ะ
เอานิทานหลอกเด็กเรื่องที่สองไปอ่านล่ะกันนะ
แล้วพบกันใหม่
....
วันนี้ผมมีนิทานมาฝาก ถ้าหากอยากฟังอย่า..งงงวย
แต่ว่าจงยิ้มสวยสวย ด้วยเพราะเราเพื่อนกัน..ฉันและเธอ
เป็นเรื่อง "เธอคือชีวิต" ใครเขียนจำไม่ได้แล้ว…แย่จังเลยเรา
แต่ว่าคนแปลคือ วิทยากร เชียงกูร เจ้าของกวีวรรคทอง
ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว
แต่ว่าก็อย่าจริงจังมากไป
เรื่องราวอาจไม่เป็นไปตามหนังสือ
เพราะว่าความคันหรือมันมือ
ขอให้ถือว่าเป็นเรื่องราว...มาเล่าให้ฟัง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนแห่งหนึ่ง
ที่ซึ่งผู้คนเคยอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
ใครใคร่ค้าม้า…ค้า ใครใคร่ค้าช้าง…ค้า
ใครใคร่ค้าวัวค้าควาย…ค้า (แหะๆ..คุ้นๆ ไหม)
แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้กลับเปลี่ยนแปลงไป
ด้วยเพราะเกิดเหตุเภทภัยอันใดก็มิทราบ
เนื่องเพราะ…มันนานมาแล้ว
จึงขอจับยามสามตา
เหตุใดหนาแผ่นดินจึงทุกข์เข็ญ
ก่อนนั้นเอ๋ยเคยร่มเย็น
ไฉนเป็นเช่นนี้หนอขอเสี่ยงทาย
1 2 3 ยามราหูบดบัง
4 5 6 นรกกลับหลัง
7 8 9 ดวงดาวสับสน
ผลของการเสี่ยงทาย
เป็นเพราะว่าสงครามแน่แน่แท้
ทั้งเด็กเล็กคนแก่ต่างล้มหาย
ความสุขที่เคยรับกลับเสื่อมคลาย
ทุกข์กร่ำกรายเข้ามาแทนทั่วแผ่นดิน
ผู้คนทั้งหลาย ต่างต้องวิ่งหนีความตาย ที่กร่ำกรายเข้ามา
ไปอยู่ภายในหลุมหลบภัยที่แสนแออัดคับแคบ
ความหนาวเย็นปกคลุมไปทั่ว ไม่มีแสงไฟให้ความอบอุ่น
มีเพียงลมหายใจที่เป่าออกมาเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น
อาหารที่มีอยู่ก็น้อยนิด ไม่เพียงพอกับชีวิตที่มากมาย
ชะตากรรมของพวกเขาทั้งหลาย จะดำเนินไปอย่างไร
หลายวันผ่านไป รวดเร็วเหมือนฝัน
แต่มันนานแสนนาน ในความรู้สึกของผู้คนที่นั่น
ความหนาวเหน็บเย็นชาเข้าไปในกระดูก
ลำไส้เริ่มบิดร้าวทรมานเพราะความหิวโหย
มีเพียงขนมปังเก่าๆ ที่แบ่งกันคนละนิดเพื่อความอยู่รอด
ผู้คนล้วนสิ้นหวัง เสียงโอดครวญระงมไปทั่ว
ชีวิตบางชีวิตลาลับไปกลับความมืดมน
อยากเป็นอัศวินม้าขาว หรือซุปเปอร์แมนรูปหล่อ
ไปช่วยพวกเขาจัง แต่ว่า..มันก็แค่ความฝัน
คืนนี้มืดใช่มืดสนิท
ไฟดวงนิดยังมีแสง
ขอเพียงลมพัดแรง
เถ้ามอดแดงก็จะลาม
ทุ่งนี้รกใช่รกหมด
นั่นข้าวสดขึ้นแทรกหนาม
ขอเพียงฝนจากฟ้าคราม
ข้าวจะงามท่วมหญ้าคา (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล)
ขณะที่ผู้คนทั้งหลายพากันรู้สึกสิ้นหวัง
ยังมีสาวน้อยคนหนึ่งในท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น
ที่มองดูแล้ว เธอมิได้เป็นเช่นคนอื่นๆ
ใบหน้าเธอสวยหรือไม่ หาใช่สิ่งสำคัญ
สำคัญที่จิตใจของเธองดงามมาก อยากบอกว่า…..
เธอมิใช่ดอกไม้ในสายหมอก
แต่เธอคือไม้ดอกกลางดินกร้าว
เธอมิใช่แสงประดับในคืนคาว
แต่เธอคือแสงดาวแห่งศรัทธา (คมทวน คันธนู)
แม้เธอจะตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับผู้คนมากมาย
แต่เธอหาได้สิ้นหวังไปด้วยไม่
เธอกลับคอยช่วยเหลือผู้คน ทำโน่นนิด นี่หน่อย
แม้แต่อาหารในส่วนของเธอ เธอก็ยังแบ่งปันให้ผู้อื่น
รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ มีให้เห็นอยู่เสมอ
ราวกับว่าความทุกข์ทั้งมวล มิอาจทำให้เธอสะทกสะท้านได้
แต่เธอก็เป็นคน มีเลือดเนื้อ มีชีวิตเช่นคนอื่นๆ
วันหนึ่งเธอจึงล้มป่วยลง ร่างกายเธอทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว
เพราะอาหารนั้นแทบจะไม่เคยตกถึงท้องเธอมานานแล้ว
ด้วยเพราะเธอ เสียสละส่วนของเธอเพื่อนคนอื่น
แม้วันหนึ่งจะมีหน่วยบรรเทาสาธารณภัยมาถึง
(ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะ..อิอิ.)
มีอาหาร และสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดมาแจกจ่าย
แต่ร่างกายเธอไม่สามารถรับมันได้แล้ว
อาหารที่มีคนป้อน
ต้องไหลย้อนกลับออกมา
เพราะลำไส้มันเฉยชา
จนเกินกว่าจะทำงาน
เนื่องด้วยเพราะเรื่องนี้ มันนานมาแล้ว
จึงไม่รู้ว่าตอนจบเป็นอย่างไร ต้องขออภัยด้วยใจจริง
แต่คุณค่าของเรื่องนี้
มิได้อยู่ที่จะดำเนินไปทางไหน
หากอยู่ที่ความมีน้ำใจ
เอื้อเฟื้ออาทรให้ใครบ้างคนข้างเคียง
.
Thursday, July 8, 1999 2:40 PM
From: นู๋บี
To: อิกระโถนปากร้าย
ฝาก หมากพลู แล ปูนป้าย มาหั้ย ทั่นพี่ ^@^
หวัดดีพี่ชาย
อืม...ก่อนอื่น ต้องกราบขออภัยนะคะ
ที่ทำให้ พี่ชาย ต้องนั่งแทะ เม็ดก๋วยจี๊ รอ ระหว่างพักยก
โถ ๆๆ บีก้อลืมไปค่ะ ว่า พวกไม้ใกล้ฝั่งน่ะ
ฟันฟางมันไม่ค่อยดี แต่ไม่เป็นไร จั่วหัว บับนี้
บีส่งของฝากมาให้ด้วยแหล่ะ ของโปรดพี่ทั้งนั้นนี่คะ
จะได้ เอาไว้กินแทนเม็ดก๋วยจี๊ ...อิอิ
เฮ้อ ... คนดีที่มีจำนวน น้อย น่ะ
ถ้าเป็นยา ทางเภสัช ก้อถือ ว่า มันไม่ให้ผลทางการรักษาค่ะ
เพราะ dose มันน้อย เลย ต่อสู้กับโรคไม่ได้....
ดังนั้นสิ่งที่บีคำนึงถึง จึงเป็นยาที่รักษาโรคได้มากกว่า
ถึงจะมี side effect มั่ง แต่มันก้อรักษาโรคได้ นี่คะ
โลกจะสวยงาม ถ้าไม่มีคนขี้โรค ค่ะพี่
( นี่ ถ้า จารย์ ที่ คณะ ได้ยิน คงน้ำตาซึม แหง๋ ๆ อิอิ )
แหะ ๆๆ บีบ่น อีก แล้ว
ก้อ เพิ่งสอบ pharmacoฯ เสร็จ นี่หว่า
สมองเลยตีกัน มั่ว ไปหมด ข้อสอบมันยากบรรลัยเล๊ย
ดังนั้นบีอาจพูดจาเลอะเลือนนะคะ 5555
แต่ ใครคนนึงเคยเล่า เรื่อง อีตา เสกสรร ฯ ให้บีฟังนะ
เขา บอกว่า เรื่องบางเรื่องก้อเจ็บปวด เกินกว่าที่ใครบางคนจะพูดถึง
บีอยากถาม หมอนั่น นะ ว่า ถ้าซาดิสซ์ อยากได้เลือด นัก
เขา พร้อมหรือ เปล่า ที่ จะมีแผล
ในเมื่อ เขายังไม่แน่ใจเลย ว่า
หากเขาถูกกระชาก บาดแผลในอดีต อย่างนั้น.
เขาจะทำ อย่างไร...? …
บีเคยเห็นคนหลายคนเปลี่ยนจุดยืนนะคะ
แต่จุดยืนใหม่ ใช่จะกว้างขวางเหมือนที่หวังหรอก
ตุ๊กตาล้มลุก ไม่มีตีน ค่ะพี่
ถึงจะไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี
แต่มัน ก้อ ตื้บใครไม่เป็น ทำร้ายใครไม่ได้ อิอิ
อืม…สำหรับคนที่บีชื่นชม…?
ถ้าเป็นเรื่องสมอง ต้อง ไอสไตร์ อ่ะ
ถ้าเป็น ฝีมือ ชอบ ดาร์วินซี ไมเคิลแองเจลโล
คนไทย ก้อ ชอบ จักรพันธ์ โปยกฤต น่ะ
( เฉพาะ ด้านศิลปะ นะ แต่งานเฃียนไม่ไหว )
ถ้าเป็นเรื่อง ปาก บีชอบโน๊ต อุดม กะ อ.จตุพล
แต่ถ้าเป็น หน้า ตา บีคลั่งไคล้ เจ มณฑล อ่ะ 5555
เฮ้อ…ไม่แปลกเลยที่พี่อยู่กรุงเทพ
พี่เข้า อานันท์ แฟนคลับ ไหมเนี่ย
ถ้าเป็น เรื่อง ภาพ ลักษณ์ เมื่อก่อนบี เคย กรี๊ด พต.จำลองนะ
แต่ ตอนนี้ บีชอบฟัง เฮียสมัคร ด่า ชาวบ้านอ่ะ มันส์ ดี
ทักษิณ นี่ก้อ ภาพสวยดีค่ะ
บีชอบสโลแกนประจำตัวเค้าจัง
….ตาดูดาว เท้าติดดิน ….. 555
ส่วน อีตา อุทัยน่ะ ใช่คนที่เคยถูก ขว้างขี้ ใส่หน้า หรือ เปล่าคะ 5555
บีไม่ค่อย รู้เรื่อง อีตานี่ หรอก
แต่ บีเซ็งการเมืองว่ะ
เลย ไม่ค่อยศรัทธา พวก สส.
หรือพวกที่เกี่ยวข้องกะการเมืองเท่าไร
( ยกเว้น พี่ มาร์ค อันนี้ ถึงจะอ่อนอาวุโส แต่หน้าตาก้อ โอเค เหอ ๆๆ )
ส่วน ในอดีต บี ชอบ หลวงวิจิตร ฯ
ทั่นเขียนหลังสือเก่งมากเลย
อืม… สุนทรภู่ กะ ศรีปราชญ์ นี่ก้อชอบ
แม้ประวัติ ส่วน ตัวพี่แก จะไม่สวย นักก้อเหอะ
ตอนนี้ กำลังปลื้ม สรจักร ศิริบริรักษ์ น่ะ
พีรู้จักไหมคะ...?
โอย… บีชอบเขามากเลยพี่ เขียนหนังสือเก๊ง เก่ง
เคย อ่านเรื่องสั้น ศพข้างบ้าน กะอีก สารพัดศพ ของเขาน่ะ
ประทับใจม๊าก มาก ยิ่งรู้ว่าพี่แกเป็น เภสัช นะ
บียิ่งนิยมชมชอบใหญ่ …
รู้สึกเค้า จะเป็นลูกหม้อมติชนด้วยแหละ
สักวันเหอะ บี จะ วัดรอยตีน เอ๊ย เจริญรอยตามเค้า 555
แต่ถ้าเป็นคุณธรรม
บี ชอบ มหาตมะ คานธี นะ
ส่วนการบริหารประเทศนี่
บีชอบ ลี กวน ยิว อดีต นายก สิงค์โปร์ อ่ะ
ส่วน ผู้หญิง ถ้าชอบ ก้อคงชื่นชม
บูเชคเทียน จักพรรดิหญิง ของจีน มั้ง
ยัยนี่ ไม่ได้ดีเด่ อะไรหรอก
แต่บีทึ่งมารยาสาไถย ของแม่คุณอ่ะ
เพราะ นาน ๆ ทีจะได้เห็น
ผู้หญิงเป็นหญ่ายในแผ่นดิน... 555
อืม.. บี ชอบ มองคนเป็น ส่วน ๆ พี่
เพราะ คนทุกคน ไม่มีใคร ดีพร้อมไปหมด
มันอยู่ที่เรา จะ มองเห็นส่วนดีที่ซ่อนอยู่ของเขาได้ไหม ต่างหาก
ถ้า เรา มองเห็น เราก็ สามารถใช้ส่วนดี ๆ ตรงนั้นของเขา
ไปเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตได้
สรรพสิ่งในโลก ล้วนมีค่า ทั้งนั้นค่ะ พี่
เพียงแต่เราจะเห็นค่าของมัน
แล้วนำไปประยุกต์ ใช้ได้ไหม
ก้อ เท่า นั้น ...
ของที่ ขายไม่ออก
อาจจะดู ไม่งอกเงย และกลายเป็น...บางสิ่งที่ไร้ค่า...
ในสายตาของเด็กเศรษศาสตร์
แต่คนที่เรียนเภสัชฯ มา
ไม่เคยวัด ค่า สิ่งใด จากคำว่า กำไร หรือ ขาดทุนค่ะพี่
ขนาด เชื้อรา ที่อยู่ บนซากศพ
พวกเรายังเอามา ทำยาเพนนิซิลินได้เลย
เนี่ย บี ยังคิดนะคะ
ว่า เดี๋ยวอยู่ปี 5 บีจะเอาแห้ว ในไร่
มาทำ ซีเนียร์โปรเจค วัคซีน แก้โรคหัวใจ อ่ะ 555
อ้าว พี่ชอบป๋วย ฯ ด้วย เหยอ…
นึกแล้วไม่ผิด เด็กเศษสาดก้อ เงี้ย
แล้ว พี่ ชอบท่านในบทบาท ไหนล่ะ
นายเข้ม เย็นยิ่ง หรือ นายแบ้งค์ชาติ
ถ้าเป็น อย่างหลัง พี่ชื่นชม นายแบ้งค์ชาติคนปัจจุบันด้วยไหม
หม่อมเต่า น่ะ 555 บี ขำง่ะ ไอ้พวกเรียน เสดสาด
แล้วชื่อเล่น เป็น สัต ว์น้ำ เนี่ย
ปากมันจัดทุกคนเลยเน๊อะ โฮ่ ๆๆ
อืม... พี่ ชอบ คาราวาน แถมยังชื่นชม ปรีดีฯ อีก
อย่าบอกนะ ว่า ชอบหลอกเด็ก ที่ใส่ชุด เหลือง-แดงด้วย
ถ้าเป็นงั้นคงครบ ไตรลักษณ์เลยอ่ะ 555
เพราะ ไอ้ 3 สิ่งนี้ มัน เกี่ยวพันกัน ไงไม่รู้แฮะ
บีไม่ชัวร์ นะคะ ว่า ลูกสาวแม่โดม กะ สาวจุฬา
เด็กที่ไหนจะ น่าหลอกกว่ากัน
แต่ใน วิชั่นของบีน่ะ
หนุ่มพระเกี้ยว ย่อมน่าเอ็นดู กว่าของธรรมศาสตร์แหง๋ ๆ 555
เฮ้อ ระหว่าง พ่อ แม่ กับ อุดมการณ์ ถึงแม้จะเกี่ยวโยงกัน
ทว่า บางครั้ง เราก้อต้องเลือก ค่ะ พี่
และ เวลา ก้อเป็นปัจจัยสำคัญ ในการเลือก
ถ้าเราเลือกอุดมการณ์
พ่อแม่เราก้อ อาจจะร้องไห้ เร็ว กว่าที่ควรเป็น
แล้วพี่ คิดว่า เราควร จะเลือก อย่างไหน ล่ะคะ
แหะ ๆ บีเถียงพี่ อีกแล้ว
หมั่นใส้บี พอ ๆ กะ เจ๊ทม หรือยังคะเนี่ย
รู้สึก ว่า พี่ กะ บี จะ มองอะไรไม่เหมือนกันเลย
อย่างว่าแหละเน๊าะ
สองคนยลตามช่องฯ นี่คะ....
คนตาถั่ว ตาสั้น อย่างบี
คงไม่มีทางกลายเป็นคนตาแหลมคม
เห็นดวงดาวอยู่ พราวพรายได้หรอกพี่
เพียงแต่ ตาของบี มี rod cell กะ cone cell ครบจำนวนอ่ะ
เลยไม่ บอดสีเหมือนใคร บางคน อิอิ
ท้องฟ้าที่มีเมฆบัง
มักสร้างความหวังงามตระการ
แต่เมื่อเมฆน้อยคล้อยผ่าน
ฟ้าอาจมิใช่สีครามตามที่ฝันใฝ่
ธรรมชาติ บันดาลให้ ฟ้า คือ ฟ้า
ทว่า ฟ้า ไม่จำเป็น ต้องมีสีเดียว
ฟ้า อาจเป็น สีเขียว สีขาว หรือสีเทา
ทุกสิ่งขึ้นกับ เรา ว่าจะมองเช่นไร
ฟ้าจะดูสดใส เมื่อ เรายิ้มให้มัน
หากท่านร้องไห้ ฟ้าที่เห็นก็จะเป็น เช่นนั้น
ฟ้า ที่ฉันเห็น มิได้ราบเรียบเสมอไป
บางคราฟ้าอึมครึมเมื่อต้องมรสุม บางครั้งก็ไร้เมฆหมอก
ชีวิตก็เป็นเฉกนั้น ไม่มีอะไรหรอก ที่เรียบง่าย
จงหัวเราะกับวันเวลา ความสุข ความทุกข์ และน้ำตา
ถ้าคุณเป็นเช่นนั้น ปีศาจก็ทำอะไรคุณไม่ได้
555 เป็นไงพี่ บีบ่นอีกแล้ว สงสัยติดนิสัยพี่มามั้ง
เลยเริ่มจะบ่น เป็นคำคล้องจองแล้วอ่ะ แหะ ๆๆ
Saturday, July 10, 1999 5:08 AM
From: อิกระโถนปากร้าย
To: นู๋บี
ขอบคุณสำหรับของฝาก...เช๊อะ
สวัสดีครับ...น้องบี...
เดิมทีผมก็คิดว่า จะเก็บเมล์ไว้ตอบตอนที่ว่างๆ
จะได้มีเวลาและสมาธิเขียนมากหน่อย
แต่พอดีน้องบีบอกมาว่า ต้องเรียนหนัก จะหายไปสักพัก
ผมก็เลยตอบมาตอนนี้เลย แบบว่าไม่ต้องเขียนมาก
เพราะคนอ่านไม่ค่อยมีเวลาอ่านน่ะ....อิอิ
อืม...ขนาดหายไปนาน กลับมายังปากเหมือนเดิมเลยอ่ะ
เฮ้อ...คนเรานะคนเรา....
อืม...จะตอบยังไงดีล่ะ....ไม่เห็นถามอะไรมาเลยอ่ะ
มีแต่คำบ่น กับคำด่าว่า....
ขอผ่านไปเลยดีกว่า....ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง
กลัวเจ้าน้องสาวตัวดี จะแอบเอายาเบื่อมาให้อีกอ่ะ...อิอิ
ขึ้นเรื่องใหม่
เรื่องมองภาพรวมหรือมองเป็นส่วน
คงต้องแล้วแต่สถานการณ์มั้งครับ...
แต่ผมว่าการมองภาพรวมยังคงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้
ผมจำชื่อนักวิทยาศาสตร์ที่ทำให้ความคิดแบบแยกส่วนนี้แพร่หลายไปไม่ได้
แต่ทุกวันนี้ แนวคิดแบบแยกส่วนก็เริ่มถูกปฏิเสธไปแล้วนะครับ
เช่น การรักษา ไม่ใช่ว่าเป็นที่ตับก็จับผ่าตับอย่างเดียวเหมือนแต่ก่อน
หรือวิชาความรู้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่แยกส่วนกันไป
แนวความคิดแบบสหวิทยาการเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
อิอิ....ม่ายพูดแล้วดีกว่า...ยิ่งพูดก็ยิ่งง แบบว่าง่วงนอนด้วยอ่ะ
ตอนนี้เวลาตีสี่แล้ว...ถ้าอ่านเมล์แล้วรู้สึกแปลกๆ ก็แสดงว่า
ผมพิมพ์ไป หลับในไปนะ...อิอิ
เรื่องคนที่ชื่นชอบที่น้องบีจำแนกมา ก็คล้ายกันหลายอันอยู่จ้า
ใครบอกอ่ะว่า ของที่ขายไม่ออก อาจจะดู ไม่งอกเงย
และกลายเป็น...บางสิ่งที่ไร้ค่า..ในสายตาของเด็กเศรษศาสตร์
ม่ายจริงเลยครับ...
ของที่ไร้ค่าในสายตาของเด็กเศษ
คือของที่เป็นอัตถประโยชน์ส่วนเกินต่างหากครับ
เศษก็ไม่ได้ให้เห็นความสำคัญของกำไร ขาดทุนน่ะ (บริหารฯ ต่างหาก)
เศษพูดถึงเรื่องของการใช้ทรัพยาการอย่างประหยัด
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่างหากจ้า....
ดังนั้นเด็กเศษจึงมักจะไม่ค่อยได้ทำไร้แห้ว
ยกเว้นพวกไม่ตั้งใจเรียน ...ไม่ก็พวกที่ไม่รู้ซึ้งถึงเนื้อหาของเสดสาด
เพราะเมื่อเรารู้ว่าดีมานด์ของหัวใจเรามีแค่ไหน
ซัพพลายของฝ่ายตรงข้ามล่ะเป็นเช่นไร
เราก็จะสามารถวิเคราะห์หาดุลยภาพ
ณ จุดที่ดีมานด์กับซัพพลายตัดกันได้
อีกอย่างนักเสดสาดที่ดี ต้องรู้จักวิธีที่จะรักษาดุลยภาพนี้ไว้
บางครั้งก็อาจจะใช้นโยบายประกันราคา
บางทีก็ลดอัตราดอกเบี้ย เพิ่มการลงทุน...ฯลฯ
สรุปแล้วเด็กเสดน่ารักอ่ะ...55555555
เรื่องอาจารย์ป๋วย....ชอบภาพรวมเลยครับ
เพราะทุกบทบาทต่างหากจึงทำให้ผมชอบท่าน
อย่างท่านมหาจำลอง ความจริงผมก็ชอบท่านบ้างด้าน
แต่สรุปแล้ว ไม่ศรัทธา...55555555
ความจริงแล้วจะว่าผมมองภาพรวม
ไม่แยกพิจารณาก็ไม่ใช่ซะทีเดียวนะ
เพราะพอผมมาคิดดูอีกทีผมจึงรู้ว่า
สิ่งที่ผมมองคือ จิตใจต่างหาก
เรามองหลายๆ สิ่งที่เขาทำหรือการแสดง
จึงรับรู้ได้ว่าจิตใจเขาเป็นอย่างไร
.
Tuesday, March 28, 2000 4:32 AM
From: อิกระโถนปากร้าย
To: นู๋บี
ไม่หวัดดง หวัดดีแล้ว
ให้มันได้อย่างนี้สิ...น้องเรา
เดี๋ยวก็..............เอาไปปล่อยที่วัดซะเลย...เช๊อะ!!!
อืม...มีแค่คำพูดระรานทั้งนั้นเลย
แล้วแบบนี้จะให้พี่ตอบกลับไปอย่างไรล่ะ
เพราะตอบแล้ว มันก็ต้องสวนกลับน่ะสิ
เดี๋ยวก็หาว่าพี่อย่างนั้น อย่างนี้อีก
ถ้าเช่นนี้ พี่ขอข้ามคำพูดที่ระรานไปเลยล่ะกันนะครับ
บีนับถือพี่จริงๆ หรือนี่ น่ากลัวจังเลย
ไม่รู้ว่า..เพราะภาษา วาจาไหน
ที่ทำให้ เธอมองเห็น เป็นแบบนั้น
หากว่ามี สิ่งใด ที่ให้กัน
เกินข้าม ความผูกพัน ขออภัย
ไม่เคยคิด ทำให้ ใครหม่นหมอง
ทุกทำนอง ของถ้อยคำ จำเป็นไหม
ที่จะต้อง ขานรับ คืนกลับไป
ถ้าหากไม่ เข้าใจกัน มันน่ากลัว
>เฉกเช่นเดียวกับมิตรภาพ ....
>ดังนั้นเราไม่ควรคาดหวังอะไรกับมัน
>คำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา น่ะ
>เป็นเรื่องจิงซำเหมอแหละพี่ทิด ...
มิตรภาพที่เกิดขึ้น
บางทีความรู้สึกอาจจะคล้ายราวกับว่าเราคาดหวัง
แต่ความจริงหาใช่ความคาดหวังไม่
หากแต่มันคือความผูกพันต่างหาก
เพียงแต่ว่า คนแต่ละคน ต่างปฏิบัติต่อสิ่งที่เราผูกพันแตกต่างกันไป
ไม่รู้ว่าบีเคยอ่านวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง "เจ้าชายน้อย" ไหมครับ
ถ้ายังไม่เคยอ่าน ก็ลองหาอ่านดูสิครับ
ในเรื่องนั้น มีบทหนึ่งที่กล่าวถึงเรื่องนี้
โดยมีสุนัขจิ้งจอกที่จะสอนให้เจ้าชายน้อยได้เรียนรู้ว่า
สิ่งที่เราพานพบ อาจจะมีอยู่มากมาย
จนคล้ายกับว่า ที่ไหนๆ สิ่งไหนๆ ก็เหมือนกัน
แต่ความจริงแล้ว ในความเหมือนนั้นกลับแตกต่าง
สิ่งที่ทำให้แตกต่างก็คือความผูกพันนั่นเอง
>บีเคย ได้ยิน เขาพูดกันนะว่า
>เราสามารถทำนายนิสัยคนได้จากหนังสือที่เค้าชอบอ่าน
>ดังนั้น เวลาบี ได้คุยกับเพื่อน ทางเนต
>คำถามแรกที่ บีใช้เสมอ จึงมักเป็น
>คุณชอบอ่านหนังสือ ของใคร ?
>แต่มันก้อ วิเคราะห์ อะไรได้ ไม่ 100 % หรอก
ไหนลองทายนิสัยพี่มาให้ฟังหน่อยสิ
แล้วพี่จะบอกให้ว่าบีทายถูกหรือไม่ถูก
>อย่างบางคนเนี่ย ทำเป็น ไฮโซ อ่านพวก โนเบล กับซืไรท์
>ไม่ก้อ เสกสรร อะไรนั่น มันยังทั้งขี้หลี>ทั้งหัวงูเลยพี่ 5555
บ่นถึงใครกันน่ะ...ว่างมากหรือไงฮะ...ฮ่าฮ่า
อืม...ว่าเข้าไปนั่น
ความจริงหนังสือหลายเล่มที่พี่อ่าน
พี่อ่านก่อนที่หนังสือเล่มนั้นจะได้รางวัลอีกนะ
อาจจะมีบ้างในช่วงหลังๆ ที่พี่ไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ
เพื่อนๆ ก็จะบอกมาว่า ตอนนี้หนังสือเล่มนี้ดี อย่างนั้น อย่างนี้
แล้วพี่ก็ไปซื้อมาอ่าน
แต่ถึงจะซื้อหนังสือที่ได้รางวัลมาอ่าน ก็ไม่เห็นแปลกนี่ครับ
อย่างน้อยมันก็บอกว่ามีคนชอบอยู่ระดับหนึ่ง
คนอ่านหนังสือ อ่านเพื่ออะไร
บีก็คงจะรู้อยู่แล้ว พี่คงไม่ต้องสาธยายให้มากความ
ถึงแม้ใครจะอ่านหนังสือเพื่อเอาไปคุยกับคนอื่น
พี่ก็เห็นว่าไม่ใช่สิ่งเสียหายอะไร กลับเป็นสิ่งที่ดีอีกด้วย
เพราะการสนทนาจะทำให้เรารับรู้ถึงมุมมองของคนอ่านที่แตกต่างกันไป
ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เราจดจำเรื่องที่อ่านได้ดีกว่าอ่านคนเดียวแล้วทิ้งไป
หลายครั้งที่พี่พบว่า คนเรามักจะเริ่มต้นจากเป้าหมายหนึ่ง
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราเข้าไปสัมผัสมัน เป้าหมายก็อาจจะเปลี่ยนไปได้
พี่เคยจีบผู้หญิงที่คิดว่าจะเลือกมาเป็นคู่ชีวิต
แต่พอจีบได้แล้ว คบหากันไปสักระยะหนึ่ง
ความตั้งใจเดิมที่มีก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง
พี่ก้าวเข้ามาทำกิจกรรมนักศึกษา เพียงเพื่อว่า ต้องการจะไปเที่ยวราคาถูก
คิดดูสิ อยู่กรุงเทพฯ ได้ไปออกค่ายอาสาฯ ที่จังหวัดเชียงราย
ไปอาศัยอยู่กับชาวเขาเผ่าลีซอ ตั้งหนึ่งเดือน
แต่เสียค่าใช้จ่ายแค่ 180 บาท ใครบ้างไม่อยากไป
แต่พอก้าวเข้ามาแล้ว พี่ก็ได้รับอะไรที่มากกว่าเดิมที่คิดไว้
อาจจะเรียกได้ว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่หักเหชีวิตของพี่เลยทีเดียว
พี่ถึงมักจะพูดอยู่เสมอว่า
มิตรภาพ เริ่มต้น...ที่ตรงไหน
ไม่สำคัญ เท่าไร...อย่าไปสน
สิ่งสำคัญ...อยู่ที่ใจ ในตัวตน
จะรับรู้...ค่าแห่งคน ค่าแห่งคำ
พี่ไม่ค่อยได้เข้าห้องสมุดที่***เลย
จำได้ว่าเคยเข้าไปยืมหนังสือแค่ครั้งเดียว
ตอนนี้พี่ลงวิชา เศรษฐศาสตร์มหาภาค 3
แต่มหาวิทยาลัยไม่มีหนังสือจำหน่าย
พี่ก็เลยจำใจต้องเข้าไปยืมหนังสือในห้องสมุดมาอ่าน
ถ้าจะถามว่าพี่รู้สึกอย่างไร
คำตอบน่าจะเป็นว่า...คนเยอะ ดูวุ่นวาย
ไม่ค่อยมีมุมสงบ หรือที่นั่งอ่านหนังสือ..ว่างเลย
พี่มาเข้าห้องสมุดบ่อยขึ้น ตอนเรียนที่***
ที่นี่ ทุกอย่างดูดี มีคอมฯ ให้ค้นหาหนังสือที่ต้องการ
มันจึงสะดวกมากประกอบกับโต๊ะที่จัดเอาไว้ให้นั่งอ่านหนังสือ
ก็จัดไว้เป็นมุมๆ ที่สงบมาก พี่ยังเคยเข้าไปนั่งหลับมาแล้วเลย..อิอิ
แต่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ หนังสือค่อนข้างน้อย และเก่ามาก
ชีวิตพี่ พี่ผ่านประสบการณ์มาพอสมควร
คลุกคลีกับคนมาก็มาก โดยเพราะสาวๆ
คิดดูสิ...พี่ชายของน้องบีคนนี้น่ะ
ตอนสมัยทำกิจกรรม ไม่เพียงแต่เรียนเก่ง มีความคิด มีเหตุมีผล
ขยันขันแข็งเท่านั้น
ยังเป็นผู้นำในการทำกิจกรรมทั้งหลายแหล่ แม้แต่นำเล่นเกมส์
ดังนั้นพี่จึงเป็นที่ชื่นชอบของรุ่นน้องสาวๆ พอสมควร
แต่พี่ก็รู้ดีว่า จะวางตัวและทำตัวอย่างไร ไม่เคยใช้ความได้เปรียบนี้
เจตนาทำร้าย หรือรังแกผู้หญิงคนไหนเลย
พูดแล้วน้องบีก็จะหาว่าพี่โม้.....ก็โม้จริงๆ นั่นแหล่ะ 55555555555555
พี่เคยบอกบีไปแล้วหรือเปล่านะว่า
คนเราทุกคนรู้อยู่แล้วล่ะว่า สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี
ไม่เชื่อลองไปถามคนสูบบุหรี่ดูสิว่า เข้ารู้ไหมว่า สูบบุหรี่ไม่ดี
ดังนั้นจึงป่วยการที่จะพูดถึงเรื่องของการสร้างจิตสำนึก
คนเราจะแตกต่างกันก็อยู่ตรงที่การเรียนรู้
และการแต่งจิตของตนเอง
สมัยที่พี่ทำกิจกรรม มีรุ่นพี่หลายคนเลย
ที่พูดถึงสังคมที่ดีงาม พูดถึงความเสียสละเพื่อประชาชน
แต่คนพวกนี้ เวลาไปออกค่าย ฟืนก็ไม่หา
เตาก็ไม่ลุกขึ้นมาติด แถมยังนอนตื่นสาย
ปล่อยให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายหุหา ทำกับข้าว
แต่บีเชื่อไหมล่ะว่าพี่ไม่เป็นแบบนั้น พี่ย้ำและพูดอยู่เสมอว่า
ถ้าเป้าหมายเราดีงาม วิธีที่ไปสู่เป้าหมายของเราต้องดีงามด้วย
ถ้าเราพูดถึงสังคมที่ดี พูดถึงความเสียสละ
เราต้องใช้ชีวิตของเราตามนั้นด้วย
ดังนั้นน้องๆ ที่ไปออกค่าย และได้อยู่บ้านเดียวกับพี่
เขาจะรักและศรัทธาพี่มาก ถึงทุกวันนี้ความศรัทธานี้ก็ยังคงอยู่
เวลาผ่านมานับสิบๆ ปี แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
อืม...วันนี้พี่โม้มากจังเลย 555555555555555
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าต้องการจะมาเล่าความดีของพี่ให้บีฟังหรอกนะ
แต่ทั้งหมดเพียงเพื่อจะให้บีเห็นภาพ จะได้เข้าใจว่า
ที่พี่บอกว่า รักมาก็อกหักไปนั้น
ไม่ได้มีเจตนา หรือความคิดอื่นใดแฝงอยู่เลย
นอกจากแซวเล่นสนุกๆ เท่านั้นจริงๆ
เพราะถ้าบีจะรักพี่จริงๆ พี่ก็คงไปห้ามอะไรไม่ได้หรอก หุหุหุ 555555555555
(ล้อเล่นอีกเช่นกันย่ะ ไม่ต้องทำหน้าเง้างอนขนาดนั้นหรอก แหวะๆ )
.
Friday, April 14, 2000 9:45 PM
From: นู๋บี
To: อิกระโถนปากร้าย
Rx : pet degree 500 g stat & hs.
กราบสวัสดีแนบ อกเหี่ยว ๆ ค่ะ ท่านพี่
เรื่อง คำพูดคำจา ที่เรากัด เอ๊ย เมล์คุยกันน่ะ
บีเข้าใจเสมอแหล่ะค่า
ว่า พี่ชอบพูด หักมุม เล่นมุข กับน้อง
แต่สันดานบีมันก้อ งี้ แหล่ะ พี่
เรื่องอะไรจะยอมให้
กุ้ง เอ๊ย ไก่มาหยอกหมา ฝ่ายเดียวล่ะคะ ?
แบบว่า เวลาโดนโก๋แก่ แซวทีไร ใจมันสั่นว่ะ
เข้าใจ น่ะ เข้าใจ แต่จะทำเป็นวางเฉย
ให้คนแก่มันรังแกตลอดกาล ก้อ สงสารตัวเองอ่ะ
เลยต้องทำมะรู้มะชั้ตอบโต้ไปบ้าง ( พอหอมปากหอมคอ )
แต่บางที มันติดพัน ก้อเลยเกิดอาการกัดมะปล่อย
เรื่องมันก็เท่านั้น แหล่ะ
ไม่เคยมองเห็น ใครเป็นแบบนั้น แบบไหน
อย่างที่พี่บ่นซะทีนิ
แล้วพี่ก้อมะได้ทำอะไรผิดสักหน่อยนี่คะ
ดังนั้น มะต้องมา ขออภัย บีหรอกพี่ บีมะมีให้หรอก
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น ขอหัวใจ
นี่มีหั้ยซำเหมอนะคะพี่กุ้งขาาาา หุหุ
( ล้อเล่นย่ะ ล้อเล่น มะต้อทำท่าขนลุกขหางพองงั้นก้อได้แหวะ ๆ )
แต่พูดก้อ พูด เถอะนะ
บีชอบ อ่านและตอบเมล์พี่มากเลยแหล่ะ
( ถึงพี่จะปากม้า ไปหน่อยก้อเหอะ )
ไม่รู้ดิ บีรู้สึกเพลิดเพลินเสมอนะ เวลานั่ง อ่าน-ตอบเมล์พี่
มันเหมือนการเล่นเกมส์ชิงไหวชิงพริบทางภาษาอ่ะ สนุกดี
( นาน ๆ จะหาคนมาต่อปากต่อคำกับบีได้ แหะ ๆ )
มันทำให้ทักษะการด่า เอ๊ย ใช้ภาษา ของบี พัฒนาขึ้นมาก
พี่เขียนเมล์ตลกดี เวลาเครียด ๆ งี้
เอามานั่งอ่านแทนขายหัวเราะได้เลยนะเนี่ย ประหยัดดี อิอิ
แล้วตั้งแต่ เมล์คุยกับพี่เนี่ย
บีได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพี่
ทำให้การมองโลก มองชีวิต ของบีเปิดกว้างขึ้นแยะ
ที่สำคัญนะ การได้รู้จักกับพี่ ได้เมล์คุยกัน
มันทำให้ บีได้ พี่ชายร่วมโลกเพิ่ม ขึ้นด้วย
ถึงมันจะเป็นตาแก่ ปากกุ้ง ไปหน่อย
แต่ก้อพอทนแหล่ะ อย่างน้อย ก้อมะช่าย ปากเต่า อิอิ
ในเมื่อมีพี่ชายแสนดี ( แค้ก ..ๆ ) อย่างนี้
บีก้อต้องนับถือพี่หน่อยดิ จริงป่ะ นี่ถ้ามะเกรงใจ
บีคงจะเก็บรักษาตาแก่ปากกุ้งไว้ในพิพิธภัณฑ์ แล้วอ่ะหุหุ
อืม... เรื่อง เจ้าชายน้อย นี่
มะแน่ใจ ว่าเคยอ่านหรือเปล่านะคะ
เห็นเพื่อนบางคนก้อพูดถึงเรื่องนี้ให้บีฟังเหมือนกัน
รู้สึกว่าบีเคยอ่าน หนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อย
อยู่เล่มนึงนะ
มะรู้ว่า จะใช่เล่มเดียวกับที่ พี่พูดถึงไหม นะ
ตอนที่อ่าน มันก้อนาน มาแล้ว ( ตอนป. 4 )
อ่านไปก้องง ไป ไม่รู้สึกประทับใจนักหรอก
จำได้ แต่ ตอนที่ เด็กชายในเรื่อง
วาดภาพงูเหลือมกลืนช้างทั้งตัว
แล้วผู้ใหญ่ มองว่า เป็นภาพหมวก
อืม...
คงจะไม่ใช่เรื่องเจ้าชายน้อยเล่มเดียวกับที่พี่อ่านหรอกมั้ง
แล้วพี่ ล่ะ เคยอ่าน ขุนช้างขุนแผน ไหม ?
อย่าลืมสิคะ ว่า
ความผูกพันธ์อันบริสุทธิ์ใจที่นางวันทองมีให้ขุนช้างน่ะ
ทำร้ายผู้หญิงผู้น่าสงสารคนนั้นมาแล้ว
แถมตายอย่างมีมลทินด้วย
เฮ้อ... คิดแล้วมันน่าแค้นใจแทนนางวันทองนะพี่
ถ้าเป็นบีนะเร๊อะ ถ้าตัดสินใจมะถูก
ว่าจะเลือกใครอย่างนั้นนะ
บีคงวางยาเบื่อ ให้มันกินทั้งสองตัวเลยว่ะ
ทั้ง ไอ้ช้าง ไอ้แผน นั่นแหล่ะ
จากนั้น ก้อหาผัวใหม่ แก้เซ็ง
แค่เนี้ย ก้อสิ้นเรื่องแล้ว อิอิ
ความจิงบีเห็นด้วยกับพี่ นะคะเรื่องความผูกพันธ์น่ะ
และ สิ่งหนึ่ง ที่ บีรับรู้เสมอ คือ
ไม่ว่า จะเป็น ความผูกพันธ์ การเกี่ยวพัน ความสัมพันธ์
หรือ ห่วงผูกคอ
แม้เหตุ ที่ทำเกิดจะต่างกัน
แต่ผล มันก้อเหมือนกันทั้งนั้นแหล่ะ พี่
มะงั้น ตอนที่ พระราหุล เกิด เจ้าชายสิทธัตถะ
จะพูดหรือคะว่า ราหุลฺ ชาต พันธน
แล้วสุดท้าย
เจ้าชายก้อต้องมาเสียเวลานั่งเลี้ยงลูกอยู่นานเลย
กว่าจะได้ไปแสวงหาทางดับทุกข์น่ะ
ถึงแม้บีจะมะมีปัญญา
ไปถึงนิพพานแบบพระพุทธเจ้า
แต่การมองโลกอย่างเข้าใจ เรียนรู้ ยอมรับ ปรับตัว
และ ไม่ยึดติด กับ ความผูกพันธ์จนเกินจำเป็น
มันก้อทำให้เราอยู่ในโลกได้อย่างสงบสุขนะ
แหะ ๆ ฟังดู มีหลักการดีนะ พี่ แต่ทำยาก ระยำเลยแหล่ะ
แหม... บ่นไปโน่น เลย แฮะ บีเนี่ย
แบ่บว่า ทำเท่ ค่ะ ทำเท่
เขียนเองยัง เง็ง เองเลย อิอิ
คิด ๆ แล้ว ก้อน่าขำนะพี่
ไอ้นิยายเจ็ดปี ที่บี คิดจะเขียน น่ะ
มันเป็นเรื่องที่เน้นเรื่องความผูกพันธ์ ของตัวละคร ล้วนๆ เลย
แต่คนเขียน กลับเริ่มถอยหลังเข้าวัดซะแล้วอ่ะ
มะรู้จะเขียนนิยายเรื่องนี้จะไปรอดไหมเนี่ย เฮ้อ...
***ไหนลองทายนิสัยพี่มาให้ฟังหน่อยสิ
แล้วพี่จะบอกให้ว่าบีทายถูกหรือไม่ถูก
แหม ๆ พูดลำบากจังแฮะ ขืนบอกไป
มะผิดศีล ก้อ ต้อง ผิดใจกัน แหง๋ม ๆ
งั้น มะพูดดีกว่า ขี้เกียจเห็นตาแก่มันงอน อิอิ
เฮ้อ....ขนาด นิสัย ตัวเอง บียังมะรู้เลยว่าเป็นไง
บีคงทายทัก นิสัย ใคร มะได้ หรอกพี่ แหะ ๆ
อืม... การเรียนรู้ และตัวแปรต่าง ๆ
ทำให้จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ คลาดเคลื่อนได้
เป้าหมายที่เปลี่ยนไปบางครั้งก้อ ทำให้
หลายชีวิตต้องเจ็บปวด
ถ้าเราไม่อยากเจ็บปวด กับ การ ทรยศหักหลัง
ทางออกที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงความผูกพันธ์
และต้องเรียนรู้ที่จะไม่ไว้ใจใคร นอกจากตัวเอง !
ผู้หญิงเหมือนดอกไม้
ในโลกนี้มีดอกไม้มากมายให้เราเด็ดดม
ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องมาจมปลัก
อยู่กับดอกไม้เพียงดอกเดียว ?
แหะ ๆ นี่ มะช่ายแนวคิดของบีหรอกนะ
แต่เป็นปรัชญาการดำเนินชีวิตของพระเอกนิยายน้ำเน่าที่บีเขียนอ่ะ
( มะรู้ชาตินี้ จะเขียนจบไหมเนี่ย อิอิ )
พี่คิดไง กับ ปรัชญา ของพระเอ๋งในนิยายบีคะ ?
อยากรู้อ่ะ เผื่อเข้าท่า บีจาได้ยื้ม ไปให้ นางเอ๋ง นิยายของบีพูดมั่ง อิอิ
อืม..... จิง ๆ แล้ว อยากจะบอกว่า... ขอบคุณ... ค่ะ
ที่ให้เกียรตินำเรื่องราวของพี่มาเล่าให้น้องฟังเป็นอุทาหรณ์
อย่างน้อยมันก้อทำให้
บีได้มุมมองอีกด้านหนึ่งจากเรื่องทำนองนี้
บีเองก้อเคยพบเห็นเรื่องทำนองนี้ มาบ้างเหมือนกัน
จากเพื่อนผู้หญิง ที่สนิทกันน่ะ
มุมมองที่บีได้รับรู้ตอนนั้น
มันเป็นมุมมองจากทางฝ่ายผู้หญิงที่ผิดหวัง
ต่อหน้าบีมันก้อตีหน้าระรื่น นะพี่
แต่ตอนหลัง บีเพิ่งมารู้ว่า
มันจริงจังกับเรื่องนี้มากจนเครียดลงกระเพาะ
กินอะไรก็อ้วกออกมาหมด
เฮ้อ....บีรู้แล้ว อึ้ง นะ แม้จะเข้าใจ
แต่เห็นคนใกล้ตัวเป็นงี้ แล้วมันแม่ง ๆ ว่ะ
นี่ถ้ามันรู้จักการปลูกแห้วที่ถูกวิธี อย่างบี
มันคงมะแย่อย่างงี้หร็อก แหะ ๆ
อืม... ปกติ บีมะช่าย พวกทำกิจกรรม หรอก
อย่างตอนรับน้อง หน้าที่หลักของบี ยังแค่ล้างช้อนกินข้าวเล๊ยพี่
บางครั้ง ก้อ อยากเข้าร่วมกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง กับเพื่อนๆ เหมือนกันนะ
เพราะการทำกิจกรรม มันเป็นการฝึกการเข้าสังคม
แล้วก้อทำให้เราเรียนรู้ การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น
ซึ่งเรื่องนี้ ในเภสัชตำรับ มะมีสอนหรอก
แต่บียังมีความรู้สึกว่า
ตัวเองยังมะพร้อมที่จะโดดเข้าไปร่วมในจุดนั้นน่ะ
สิ่งที่บีทำได้ ก้อเลย เป็นแค่ ล้างช้อนกินข้าว
นี่ยังดีนะพี่ เพื่อนบางคนน่ะ
มะช่วยล้างช้อนแล้วยังเจื๋อก แฮ่ป ข้าวห่อกลับหอด้วยอิอิ
สำหรับเรื่องที่พี่เล่าให้บีฟังเรื่อง
การเรียนรู้ และการแต่งจิตของตนเอง น่ะ
ในความรู้สึก บีน่ะ บีทำได้แค่อย่างแรก นะคะ
ส่วนอันหลัง มันยากไปหน่อย ทำมะค่อยได้
ดังนั้น สิ่งที่บี ย้ำ กับตัวเองเสมอ คือ
ถ้าเราเสียสละ และทำความ ดีมะได้ เราก้ออย่าพูดถึงมัน
ดังนั้นบีจึงมักจะบอกกับเพื่อน ๆ ทางเนตเสมอ
ว่า บีเป็นพวก ต่อมความดีชำรุด อิอิ
บางครั้ง ถ้าเราแต่งจิต ตัวเองให้งดงามไม่ได้
เราก้อควรเน้นไปที่การควบคุมพฤติกรรมที่แสดงออกมาค่ะ
บีคิดว่า งั้นนะ พี่
อืม... ถึงบีจะมะช่ายแฟนบาเยิร์นฯ
แต่บีก้อชอบปรัชญาชีวิตของชาวเยอรมันอยู่อย่างนึงนะ
จะไม่เอาเปรียบใคร และไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบ
ถึงมันจะฟังดูแล้งน้ำใจ ไปหน่อย
แต่บางครั้งในสังคมอย่างนี้มันก้อจำเป็นพี่
คนดีมักตกเป็นเหยื่อ ของสังคมเสมอนี่คะ
ถ้าเรามะอยากเป็นเหยื่อ เราก็ต้องเป็นผู้ล่า
เฮ้อ... พูดไป พวกอุดมคตินิยม อย่างพี่ คงมะเข้าใจหรอก
อืม... วันนี้บีก้อฝอยเหมือนกันแฮะ
สงสัยวิญญาณนางเอกเรื่อง รักของผู้ยากไร้มาเข้าสิงมั้งอิอิ
เฮ้อ...พี่คะบีมะรู้หรอกว่าข้อเท็จจริงเป็นไง
แล้วมะอยากรู้ด้วย แค่แปล journal
อย่างเดียวก้อปวดหัวจะตายอยู่แล้ว
บีอาจจะให้ความสำคัญ กับความผูกพันธ์
ในระดับที่ต่างจากพี่แต่บีคิด ว่า
บีเข้าใจเรื่องความผูกพันธ์พอสมควรเหมือนกัน
การมองทุกสิ่ง อย่างเข้าใจในความเป็นไป
ยอมรับความเปลื่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น
และพร้อมที่จะปรับปรุงทุกสิ่งให้ดียิ่งกว่าเดิม
เป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด ค่ะ
แหะ ๆบีก้อโม้ไปงั้นแหล่ะพี่
เผิ่อจะดูเป็นนางเอกกะเขามั่ง
ความจิงบีทำมะได้หรอก 55555
อ้อ อีกสักคำถามดีกว่า ไหน ๆ ก้อหลอกถามพี่แล้ว แหะ ๆ
พี่คะ เท่าที่พี่เล่นเนตมา พี่ พอจะทราบ เวบไซท์อื่น ๆ
ที่ มีการตั้งกระทู้ แบบโต๊ะห้องสมุดที่พันธ์ทิพย์ไหมคะ
นอกจาก แถว ๆ หนอนหนังสือในเวบไซท์ สนุก น่ะ
ถ้ารู้บอกบีมั่งจิ บีอยากรู้อ่ะ
เผื่อ วันหน้าวันหลังจะได้ไปเล่นแถวนั้นมั่ง
แบ่บว่า ชอบเล่นกระทู้อ่ะ แหะ ๆ
อืม... เมื่อยมือ แล้ว ไปดีกว่า
บ๊าย บาย ค่ะพี่ ^-^
ป.ล.
เมื่อวานนี้เป็นวันผู้สูงอายุ
บีขอรดน้ำดำหัว พี่ย้อนหลังนะคะ อิอิ