กระทู้นี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหลวงปู่พุทธอิสระท่าน เพราะวันนี้ผมนับถือท่านสุดหัวใจ
แต่มันเกี่ยวกับการกระทำของแก๊งสนธิ ที่ผมไม่เห็นด้วยกับการกระทำพักหลังนี้ที่พยายามดันหลวงปู่ขึ้นมาเป็น "แม่ทัพการเมือง"
นี่คือหนึ่งในตัวอย่างการกระทำเหล่านี้ครับ
http://www.manager.c...D=9570000035306
"หลวงปู่"เปิดโรงสี ขายข้าว ช่วยชาวนา ตบหน้ารัฐบาล-กำนัน
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การทำพิธีเปิดโรงสีข้าวชาวนา บริเวณหน้าทางเข้าศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ของหลวงปู่พุทธอิสระ เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือชาวนาที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการรับจำนำข้าวซึ่งถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับเงินจากรัฐบาลทั้งที่เวลาล่วงเลยมาหลายเดือนแล้ว ถือเป็นรูปธรรมก้าวแรกในการเริ่มต้นสภาชาวนาและเกษตรกรแห่งประเทศไทย ตามเจตนาของกระบวนการปฏิรูปการเมืองที่ต้องมีการปฏิรูปชาวนาให้ลืมตาอ้าปาก พึ่งพาตนเอง และขายผลผลิตจากชาวนาสู่ผู้บริโภคโดยตรง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง หรือรอหวังพึ่งรัฐบาลประทานความเมตตาอีกต่อไป
หลวงปู่ฯได้เบิกฤกษ์เปิดโรงสีสีข้าว 3 ชนิดคือ ข้าวกล้อง ข้าวหอมปทุม และข้าวสารนิล บรรจุถุงแล้วนำมาประมูลขาย ปรากฏว่า ข้าวสารนิลมีคนประมูลไปในราคา 60,000 บาท สำหรับข้าวกล้องและข้าวหอมปทุม มีผู้ประมูลไปถุงละ 19,000 บาท รวมเป็นเงิน 98,000 บาท โดยหลวงปู่ฯ จะนำเงินรายได้ทั้งหมดไปจัดซื้อเครื่องสีข้าวเพิ่มเติม จากที่มีอยู่แล้ว 2 เครื่อง สีข้าวได้วันละ 1.5 ตันต่อเครื่อง
การตั้งโรงสีชั่วคราวครั้งนี้นอกจากจะเป็นการแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ที่จะให้ชาวนานำเข้ามาสีเพื่อขายได้เรียนรู้กระบวนการผลิต กระบวนการแปรรูป และจำหน่ายผลผลิตสู่ผู้บริโภคโดยตรงตามแนวทางของสภาชาวนาฯ แล้ว ยังเป็นการวางแผนปรับการชุมนุมที่ยืดเยื้อ พร้อมกับจะนำโรงกลั่นน้ำมันมาติดตั้งและทำการผลิตในเวทีแจ้งวัฒนะอีกด้วย
นอกจากนั้น ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะเปิดพื้นที่เป็นตลาดการเกษตรเพื่อให้เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนต่างๆ ที่มาชุมนุมนำพืชผัก ผลผลิตทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยภูมิปัญญาชาวบ้าน มาเปิดร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวบ้านด้วยอีกทางหนึ่ง
หลวงปู่ฯ ได้ปลุกปลอบใจให้ชาวนาลุกขึ้นสู้เพื่อปลดแอกจากพันธนาการทั้งปวงที่กดขี่ โดยเริ่มต้นจากการรวมกลุ่มกันพึ่งพาตัวเองให้ได้ โดยหลวงปู่ฯ ได้อธิบายผ่านเฟสบุ๊ค เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2557 ว่า “โรงสีข้าว สภาชาวนาและเกษตรกรแห่งประเทศไทย มาแล้วจ้า”
"มาแล้ว มาแล้ว โครงการนำร่องให้ชาวไร่ชาวนาพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง เป็นโครงการต้นแบบที่พี่น้องชาวนาจะได้รวมตัวกันในแต่ละหมู่บ้าน แต่ละตำบล ที่จะนำเอาผลผลิตของตนมาขาย มาพัฒนา เพิ่มมูลค่า สร้างผลกำไรได้ด้วยตนเอง มิต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง นายทุนโรงสี ต่อไปนี้ชาวไร่ชาวนาต้องตื่นจากภวังค์ ที่ให้ความหวัง ความไว้วางใจ แก่นักการเมือง นายทุน พ่อค้าคนกลางและข้าราชการ
"พวกเราไว้วางใจคนพวกนี้มาเป็นร้อยปีแล้ว แต่เราก็มิเคยได้ร่ำรวย มั่งคั่ง เป็นสุขขึ้นเลย มีแต่โง่ จน เจ็บ แล้วก็ต้องเฝ้ารอ พณฯ ท่าน คุณท่าน ท่าน นาย ได้โปรดเมตตา ช่วยกรุณาสงเคราะห์ชาวไร่ชาวนาตาดำๆ โปรดโยนเศษเงิน เยียวยาชีวิตอันต่ำต้อย ไร้ศักดิ์ศรีของพวกเราด้วยเถิดนายจ๋า
"พอที ไม่เอาอีกแล้วต่อไปนี้ พวกเราจะยืนด้วยลำแข้งของพวกเราเอง เราจะปลูกเอง ผลิตเอง แปรรูปเอง พัฒนาผลผลิตเอง และจำหน่ายเอง เราจะไม่หวังพึ่งใครอีกแล้ว เราจะพึ่งตนเองให้ได้มากเท่ามาก โดยเริ่มต้นจากโครงการนำร่อง โรงสีสภาชาวนาและเกษตรกรแห่งประเทศไทย ตามด้วยตลาดสินค้าทางการเกษตร จากผู้ผลิตถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ผลกำไรจะได้ตกอยู่กับชาวไร่ชาวนา ไม่ต้องแบ่งปันให้พ่อค้าคนกลาง พวกเราจะได้ลืมตาอ้าปากได้เสียที ทำเดี๋ยวนี้ รวยเดี๋ยวนี้ ทำวันนี้หายจนทันที พวกเราจะได้ไม่มีที่ให้ใครๆ หลอกได้อีกต่อไป
"เชิญชวนพี่น้องชาวไร่ ชาวนา ใครมีข้าวมาขาย ก็มา มีผลหมากรากไม้ที่ขายได้ ก็มา มีกุ้ง หอย อีปู ปลา กะปิ น้ำปลา หอม กระเทียม พืชผลทางการเกษตรที่ขายได้ มีคุณภาพ ก็หอบมาขาย ขายได้ด้วยตนเองที่ตลาดกลางทางการเกษตรที่เวทีแจ้งวัฒนะ ทุกเสาร์ - อาทิตย์ เวลาบ่ายโมง ของวันเสาร์ และวันอาทิตย์ ที่ 29 - 30 มี.ค. 2557 มาช่วยกันอุดหนุน ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่ลำบากให้เขาได้มีรายได้ ซื้อขายด้วยตนเอง พวกเขาจะได้มีรายได้ยาไส้ใช้จ่าย ก่อนที่รัฐบาลจะจ่ายเงินจำนำข้าวให้แก่พวกเขา เขาจะได้ไม่เครียด มีเงินใช้จ่ายในครอบครัว ไม่ต้องคิดฆ่าตัวตาย
"ออกมาช่วยๆ เพื่อนมนุษย์ชาวไร่ชาวนา ให้พวกเขาได้ฝึกซื้อขายได้ด้วยตนเอง จะได้ไม่ต้องเป็นหนี้ มีเงินไปใช้หนี้ ช่วยให้เขามีรายได้ ออกมานะจ๊ะ ออกมาช่วยๆ กัน บ่ายวันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 29 - 30 มี.ค. 2557 นี้"
และโพสเฟสบุ๊คในวันก่อนหน้า "ข้าวจ้า ข้าว ข้าวร้อนๆ" เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2557 ที่เผยกลยุทธ์เทข้าวเปลือกขายให้กองสลาก โดยหวังจะขายข้าวสารในอนาคต ดังที่ว่า "ปลูกเอง สีเอง ขายเอง จากสองมือของชาวนา เพื่อปากท้องของครอบครัวชาวนา พึ่งพาภูมิปัญญาด้วยลำแข้งของตนเอง ไม่ต้องอาศัยโรงสี ไม่ต้องอาศัยพ่อค้าคนกลาง ไม่ต้องให้ใครมากำหนดราคา ไม่ต้องให้ใครมาเป็นเจ้าหน้าหนี้บุญคุณ ต่อไปนี้ชาวนา ชาวไร่ จะประกาศความเป็นไทย ไม่เอาอีกแล้วกับขบวนการประชานิยมสามานย์ ยิ่งคบยิ่งใกล้ ยิ่งโง่ ยิ่งจน ยิ่งเจ็บ ยิ่งทุกข์ และต้องตกเป็นทาส ของพวกแสวงหาอำนาจ
"ต่อไปนี้เวทีแจ้งวัฒนะ จะหาทางออกให้พี่น้องชาวนาและเกษตรกรไทย ให้มีทางออกและต้องเดินด้วยลำแข้งตนเอง ด้วยวิธีคิดที่ว่า อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน และชาวนาต้องมีตัวตนที่แข็งแรง ไม่ใช่ต้องอาศัยผู้อื่นตลอดเวลา
"การที่ฉันนำข้าวเปลือกไปขายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (กองสลากฯ) ก็ด้วยเพราะกองสลากฯ มีเงินที่ได้มาเปล่าๆ จากกระเป๋าของคนที่หาเช้ากินค่ำ แล้วกองสลากฯ ก็นำเงินส่วนหนึ่งไปบริจาคแจกจ่ายให้แก่มูลนิธิ องค์กรการกุศล และนักการเมืองที่ขอมา เงินก้อนนี้ กองสลากฯ ต้องโยนทิ้งน้ำอยู่แล้ว หากจะทิ้งก็ควรจะทิ้งอย่างมีประโยชน์ย้อนกลับมาสู่กองสลากฯ บ้าง
"วันนี้ชาวนากำลังเดือดร้อน ขายข้าวไม่ได้เงินจำนำตามโครงการของรัฐบาล รัฐบาลก็ไม่จ่ายเงินจนทำให้ชาวนาต้องฆ่าตัวตาย หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้แล้ว รัฐบาลก็ไม่คิดหาทางออกให้เป็นรูปธรรม ทั้งที่ถ้าคิดก็น่าจะมีวิธีหลากหลาย ฉันก็เลยต้องใช้มุกซ้อนมุก โดยการนำข้าวเปลือกไปขาย แต่เป้าหมายต้องการจะเจรจาขายข้าวสารถุง ที่ชาวนาผลิตเอง บรรจุใส่ถุงเอง และต้องการจะเป็นผู้ขายเอง ซึ่งก็จะทำให้ชาวนาได้เรียนรู้ทำความเข้าใจต่อขบวนการผลิต การตลาด รวมทั้งพึ่งพาอาศัยตนเองให้ได้ถึงที่สุด
"เมื่อเขาได้เงินมา เขาจะได้ภาคภูมิใจว่านี้คือเงินจากความรู้ความสามารถของเขา และคุ้มค่าเหนื่อยที่ลงแรงไป อีกทั้งกองสลากฯ ก็ยังได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ และมีเงินหมุนกลับคืนมาด้วยการขายข้าวสารที่ซื้อมาให้แก่พนักงานและหน่วยงานที่สังกัด ฉันจึงมั่นใจว่า หลักคิดของสภาชาวนาและเกษตรกรแห่งประเทศไทย ทำได้จริง เห็นผล จริง จับต้องได้
"ชั่วชีวิตฉันคิดอยู่เสมอว่า ขอสองขาเรายืนและเดินได้ สองมือทำได้ทุกเรื่อง หนึ่งตัวตั้งมั่นอย่างแข็งแรง หนึ่งหัวคิดออกได้ทุกเรื่อง หนึ่งใจมั่นคงมีชัยชนะแก่ตัวเอง ฉันเชื่อว่า ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ คิดไม่ออก นี่คือหลักคิดในการก่อร่างสร้างสภาชาวนาและเกษตรกรแห่งประเทศไทย ซึ่งฉันสู้เพื่อสิ่งนี้ สู้เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ยากเดือดร้อนของพี่น้องชาวนาและเกษตรกรไทย สู้เพื่อให้คนไทยได้ใช้พลังงานราคาถูก สู้เพื่อคนไทยทุกเพศทุกวัย ทุกศาสนา ได้มีมาตรฐานทางศีลธรรม คุณธรรม ให้เป็นที่ยอมรับได้ แล้วนำพาชาติบ้านเมืองให้พ้นภัย อยู่ร่วมกันได้อย่างสุขสงบ พบแสงสว่าง นี้คือความฝันอันสูงสุด”
(ตัดเนื้อข่าวออกครึ่งหนึ่ง เพราะมันยาวเวิ่นเว้อมาก และไม่เกี่ยวกับพาดหัวข่าวเลย)
นางวเรศว์ ห่างไกลพุ่ม อายุ 43 ปี อาชีพเกษตรทำนา คู่ชีวิตของนายสำราญ ห่างไกลพุ่ม อายุ 49 ปี สามีนางวเรศว์ ที่เกิดอาการเครียดจนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา เล่าว่า ครอบครัวของมีลูก 3 คน ที่บ้านทำนาจำนวน 45 ไร่และได้เกี่ยวข้าวไปแล้วเมื่อเดือนธ.ค. 2556 โดยมีลำดับใบประทวนเลขที่ 121 และได้รับเงินจากโครงการรับจำนำข้าวมาแล้วในใบประทวนใบแรกจำนวน 90,000 บาท ยังไม่ได้รับจากรัฐบาลอีก 5 แสนบาท ทำให้ต้องไปทำเรื่องขอกู้เงินที่ ธ.ก.ส. ทั้งรอบเก่าและรอบใหม่รวมเป็น 2 แสนบาท เพื่อนำมาลงทุนซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวและซื้อน้ำมันเพื่อหว่านข้าวนารอบใหม่ได้ประมาณ 20 กว่าไร่
"ทุกวันนี้ ฉันมีทั้งหนี้ในระบบของ ธ.ก.ส.ประมาณ 2 แสนบาท และหนี้นอกระบบอีกประมาณ 5 แสนบาท เสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และยังได้ไปกู้ยืมเงินส่วนอื่นมาอีกกว่าแสนบาทเพื่อมาต่อเติมบ้านที่อยู่ ส่วนการเสียชีวิตของสามีนั้น เข้าใจว่าน่าจะเกิดจากความเครียด” คู่ชีวิตนายสำราญ บอกเล่า
จะต้องมีชาวนาอีกกี่รายต้องมาตายสังเวยโครงการรับจำนำข้าวและประชานิยมระทมทุกข์ ถึงเวลาที่ชาวนาต้องตื่นจากภวังค์ ลุกขึ้นมาพึ่งพาตัวเองให้ได้ดังที่หลวงปู่พุทธอิสระทำให้เห็นเป็นรูปธรรมนำร่อง ซึ่งนอกจากจะเปรียบเสมือนกับตบหน้ารัฐบาลฉาดใหญ่แล้ว ยังส่งสัญญาณไปถึงกำนันเทพด้วยว่า อย่าเอาแต่เดิน และอย่าเอาแต่พูด จงลงมือปฏิบัติให้เห็น แล้วกำนันจะสะกดคำว่า ปฏิรูปประเทศไทยสำเร็จแล้ว ได้สักที