ประเด็นนี้น่าสนใจจึงขออนุญาตร่วมแสดงคคห. ด้วยนะครับ
(หากทำให้ใครขุ่นเคืองก็ขออภัยล่วงหน้าครับ)
เรื่องของการทำแท้ง ผมว่ามันเป็นปลายเหตุ+ผลผลิตจาก
ความล้มเหลวของระบบสังคมของเรา คือระบบสังคมเรา
แต่โบราณมาจะสอนลูกชายกับลูกสาวต่างกันในเรื่องเพศ
ลูกผู้ชายมักจะถูกสอนให้ไม่ต้องสำรวมเรื่องเพศนักเพราะ
ไม่คิดว่าผู้ชายจะสึกหรออะไร (อาจมีบางบ้านที่ดีหน่อย
จะสอนเรื่องการป้องกันโรคหรือคุมกำเนิด) ค่านิยมสังคม
จะออกแนว "ผู้ชายที่มีประสบการณ์เรื่องผู้หญิงโชกโชน
คือยอดชายที่น่ายกย่อง" สังเกตจากแต่โบราณมาไอดอล
หรือคาแรคเตอร์ยอดนิยมของผู้ชาย (หรือหญิงบางคน)
จะเป็นชายรูปหล่อ+เก่งและเจ้าชู้อย่าง ขุนแผน เจมส์บอนด์
หรือมาสมัยนี้ก็ดูจากวงการบันเทิงที่ชอบตั้งฉายาดาราชาย
ที่เจ้าชู้ในเชิงยกย่องว่า "คาสซาโว่า" (ไม่มีหรอกที่จะตั้ง
ฉายาน่ารังเกียจอย่าง "ไอ้มั่ว" "ไอ้สำส่อน" ให้)
ทัศนคติของลูกชายที่โตขึ้นมาส่วนใหญ่จึงเป็น "แนวรุก"
ในขณะที่ลูกผู้หญิงมักจะถูกสอนว่าต้องรักนวลสงวนตัว
ต้องเก็บพรมจรรย์ให้กับสามีในวันแต่ง ทัศนคติของ
ลูกสาวที่โตมาส่วนใหญ่จึงเป็น "แนวรับ" ใครที่พลาด
ไม่ว่าจะโดนผู้ชายฟันแล้วทิ้งหรือโดนข่มขืนจะถูก
สังคมประนาม+ลดคุณค่าราวกับก่ออาชญากรรม
ร้ายแรงซะเองในขณะที่ผู้ชายที่ทำแทบจะไม่ได้รับผลกระทบ
อะไรเลย ทำให้ผู้หญิงที่พลาด (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด)
มักจะพยายามหาทางปกปิดไม่ให้ใครรู้เพราะหากมีใครรู้
ผู้หญิงพวกนั้นอาจโดนข่มขืนจากสังคมและคนรอบข้างซ้ำสอง
การทำแท้งจึงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้เป็นสาเหตุหนึ่ง
ผู้หญิงวัยรุ่นที่ทำแท้งส่วนหนึ่ง (อาจเป็นส่วนใหญ่) ผมเชื่อว่า
เพราะเธอรับผิดชอบกับสถานการณ์+ความกดดันตอนนั้นไม่ไหว
เช่น ความกังวลว่าใคร (โดยเฉพาะที่บ้าน) จะรู้ กลัวโดนประนาม
ท้องก็จะใหญ่ขึ้นทุกวัน กลัวผู้ชายที่ร่วมกระทำจะไม่รัก
หรือผู้ชายที่ร่วมกระทำไม่รับผิดชอบ ฯลฯ ตอนอยู่ในสถานการณ์
ที่หนักประกอบกับไม่มีใครให้คำปรึกษาหรือช่วยแบ่งเบา
ความเครียดได้ ผู้หญิงเหล่านั้นก็อาจคิดสั้นไปลอบทำแท้งเอง
เพื่อยุติปัญหา
ในปัจจุบัน ถึงค่านิยมในสังคมจะเปลี่ยนไปเพราะรับวัฒนธรรม
ตะวันตกมาทำให้ทัศนคติในเรื่องเพศเปิดกว้างขึ้นแต่ลึกๆ
ผมว่าสังคมเราก็ยังเข้มงวดเร่ืองเพศกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่ดี
การทำแท้งเพราะความรักสนุกของหญิงเสเพลอาจมีมากขึ้นอันนั้น
ก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งช่วยไม่ได้ (คือหญิงกลุ่มนี้เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไร
และเขาก็ได้รับผลจากการกระทำของเขาซึ่งสาสมแล้วผมไม่เห็นใจ)
ที่ผมว่าน่าเป็นห่วงคือ "การลอบทำแท้งในหมู่เด็กหญิงที่ถูกล่อลวง"
มากกว่า เด็กหญิงบางส่วนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีแต่ขาดประสบการณ์
ในการรับมือกับเพศตรงข้าม ประกอบกับสื่อทุกวันนี้พยายาม
เสนอภาพที่ชวนให้เด็กเกิดอยากรู้อยากลองในเรื่องเพศจึงอาจทำให้
เด็กหญิงกลุ่มนี้อาจพลาดพลั้งได้ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เราจะทำอย่างไรให้การทำแท้งในกลุ่มเด็กหญิงเหล่านี้ลดลง
ตอบแบบกำปั้นทุบดินคงเป็น "ก็อย่าชิงสุกก่อนห่ามสิ" ซึ่งนั่น
ถ้าทำได้มันก็ดีแต่ในทางปฏิบัติมันจะเป็นไปได้เหรอในเมื่อสังคม
เราทุกวันนี้สื่อมีแต่ภาพยั่วยุกันทุกวัน ถ้าเด็กมีภูมิคุ้มกันจาก
ครอบครัวดีก็คงทำได้แต่คงไม่ใช่เด็กหญิงทุกคนที่โชคดีแบบนั้น
เรื่องการคุมกำเนิด ผมก็ว่าเป็นเรื่องยากเพราะรณรงค์กันมานานแล้ว
ก็ยังได้ผลเท่าเนี้ย อีกอย่าง..ค่านิยมของคนบางกลุ่มก็ชอบคิดว่า
ถ้า "ไม่สดก็ไม่สนุก" ไม่ก็ "ถ้าใช้ถุงยางคือไม่ไว้ใจกัน" (อันหลังนี่ทำให้
เอดส์แ-กกันมานักต่อนักแล้ว เหอๆ) ทำให้จะรณรงค์วัยรุ่นใช้ถุงยาง
คงยาก ประกอบกับหากชายไม่พกแล้วหญิงพกเอง คนก็จะมองหญิง
ที่พกถุงยางว่าหญิงไม่ดีอีกและหญิงที่พลาดมักจะพลาดโดยที่ตัวเอง
ไม่ทันตั้งตัวหรือไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นมาก่อนเลยไม่ได้เตรียมตัว
(ดูจากคนรอบตัว) ยาคุมก็ดูเหมือนเหมาะกับหญิงที่มีการเตรียมตัว
มาก่อนแล้วเพราะมีราคาสูงพอควรสำหรับเด็กทั่วไปผมคิดว่าไม่น่าจะฮิต
หากเราสามารถแก้ค่านิยม "ไม่สดก็ไม่สนุก" "ถ้าใช้ถุงยางคือไม่ไว้ใจกัน"
ได้การรณรงค์เรื่องการใช้ถุงยางคุมกำเนิดน่าจะได้ผลดีกว่านี้
ทางแก้ที่ถาวรในความคิดผม (ซึ่งในทางปฏิบัติคงยากมากกก)
คือการสอนเรื่องเพศให้ลูกชายลูกสาวเท่าเทียมกัน อย่าเพิ่งงง
ว่าจะให้สอนลูกสาวไม่ต้องสำรวมเรื่องเพศเหมือนลูกชายหรือไง
ความหมายของผมคือ เราสอนลูกสาวให้รักนวลสงวนตัว+
เก็บพรมจรรย์ไว้ถึงวันแต่งได้เราก็น่าจะสอนลูกชายให้รู้จัก
ให้เกียรติผู้หญิง ไม่ฉวยโอกาส ไม่เห็นผู้หญิงเป็นดอกไม้ริมทาง
ได้โอกาสเป็นเด็ดทิ้งเด็ดขว้าง และจะมีความสัมพันธ์ก็ต่อเมื่อ
รักจริงหวังแต่งเท่านั้นได้เช่นกัน มิเช่นนั้นรณรงค์งดมีเพศสัมพันธ์
ในวัยเรียนเท่าไรให้ตายก็ไม่สำเร็จหรอก ผู้หญิงจะรักนวลสงวนตัว
ก็รักไปแต่ผู้ชายจะจ้องฟันก็จ้องไปเมื่อไรจะได้ผลมันควรจะมี
ทัศนคติสำรวมเรื่องเพศกันทั้งคู่อย่าปล่อยให้ผู้หญิงรับภาระ
ในการระมัดระวังตัวเองฝ่ายเดียว หากเปลี่ยนแปลงค่านิยมสังคม
ไปในทางนี้ได้ผมว่าปัญหาทั้งเรื่องชิงสุกก่อนห่าม ท้องไม่รับ ทำแท้ง
ฯลฯ น่าจะลดลงได้โขอยู่ (แต่น่าจะยากมากๆ โลกแตกไปรอบก็คง
ยังทำไม่ได้)
และอีกปัญหาหลักเลยที่มีส่วนผลักดันให้ผู้หญิงตัดสินใจไปทำแท้ง
คือค่านิยมในสังคมที่ชอบซ้ำเติมหญิงที่พลาด หากสังคมเรามีที่ยืน
ให้ผู้หญิงที่พลาด เช่น ท้องก็ให้เรียนต่อได้ ไม่มีการทับถมหรือกดดัน
ไม่ผลักภาระและประนามให้ฝ่ายหญิงฝ่ายเดียว+จับฝ่ายชายที่กระทำ
ให้มาร่วมรับผิดชอบด้วย และถ้าสังคมเรามองคนที่ท้องเป็นแค่คนปกติคนหนึ่ง
ไม่ใช่มองเป็นอาชญากรที่ควรประนามผมคิคว่าน่าจะช่วยให้ผู้หญิงที่พลาด
ตัดสินใจทำแท้งลดลงและกล้าที่จะคลอด+เลี้ยงดูลูกที่เกิดจากความผิดพลาด
กันมากขึ้นครับ