ขอขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณมานี ที่สำหรับผมคือความคิดของปราชญ์คนหนึ่งทีเดียว
มองในแง่ดี เพื่อเตือนกันไม่ให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา และทำให้มีคนอ่านกระทู้ได้เยอะ
แต่อยากให้คุณเปลียนทัศนคติ หรือมุมมองใหม่สักนิด เพื่อเป็นพลังในการสร้างบ้านของพวกเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นนะครับ
1. มุมมองเรื่อง "ชาติ" ซึ่งไม่ต้องไปตีความหมายว่าคืออะไร เพราะมันมีความหมายในตัวอยู่แล้ว ถ้าคุณมองว่าคืออะไรคุณก็จะยึดติดกับความหมายของคุณ แต่จริงๆ แล้วจะเห็นว่าเมื่อถามคนอื่น ความหมายก็กว้างขวางออกไป
2. มุมมองเรื่อง "รัก" มันก็มีความหมายของมันตามธรรมชาติ มันไม่ต้องแปลอีก แต่ถ้ายึดติดความหมายอาจจะต่างกับคนอื่นได้ เช่น "รัก" ของคุณอาจจะหมายถึง "คลั่ง" ของคนอื่นได้
.
ก็เพราะ มุมมอง ของแต่ละคนมันแตกต่างกันไง
ถึงต้องมา คุยมานิยาม มาตีความ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน จะได้ถกกันได้รู้เรื่อง
และถ้าการสนทนากัน เป็น การทดลองทางวิทยาศาสตร์
การตีความมันก็เหมือนกับการ พยาม สร้าง ตัวแปรควบคุม ในการทดลองนะ
ผลการทดลองจะคลาดเคลื่อนน้อย ถ้าตัวแปรควบคุม ในการทดลอง เหมิอนกัน
3. มุมมองเรื่อง "ความยุติธรรม" ถ้าคุณเป็นคนบอกเสียเองแล้วเราจะมีคนตัดสินทำไม? แล้วคนอื่นจะเรียกหาความยุติธรรมที่ไหน? การตัดสินของศาลต้องเป็นไปตามข้อกฏหมาย, หลักฐานและเหตุผล ที่พิสูจน์กันได้อยู่แล้ว เพียงแต่มีจิตใจที่เป็นธรรมและไม่พยามเบี่ยงเบนเพื่อผลประโยชน์กันแล้ว เราจะพบว่าถ้ามีการยอมรับกันแล้ว การตัดสินทุกครั้งจะยุติธรรม
.
อิอิ มานี มองข้าม เรื่อง ความ ยุติธรรม ไปแล้วคร้าาาา
เด๋วนี้ มานี เน้นเรื่องการ "ยุติ
กรรม" มากกว่า
รู้ป่ะ ยุติกรรม กะ ยุติกรรม มันต่างกันยังไง
อ่ะ เอามาฝาก อิอิ
http://board.palungj...ด-?-360006.html4. ขอยกตัวอย่างที่คุณอ้างเรื่องคน 2 คนที่กำลังมองตัวเลข 6 หรือ 9 ทียืนอยู่คนละฝั่ง คำตัดสินนี้อาจจะมีได้สามทางคือ เลขหก เลขเก้า หรือทั้งหกและเก้า ซึงไม่ว่าจะตัดสินอย่างไรก็ยุติธรรม เช่น ตัดสินว่าหกแล้วคนที่มองเห็นเป็นเก้ายอมรับและเดินข้ามมามองดูตัวเลขที่คนมองดูเป็นหกยืนอยู่ ใช่ไหม๊ครับ?
.
ใครบอกอ่ะ ว่า ไอ้เรื่อง คน 2 คน มองตัวเลข 6/9 มันเกี่ยวข้องกับ ความยุติธรรม
แต่มันเกี่ยวข้องกับ เรื่อง "ความจริงสัมพัทธ์"
และ การ สร้างการยอมรับร่วมกันเพื่อ ลดความขัดแย้ง ตะหาก
และ สิ่งที่ช่วยลดความขัดแย้ง ในการตัดสิน สิ่งที่เป็น ความจริงสัมพัทธ์ (
relative truth)
ในเรื่องการมองตัวเลข ก็๋คือ การ กำหนด พิกัดที่ ยืนดูตะหาก
ถ้าคุณ ตั้งโจทย์ ที่รัดกุม เช่น
เมื่อยืนที่ พิกัด 50 ลิปดา 20 องศา เหนือ ฯลฯ หันหน้าเข้าหารูป
คุณจะเห็น รูปนี้ เป็น ตัวเลข อะไร
การตั้งโจทย์ ที่ รัดกุม ก็เหมือน การออกกฏหมาย นั่นแหล่ะ
ถ้ากฏหมายมันรัดกุม ปราศจาก ช่องโหว่ ไม่ว่าใครตัดสิน
ผลที่ออกมา ก็จะมีเพียง หนึ่งเดียว และ ทุก ๆ คน ก็จะยอมรับ การตัดสินนั้น
ส่วน ไอ้เรื่อง จะให้ ตัวบุคคลตัดสินอย่างเป้นธรรม โดย ปราศจาก อคติ เนี่ย
ถ้าจะ ให้มันได้งั้น จริง คงต้องไป อัญเชิญ พระอรหีนต์ มาพิพากษา คดีความ แล้วล่ะ
ศาล มันก็คน นะคุณ โอกาสเกิด อคติ บังตา
เพราะเห็นแก่พรรคพวก และ ผลประโยชน์ มันก็มีแหล่ะั
ฉะนั้น ต้องอุดรอยรั่ว ที่ ตัวบทกฏหมาย อย่าได้ไปคาดหวังกับตัวคน
human error มันแก้ ยากส์นะคุณ
5. มุมมองเรื่อง "ตัวกูของกู" เป็นคำสอนของท่านพุทธทาสที่มีอะไรมากมายในคำนี้ให้ผู้ที่อ่านได้พบความสุขในการดำเนินชีวิต ซึ่งความหมายทั้งหมดที่ท่านจะบอก คือ "ความว่างเปล่า" แล้วกลับไปมอง ข้อ (1) (2) (3) ใหม่ครับ
6. มุมมองเรื่อง "ศีล 5" เป็นกุศโลบายด้านคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะให้ประชาชนทั่วไปปฏิบัติได้จริงๆ เพื่อที่จะทำให้สังคมอยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งจริงๆ แล้วศีลมีหลายข้อที่นักบวชต้องปฏิบัติ แต่แค่ 5 ข้อนี้ก็ปฏิบัติยากแล้ว จึงมีความวุ่นวายกันถึงปัจจุบัน
7. มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า คำสอนทั้งหมดรวมทั้งข้อปฏิบัติและแนวทางการบรรลุต่างๆ แม้แต่แนวทางของท่านพุทธทาส ก็ไปอยู่แค่คำๆ เดียว เหนือกว่าความ "ความว่างเปล่า" เพราะความว่างเปล่ายังมีตัวตน นั่นก็คือ "ธรรมะ" และความหมายก็คือ "ธรรมชาติ" ผมก็งงถึงปัจจุบัน ลองค้นหาดูครับ แต่เมื่อประยุกติใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตแล้วก็ทำให้มีความสุขดีครับ ... ฤาเพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง...
หวังว่าจะได้พลังจากท่านนอกจากแค่เตือน เป็นการช่วยผลักดันให้เกิดการปฏิรูปให้ได้ นะครับ
เสียใจจร้าาา ถ้ามานี จะเป็น ปราชญ์
มานีก็ไม่คิดจะเป็น ปราชญ์กระจอก ๆ แบบ ขงเบ้ง หรอกนะ
มานีจเป็น ปราชญ์ แบบ สุมาเต้กโช
แบ่บว่า มานี ชอบนั่งบนภู ดู***ัดกัน
แต่ไม่ชอบ ลงไปคลุกวงใน เอง อ่ะ เอิ๊ก ๆ
มานีเห็นด้วยกับการ ปฏิรูป แต่ ไม่เห็นด้วย ที่จะให้ อภิสิทธิ แก่ กปปส. มายุ่ง
เพราะ ที่มาที่ไปของ กปปส. ไม่ชอบธรรม นั่นก็คือ
มวลมหาประชาชน ของเทือกไม่ใช่ คนส่วนใหญ่ของประเทศ
แล้วก็ไม่ต้องแบกเอา % บัตรเสีย และ โหวต โน มา ตู่อ้างด้วย
เพราะ เรื่องนี้ มานีก็ เคย ให้ข้อสังเกตไปแล้ว ว่ามันคลุมเครือ
ไม่สามรถอ้างได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
ฉะนั้น การยอมรับร่วมกัน มันจึงไม่เกิด
แต่ละฝ่าย ก็จะเอาให้ได้ตาม ความต้องการ ของตน
ไม่เคารพ ความต้องการ ของส่วนรวม
อ้อ แล้ว สำหรับ มานี บทสรุปของการ ปฏิบัติ นั้น
ไม่ใช่ คำว่า ธรรมชาติ หรอกนะ แต่เป็น คำว่า ตถตา ตะหากนะ
สักวัน หากคุณ ถ่องแท้ ใน หลัก อิทัปปัจจยตา และ วงปฏิจจฯ
คุณอาจจะเข้าใจ "อะไร ๆ" มากขึ้นนะ
และ เมื่อ คุณพบกับการ เปลี่ยนแปลงของโลกธรรม ตามธรรมชาติของมัน
คุณก็จะ ยอมรับกับ สภาวะต่าง ๆ ได้ ว่า ทุก ๆ สิ่ง มันก็เป็น เช่นนั้นเอง
ปอลิง
ว้า จะเที่ยง คืน แล้ว อ่ะ ยัง เคลียร์กระทู้
เพื่อ ตัดริบบิ้น ปิดประเด็น ไม่ได้เยยย
งั้น เอาที่ จิ้มดีด เสร็จก็แระกัน แล้วเด๋ว พรุ่งนี้ ค่อยมาโพสต่อ
เนี่ย มานี ตั้งใจไว้ว่า ถ้าตัดริบบิ้น ปิดกระทู้ได้เมื่อไร
มานีจา ป่วยการเมือง หาเรื่อง พักน้ำลายสักพัก
แล้ว ไป นั่งบนภูดูหมากัดกัน ที่ ห้อง ราชดำเนินคร้าาาา
เฮ้ออ ถึงแม้ จะติด สัจจะ งด พันติ๊ป 365 วัน ก็จริงอยู่
แต่ ไม่เห็นหน้าเจ้า เห็น หน้าต่าง บ้าน ก็ยังดีอ่ะ อิอิ
เนี่ย มัวมา แร่ด อยู่แถวนี้ จนไม่ได้เข้าไปอ่านกระทู้ของหนุ่ม ๆที่นั่น ตั้งหลายวันแระ
แหม๊ ? มานี ล่ะ คิดถึ้ง คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงงง อิอิ