เป็นภาพจากนาซ่าครับ คุณรุ้ง
1 เดือน หลังจาก “ศปภ.” ตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2554 (ให้นักการเมืองที่ไม่รู้แม้กระทั่งธรรมชาติของน้ำที่ต้องไหลจากที่สูงไปต่ำมาบริหารจัดการโดยเฉพาะ) เราก็ได้เห็นทุกจังหวัดที่อยู่ริมน้ำเจ้าพระยาล่มไม่เหลือ จนจ่อถึงด่านสุดท้ายของ กทม. ด้านตะวันตกที่บางบัวทองเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2554 จากนั้นก็ไล่ดะมาบางใหญ่ บางกรวย
ก็จะไปเอาอะไรกับหัวเรือใหญ่อย่าง พล.อ. ประชา พรหมนอก ถึงท้ายแถวที่ไม่มีความรู้อะไรมากไปกว่าการใช้อำนาจรวมศูนย์ "ข้อมูลเอกสารทุกอย่างต้องให้ผมเซนก่อนออกอากาศ" ภายในจึงขัดแย้งกันเอง ส่วนข้าราชการกรมชลฯกลายเป็นแพะรับบาป
นักวิชาการด้านบริหารจัดการน้ำถูกหุบปาก ไม่ฟังแม้กระทั่งยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาที่ต้องช่วยกันขบคิด เช่น ควรวางมาตรการอะไรที่จะให้
1. มวลน้ำท่าที่ไหลลงมาจากเขื่อนไปตามลำน้ำเจ้าพระยาและท่าจีนท่วมสองฝั่งน้อยที่สุด
2. มวลน้ำทุ่งที่ เชื่อว่ามีปริมาณมากกว่ากว่า 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร หรือเท่ากับความจุของเขื่อนภูมิพลกระจายอยู่ทั่วภาคกลางตอนเหนือซึ่งกำลังไหลลงมา ท่วมกรุงเทพมหานครทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกน้อยที่สุด
สัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน 2554 นักการเมืองใน ศปภ. เพิ่งเริ่มตระหนักว่ารัฐบาลพลาดอย่างแรง
ตั้งแต่ไม่ได้เปิดเขื่อนภูมิพลในเดือนสิงหาคมในขณะที่มีระดับน้ำอยู่ที่ 8,000 ล้านคิวบิกเมตร และในเดือนกันยายนที่ 9,000
แทนที่ ศปภ. จะผนึกและระดมสมองระหว่างข้าราชการกรมชลฯ กับนักวิชาการ โดยรัฐบาลและ กทม. รู้ข้อมูลเดียวกันและพร้อมกัน
กลับพบว่าเกิดความไม่ลงรอยระหว่าง ศปภ. กับ กทม.
กลายเป็นประเด็นที่ศปภ. พยายามหาทางลอยตัวหากน้ำท่วมกรุงเทพฯ
จึงไม่แปลกที่ กทม. จะถูกกันมิให้เข้าไม่ถึงปฏิบัติการของประตูระบายน้ำนอกเขต กทม.
แม้กทม. จะแจงเหตุผลว่าจำเป็นต้องร่วมรับรู้และตัดสินใจการเปิดปิดประตูน้ำเหล่านั้น
เพราะเป็นปฏิบัติการที่จะส่งผลโดยตรงต่อระดับน้ำในเขตชั้นใน กทม.