Jump to content


Photo
- - - - -

ทำไมถึงมีคนสนับสนุนให้ทำแท้ง?


  • Please log in to reply
91 replies to this topic

#51 Huligan

Huligan

    ดาวพยศนภา

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,880 posts

Posted 8 May 2014 - 09:53

พวกที่อ้างสังคมโบราณเนี่ย...ถามหน่อยว่ามันเหมือนกันหรือ? สังคมเกษตรใช้ต้นทุนน้อย แต่แรงงานมีประโยชน์มาก ดังนั้นเด็ก 1 คนจึงถือเป็นกำไร การทำแท้งจึงไม่ค่อยเกิด

แต่ในสังคมอุตสาหกรรม การเลี้ยงดูเด็กคนนึงคือต้นทุนมหาศาล บริบทมันต่างกัน

ผมไม่ได้บอกว่าสังคมแบบไหนมันดีกว่า...และผมก็ไม่ใช่คนที่ทำให้สังคมมันเปลี่ยนไปด้วย แค่อธิบายว่ามันต่างกัน

 

มาดูเมืองไทยระบบบ้านเราไม่เหมือนระบบบ้านเขา ก็ทำเท่าที่ทำได้ก็คือการให้ความรู้ในเรื่องเพศศึกษา

ซึ่งเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะบ้านเราถ้าตั้งท้องขึ้นมาก็ต้องลาออกจากโรงเรียน

 

 

แปลว่าไอ้กติกาห่าเหวนี่สมควรคงอยู่ต่อไปงั้นหรือ? มันก็ขัดกับหน้าที่ของรัฐที่ต้องให้การศึกษากับพลเมืองอย่างทั่วถึงสิ

ผมไม่พูดถึงโรงเรียนเอกชนนะ เพราะนั่นเป็นสิทธิส่วนตัวของเขา แต่สถานศึกษาภาครัฐสมควรทำแบบนั้นหรืองัย(วะ?)

(แดรกภาษีจากพลเมืองถ้วนทั่ว แต่เศือกเลือกปฏิบัติ?)

แล้วคนท้องในวัยเรียน มันเดือดร้อนทางสังคมตรงไหน? ถ้าให้เขาเรียนต่อ มันจะทำให้คนอยากเย็สกันมากขึ้นหรือ?ผมว่าไม่!

เพราะมันเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความยุ่งยากที่ตามมาอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องไปซ้ำเติม

 

แล้วพวกที่บอกทางออกคือคุมกำเนิดน่ะ ผมไม่ปฏิเสธนะ...แต่ถ้าพลาดไปแล้วจะทำงัย >>ซ้ำให้หมดที่ยืนใช่มั้ย?

ตัดไฟแต่ต้นลม? ถ้ามันพลาดขึ้นมาจนเกิดไฟไหม้แล้ว ต้องปล่อยให้มันไหม้ต่อไปจนฉิบหายเลยใช่มั้ย?เพราะกุเตือนมิงแล้ว แต่มิงไม่ทำตามเอง?

อเมริกาให้ความรู้เรื่องคุมกำเนิด ใช่ครับผมรู้ >> แต่คำถามคือคนที่พลาดไปแล้ว เขาซ้ำให้หมดที่ยืนแบบสังคมไทยหรือเปล่า? 


Edited by Huligan, 8 May 2014 - 09:54.

ทฤษฎีของ เดล คาเนกี ใช้กับเหิ้ยหางแดงไม่ได้*สิ่งที่มองไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มองเห็นได้นั้นน่าเชื่อถือมากกว่า*

#52 Bookmarks

Bookmarks

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 33,617 posts

Posted 8 May 2014 - 09:55

ไอ่นี่ มันยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่มันเป็นใคร ถ้าแม่มันทำแท้งไปซะตอนนั้น เด็กอีกหลายคนที่เค้ามีพ่อแม่ดูแล คงไม่ต้องตายเพราะมัน

 

kb86hf8f5afkbfb6hdcb7.jpg



#53 Huligan

Huligan

    ดาวพยศนภา

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,880 posts

Posted 8 May 2014 - 09:57

แล้วใครว่าผมไม่เสนอทางแก้? ผมก็เสนอแล้วงัย ให้เด็กหรือพ่อแม่มีโอกาสเลือกได้ว่าจะเรียนต่อหรือไม่

ถ้าเขาต้องการเรียนต่อ ยังสู้ไหว ก็สมควรเป็นสิทธิของเขา

ในกรณีที่สังคมจะไม่เอาทำแท้ง แบบหัวเด็ดตีนขาด

 

เพิ่มเติม >> ผมไม่ได้'ถุย'ให้กับสมาชิกคนไหนในนี้ แต่ผมถุยใส่แนวคิดในระบบการศึกษาไทยต่ะหาก


Edited by Huligan, 8 May 2014 - 10:02.

ทฤษฎีของ เดล คาเนกี ใช้กับเหิ้ยหางแดงไม่ได้*สิ่งที่มองไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มองเห็นได้นั้นน่าเชื่อถือมากกว่า*

#54 ฺำBery

ฺำBery

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 131 posts

Posted 8 May 2014 - 10:33

พวกที่อ้างสังคมโบราณเนี่ย...ถามหน่อยว่ามันเหมือนกันหรือ? สังคมเกษตรใช้ต้นทุนน้อย แต่แรงงานมีประโยชน์มาก ดังนั้นเด็ก 1 คนจึงถือเป็นกำไร การทำแท้งจึงไม่ค่อยเกิด

แต่ในสังคมอุตสาหกรรม การเลี้ยงดูเด็กคนนึงคือต้นทุนมหาศาล บริบทมันต่างกัน

ผมไม่ได้บอกว่าสังคมแบบไหนมันดีกว่า...และผมก็ไม่ใช่คนที่ทำให้สังคมมันเปลี่ยนไปด้วย แค่อธิบายว่ามันต่างกัน

 

มาดูเมืองไทยระบบบ้านเราไม่เหมือนระบบบ้านเขา ก็ทำเท่าที่ทำได้ก็คือการให้ความรู้ในเรื่องเพศศึกษา

ซึ่งเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะบ้านเราถ้าตั้งท้องขึ้นมาก็ต้องลาออกจากโรงเรียน

 

 

แปลว่าไอ้กติกาห่าเหวนี่สมควรคงอยู่ต่อไปงั้นหรือ? มันก็ขัดกับหน้าที่ของรัฐที่ต้องให้การศึกษากับพลเมืองอย่างทั่วถึงสิ

ผมไม่พูดถึงโรงเรียนเอกชนนะ เพราะนั่นเป็นสิทธิส่วนตัวของเขา แต่สถานศึกษาภาครัฐสมควรทำแบบนั้นหรืองัย(วะ?)

(แดรกภาษีจากพลเมืองถ้วนทั่ว แต่เศือกเลือกปฏิบัติ?)

แล้วคนท้องในวัยเรียน มันเดือดร้อนทางสังคมตรงไหน? ถ้าให้เขาเรียนต่อ มันจะทำให้คนอยากเย็สกันมากขึ้นหรือ?ผมว่าไม่!

เพราะมันเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความยุ่งยากที่ตามมาอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องไปซ้ำเติม

 

แล้วพวกที่บอกทางออกคือคุมกำเนิดน่ะ ผมไม่ปฏิเสธนะ...แต่ถ้าพลาดไปแล้วจะทำงัย >>ซ้ำให้หมดที่ยืนใช่มั้ย?

ตัดไฟแต่ต้นลม? ถ้ามันพลาดขึ้นมาจนเกิดไฟไหม้แล้ว ต้องปล่อยให้มันไหม้ต่อไปจนฉิบหายเลยใช่มั้ย?เพราะกุเตือนมิงแล้ว แต่มิงไม่ทำตามเอง?

อเมริกาให้ความรู้เรื่องคุมกำเนิด ใช่ครับผมรู้ >> แต่คำถามคือคนที่พลาดไปแล้ว เขาซ้ำให้หมดที่ยืนแบบสังคมไทยหรือเปล่า? 

 

 

คุณจับประเด็นดิฉันผิดแล้วค่ะ ที่บอกว่าเมื่อ ๕๐ กว่าปีก่อน ปัญหาเรื่องการทำแท้งน้อยมาก 

เพราะว่ายุคนั้นเขามีรู้หน้าที่ของตัวเอง ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ … เด็กนักเรียนวัยรุ่นยุคนั้นเรียนอย่างเดียว

มีชอบพอพบปะกันบ้าง แต่ไม่ทำอะไรที่เกินเลยไป รอจนถึงเวลาแต่งงาน  :)

ในอเมริกามีบางวิทยาลัยก็รณรงค์ในเรื่องความบริสุทธิ์ รอถึงวันแต่งงานก็มี เขาจะใส่แหวนกัน จะถอดก็ต่อเมื่อแต่งงาน

ดาราอย่าง เซเลน่า โกเมส เธอก็ใส่แหวนรักษาความบริสุทธิ์ เพราะแม่เธอเป็นแม่วัยรุ่น มีเธอตั้งแต่ ๑๖ ปี

ก็เลยได้บทเรียนจากแม่ ไม่อยากลำบากเหมือนแม่ … เมืองไทยรู้สึกว่าทางวิทยาลัยคาธอลิคแห่งหนึ่งรณรงค์เรื่องนี้เหมือนกัน

 

คุณตัดประโยคออกมา ดิฉันบอกว่าเด็กมีทางเลือกเขามีสิทธิที่จะเรียนต่อ เรียนใน กศน.ก็ได้ โรงเรียนนอกระบบก็ได้

ประเภทโฮมสคูลก็ได้ …. http://www.welovesho...16&shopid=18535

 

ไ่ม่ได้บอกว่าให้ตัดการศึกษาของเด็กหน่อย ทางเลือกมีตั้งเยอะแยะ … ไม่ได้บอกว่าไม่ให้มีที่ยืนทางสังคมสักหน่อย

บางคนที่เขามีลูก ไปคลอดลูกเลี้ยงลูก กลับมาเรียนต่อ กศน. เรียนจบปริญญาก็หลายคน

 

คุณพูดเหมือนโกรธแค้นสังคม เหมือนลูกสาวของคุณตั้งท้องก็ไม่ปาน  :o

ไปถามคนที่เป็นครูดูซิคะ ประชุมกันดู แล้วถามนักเรียน รวมทั้งพวกที่มีปัญหาด้วยว่าเขาจะเอายังไง

มาคิดเองเออเองแทนเขาไม่ได้หรอก … ทางที่ดีให้คนที่มีปัญหามาพูดเองจะดีกว่า...

ว่าเขาต้องการอะไร ? ตัวของเขาเองก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องรัฐบาลบาลด้วย ว่าต้องการช่วยเหลือยังไง ?

… แต่ที่แน่ๆเมืองไทยยังไม่มีโรงเรียนพิเศษหลากหลายชนิดอย่างเยอรมันแน่นอน ที่มีโรงเรียนหลายชนิด

สำหรับเด็กแต่ละกลุ่ม … http://khtpschool.ni...-in-deutschland



#55 ฺำBery

ฺำBery

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 131 posts

Posted 8 May 2014 - 10:44

ใครจะท้องใครจะแท้งมันไม่สำคัญหรอก เพราะร่างกายและชีวิตของคนๆนั้น

เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกทำอย่างไรก็ได้  :mellow: ที่สำคัญคนบ้านเรายังขาดความรับผิดชอบต่างหาก

คนบ้านเราชอบเรียกร้องสิทธิโน่นนี่ แต่ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง

… ถ้าเปรียบเทียบฝรั่งแล้วเขารู้จักทั้งสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง มันสำคัญพอๆกัน



#56 kanokporn

kanokporn

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,330 posts

Posted 8 May 2014 - 10:56

ถ้าคุยเรื่องระบบการศึกษาเลยมันข้ามขั้นไป มันต้องให้ความสำคัญกับ วิธีคิด+วิธีสอนของแต่ละครอบครัวก่อนล่ะมั้ง

 

วิธีแก้ง่ายๆ ถ้ามีลูกสาว ก็อย่าให้ลูกสวยเร็วเกินไป ให้ดูเป็นเด็กกะโปโลไปอย่างนั้นก่อน พอเรียนจบค่อยหัดสวย หัดแต่ง แล้วก็พยามไปรับส่งลูกให้ได้ทุกสถานที่ อย่าทำงานจนลืมลูก พยามให้เรียนในโรงเรียนหญิงล้วนช่วงมัธยม (พาณิชย์กับอาชีวะ อย่าส่งเสริมให้เข้านักถ้าคุณหวงลูก ตอนเราเรียนศิลปากร อยู่ ปี 1 เพื่อนๆ ผู้หญิงที่มาจากสายอาชีวะ มีแฟนแล้วเกือบทุกคน  :o เด็กมันอยู่ในสังคมที่ โตเร็วมาก)

 

แต่ลูกชาย เราไม่ทราบว่าต้องสอนกันยังไง ไม่มีประสบการณ์ พี่ชายเราก็มุ่งเน้นแต่เรียนหนังสือ จนป่านนี้ยังไม่เคยทำใครท้องก่อนแต่งซักคน :D



#57 Alone

Alone

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,726 posts

Posted 8 May 2014 - 12:28

ประเด็นนี้น่าสนใจจึงขออนุญาตร่วมแสดงคคห. ด้วยนะครับ
(หากทำให้ใครขุ่นเคืองก็ขออภัยล่วงหน้าครับ)
 
 
เรื่องของการทำแท้ง ผมว่ามันเป็นปลายเหตุ+ผลผลิตจาก
ความล้มเหลวของระบบสังคมของเรา คือระบบสังคมเรา
แต่โบราณมาจะสอนลูกชายกับลูกสาวต่างกันในเรื่องเพศ
 
ลูกผู้ชายมักจะถูกสอนให้ไม่ต้องสำรวมเรื่องเพศนักเพราะ
ไม่คิดว่าผู้ชายจะสึกหรออะไร (อาจมีบางบ้านที่ดีหน่อย
จะสอนเรื่องการป้องกันโรคหรือคุมกำเนิด) ค่านิยมสังคม
จะออกแนว "ผู้ชายที่มีประสบการณ์เรื่องผู้หญิงโชกโชน
คือยอดชายที่น่ายกย่อง" สังเกตจากแต่โบราณมาไอดอล
หรือคาแรคเตอร์ยอดนิยมของผู้ชาย (หรือหญิงบางคน) 
จะเป็นชายรูปหล่อ+เก่งและเจ้าชู้อย่าง ขุนแผน เจมส์บอนด์
หรือมาสมัยนี้ก็ดูจากวงการบันเทิงที่ชอบตั้งฉายาดาราชาย
ที่เจ้าชู้ในเชิงยกย่องว่า "คาสซาโว่า" (ไม่มีหรอกที่จะตั้ง
ฉายาน่ารังเกียจอย่าง "ไอ้มั่ว" "ไอ้สำส่อน" ให้)
ทัศนคติของลูกชายที่โตขึ้นมาส่วนใหญ่จึงเป็น "แนวรุก"
 
ในขณะที่ลูกผู้หญิงมักจะถูกสอนว่าต้องรักนวลสงวนตัว
ต้องเก็บพรมจรรย์ให้กับสามีในวันแต่ง ทัศนคติของ
ลูกสาวที่โตมาส่วนใหญ่จึงเป็น "แนวรับ" ใครที่พลาด
ไม่ว่าจะโดนผู้ชายฟันแล้วทิ้งหรือโดนข่มขืนจะถูก
สังคมประนาม+ลดคุณค่าราวกับก่ออาชญากรรม
ร้ายแรงซะเองในขณะที่ผู้ชายที่ทำแทบจะไม่ได้รับผลกระทบ
อะไรเลย ทำให้ผู้หญิงที่พลาด (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด) 
มักจะพยายามหาทางปกปิดไม่ให้ใครรู้เพราะหากมีใครรู้
ผู้หญิงพวกนั้นอาจโดนข่มขืนจากสังคมและคนรอบข้างซ้ำสอง
 
การทำแท้งจึงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้เป็นสาเหตุหนึ่ง
ผู้หญิงวัยรุ่นที่ทำแท้งส่วนหนึ่ง (อาจเป็นส่วนใหญ่) ผมเชื่อว่า
เพราะเธอรับผิดชอบกับสถานการณ์+ความกดดันตอนนั้นไม่ไหว
เช่น ความกังวลว่าใคร (โดยเฉพาะที่บ้าน) จะรู้ กลัวโดนประนาม
ท้องก็จะใหญ่ขึ้นทุกวัน กลัวผู้ชายที่ร่วมกระทำจะไม่รัก
หรือผู้ชายที่ร่วมกระทำไม่รับผิดชอบ ฯลฯ ตอนอยู่ในสถานการณ์
ที่หนักประกอบกับไม่มีใครให้คำปรึกษาหรือช่วยแบ่งเบา
ความเครียดได้ ผู้หญิงเหล่านั้นก็อาจคิดสั้นไปลอบทำแท้งเอง
เพื่อยุติปัญหา
 
ในปัจจุบัน ถึงค่านิยมในสังคมจะเปลี่ยนไปเพราะรับวัฒนธรรม
ตะวันตกมาทำให้ทัศนคติในเรื่องเพศเปิดกว้างขึ้นแต่ลึกๆ
ผมว่าสังคมเราก็ยังเข้มงวดเร่ืองเพศกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่ดี
การทำแท้งเพราะความรักสนุกของหญิงเสเพลอาจมีมากขึ้นอันนั้น
ก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งช่วยไม่ได้ (คือหญิงกลุ่มนี้เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไร
และเขาก็ได้รับผลจากการกระทำของเขาซึ่งสาสมแล้วผมไม่เห็นใจ)
ที่ผมว่าน่าเป็นห่วงคือ "การลอบทำแท้งในหมู่เด็กหญิงที่ถูกล่อลวง"
มากกว่า เด็กหญิงบางส่วนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีแต่ขาดประสบการณ์
ในการรับมือกับเพศตรงข้าม ประกอบกับสื่อทุกวันนี้พยายาม
เสนอภาพที่ชวนให้เด็กเกิดอยากรู้อยากลองในเรื่องเพศจึงอาจทำให้
เด็กหญิงกลุ่มนี้อาจพลาดพลั้งได้ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
 
เราจะทำอย่างไรให้การทำแท้งในกลุ่มเด็กหญิงเหล่านี้ลดลง
ตอบแบบกำปั้นทุบดินคงเป็น "ก็อย่าชิงสุกก่อนห่ามสิ" ซึ่งนั่น
ถ้าทำได้มันก็ดีแต่ในทางปฏิบัติมันจะเป็นไปได้เหรอในเมื่อสังคม
เราทุกวันนี้สื่อมีแต่ภาพยั่วยุกันทุกวัน ถ้าเด็กมีภูมิคุ้มกันจาก
ครอบครัวดีก็คงทำได้แต่คงไม่ใช่เด็กหญิงทุกคนที่โชคดีแบบนั้น
 
เรื่องการคุมกำเนิด ผมก็ว่าเป็นเรื่องยากเพราะรณรงค์กันมานานแล้ว
ก็ยังได้ผลเท่าเนี้ย อีกอย่าง..ค่านิยมของคนบางกลุ่มก็ชอบคิดว่า
ถ้า "ไม่สดก็ไม่สนุก" ไม่ก็ "ถ้าใช้ถุงยางคือไม่ไว้ใจกัน" (อันหลังนี่ทำให้
เอดส์แ-กกันมานักต่อนักแล้ว เหอๆ) ทำให้จะรณรงค์วัยรุ่นใช้ถุงยาง
คงยาก ประกอบกับหากชายไม่พกแล้วหญิงพกเอง คนก็จะมองหญิง
ที่พกถุงยางว่าหญิงไม่ดีอีกและหญิงที่พลาดมักจะพลาดโดยที่ตัวเอง
ไม่ทันตั้งตัวหรือไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นมาก่อนเลยไม่ได้เตรียมตัว
(ดูจากคนรอบตัว) ยาคุมก็ดูเหมือนเหมาะกับหญิงที่มีการเตรียมตัว
มาก่อนแล้วเพราะมีราคาสูงพอควรสำหรับเด็กทั่วไปผมคิดว่าไม่น่าจะฮิต
หากเราสามารถแก้ค่านิยม "ไม่สดก็ไม่สนุก" "ถ้าใช้ถุงยางคือไม่ไว้ใจกัน"
ได้การรณรงค์เรื่องการใช้ถุงยางคุมกำเนิดน่าจะได้ผลดีกว่านี้
 
ทางแก้ที่ถาวรในความคิดผม (ซึ่งในทางปฏิบัติคงยากมากกก)
คือการสอนเรื่องเพศให้ลูกชายลูกสาวเท่าเทียมกัน อย่าเพิ่งงง
ว่าจะให้สอนลูกสาวไม่ต้องสำรวมเรื่องเพศเหมือนลูกชายหรือไง
ความหมายของผมคือ เราสอนลูกสาวให้รักนวลสงวนตัว+
เก็บพรมจรรย์ไว้ถึงวันแต่งได้เราก็น่าจะสอนลูกชายให้รู้จัก
ให้เกียรติผู้หญิง ไม่ฉวยโอกาส ไม่เห็นผู้หญิงเป็นดอกไม้ริมทาง
ได้โอกาสเป็นเด็ดทิ้งเด็ดขว้าง และจะมีความสัมพันธ์ก็ต่อเมื่อ
รักจริงหวังแต่งเท่านั้นได้เช่นกัน มิเช่นนั้นรณรงค์งดมีเพศสัมพันธ์
ในวัยเรียนเท่าไรให้ตายก็ไม่สำเร็จหรอก ผู้หญิงจะรักนวลสงวนตัว
ก็รักไปแต่ผู้ชายจะจ้องฟันก็จ้องไปเมื่อไรจะได้ผลมันควรจะมี
ทัศนคติสำรวมเรื่องเพศกันทั้งคู่อย่าปล่อยให้ผู้หญิงรับภาระ
ในการระมัดระวังตัวเองฝ่ายเดียว หากเปลี่ยนแปลงค่านิยมสังคม
ไปในทางนี้ได้ผมว่าปัญหาทั้งเรื่องชิงสุกก่อนห่าม ท้องไม่รับ ทำแท้ง
ฯลฯ น่าจะลดลงได้โขอยู่ (แต่น่าจะยากมากๆ โลกแตกไปรอบก็คง
ยังทำไม่ได้)
 
และอีกปัญหาหลักเลยที่มีส่วนผลักดันให้ผู้หญิงตัดสินใจไปทำแท้ง
คือค่านิยมในสังคมที่ชอบซ้ำเติมหญิงที่พลาด หากสังคมเรามีที่ยืน
ให้ผู้หญิงที่พลาด เช่น ท้องก็ให้เรียนต่อได้ ไม่มีการทับถมหรือกดดัน
ไม่ผลักภาระและประนามให้ฝ่ายหญิงฝ่ายเดียว+จับฝ่ายชายที่กระทำ
ให้มาร่วมรับผิดชอบด้วย และถ้าสังคมเรามองคนที่ท้องเป็นแค่คนปกติคนหนึ่ง
ไม่ใช่มองเป็นอาชญากรที่ควรประนามผมคิคว่าน่าจะช่วยให้ผู้หญิงที่พลาด
ตัดสินใจทำแท้งลดลงและกล้าที่จะคลอด+เลี้ยงดูลูกที่เกิดจากความผิดพลาด
กันมากขึ้นครับ


#58 เพื่อนร่วมชาติ

เพื่อนร่วมชาติ

    พรานล่าปูไปรยา

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,788 posts

Posted 8 May 2014 - 12:40

น้ำประปาคุณภาพได้มาตรฐานยังไปไม่ทั่วถึงทุกหมู่บ้านครับ

 

เป็นเรื่องจำเป็น


ประชาธิปไตยก็เหมือนส้วมสาธารณะแบบนั่งเต็มตูด ควายนับถือศาสนาชินวัตรใช้แล้วสกปรกชิบเป๋ง


#59 Huligan

Huligan

    ดาวพยศนภา

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,880 posts

Posted 8 May 2014 - 12:55

คุณพูดเหมือนโกรธแค้นสังคม เหมือนลูกสาวของคุณตั้งท้องก็ไม่ปาน  :o

 

ไปถามคนที่เป็นครูดูซิคะ ประชุมกันดู แล้วถามนักเรียน รวมทั้งพวกที่มีปัญหาด้วยว่าเขาจะเอายังไง

มาคิดเองเออเองแทนเขาไม่ได้หรอก … ทางที่ดีให้คนที่มีปัญหามาพูดเองจะดีกว่า...

ว่าเขาต้องการอะไร ? ตัวของเขาเองก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องรัฐบาลบาลด้วย ว่าต้องการช่วยเหลือยังไง ?

… แต่ที่แน่ๆเมืองไทยยังไม่มีโรงเรียนพิเศษหลากหลายชนิดอย่างเยอรมันแน่นอน ที่มีโรงเรียนหลายชนิด

สำหรับเด็กแต่ละกลุ่ม … http://khtpschool.ni...-in-deutschland

 

 

 

 

 

ยอมรับว่าผมค่อนข้างมี Bias จริง...ผมยังไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก แต่ผมเติบโตมากับครอบครัวที่บุพการีท่านนึงมีความเชื่อแบบขวาตกขอบ(ไม่ขอเปิดเผยว่าฝ่ายไหน)...ผมไม่ชอบการยึดถือค่านิยมที่หาคำอธิบายในเชิงประจักษ์ไม่ได้ นอกจากอ้างว่ามันผิดศีล/ผิดผี ไปวันๆ

แล้วผมก็ได้ยินข่าวตามสื่อบ่อยๆ(เช่นรายการเจ๊กาละแมร์)กล่าวถึง ญ.ที่พลาดไปในวัยเรียน แล้วต้องถูกไล่ออก

เป้าหมายของรายการนั้นคือเพื่อเป็นตัวอย่างในการป้องกันแก่เยาวชน ซึ่งผมก็เห็นด้วย

แต่ไอ่ประเด็นนึงที่ผมคาใจคือ เขาสมควรถูกไล่ออกจริงหรือ? การท้องในวัยเรียนมันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีผมยอมรับ(เพราะสร้างความยุ่งยากให้ตัวเอง)แต่โทษที่ได้รับมันทุเรศเกินไป

 

*ออกตัวไว้ก่อนว่าเอทิสต์ไม่จำเป็นต้องเป็นลิเบอรั่วหรือควายแดงนะ


Edited by Huligan, 8 May 2014 - 12:57.

ทฤษฎีของ เดล คาเนกี ใช้กับเหิ้ยหางแดงไม่ได้*สิ่งที่มองไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มองเห็นได้นั้นน่าเชื่อถือมากกว่า*

#60 kanokporn

kanokporn

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,330 posts

Posted 8 May 2014 - 13:32

คุณ huligan ทราบหรือไม่ว่า แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต (หรือนามเดิม ศันสนีย์ ปัญญศิริ เป็นแม่ชีพุทธสาวิกาในพุทธศาสนา เคยเป็นพิธีกรนางแบบชื่อดัง ออกบวชเป็นชี 22 กุมภาพันธ์ 2523 เป็นพิธีกรหญิงบรรยายธรรมผ่านรายการโทรทัศน์)

 

เป็นวิทยากรประจำและผู้ก่อตั้ง เสถียรธรรมสถาน ซึ่งเปิดโครงการต่างๆ ให้ผู้สนใจได้เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาตนเอง ตามแนวหลักธรรมของพระพุทธศาสนา

 

ซึ่ง เสถียรธรรมสถาน เนี่ย มีผู้หญิงที่ผ่านความบอบช้ำทางกายใจ, ท้องแล้วโดนทิ้ง, หมอวินิจฉัยว่าลูกติดเชื้ออะไรบางอย่างอาจจะพิการแต่ยังไม่คลอด กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะทำแท้งดีหรือไม่  .....ฯลฯ มาฟื้นฟูเยียวยาจิตใจเยอะมาก หลักการที่เราเคยเห็นในสกูปข่าว คือให้ความรัก ให้กำลังใจ สร้างความรู้สึกรับได้กับทุกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วทุกคนที่เข้ามาพักใจที่นี่ โอเคหมด สงบ สู้ชีวิตต่อ

 

...สถานที่แบบนี้ คนแบบนี้ ที่นับถือพุทธก็มีนะคะ อย่าไปเชื่อพวกเอทิสต์ในบอร์ดทั้งหลายว่าเราเน้นแต่ความงมงายที่พิสูจน์เชิงประจักษ์ไม่ได้ ส่วนตัวคิดว่า ชาวเอทิสต์ยังไม่รู้จักหรือศึกษาพุทธมากพอ เห็นในเพจมีแต่ด่าๆ ราวกับชาวพุทธไปสร้างความเจ็บแค้นอะไรให้เขานักหนาก็ไม่ทราบ อิชั้นอ่านแล้วก็ยัง งงๆ อยู่ :)



#61 annykun

annykun

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,567 posts

Posted 8 May 2014 - 14:08

แม้ในอเมริกา  ประเทศแถบละตินอเมริกา  ยังมีการถกเถียงดร่าม่ากับปานชะนี้  ในเมืองไทยการถกเถียงกันในเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด

เสรีประชาธิปไตย  ไม่ควรเอาแนวคิดทางศาสนามาเกี่ยว?  แต่ที่อเมริกา  ก็ยังมีคนพยายามเอามุมมองทางคริสต์  เข้ามาเอี่ยวอยู่ดี

สังคม  ศาสนา  บางที่มันก็แยกกันไม่ออก  บอกว่าไม่เกี่ยวควรแยก  แต่คนในสังคมบางส่วนไม่แยกจะให้ทำไง??

 

โดยส่วนตัว  แม้ผมจะเอทิสต์+ลิเบอรัล  แต่  จากประสบการณ์  สิ่งที่พวกเคร่งศาสนา  แย้งมา  หลายครั้งก็ไม่อาจปฎิเสธได้

เด็กท้องมากเรียน  จะทำให้เด็กอยากเย๊ดมากขึ้นมั๊ย  คำตอบคือไม่  แต่กลัวน้อยลงหรือไม่?  จะระวังตัวน้อยลงรึเปล่าว?  

เอาเป็นว่า  มีประสบการณ์ส่วนตัวมันบ่งบอกว่า  ใช่  ผมไม่รู้ภาพรวมจะเป็นอย่างไร  แต่คนส่วนน้อยที่เป็นปัญหาจากการอนุโลมเรื่องพวกนี้มีแน่ๆ

 

ขนาดเรื่องที่ให้ตั้งตู้ขายถุงยางในโรงเรียน  แม้พวกผู้สนับสนุนให้มี  จะพยายามบอกว่าไม่มีผล  กระตุ้นให้เด็กมีเพศสัมพันธุ์กันมากขึ้น

แต่ถ้าลองถามใจตัวเองดู  ถ้าถุงยางมันหาง่ายขนาดนั้น  ผมจะอยากลองกับแฟน  หรือเพื่อนผู้หญิงสักคนบ้างมั๊ย  คำตอบคือ.....ใช่  อยากลอง

เรื่องนี้ถกกันมานับสิบปี  และผมตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเองตั้งแต่  หมอยขึ้นใหม่ๆ  จนป่านนี้  คำตอบผมก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง  คือ  ใช่  อยาก  

กระตุ้นมั๊ย  ใช่  กระตุ้นให้อยากลอง  ขนาดตัวผมยังคิดเช่นนี้แล้ว  มันจะไม่มีเด็กโง่ๆ  คิดแบบเดียวกันเชียวหรือ?

 

 ถ้าเราไม่อยากให้เด็กมั่ว  มีการป้องกัน  แต่กลับเปิดทำแท้งเสรี  มันก็ต้องมีเด็ก  โง่ๆ  ไม่กลัวท้อง  ไม่คิดป้องกัน  เพราะคิดง่ายๆ  ว่าเดี๋ยวท้องก็ทิ้งได้   อยู่แน่นอน  ปัญหาแล้วไอ้่เด็กโง่ๆ  พรรค์นั้น  มีเยอะแค่ไหน?  ไม่มีใครรู้  ถ้ามีน้อยคงไม่มีผลเสียในภาพรวม  แต่ถ้ามันมีเยอะล่ะ?  แล้วความคิดโง่ๆ  แพร่ขยายออกไป   "เฮ้ย!  ท้องก็ช่างแม่ม เอาออกได้"  อันนี้ปัญหาสังคมเกิดเลย  ส่วนตัว  ผมไม่อยากให้เด็กสบายเกินไปนัก  ผิดพลาดแล้วกลับแก้ปัญหาได้ง่ายเกินไป  มันจะก่อให้เกิดการผิดพลาดซ้ำ  มากขึ้นเรื่อยๆไป  แต่ผมก็เห็นด้วยนะว่า  สังคมบ้านเรามันบีบคั้น  ไร้ทางเลือก  และโหดร้ายต่อเด็กมาเกินไป  (กรณีพลาด)และนี่คือสิ่งที่ควรปรับเปลี่ยน

 

สรุปล่ะนะ  ผมเห็นด้วยกับการทำแท้งในบางกรณี  เช่นถูกข่มขืน ฯลฯ  เราควรข้าม  ข้อถกเถียงเรื่องทำแท้งเสรีไปกันก่อนดีมั๊ย   สิ่งที่ควรทำเร่งด่วน  คือให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา  ที่ถูกต้อง  แก่เด็ก  รณรงค์ให้เด็กรู้จักการป้องกัน   รวมถึง  มีเพิ่มมาตราการณ์ช่วยเหลือ  กรณีท้องไม่พึงประสงค์  ให้มากขึ้น  ก่อนดีกว่า   หากผลมันยังไม่ดีขึ้นค่อยมาว่าเรื่องทำแท้งเสรี  เป็นทางเลือกสุดท้าย


คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้ชนะสงคราม  คือ   ความแข็งแกร่ง และ อุดมการณ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง

คุณธรรมที่พร้ำสอน  ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นรองลงมา   ส่วน  ประชาธิปไตยน่ะรึ  เอาเข้าจริงๆ  สำคัญอันใด?? 

 


#62 ฺำBery

ฺำBery

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 131 posts

Posted 8 May 2014 - 14:09

คุณ huligan ทราบหรือไม่ว่า แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต (หรือนามเดิม ศันสนีย์ ปัญญศิริ เป็นแม่ชีพุทธสาวิกาในพุทธศาสนา เคยเป็นพิธีกรนางแบบชื่อดัง ออกบวชเป็นชี 22 กุมภาพันธ์ 2523 เป็นพิธีกรหญิงบรรยายธรรมผ่านรายการโทรทัศน์)

 

เป็นวิทยากรประจำและผู้ก่อตั้ง เสถียรธรรมสถาน ซึ่งเปิดโครงการต่างๆ ให้ผู้สนใจได้เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาตนเอง ตามแนวหลักธรรมของพระพุทธศาสนา

 

ซึ่ง เสถียรธรรมสถาน เนี่ย มีผู้หญิงที่ผ่านความบอบช้ำทางกายใจ, ท้องแล้วโดนทิ้ง, หมอวินิจฉัยว่าลูกติดเชื้ออะไรบางอย่างอาจจะพิการแต่ยังไม่คลอด กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะทำแท้งดีหรือไม่  .....ฯลฯ มาฟื้นฟูเยียวยาจิตใจเยอะมาก หลักการที่เราเคยเห็นในสกูปข่าว คือให้ความรัก ให้กำลังใจ สร้างความรู้สึกรับได้กับทุกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วทุกคนที่เข้ามาพักใจที่นี่ โอเคหมด สงบ สู้ชีวิตต่อ

 

...สถานที่แบบนี้ คนแบบนี้ ที่นับถือพุทธก็มีนะคะ อย่าไปเชื่อพวกเอทิสต์ในบอร์ดทั้งหลายว่าเราเน้นแต่ความงมงายที่พิสูจน์เชิงประจักษ์ไม่ได้ ส่วนตัวคิดว่า ชาวเอทิสต์ยังไม่รู้จักหรือศึกษาพุทธมากพอ เห็นในเพจมีแต่ด่าๆ ราวกับชาวพุทธไปสร้างความเจ็บแค้นอะไรให้เขานักหนาก็ไม่ทราบ อิชั้นอ่านแล้วก็ยัง งงๆ อยู่ :)

 

 

นี่แหละศาสนาช่วยสังคม … ส่วนพวกลิเบอรัลและเอทิสต์ เขาไม่เชื่อในศาสนา เขาเชื่อในเรื่องของเหตุผล

ส่วนใหญ่กลุ่มเขาเรียกร้องสิทธิโน่นนี่ แต่ไม่ได้มองถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ

เสรีนิยม ลิเบอรัลว่อนน่าบี เอทิสต์ บ้านเราส่วนใหญ่ก็รับความคิดของฝรั่งมา ...

… แต่ไม่เคยมาใช้ชีวิตในประเทศตะวันตก ไม่เคยคลุกคลีกับชาวตะวันตก :rolleyes: 

ขณะเดียวกันเรื่องในสังคมไทยก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะปฎิเสธ มองแต่ด้านลบอย่างเดียว

อาจจะเจอประสบการณ์ที่เป็นลบ หาคำตอบไม่ได้จากศาสนา หรือไม่เจอนักการศาสนาที่ชัดเจน

หลายเหตุผล … คลิปชุดนี้น่าสนใจมาก เมื่อสามคนคือ นุ่น นิ้วกลม และวรรณสิงห์ 

มานั่งวิปัสนา นุ่นมีประสบการณ์มากกว่าใคร นิ้วกลมมีประสบการณ์จากการอ่าน

ส่วนวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ไม่เชื่อในเรื่องศาสนา มานั่งวิปัสนาที่กาญจนบุรี

คลิปนี้มี ๓ ตอนนะคะ แต่ละคนได้คำตอบกับชีวิต วรรณสิงห์ … จากที่ไม่เชื่อเรื่องศาสนา

ท้ายสุดก็ก้มกราบพระยอมยกให้พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู  :wub:

 

 

https://www.youtube.com/watch?v=fyIZiiGt42s



#63 ฺำBery

ฺำBery

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 131 posts

Posted 8 May 2014 - 14:25

 

ประเด็นนี้น่าสนใจจึงขออนุญาตร่วมแสดงคคห. ด้วยนะครับ
(หากทำให้ใครขุ่นเคืองก็ขออภัยล่วงหน้าครับ)
 
 
เรื่องของการทำแท้ง ผมว่ามันเป็นปลายเหตุ+ผลผลิตจาก
ความล้มเหลวของระบบสังคมของเรา คือระบบสังคมเรา
แต่โบราณมาจะสอนลูกชายกับลูกสาวต่างกันในเรื่องเพศ
 
ลูกผู้ชายมักจะถูกสอนให้ไม่ต้องสำรวมเรื่องเพศนักเพราะ
ไม่คิดว่าผู้ชายจะสึกหรออะไร (อาจมีบางบ้านที่ดีหน่อย
จะสอนเรื่องการป้องกันโรคหรือคุมกำเนิด) ค่านิยมสังคม
จะออกแนว "ผู้ชายที่มีประสบการณ์เรื่องผู้หญิงโชกโชน
คือยอดชายที่น่ายกย่อง" สังเกตจากแต่โบราณมาไอดอล
หรือคาแรคเตอร์ยอดนิยมของผู้ชาย (หรือหญิงบางคน) 
จะเป็นชายรูปหล่อ+เก่งและเจ้าชู้อย่าง ขุนแผน เจมส์บอนด์
หรือมาสมัยนี้ก็ดูจากวงการบันเทิงที่ชอบตั้งฉายาดาราชาย
ที่เจ้าชู้ในเชิงยกย่องว่า "คาสซาโว่า" (ไม่มีหรอกที่จะตั้ง
ฉายาน่ารังเกียจอย่าง "ไอ้มั่ว" "ไอ้สำส่อน" ให้)
ทัศนคติของลูกชายที่โตขึ้นมาส่วนใหญ่จึงเป็น "แนวรุก"
 
ในขณะที่ลูกผู้หญิงมักจะถูกสอนว่าต้องรักนวลสงวนตัว
ต้องเก็บพรมจรรย์ให้กับสามีในวันแต่ง ทัศนคติของ
ลูกสาวที่โตมาส่วนใหญ่จึงเป็น "แนวรับ" ใครที่พลาด
ไม่ว่าจะโดนผู้ชายฟันแล้วทิ้งหรือโดนข่มขืนจะถูก
สังคมประนาม+ลดคุณค่าราวกับก่ออาชญากรรม
ร้ายแรงซะเองในขณะที่ผู้ชายที่ทำแทบจะไม่ได้รับผลกระทบ
อะไรเลย ทำให้ผู้หญิงที่พลาด (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด) 
มักจะพยายามหาทางปกปิดไม่ให้ใครรู้เพราะหากมีใครรู้
ผู้หญิงพวกนั้นอาจโดนข่มขืนจากสังคมและคนรอบข้างซ้ำสอง
 
การทำแท้งจึงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้เป็นสาเหตุหนึ่ง
ผู้หญิงวัยรุ่นที่ทำแท้งส่วนหนึ่ง (อาจเป็นส่วนใหญ่) ผมเชื่อว่า
เพราะเธอรับผิดชอบกับสถานการณ์+ความกดดันตอนนั้นไม่ไหว
เช่น ความกังวลว่าใคร (โดยเฉพาะที่บ้าน) จะรู้ กลัวโดนประนาม
ท้องก็จะใหญ่ขึ้นทุกวัน กลัวผู้ชายที่ร่วมกระทำจะไม่รัก
หรือผู้ชายที่ร่วมกระทำไม่รับผิดชอบ ฯลฯ ตอนอยู่ในสถานการณ์
ที่หนักประกอบกับไม่มีใครให้คำปรึกษาหรือช่วยแบ่งเบา
ความเครียดได้ ผู้หญิงเหล่านั้นก็อาจคิดสั้นไปลอบทำแท้งเอง
เพื่อยุติปัญหา
 
ในปัจจุบัน ถึงค่านิยมในสังคมจะเปลี่ยนไปเพราะรับวัฒนธรรม
ตะวันตกมาทำให้ทัศนคติในเรื่องเพศเปิดกว้างขึ้นแต่ลึกๆ
ผมว่าสังคมเราก็ยังเข้มงวดเร่ืองเพศกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่ดี
การทำแท้งเพราะความรักสนุกของหญิงเสเพลอาจมีมากขึ้นอันนั้น
ก็อีกเรื่องหนึ่งซึ่งช่วยไม่ได้ (คือหญิงกลุ่มนี้เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไร
และเขาก็ได้รับผลจากการกระทำของเขาซึ่งสาสมแล้วผมไม่เห็นใจ)
ที่ผมว่าน่าเป็นห่วงคือ "การลอบทำแท้งในหมู่เด็กหญิงที่ถูกล่อลวง"
มากกว่า เด็กหญิงบางส่วนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีแต่ขาดประสบการณ์
ในการรับมือกับเพศตรงข้าม ประกอบกับสื่อทุกวันนี้พยายาม
เสนอภาพที่ชวนให้เด็กเกิดอยากรู้อยากลองในเรื่องเพศจึงอาจทำให้
เด็กหญิงกลุ่มนี้อาจพลาดพลั้งได้ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
 
เราจะทำอย่างไรให้การทำแท้งในกลุ่มเด็กหญิงเหล่านี้ลดลง
ตอบแบบกำปั้นทุบดินคงเป็น "ก็อย่าชิงสุกก่อนห่ามสิ" ซึ่งนั่น
ถ้าทำได้มันก็ดีแต่ในทางปฏิบัติมันจะเป็นไปได้เหรอในเมื่อสังคม
เราทุกวันนี้สื่อมีแต่ภาพยั่วยุกันทุกวัน ถ้าเด็กมีภูมิคุ้มกันจาก
ครอบครัวดีก็คงทำได้แต่คงไม่ใช่เด็กหญิงทุกคนที่โชคดีแบบนั้น
 
เรื่องการคุมกำเนิด ผมก็ว่าเป็นเรื่องยากเพราะรณรงค์กันมานานแล้ว
ก็ยังได้ผลเท่าเนี้ย อีกอย่าง..ค่านิยมของคนบางกลุ่มก็ชอบคิดว่า
ถ้า "ไม่สดก็ไม่สนุก" ไม่ก็ "ถ้าใช้ถุงยางคือไม่ไว้ใจกัน" (อันหลังนี่ทำให้
เอดส์แ-กกันมานักต่อนักแล้ว เหอๆ) ทำให้จะรณรงค์วัยรุ่นใช้ถุงยาง
คงยาก ประกอบกับหากชายไม่พกแล้วหญิงพกเอง คนก็จะมองหญิง
ที่พกถุงยางว่าหญิงไม่ดีอีกและหญิงที่พลาดมักจะพลาดโดยที่ตัวเอง
ไม่ทันตั้งตัวหรือไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นมาก่อนเลยไม่ได้เตรียมตัว
(ดูจากคนรอบตัว) ยาคุมก็ดูเหมือนเหมาะกับหญิงที่มีการเตรียมตัว
มาก่อนแล้วเพราะมีราคาสูงพอควรสำหรับเด็กทั่วไปผมคิดว่าไม่น่าจะฮิต
หากเราสามารถแก้ค่านิยม "ไม่สดก็ไม่สนุก" "ถ้าใช้ถุงยางคือไม่ไว้ใจกัน"
ได้การรณรงค์เรื่องการใช้ถุงยางคุมกำเนิดน่าจะได้ผลดีกว่านี้
 
ทางแก้ที่ถาวรในความคิดผม (ซึ่งในทางปฏิบัติคงยากมากกก)
คือการสอนเรื่องเพศให้ลูกชายลูกสาวเท่าเทียมกัน อย่าเพิ่งงง
ว่าจะให้สอนลูกสาวไม่ต้องสำรวมเรื่องเพศเหมือนลูกชายหรือไง
ความหมายของผมคือ เราสอนลูกสาวให้รักนวลสงวนตัว+
เก็บพรมจรรย์ไว้ถึงวันแต่งได้เราก็น่าจะสอนลูกชายให้รู้จัก
ให้เกียรติผู้หญิง ไม่ฉวยโอกาส ไม่เห็นผู้หญิงเป็นดอกไม้ริมทาง
ได้โอกาสเป็นเด็ดทิ้งเด็ดขว้าง และจะมีความสัมพันธ์ก็ต่อเมื่อ
รักจริงหวังแต่งเท่านั้นได้เช่นกัน มิเช่นนั้นรณรงค์งดมีเพศสัมพันธ์
ในวัยเรียนเท่าไรให้ตายก็ไม่สำเร็จหรอก ผู้หญิงจะรักนวลสงวนตัว
ก็รักไปแต่ผู้ชายจะจ้องฟันก็จ้องไปเมื่อไรจะได้ผลมันควรจะมี
ทัศนคติสำรวมเรื่องเพศกันทั้งคู่อย่าปล่อยให้ผู้หญิงรับภาระ
ในการระมัดระวังตัวเองฝ่ายเดียว หากเปลี่ยนแปลงค่านิยมสังคม
ไปในทางนี้ได้ผมว่าปัญหาทั้งเรื่องชิงสุกก่อนห่าม ท้องไม่รับ ทำแท้ง
ฯลฯ น่าจะลดลงได้โขอยู่ (แต่น่าจะยากมากๆ โลกแตกไปรอบก็คง
ยังทำไม่ได้)
 
และอีกปัญหาหลักเลยที่มีส่วนผลักดันให้ผู้หญิงตัดสินใจไปทำแท้ง
คือค่านิยมในสังคมที่ชอบซ้ำเติมหญิงที่พลาด หากสังคมเรามีที่ยืน
ให้ผู้หญิงที่พลาด เช่น ท้องก็ให้เรียนต่อได้ ไม่มีการทับถมหรือกดดัน
ไม่ผลักภาระและประนามให้ฝ่ายหญิงฝ่ายเดียว+จับฝ่ายชายที่กระทำ
ให้มาร่วมรับผิดชอบด้วย และถ้าสังคมเรามองคนที่ท้องเป็นแค่คนปกติคนหนึ่ง
ไม่ใช่มองเป็นอาชญากรที่ควรประนามผมคิคว่าน่าจะช่วยให้ผู้หญิงที่พลาด
ตัดสินใจทำแท้งลดลงและกล้าที่จะคลอด+เลี้ยงดูลูกที่เกิดจากความผิดพลาด
กันมากขึ้นครับ

 

 

 

เห็นด้วยกับคุณค่ะ   :) คุณชัดเจนมากที่บอกที่มองทั้งสองด้าน คือผู้หญิงและผู้ชาย

สังคมไทยเราควรจะอบรมผู้ชายด้วยในเรื่องนี้ และเรื่องความรับผิดชอบ

เรื่องนี้คงจะต้องมีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน ทั้งครู นักวิชาการ เด็ก นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์

ดิฉันคิดว่าคงหาทางออกปัญหานี้ในทางที่เหมาะสมมากขึ้น



#64 Ender

Ender

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 247 posts

Posted 8 May 2014 - 14:49

พวกที่ นั่งยีน นอนยัน ว่าไม่ควรให้มีการทำแท้งเนี่ย   ถามว่า เวลาเด็กออกมา

 

ช่วยแม่เค้าเลี้ยงลูกหรือป่าว

ยิ่งรู้ล่วงหน้าว่า พิการแน่ ปัญญาอ่อนแน่ๆ 

ความเป็น เมืองพุทธ มันเลยทำแท้งไม่ได้ มันช่วยอะไร แม่และเด็กอย่างไร 

 

ยิ่งเด็กเกิดจากการข่มขืน แม่ไม่ได้อยากมี พ่อก็หาไม่เจอ คนเมืองพุทธ ไปช่วยแม่เค้าเลี้ยงหรือไม่  

 

ถ้าเชื่อในบาป คุณไม่ได้เป็นคนทำ คนที่เดือนร้อนเค้าจะทำ เค้าไม่กลัวบาป ท้องก็ท้องเค้า คนเลี้ยงก็เค้า คุณไป... อะไรด้วย 

แบบนี้ แล้วไม่ไป ช่วยวัวควาย หมูหมากาไก่ ที่โรงฆ่าสัตว์ด้วยละ ไม่กลัวเค้าบาปหรือ 

 

อย่าอ้างว่า ก็แต่งตัวโป๊ทำไม ไปล่อผู้ชายทำไม เพราะ คุณจะกำลังลงโทษคนพวกนั้น 

ขณะเดียวกันก็ลงโทษคนที่แต่งตัวปกติ แต่โดยข่มขืน จาก สัตว์หื่น ในคราบคน  

 

อย่าอ้างว่าจะสนับสนุน ก็ ล่อกัน เพราะ ปกติมันก็ล่อกันอยู่แล้ว แค่จะท้องหรือไม่ ถ้ามันพลาดมันก็ แดรกยา 

 

จริงๆ ใครมาทำแท้ง ควรแถมตังด้วย

รายละ 5000 อย่างต่ำ  เพราะ ลดภาระประเทศไปได้เยอะ คิดดูดีๆ 



#65 kanokporn

kanokporn

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,330 posts

Posted 8 May 2014 - 14:56

แล้วพวกที่สนับสนุนให้ทำแท้งเนี่ย

1. ออกค่าใช้จ่ายให้แม่เด็กไปทำแท้ง ด้วยหรือเปล่า?

2. ถ้าติดเชื้อมดลูกอักเสบ ตกเลือดตายไป คุณช่วยค่างานศพตัวแม่เค้าด้วยมั้ย?



#66 kanokporn

kanokporn

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,330 posts

Posted 8 May 2014 - 15:01

คนที่คิดเรื่อง ภาระค่าใช้จ่ายในอนาคตที่เกิดจากตัวเด็ก เป็นเรื่องสำคัญกว่า ความเสี่ยงในการตายเพราะถูกขูดมดลูก อิชั้นว่าเห็นแก่ตัวนะคะ :)



#67 DarkSwan

DarkSwan

    Reporter Activated

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,689 posts

Posted 8 May 2014 - 15:04

เป็นดราม่าขึ้นมาจริงๆ

555


ถ้าอยากได้ความเท่าเทียม

ก็ปีนป่ายขึ้นไปให้อยู่เทียบเท่ากับคนอื่นเค้า

อย่าได้กระชากฉุดให้คนอื่นเขาลงมาตกต่ำเท่ากับตน


#68 DarkSwan

DarkSwan

    Reporter Activated

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,689 posts

Posted 8 May 2014 - 15:09

คนที่คิดเรื่อง ภาระค่าใช้จ่ายในอนาคตที่เกิดจากตัวเด็ก เป็นเรื่องสำคัญกว่า ความเสี่ยงในการตายเพราะถูกขูดมดลูก อิชั้นว่าเห็นแก่ตัวนะคะ :)

 

อันนี้ผมไม่ทราบเรื่องการทำแท้งนี่ มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ แต่คิดว่า โดยรวมก็น่าจะหลายตังค์อยู่ (รวมการดูแลหลังการทำแท้งด้วย)

ึถึงจะเปิดเสรี  ถ้าจะทำให้ปลอดภัย ตามหลักการแพทย์ ค่าใช้จ่ายก็คงไม่น่าจะลดลงมากเท่าไหร่

 

ความเสี่ยงอยู่ที่ เด็กวัยรุ่นที่ไม่กล้าปรึกษาผู้ปกครอง แล้วต้องการไปทำแท้งกันเอง

น่าจะเลือกไปคลีนิคเถื่อน หรือ คลีนิคที่ราคาถูกแต่ไม่ได้มาตรฐานและมีความเสี่ยงสูง ก้เป็นได้

 

ขนาดลดอ้วน  ทำหน้า ร้อยไหม ใส่ซิลิโคลน คลีนิคเสริมงามผุดยังกะดอกเห็ดเมืองไทย 

คนยังเลือกไปใช้คลีนิคเถื่อน กันเยอะแยะ มีข่าวให้เห็นกันบ่อยๆ ว่าเป็นเรื่อง บางรายถึงชีวิตก็มี

 

ตรงนี้ ไม่ว่าจะให้มีการทำแท้งแบบเสรี หรือผิดกฏหมาย

ก็ไม่มีการป้องกันเหมือนกัน 

 

ปล. แต่เรื่องขูดมดลูกนี่ ฟังดูน่ากลัวนะฮะ เหมือนกับ ไปขลิบหรือผ่าตัดลูกชายน้อย แค่คิดก็เสียวซี๊ดแล้ว

:lol:


ถ้าอยากได้ความเท่าเทียม

ก็ปีนป่ายขึ้นไปให้อยู่เทียบเท่ากับคนอื่นเค้า

อย่าได้กระชากฉุดให้คนอื่นเขาลงมาตกต่ำเท่ากับตน


#69 MIRO

MIRO

    Praise the Sun

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,883 posts

Posted 8 May 2014 - 15:31

ส่วนตัวผมไม่สนับสนุนการทำแท้ง ผมคิดจากตัวผมเองนี่แหละ

คิดย้อนไปว่าผมอยากเป็นเด็กคนนั้นรึเปล่า ?

 

ผมไม่อยากเป็นครับ..ไม่แน่ใจด้วยว่ามีใครอยากเป็นหรือเปล่า

ตอนคิด..ผมไม่ได้สนใจว่าผมจะเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตจากสาเหตุใด

คิดแค่ว่าผมไม่อยากตายโดยไม่รู้ว่าผมสมควรตายด้วยเหตุผลใด..?

 

รักสนุก ลืมใส่ถุงยาง ถุงยางแตก

ยาคุมหมดอายุ..ผมเก่งเกินหน้าเกินตาสเปิร์มตัวอื่น..ผมสมควรตาย..

 

ถ้าผมสนับสนุนการทำแท้งเสรี ผมคงสนับสนุนเหตุผลเหล่านี้ว่าผมสมควรตาย

ผมคิดดูแล้ว..ผมรับไม่ได้ครับ..

 

เป็นอีกมุมมองหนึ่งนะครับ ทุกเหตุผลที่หลายท่านเขียนมาก็ล้วนแตกต่างกันไป

ผมอาจไม่ได้สนใจในมุมมองของคน 2 คนที่มี Sex กัน

ผมแค่มองในมุมของเด็กคนหนึ่งว่าเขาสมควรตายหรือเปล่า..ซึ่งก็เพียงพอให้ผมเกิดความรู้สึกต่อต้านการทำแท้งเสรีครับ..

 

เป็นดราม่าขึ้นมาจริงๆ

555

 

อ่านเอาเหตุเอาผล ผมว่าก็สนุกดีนะ.. :)


The most valuable things in life are not measured in monetary terms.

The really important things are not houses and lands, stocks and bonds, automobiles and real estate,

but friendships, trust, confidence, empathy, mercy, love and faith.


#70 เสือยิ้มยาก

เสือยิ้มยาก

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,695 posts

Posted 8 May 2014 - 15:46

ผมว่าไปฆ่าคนจนทิ้งดีกว่า มันเป็นภาระประเทศ รวมทั้งคนพิการ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วย ผมสนับสนุน

ลองคิดดูว่าเราเสีย งบประมาณไปกับภาระพวกนี้ปีๆกี่ล้าน แทนที่จะเอาเงินไปทำประโยชน์อื่น

 

ญาติพี่น้อง แทนที่จะไปทำงาน ทำงานสร้างฐานะ กลับต้องมานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำพวกคนพิการเหล่านี้ ผมพูดจริงๆนะ


        shotgun.gif       d444.gif        cheesy.gif

 


#71 Huligan

Huligan

    ดาวพยศนภา

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,880 posts

Posted 8 May 2014 - 16:17

นี่แหละศาสนาช่วยสังคม … ส่วนพวกลิเบอรัลและเอทิสต์ เขาไม่เชื่อในศาสนา เขาเชื่อในเรื่องของเหตุผล

ส่วนใหญ่กลุ่มเขาเรียกร้องสิทธิโน่นนี่ แต่ไม่ได้มองถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ

เสรีนิยม ลิเบอรัลว่อนน่าบี เอทิสต์ บ้านเราส่วนใหญ่ก็รับความคิดของฝรั่งมา ...

 

 

อ่านตัวสีแดงๆแล้ว ผมนึกไปถึงพวกศาสนิกบางคน ที่ชอบไปเศือกกับความรับผิดชอบของคนอื่น

แน่ใจหรือว่าพวกมีแนวคิดที่ต่างไปจากศาสนา ไม่ต้องการรับผิดชอบ?

อย่างเช่นที่มีคนกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว>>มันท้องเขาเอง มันหอยเขาเอง ถ้าเขาจะบาดเจ็บจากการทำแท้งมันก็เป็นความรับผิดชอบของเขา คนอื่นไปเศือกไรด้วย?

เอ้า>>เคสแบบนี้ยังอาจถูกมองในแง่ละเมิดสิทธิของตัวอ่อน ก็ว่ากันไป ถือว่ามองได้อีกมุม

แต่ไอ้การไล่ออกจากโรงเรียนเนี่ย มองยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรไปก้าวก่ายเลยสักนิด!

ท้องเขาเอง เขาแบกเอง คนอื่นไปเศือกอะไรกับความรับผิดชอบส่วนตัวของเขาด้วย?

 

ผมไม่ได้ต่อต้านทุกข้อความในคัมภีร์ หลายเรื่องผมก็เชื่อและเห็นด้วย แต่เรื่องที่ไม่เห็นด้วยก็มีไม่น้อย

และเพราะไม่อาจเห็นด้วยกับคัมภีร์ศาสนาใดๆแบบทั้งดุ้นนี่แหละ...ผมจึงไม่อาจจัดตัวเองเข้ากลุ่มศาสนิกใดได้เลย

อย่างที่ผมเคยสมน้ำหน้าไอ้เสธ.แดง ไว้ที่กระทู้นึงในบอร์ดเก่า ก็มีศาสนิกบางรายรับไม่ได้ บอกว่าความแค้นเป็นทุกข์ เป็นสิ่งไม่ดี?

เอ้า?ผมเชื่อ>>แต่ผมไม่หยุดน่ะ มีไรป่าว?ผมก็พร้อมจะรับกับความทุกข์ พร้อมจะรับกับการถูกรังเกียจจากศาสนิกบางคนแล้วนี่

(แต่ใครจะมากระทืบผมไม่ได้นะ หรือถ้าจะกระทืบจริงผมก็สามารถฟ้องร้องเอาได้ว่าเขาละเมิดสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายที่ผมพึงจะมี)

อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นความรับผิดชอบได้ไหม?


Edited by Huligan, 8 May 2014 - 16:19.

ทฤษฎีของ เดล คาเนกี ใช้กับเหิ้ยหางแดงไม่ได้*สิ่งที่มองไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มองเห็นได้นั้นน่าเชื่อถือมากกว่า*

#72 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

Posted 8 May 2014 - 16:19

กระทู้นี้ เป็นกระทู้ที่ดีมากอีกกระทู้หนึ่ง เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เป็นส่วนผสมกันทั้งด้าน ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในที่สุด

ผมอ่านแล้ว เข้าใจว่า มีอยู่ สามส่วนที่กำลังแลกเปลี่ยนความเห็นกันอยู่

ศาสนา วิทยาศาสตร์ และสังคม ที่พยายามจะโยงให้สอดคล้องเป็นข้อสรุปส่วนจะตกผลึกได้หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่อง

 

หากเราไม่ได้นับถือ ศาสนาพุทธตามบัตรประชาชน เราคงมั่นคงในเรื่องของกรรมและผลแห่งกรรม เพราะชีวิตทุกขณะคือผลของกรมและการทำกรรมสะสมต่อไป

ซึงในเรื่องของกรรมนั้น ไม่เป็นโมฆะ คือ จะต้องให้ผล ตามสมควรแก่กรรม แต่กรรมมีกาลเวลาให้ผล กรรมบางอย่างให้ผลชาตินี้ กรรมบางอย่างให้ผลชาติหน้า

กรรมบางอย่างให้ผลในชาติถัดไป ดังนั้น เมื่อมีการทำกรรม ก็ต้องมีการได้รับผลของกรรม ไม่ต่างไปจากแนวคิดที่ว่า สสารไม่สูญหายไปใหนจากโลกนี้

 

เหตุที่กรรม มีผลจริง เพราะเวลาเป็นเรื่องจริง เมื่อมีเวลาแล้ว ก็มีที่ที่จะให้กรรมมีเวลาให้ผล ดังนั้นหากไม่มีเวลา กรรมก็จะกลายเป็นโมฆะแน่นอน

 

หากชาติหน้าไม่มีจริง การฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ก็ไม่เป็นไร ตายแล้วจบ การทำความดี ก็ไม่ไม่มีผล ตายแล้วจบ แต่ความจริง เมื่อมีการทำกรรมแล้ว ก็ต้องมีการได้รับผลของกรรม

ซึ่งเมื่อยังไม่ให้ผล ยังไม่ได้รับผลของกรรม จะว่าไม่มีกรรมไม่ได้ และสิ่งที่ยังไม่เกิด จะปฏิเสธว่าไม่มีไม่ได้ หากไม่มีชาติหน้า ก็เท่ากับว่า ชาติก่อนก็ไม่มี

เพราะ ชาตินี้ ก็คือ ชาติหน้าของชาติก่อน และหากเป็นเช่นนั้น ทำไมชาตินี้บางคนถึงมีความแตกต่างกันทั้งร่างกาย ยศ ตำแหน่ง ฐานะแตกต่างกันเพราะอะไร

และการได้รับสิ่งที่ดี ไม่ดีในชาตินี้ก็แตกต่างกันเพราะอะไร

 

และถ้าละเอียดตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง  หากค่อยๆย่อยระยะเวลายาวนาน ที่เป็นชาติหน้า ก็ย่อยออกมาเป็น 30 ปีข้างหน้า 20 ปีข้างหน้า

10 ปีข้างหน้า1 ปีข้างหน้า 1 เดือนข้างหน้า 1 พรุ่งนี้   6 ชม.ข้างหน้า  1 ชั่วโมงข้างหน้า 1 นาทีข้างหน้า จะมีอีก 1 นาทีข้างหน้าหรือไม่ 1 วินาทีข้างหน้า จะมีอีก

1 วินาทีข้างหน้าหรือไม่ แม้ยังมาไม่ถึง ทำให้มีระยะเวลา มี 1 วินาที มีพรุ่งนี้ มีปีหน้า มีชาติหน้า 

และในทำนองเดียวกัน หากเราย้อนไปทางตรงข้าม มี  1 นาทีที่ผ่านมา มี1 ชม ที่ผ่านมา มี 1 ปีที่ผ่านมา………30ปีที่ผ่านมาย้อนไปเรื่อยเรื่อยอย่างนี้

จนกระทั่งก่อนที่เราจะเกิดมา ก็จะกลายเป็นชาติที่แล้ว….

 

ภพภูมิต่างๆ ที่เป็นที่เสวยผลของกรรมดี กรรมชั่ว การเกิดสืบต่อกันของขันธ์อายตนะ เป็นต้น ชื่อว่า สังสารวัฏฏ์ ในชาตินี้ ก็มีการเกิดสืบต่อกันอยู่

จึงมีวันนี้  เมื่อวานนี้ สัปดาห์ที่แล้ว   เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว 10ปีที่แล้ว 20 30 40 50 ถึง 100 ปีที่แล้วก็มี และถอยไปเรื่อยๆ อีกก็คือ ชาติที่แล้ว

 

ส่วนอนาคตก็คือการเกิดสืบต่อของนามรูปที่เรียกว่า ขันธ์ เป็นต้น นั่นเอง    ที่สืบต่อจากขณะนี้ก็คือ เย็นนี้ก็มี พรุ่งนี้ก็มี สัปดาห์หน้าเดือนหน้า  ปีหน้า

10  20 30 40 50ถึง 100 ปีข้างหน้าก็มี เพราะยังมีเหตุและปัจจัยให้เกิดขันธ์    ขันธ์ก็ยังเกิดอีกต่อไป เป็น 200 500 พันปี หมื่นปี แสนปี ล้านปีข้างหน้าก็มี

ก็คือชาติหน้า

 

นี่คือหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ประกอบด้วยเหตุและผล

การที่ไม่เชื่อว่ามีชาติหน้านั่นหมายถึงการไม่เชื่อเหตุและผลและไม่เชื่อคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ 

 เป็นผู้มีความเห็นผิด และสุ่มเสี่ยงต่อการประพฤติทุจริตกรรมประการต่าง ๆ   ได้โดยง่าย   เพราะเข้าใจว่าชาติหน้าไม่มี 


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#73 akincana

akincana

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 255 posts

Posted 8 May 2014 - 16:30

ผมมีข้อสังเกตบางอย่างที่อยากฝากให้ช่วยกันคิดต่อด้วยครับ

*****************************

คำว่า "ปาณาติบาต" แปลเป็นไทยว่า "ฆ่า" ซึ่งมีความหมายไม่ดี (คือแค่ได้ยินก็ชวนให้คิดว่าผิดแล้ว)

ส่วนในภาษาบาลีแปลว่า "ทำให้หมดลมหายใจ" (taking breath) หรือ "ทำให้ชีวิตตกล่วงไป"

ผมขอเรียกง่ายๆ ว่า "ยุติชีวิต" ก็แล้วกัน

ปัญหาอยู่ตรงนี้ครับ

สมมติว่ามีหมาตัวหนึ่งป่วยเป็นโรคหัดระยะสุดท้าย

เชื้อจุลินทรีย์จำนวนมหาศาลรุมแทะทึ้งสมองของมันจนหมดสภาพแล้ว

มันเดินสะเปะสะปะ อาเจียนไป ฉี่ราดไป ชนข้าวของระเนระนาด ถ้ามัดไว้ก็จะดิ้น เพราะมันเจ็บปวดจากข้างใน

สัตวแพทย์บอกว่า ถ้ามัดไว้อย่างนั้นก็คงจะตายไปเอง แต่ไม่รู้เมื่อไหร่

คำว่า "ไม่รู้เมื่อไหร่" นี่แหละที่ทำให้เจ้าของคิดหนัก

ท้ายที่สุด เจ้าของก็ขอให้หมอให้ยาเพื่อให้มันหลับไป

ที่ขออย่างนั้นก็เพราะเขารักมัน ทนเห็นสภาพที่น่าเวทนาของมันไม่ได้

นี่คือวิธีสุดท้ายที่เขาพยายามปกป้องหมาที่เลี้ยงมันมาอย่างเพื่อนจนถึงที่สุด

ตรงนี้แหละครับที่ผมสงสัยว่า ความสงสารและความพยายามที่จะช่วย "ยุติความทรมานของมัน" เป็นปาณาติบาตหรือไม่?

บางครั้งก็คิดว่าพอจะเห็นคำตอบรางๆ แล้วว่า

"จะเป็นปาณาติบาตได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าของหมารักมันมาก ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับมันเลย"

แต่พอกลับไปคิดทบทวนอีกทีก็ไม่แน่ใจ

เพราะคำตอบที่คิดได้ในตอนแรกนั้นคิดโดยเอา "เจตนาของผู้กระทำ" เป็นตัวตั้ง

แต่ความไม่แน่ใจที่เกิดขึ้นในตอนหลังนั้นคิดจาก "ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ"

ผมหวังว่า วันหนึ่ง ถ้าเด็กในครรภ์หรือหมาตัวนั้นพูดได้ ปัญหาแบบนี้ก็คงจะยุติไปเสียที

:( :(


Edited by akincana, 8 May 2014 - 16:35.


#74 kanokporn

kanokporn

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,330 posts

Posted 8 May 2014 - 16:41

ผมมีข้อสังเกตบางอย่างที่อยากฝากให้ช่วยกันคิดต่อด้วยครับ

*****************************

คำว่า "ปาณาติบาต" แปลเป็นไทยว่า "ฆ่า" ซึ่งมีความหมายไม่ดี (คือแค่ได้ยินก็ชวนให้คิดว่าผิดแล้ว)

ส่วนในภาษาบาลีแปลว่า "ทำให้หมดลมหายใจ" (taking breath) หรือ "ทำให้ชีวิตตกล่วงไป"

ผมขอเรียกง่ายๆ ว่า "ยุติชีวิต" ก็แล้วกัน

ปัญหาอยู่ตรงนี้ครับ

สมมติว่ามีหมาตัวหนึ่งป่วยเป็นโรคหัดระยะสุดท้าย

เชื้อจุลินทรีย์จำนวนมหาศาลรุมแทะทึ้งสมองของมันจนหมดสภาพแล้ว

มันเดินสะเปะสะปะ อาเจียนไป ฉี่ราดไป ชนข้าวของระเนระนาด ถ้ามัดไว้ก็จะดิ้น เพราะมันเจ็บปวดจากข้างใน

สัตวแพทย์บอกว่า ถ้ามัดไว้อย่างนั้นก็คงตะตายไปเอง แต่ไม่รู้เมื่อไหร่

คำว่า "ไม่รู้เมื่อไหร่" นี่แหละที่ทำให้เจ้าของคิดหนัก

ท้ายที่สุด เจ้าของก็ขอให้หมอให้ยาเพื่อให้มันหลับไป

ที่ขออย่างนั้นก็เพราะเขารักมัน ทนเห็นสภาพที่น่าเวทนาของมันไม่ได้

นี่คือวิธีสุดท้ายที่เขาพยายามปกป้องหมาที่เลี้ยงมันมาอย่างเพื่อนจนถึงที่สุด

ตรงนี้แหละครับที่ผมสงสัยว่า ความสงสารและความพยายามที่จะช่วย "ยุติความทรมานของมัน" เป็นปาณาติบาตหรือไม่?

บางครั้งก็คิดว่าพอจะเห็นคำตอบรางๆ แล้วว่า

"จะเป็นปาณาติบาตได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าของหมารักมันมาก ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับมันเลย"

แต่พอกลับไปคิดทบทวนอีกทีก็ไม่แน่ใจ

เพราะคำตอบที่คิดได้ในตอนแรกนั้นคิดโดยเอา "เจตนาของผู้กระทำ" เป็นตัวตั้ง

แต่ความไม่แน่ใจที่เกิดขึ้นในตอนหลังนั้นคิดจาก "ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ"

ผมหวังว่า วันหนึ่ง ถ้าเด็กในครรภ์หรือหมาตัวนั้นพูดได้ ปัญหาแบบนี้ก็คงจะยุติไปเสียที

:( :(

เราชอบดูช่องทรูเอ็กซพลอร์1 มันจะเป็นช่องรวมสัตว์ สัตว์แพทย์ฝรั่งบางคนแบบคุณหมอ คริส บราวน์ (Bondi vet) น่ารักมากมาย

แต่บางตอน (ซึ่งไม่ใช่คุณหมอคริส) เป็นเรื่องม้าป่วย ปลาวาฬเกยตื้นอะไรเงี้ย..ฝรั่ง เขามีแนวคิดว่า มันจะทรมาน ต้องทำให้มันหลับไปซะ เราก็ยังสงสัยอยู่ในใจ พวกคุณวิชาการล้ำเลิศทำไมต้องไปคิดแทนสัตว์ด้วยฟระ?  มันอาจไม่อยากตายก็ได้ สัตว์ที่คิดฆ่าตัวตายมีน้อยมากๆ เลยนะ ที่มันดิ้นรนคือ ต้องการเอาชีวิตรอดตะหาก



#75 Ender

Ender

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 247 posts

Posted 8 May 2014 - 16:42

แล้วพวกที่สนับสนุนให้ทำแท้งเนี่ย

1. ออกค่าใช้จ่ายให้แม่เด็กไปทำแท้ง ด้วยหรือเปล่า?

2. ถ้าติดเชื้อมดลูกอักเสบ ตกเลือดตายไป คุณช่วยค่างานศพตัวแม่เค้าด้วยมั้ย?

 

คนที่คิดเรื่อง ภาระค่าใช้จ่ายในอนาคตที่เกิดจากตัวเด็ก เป็นเรื่องสำคัญกว่า ความเสี่ยงในการตายเพราะถูกขูดมดลูก อิชั้นว่าเห็นแก่ตัวนะคะ :)

 

ผมเข้าใจว่าหมายถึงผมนะ    ถ้าผิดไปก็ ขอกราบขออภัย ไว้ก่อน

 

1. ออกค่าใช้จ่ายให้แม่เด็กไปทำแท้ง ด้วยหรือเปล่า?

 

ผม แสดงความเห็นอย่างชัดแจ้งว่า สนับสนุนให่้ รัฐบาล ออกค่าทำแท้ง รวมถึง แถมตัง ให้ด้วย  แบบนี้ใช้ได้หรือป่าว  

กลับกัน คุณ ที่ให้เลี้ยงไว้ กล้าสนับสนุนให่้ รัฐบาล รับเลี้ยงเด็กคนนั้น ถ้าแม่เค้าไม่อยากเลี้ยงหรือปล่าวละครับ 

 

 

2. ถ้าติดเชื้อมดลูกอักเสบ ตกเลือดตายไป คุณช่วยค่างานศพตัวแม่เค้าด้วยมั้ย?

 

งั้นผมใช้ argument แบบคุณ บอกว่า แล้วถ้าเด็กเกิดออกมา ไปวางระเบิดฆ่าคนตาย 30 ศพ

คุณไปช่วยค่าทำศพชาวบ้านตาดำๆไหม   

หรือใกล้กว่านั้น ทำแท้งเถื่อนตกเลือกตาย คุณไปช่วยค่าทำศพแม่เค้าไหม

 

เห็นได้ชัดว่า ข้อ argument ของคุณทั้งสองข้อไม่ได้ยืนอยู่บน ground อะไรเลย  ขอให้ได้เถียงอย่างเดียว  

คนที่คัดค้าน ไม่เคยให้แม่เด็กตัดสิน แต่ พวกเค้าตัดสินเอง ว่า ถ้าแบบนี้ ต้องอย่างนั้น ถ้าไม่ทำแบบนั้นผิด  

ใครสนับสนุน บาปบ้าง เห็นแก่ตัว ...  เอากับเค้าซิ  

 

ถาม แม่เด็ก กับ ครอบครัว หรือ ยังครับ ว่าเค้าอยากได้แบบไหน  เค้าเป็นคนที่ต้องเลี้ยงนะครับ คุณเป็นใครหรือครับ 

คุณเชื่อว่าบาป ใครบาปครับ คุณหรือเค้า   

 

แล้วถ้าได้รับการทำแท้งถูกต้อง จากรัฐบาล แพทย์รัฐบาล จะตกเลือกตายไหม  จริงครับ ความผิดพลาดมันมีครับ แต่น้อยมาก 

 

 

From 1973 through 2011, nearly 53 million legal abortions have occurred in the U.S.  

From 1973-2009, 411 women have died as a result of legal abortion (CDC). 

http://www.abort73.c...ion_statistics/

 

หา % เองนะครับ  (ปีไม่ครบขาดไป สองปี ผมให้หักไป 3 ล้านเลย ปกติ US เค้าทำแท้งกันปีละล้าน)

 

หรือ ถ้าใช้ของคุณในทางกลับกัน คนปกติไม่คิดจะทำแท้งแล้วคลอดลูก แล้วซวยสุดๆ ตกเลือกตาย  

แบบนี้ ผมต้องเสียใจ หรือ ช่วยค่างานศพ เค้าด้วยไหม ในเมื่อเค้าตัดสินใจเค้าเอง  

 

 

ประเด็นนะครับ  

 

ผมให้ สนับสนุนให้เค้า (แม่เด็ก) ตัดสินใจเอง โดนรัฐบาล หาแพทย์ ให้ถ้าเค้าอยากทำแท้ง รวมทั้งแถมเงินด้วย ในฐานะที่

ช่วยประหยัด ทรัพยากรของชาติ   เค้าเลือกเอง ผมจัดหาทางออกให้แล้ว ถ้ายังมัปัญหา ผมไม่เกี่ยวถูกไหม 

 

กลับกัน 

 

พวกคุณ ในนามชาวพุทธ เพราะ คุณแต่ไม่อยากเห็นเด็กตาย ได้ทำการตัดสินใจให้เค้าไปแล้วว่า ต้องเลี้ยง

โดยการกำจัดทางเลือกของเค้า ในการทำแท้ง

แต่ในเวลาที่มีปัญหาตามมา เช่น

 

ตายเพราะทำแท้งเถื่อน คุณไม่เกี่ยว   

เด็กเกิดมา ปัญญาอ่อน พิการ คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

เด็กเกิดมา ไม่มีจะกินเพราะ แม่ไม่พร้อม  คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

เด็กเกิดมา ไร้การศึกษา เพราะ แม่ก็ไร้การศึกษาเหมือนกัน คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

สุดท้าย เกิดเด็กไป ฆ่าคน คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

 

คุณไม่เคยเกี่ยว ถูกครับ เพราะ คุณไม่ใช่เค้า  คุณก็แค่ จำกัดทางเลือก ที่ปลอดภัย และ ดีกว่าของเค้าไป 

ในนามของ มนุษยธรรม  ...    

 

คิดดูดีๆ ว่า  ใครเห็นแก่ตัว กันแน่ 

นอกเหนือไปจาก... เรื่องคนอื่นแล้ว 


Edited by Ender, 8 May 2014 - 16:44.


#76 kanokporn

kanokporn

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,330 posts

Posted 8 May 2014 - 16:49

 

แล้วพวกที่สนับสนุนให้ทำแท้งเนี่ย

1. ออกค่าใช้จ่ายให้แม่เด็กไปทำแท้ง ด้วยหรือเปล่า?

2. ถ้าติดเชื้อมดลูกอักเสบ ตกเลือดตายไป คุณช่วยค่างานศพตัวแม่เค้าด้วยมั้ย?

 

คนที่คิดเรื่อง ภาระค่าใช้จ่ายในอนาคตที่เกิดจากตัวเด็ก เป็นเรื่องสำคัญกว่า ความเสี่ยงในการตายเพราะถูกขูดมดลูก อิชั้นว่าเห็นแก่ตัวนะคะ :)

 

ผมเข้าใจว่าหมายถึงผมนะ    ถ้าผิดไปก็ ขอกราบขออภัย ไว้ก่อน

 

1. ออกค่าใช้จ่ายให้แม่เด็กไปทำแท้ง ด้วยหรือเปล่า?

 

ผม แสดงความเห็นอย่างชัดแจ้งว่า สนับสนุนให่้ รัฐบาล ออกค่าทำแท้ง รวมถึง แถมตัง ให้ด้วย  แบบนี้ใช้ได้หรือป่าว  

กลับกัน คุณ ที่ให้เลี้ยงไว้ กล้าสนับสนุนให่้ รัฐบาล รับเลี้ยงเด็กคนนั้น ถ้าแม่เค้าไม่อยากเลี้ยงหรือปล่าวละครับ 

 

 

2. ถ้าติดเชื้อมดลูกอักเสบ ตกเลือดตายไป คุณช่วยค่างานศพตัวแม่เค้าด้วยมั้ย?

 

งั้นผมใช้ argument แบบคุณ บอกว่า แล้วถ้าเด็กเกิดออกมา ไปวางระเบิดฆ่าคนตาย 30 ศพ

คุณไปช่วยค่าทำศพชาวบ้านตาดำๆไหม   

หรือใกล้กว่านั้น ทำแท้งเถื่อนตกเลือกตาย คุณไปช่วยค่าทำศพแม่เค้าไหม

 

เห็นได้ชัดว่า ข้อ argument ของคุณทั้งสองข้อไม่ได้ยืนอยู่บน ground อะไรเลย  ขอให้ได้เถียงอย่างเดียว  

คนที่คัดค้าน ไม่เคยให้แม่เด็กตัดสิน แต่ พวกเค้าตัดสินเอง ว่า ถ้าแบบนี้ ต้องอย่างนั้น ถ้าไม่ทำแบบนั้นผิด  

ใครสนับสนุน บาปบ้าง เห็นแก่ตัว ...  เอากับเค้าซิ  

 

ถาม แม่เด็ก กับ ครอบครัว หรือ ยังครับ ว่าเค้าอยากได้แบบไหน  เค้าเป็นคนที่ต้องเลี้ยงนะครับ คุณเป็นใครหรือครับ 

คุณเชื่อว่าบาป ใครบาปครับ คุณหรือเค้า   

 

แล้วถ้าได้รับการทำแท้งถูกต้อง จากรัฐบาล แพทย์รัฐบาล จะตกเลือกตายไหม  จริงครับ ความผิดพลาดมันมีครับ แต่น้อยมาก 

 

 

From 1973 through 2011, nearly 53 million legal abortions have occurred in the U.S.  

From 1973-2009, 411 women have died as a result of legal abortion (CDC). 

http://www.abort73.c...ion_statistics/

 

หา % เองนะครับ  (ปีไม่ครบขาดไป สองปี ผมให้หักไป 3 ล้านเลย ปกติ US เค้าทำแท้งกันปีละล้าน)

 

หรือ ถ้าใช้ของคุณในทางกลับกัน คนปกติไม่คิดจะทำแท้งแล้วคลอดลูก แล้วซวยสุดๆ ตกเลือกตาย  

แบบนี้ ผมต้องเสียใจ หรือ ช่วยค่างานศพ เค้าด้วยไหม ในเมื่อเค้าตัดสินใจเค้าเอง  

 

 

ประเด็นนะครับ  

 

ผมให้ สนับสนุนให้เค้า (แม่เด็ก) ตัดสินใจเอง โดนรัฐบาล หาแพทย์ ให้ถ้าเค้าอยากทำแท้ง รวมทั้งแถมเงินด้วย ในฐานะที่

ช่วยประหยัด ทรัพยากรของชาติ   เค้าเลือกเอง ผมจัดหาทางออกให้แล้ว ถ้ายังมัปัญหา ผมไม่เกี่ยวถูกไหม 

 

กลับกัน 

 

พวกคุณ ในนามชาวพุทธ เพราะ คุณแต่ไม่อยากเห็นเด็กตาย ได้ทำการตัดสินใจให้เค้าไปแล้วว่า ต้องเลี้ยง

โดยการกำจัดทางเลือกของเค้า ในการทำแท้ง

แต่ในเวลาที่มีปัญหาตามมา เช่น

 

ตายเพราะทำแท้งเถื่อน คุณไม่เกี่ยว   

เด็กเกิดมา ปัญญาอ่อน พิการ คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

เด็กเกิดมา ไม่มีจะกินเพราะ แม่ไม่พร้อม  คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

เด็กเกิดมา ไร้การศึกษา เพราะ แม่ก็ไร้การศึกษาเหมือนกัน คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

สุดท้าย เกิดเด็กไป ฆ่าคน คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

 

คุณไม่เคยเกี่ยว ถูกครับ เพราะ คุณไม่ใช่เค้า  คุณก็แค่ จำกัดทางเลือก ที่ปลอดภัย และ ดีกว่าของเค้าไป 

ในนามของ มนุษยธรรม  ...    

 

คิดดูดีๆ ว่า  เห็นแก่ตัว กันแน่ 

นอกเหนือไปจาก... เรื่องคนอื่นแล้ว 

 

สิ่งที่คุณพิมพ์มาเนี่ย เกิดเป็นรูปธรรมจริงๆ จังๆ แล้วหรือยังคะ? ทั้งเรื่องรัฐบาลช่วยเหลือค่าทำแท้ง หรือ เด็กเกิดออกมา ไปวางระเบิดฆ่าคนตาย 30 ศพ

 

.....คุณจะมานั่ง มโนความเสียหายของคนอื่นทำไม? ที่อิชั้นตอบคุณ ฮูลิแกน ในฐานะที่คุณฮู รู้สึกติดลบวิถีชาวพุทธของญาติผู้ใหญ่เขา อิชั้นตอบไปว่า ชาวพุทธไม่ได้แบบนั้นทุกคนนะ เราสอนให้ยอมรับความจริงแล้วอยู่กับความจริงให้ได้ เราไม่สอนให้ประณามใคร



#77 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

Posted 8 May 2014 - 16:51

ใครจะอ้างเรื่องอะไรก็แล้วแต่

 

เด็ก ที่อยู่ในท้องแม่ ใครทำให้เกิด

 

เป็นความผิดของเด็กหรือ

แล้วคนที่ทำให้เกิด เป็นต้นเหตุมักง่ายโดยการฆ่าทิ้งไปง่ายง่ายอย่างนั้นหรือ


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#78 akincana

akincana

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 255 posts

Posted 8 May 2014 - 16:51

 

ผมมีข้อสังเกตบางอย่างที่อยากฝากให้ช่วยกันคิดต่อด้วยครับ

*****************************

คำว่า "ปาณาติบาต" แปลเป็นไทยว่า "ฆ่า" ซึ่งมีความหมายไม่ดี (คือแค่ได้ยินก็ชวนให้คิดว่าผิดแล้ว)

ส่วนในภาษาบาลีแปลว่า "ทำให้หมดลมหายใจ" (taking breath) หรือ "ทำให้ชีวิตตกล่วงไป"

ผมขอเรียกง่ายๆ ว่า "ยุติชีวิต" ก็แล้วกัน

ปัญหาอยู่ตรงนี้ครับ

สมมติว่ามีหมาตัวหนึ่งป่วยเป็นโรคหัดระยะสุดท้าย

เชื้อจุลินทรีย์จำนวนมหาศาลรุมแทะทึ้งสมองของมันจนหมดสภาพแล้ว

มันเดินสะเปะสะปะ อาเจียนไป ฉี่ราดไป ชนข้าวของระเนระนาด ถ้ามัดไว้ก็จะดิ้น เพราะมันเจ็บปวดจากข้างใน

สัตวแพทย์บอกว่า ถ้ามัดไว้อย่างนั้นก็คงตะตายไปเอง แต่ไม่รู้เมื่อไหร่

คำว่า "ไม่รู้เมื่อไหร่" นี่แหละที่ทำให้เจ้าของคิดหนัก

ท้ายที่สุด เจ้าของก็ขอให้หมอให้ยาเพื่อให้มันหลับไป

ที่ขออย่างนั้นก็เพราะเขารักมัน ทนเห็นสภาพที่น่าเวทนาของมันไม่ได้

นี่คือวิธีสุดท้ายที่เขาพยายามปกป้องหมาที่เลี้ยงมันมาอย่างเพื่อนจนถึงที่สุด

ตรงนี้แหละครับที่ผมสงสัยว่า ความสงสารและความพยายามที่จะช่วย "ยุติความทรมานของมัน" เป็นปาณาติบาตหรือไม่?

บางครั้งก็คิดว่าพอจะเห็นคำตอบรางๆ แล้วว่า

"จะเป็นปาณาติบาตได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าของหมารักมันมาก ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับมันเลย"

แต่พอกลับไปคิดทบทวนอีกทีก็ไม่แน่ใจ

เพราะคำตอบที่คิดได้ในตอนแรกนั้นคิดโดยเอา "เจตนาของผู้กระทำ" เป็นตัวตั้ง

แต่ความไม่แน่ใจที่เกิดขึ้นในตอนหลังนั้นคิดจาก "ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ"

ผมหวังว่า วันหนึ่ง ถ้าเด็กในครรภ์หรือหมาตัวนั้นพูดได้ ปัญหาแบบนี้ก็คงจะยุติไปเสียที

:( :(

เราชอบดูช่องทรูเอ็กซพลอร์1 มันจะเป็นช่องรวมสัตว์ สัตว์แพทย์ฝรั่งบางคนแบบคุณหมอ คริส บราวน์ (Bondi vet) น่ารักมากมาย

แต่บางตอน (ซึ่งไม่ใช่คุณหมอคริส) เป็นเรื่องม้าป่วย ปลาวาฬเกยตื้นอะไรเงี้ย..ฝรั่ง เขามีแนวคิดว่า มันจะทรมาน ต้องทำให้มันหลับไปซะ เราก็ยังสงสัยอยู่ในใจ พวกคุณวิชาการล้ำเลิศทำไมต้องไปคิดแทนสัตว์ด้วยฟระ?  มันอาจไม่อยากตายก็ได้ สัตว์ที่คิดฆ่าตัวตายมีน้อยมากๆ เลยนะ ที่มันดิ้นรนคือ ต้องการเอาชีวิตรอดตะหาก

 

 

ผมก็เคยติดอยู่พักนึง

ดูแล้วมีความสุขไงไม่รู้...บอกไม่ถูกครับ



#79 เสือยิ้มยาก

เสือยิ้มยาก

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,695 posts

Posted 8 May 2014 - 16:51

แต่เรื่องเด็กพิการในท้อง เรื่องสัตว์ป่วย หรือแม้แต่คนป่วยทรมานมาก เห็นแล้วมันรับไม่ได้ อันนี้ผมเห็นด้วยนะว่า ควรให้เขาไปซะ ไปอย่าสงบ

และผมต้องทำแน่ๆถ้าเจอด้วยตัวเอง (แต่ยังไม่เคยเจอ) ส่วนเรื่องทำแท้งนั้น ยังยืนยันว่าควรให้พิจารณาเป็นรายๆไป ตามดุลยพินิจของหมอครับ

 

ส่วนเหตุผลที่ต้องทำแท้ง เพราะโน่นนี่นั่น ผมมองว่า ไม่มีความรับผิดชอบ และโหดร้ายเกินไป ไม่เกี่ยวว่าเป็นเมืองพุทธหรืออะไร ผมคิดแค่นั้นแหละ

อย่างไรเสีย ผมก็ไม่ค้านหัวชนฝาว่า ห้ามเปิดกฏหมายทำแท้งเสรี แต่ตอนนี้เวลานี้ และยังอีกหลายปี ประชาชนคนไทยก็ยังไม่เหมาะ เพราะคนมันยังไม่มีความรับผิดชอบ

 

บางแห่งไม่ต้องมีกฎหมายจับปรับเรื่องทิ้งขยะ แต่ก็ไม่มีใครทิ้งขยะเลย แต่บางแห่งมีกฎหมายจับปรับมันก็ยังทิ้งขยะกันให้เกลื่อน มันหมายความว่ายังไง :lol:


        shotgun.gif       d444.gif        cheesy.gif

 


#80 kanokporn

kanokporn

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,330 posts

Posted 8 May 2014 - 16:59

แต่ว่าสิ่งที่อิชั้นพิมพ์เรื่อง

- อาจเกิดติดเชื้อมดลูกอักเสบตกเลือดตาย

- แม่จะเป็นโรคซึมเศร้าหลังไปทำแท้งมา เนี่ย..มีจริง เกิดขึ้นจริงแล้ว

 

ส่วนเด็กน้อยที่อาจเกิดมาพิการ ยุคนี้โซเชี่ยลมีเดียช่วยท่านได้ค่ะ ขอแค่กล้าเปิดตัว

อิชั้นเคยเจอเฟสที่แม่เป็นคนทำให้ลูก เพื่อขอรับการบริจาคค่ารักษาลูกที่ป่วยต้องผ่าตัด เป็นของต่างชาติค่ะ แฟนเพจกดไลค์เข้ามาให้กำลังใจกันตรึม ความช่วยเหลือที่เข้ามาก็มีไม่น้อย เสียดายอิชั้นไม่เล่นเฟสแล้ว ไม่งั้นจะหามาโพสต์ให้คุณดู

 

ท้ายสุด เด็กคนนั้นกลายเป็น เนตไอดอล ทั้งที่มีสายออกซิเจนเสียบจมูกอยู่ตลอดเวลา เพราะแม่ปั้น :)


Edited by kanokporn, 8 May 2014 - 17:01.


#81 Bookmarks

Bookmarks

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 33,617 posts

Posted 8 May 2014 - 17:01

ธรรมชาติของสัตว์ แม่มันจะรู้ว่า ตัวไหนไม่แข็งแรง และด้วยอาหารที่จำกัด ธรรมชาติของสัตว์มันรู้ว่า ต้องกำจัดทิ้ง โดยปล่อยให้ตาย แต่มนุษย์ไม่รู้ ธรรมชาติของสัตว์ ไม่รู้วิธีคุมกำเนิด แต่คนรู้วิธีคุมกำเนิด แต่ไม่คุม??? ความแตกต่างของสัตว์กับคน 



#82 Ender

Ender

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 247 posts

Posted 8 May 2014 - 17:06

 

 

แล้วพวกที่สนับสนุนให้ทำแท้งเนี่ย

1. ออกค่าใช้จ่ายให้แม่เด็กไปทำแท้ง ด้วยหรือเปล่า?

2. ถ้าติดเชื้อมดลูกอักเสบ ตกเลือดตายไป คุณช่วยค่างานศพตัวแม่เค้าด้วยมั้ย?

 

คนที่คิดเรื่อง ภาระค่าใช้จ่ายในอนาคตที่เกิดจากตัวเด็ก เป็นเรื่องสำคัญกว่า ความเสี่ยงในการตายเพราะถูกขูดมดลูก อิชั้นว่าเห็นแก่ตัวนะคะ :)

 

ผมเข้าใจว่าหมายถึงผมนะ    ถ้าผิดไปก็ ขอกราบขออภัย ไว้ก่อน

 

1. ออกค่าใช้จ่ายให้แม่เด็กไปทำแท้ง ด้วยหรือเปล่า?

 

ผม แสดงความเห็นอย่างชัดแจ้งว่า สนับสนุนให่้ รัฐบาล ออกค่าทำแท้ง รวมถึง แถมตัง ให้ด้วย  แบบนี้ใช้ได้หรือป่าว  

กลับกัน คุณ ที่ให้เลี้ยงไว้ กล้าสนับสนุนให่้ รัฐบาล รับเลี้ยงเด็กคนนั้น ถ้าแม่เค้าไม่อยากเลี้ยงหรือปล่าวละครับ 

 

 

2. ถ้าติดเชื้อมดลูกอักเสบ ตกเลือดตายไป คุณช่วยค่างานศพตัวแม่เค้าด้วยมั้ย?

 

งั้นผมใช้ argument แบบคุณ บอกว่า แล้วถ้าเด็กเกิดออกมา ไปวางระเบิดฆ่าคนตาย 30 ศพ

คุณไปช่วยค่าทำศพชาวบ้านตาดำๆไหม   

หรือใกล้กว่านั้น ทำแท้งเถื่อนตกเลือกตาย คุณไปช่วยค่าทำศพแม่เค้าไหม

 

เห็นได้ชัดว่า ข้อ argument ของคุณทั้งสองข้อไม่ได้ยืนอยู่บน ground อะไรเลย  ขอให้ได้เถียงอย่างเดียว  

คนที่คัดค้าน ไม่เคยให้แม่เด็กตัดสิน แต่ พวกเค้าตัดสินเอง ว่า ถ้าแบบนี้ ต้องอย่างนั้น ถ้าไม่ทำแบบนั้นผิด  

ใครสนับสนุน บาปบ้าง เห็นแก่ตัว ...  เอากับเค้าซิ  

 

ถาม แม่เด็ก กับ ครอบครัว หรือ ยังครับ ว่าเค้าอยากได้แบบไหน  เค้าเป็นคนที่ต้องเลี้ยงนะครับ คุณเป็นใครหรือครับ 

คุณเชื่อว่าบาป ใครบาปครับ คุณหรือเค้า   

 

แล้วถ้าได้รับการทำแท้งถูกต้อง จากรัฐบาล แพทย์รัฐบาล จะตกเลือกตายไหม  จริงครับ ความผิดพลาดมันมีครับ แต่น้อยมาก 

 

 

From 1973 through 2011, nearly 53 million legal abortions have occurred in the U.S.  

From 1973-2009, 411 women have died as a result of legal abortion (CDC). 

http://www.abort73.c...ion_statistics/

 

หา % เองนะครับ  (ปีไม่ครบขาดไป สองปี ผมให้หักไป 3 ล้านเลย ปกติ US เค้าทำแท้งกันปีละล้าน)

 

หรือ ถ้าใช้ของคุณในทางกลับกัน คนปกติไม่คิดจะทำแท้งแล้วคลอดลูก แล้วซวยสุดๆ ตกเลือกตาย  

แบบนี้ ผมต้องเสียใจ หรือ ช่วยค่างานศพ เค้าด้วยไหม ในเมื่อเค้าตัดสินใจเค้าเอง  

 

 

ประเด็นนะครับ  

 

ผมให้ สนับสนุนให้เค้า (แม่เด็ก) ตัดสินใจเอง โดนรัฐบาล หาแพทย์ ให้ถ้าเค้าอยากทำแท้ง รวมทั้งแถมเงินด้วย ในฐานะที่

ช่วยประหยัด ทรัพยากรของชาติ   เค้าเลือกเอง ผมจัดหาทางออกให้แล้ว ถ้ายังมัปัญหา ผมไม่เกี่ยวถูกไหม 

 

กลับกัน 

 

พวกคุณ ในนามชาวพุทธ เพราะ คุณแต่ไม่อยากเห็นเด็กตาย ได้ทำการตัดสินใจให้เค้าไปแล้วว่า ต้องเลี้ยง

โดยการกำจัดทางเลือกของเค้า ในการทำแท้ง

แต่ในเวลาที่มีปัญหาตามมา เช่น

 

ตายเพราะทำแท้งเถื่อน คุณไม่เกี่ยว   

เด็กเกิดมา ปัญญาอ่อน พิการ คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

เด็กเกิดมา ไม่มีจะกินเพราะ แม่ไม่พร้อม  คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

เด็กเกิดมา ไร้การศึกษา เพราะ แม่ก็ไร้การศึกษาเหมือนกัน คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

สุดท้าย เกิดเด็กไป ฆ่าคน คุณก็ไม่เกี่ยวอีก 

 

คุณไม่เคยเกี่ยว ถูกครับ เพราะ คุณไม่ใช่เค้า  คุณก็แค่ จำกัดทางเลือก ที่ปลอดภัย และ ดีกว่าของเค้าไป 

ในนามของ มนุษยธรรม  ...    

 

คิดดูดีๆ ว่า  เห็นแก่ตัว กันแน่ 

นอกเหนือไปจาก... เรื่องคนอื่นแล้ว 

 

สิ่งที่คุณพิมพ์มาเนี่ย เกิดเป็นรูปธรรมจริงๆ จังๆ แล้วหรือยังคะ? ทั้งเรื่องรัฐบาลช่วยเหลือค่าทำแท้ง หรือ เด็กเกิดออกมา ไปวางระเบิดฆ่าคนตาย 30 ศพ

 

.....คุณจะมานั่ง มโนความเสียหายของคนอื่นทำไม? ที่อิชั้นตอบคุณ ฮูลิแกน ในฐานะที่คุณฮู รู้สึกติดลบวิถีชาวพุทธของญาติผู้ใหญ่เขา อิชั้นตอบไปว่า ชาวพุทธไม่ได้แบบนั้นทุกคนนะ เราสอนให้ยอมรับความจริงแล้วอยู่กับความจริงให้ได้ เราไม่สอนให้ประณามใคร

 

 

คุณมาแบบนี้  ผมไปไม่ถูกนะครับ  

 

อธิบายง่ายๆ

งั้น เราเชียร์และสนันสนุน กำนันสุเทพ ถึง การกำจัดระบอบทักษิณทำไมครับ  สิ่งที่กำนัน มโน หรือ คุณและผม มโน  เกิดเป็นรูปธรรมจริงๆ จังๆ แล้วหรือยัง  

หรือ กำนัน จะมานั่ง มโนความเสียหาย   ของชาติทำไมครับถ้า อิปูยังอยู่ในตำแหน่ง  หรือ ระบอบ ทักษิณยังอยู่  ไปเรื่อยๆ  เพราะ มันก็ยังไม่เกิด

ความเสียหาย 2 ล้านๆ ก็ มโน อิก ใช่ไหม     

 

ถ้าสิ่งไหน ยังมี  ห้ามคิด ห้ามมโน คิดไม่ได้ แล้วเราจะมี จินตนาการ หรือ ความคิดไปทำไมครับ เอาแค่ ถามม้าตอบม้า ถามช้างตอบช้างเป็น อิปูก็พอเหรือ 

แปลกนะครับ เรายิ่งอยากให้เด็กมีความคิด แต่ บางท่านกลับห้าม มโน ..   เพราะ มันยังไม่มี  ...  ท่านเอาจริงหรือครับ

 

เราอยากมี รัฐบาลที่ดีกว่านี้  มีการเลือกตั้งที่ดีกว่านี้ มี ตำรวจที่ดีกว่านี้ เพราะ ตอนนี้เรายังไม่มีใช่ไหม 

ผมก็อยากมี รัฐบาลที่ สนับสนุนให้ทำแท้ง เพราะ เราก็ยังไม่ไมี แบบนี้ ไม่ได้หรือยังไง   



#83 kanokporn

kanokporn

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,330 posts

Posted 8 May 2014 - 17:15

ตอบคุณ Ender นะคะ อิชั้นขี้เกียจโควทเพราะอ่านลำบาก

 

- อิชั้นพิมพ์และเสนอความคิดในสิ่งที่เชื่อ ไม่ได้หมายความว่า  ความคิดกูถูก ของคนอื่นผิด

 

- อย่างที่บอกไปข้างต้น ที่อิชั้นตอบคุณ ฮูลิแกน ในฐานะที่คุณฮู รู้สึกติดลบวิถีชาวพุทธของญาติผู้ใหญ่เขา จึงตอบไปว่า ชาวพุทธไม่ได้แบบนั้นทุกคนนะ เราสอนให้ยอมรับความจริงแล้วอยู่กับความจริงให้ได้ เราไม่สอนให้ประณามใคร มีสถานที่อย่างเสถียรธรรมสถานอยู่

 

- การจินตนาการ กลัวโน่น นี่ นั่น ทั้งที่ยังไม่เกิด มันอาจหลอนจนทำให้เราทุกคนตัดสินใจผิดพลาดก็ได้

 

- อิชั้นสามารถรู้ใจผู้หญิง เพราะอิชั้นมีมดลูกค่ะ มันน่ากลัว ถ้าจะมีใครเอาเหล็กมาแหย่เข้าไปแล้ว ขูด ขูด ขูด จนเยื่อบุโพรงมดลูกหลุดออกมาจนหมด มันจะปวดท้อง ทรมานมาก ถ้าติดเชื้อเพราะเครื่องมือไม่สะอาด เรามีสิทธิ์ตาย อิชั้นสงสัยว่าผู้ชาย(ที่เป็นเอทิสต์ด้วย) จะมาเข้าใจความรู้สึกอะไรของพวกเราได้ดีขนาดตอบเป็นฉากๆ บนเว็บบอร์ด ว่าการทำแท้งมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเรา



#84 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

Posted 8 May 2014 - 17:22

ศาสนาพุทธ ไม่สาธารณะ

ไม่ทุกคนที่จะใส่ใจและสนใจ

ต่างก็วิจารณ์ไปตามความเชื่อส่วนตัวล้วนล้วน

ไล่กันจนสุดซอย ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

 

เรานับถือศาสนาพุทธตามบัตรประชาชนกันเท่านั้น


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#85 แม้ว ม.7

แม้ว ม.7

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,237 posts

Posted 8 May 2014 - 18:14

ใครจะท้องใครจะแท้งมันไม่สำคัญหรอก เพราะร่างกายและชีวิตของคนๆนั้น
เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกทำอย่างไรก็ได้  :mellow: ที่สำคัญคนบ้านเรายังขาดความรับผิดชอบต่างหาก
คนบ้านเราชอบเรียกร้องสิทธิโน่นนี่ แต่ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง
… ถ้าเปรียบเทียบฝรั่งแล้วเขารู้จักทั้งสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง มันสำคัญพอๆกัน


ร่างกายของเรามิใช้สิทธิ์ของเรา100%หรอกครับ

พ่อ แม่ ปู่ย่า ตายาย ไหนจะสังคมที่เราอาศัยทรัพยากรเพื่อเติบโต

ตราบเท่าที่เรายังอยู่ในสังคม เราก็ต้องรับผิดชอบตามกฎสังคม

แต่ผมเห็นด้วยในประเด็นคนรู้จักแต่สิทธิ แต่ไม่สนหน้าที่

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้พูดตัดพ้อกับคนที่เดินทางไปพบว่า “พรรคเพื่อไทยมีคนเก่งๆ เยอะ ทั้งนักวิชาการ ด็อกเตอร์ ทูต แต่ไม่กล้าออกมาสู้ คนหน้าตาดีไม่ออกมา พวกที่ออกมาหน้าตาไม่ค่อยดี ไม่เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายตรงข้าม คนมีความรู้ นักวิชาการออกมาเยอะแยะเลย คนจริงใจกับผมมันน้อย วางยาผม เพราะตัวเองอยากอยู่นานๆ เห็นว่านายกฯ ไม่แข็ง แต่ท่านนายกฯ ก็ดี แต่คนรอบข้างไม่เป็นการเมือง ผมส่งคนเป็นการเมืองไปนายกฯ ก็ไม่เอา ผมก็สงสารนายกฯ จึงไม่อยากจู้จี้ แต่คนที่เมืองไทยมันไม่ได้ดั่งใจ” 

http://astv.mobi/AlgEYM7

แปลสั้นๆ เขาด่าไอ้เสร่อแกนนำแดงว่า"โง่แต่ขยัน"


#86 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

Posted 8 May 2014 - 18:30

ตัดเรื่อง ศีลธรรม บาป บุญคุณโทษและความเห็นด้านจิตวิทยาออกไปให้หมด

เพื่อเป็นกลางต่อทุกฝ่าย

 

ผมยึดหลัก ผู้ใช้ต้องจ่าย

ใครขึ้นทางด่วน ผู้นั้นก็ต้องจ่ายค่าทางด่วน ชาวนาปลูกข้าวอยู่ในนาไม่จำต้องมาจ่ายแทนใคร

ใครสูบบุหรี่ ทำให้เกิดมะเร็ง ก็ต้องจ่ายค่าบุหรีแพงเพื่อนำเงินไปรักษาพยาบาลในวันหน้า

ใครกินเหล้า ทำให้เกิดมะเร็งในตับ ก็ต้องจ่ายค่าเหล้าแพงเพื่อนำเงินไปรักษาพยาบาลในวันหน้า

……ในลักษณะนี้ทุกเรื่อง

ก่อนท้องก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม กรณีสุดวิสัยหรืออาจเป็นอันตรายต่อแม่และเด็กก็ควรให้อยู่ในคำวินิจฉัยของแพทย์เป็นเด็ดขาด

ที่สำคัญคือ จะมีลูก ก็ต้องพร้อมที่จะมีก่อน หรือกรณีถูกข่มขืน ก็ว่าไปตามเหตุผลที่สมควรจริง แต่ในที่สุดก็ขึ้นกับความสูงต่ำทางศีลธรรมของแต่ละคน

รัฐควรมีหน่วยงานรับผิดชอบส่วนนี้ อย่างเต็มที่

 

มากกว่า 90% กับปัญหานี้ผมเชื่อว่าเกิดจากความไม่พร้อมแล้วไปทำแท้ง คนธรรมดาปกติปัญหากลับตรงข้ามว่ามีลูกยาก เสียมากกว่า

 

เวลาสนุกกัน คนอื่นไม่สนุกด้วย แล้วจะมาเรียกร้องให้สังคมรับผิดชอบต่อความสนุกของตัวเอง

อย่างนี้ไม่เป็นการเอาเปรียบสังคมมากไปหน่อยหรือ


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#87 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

Posted 8 May 2014 - 19:21

เรามีสิทธิในร่างกายเรา 100 % หรือไม่???

 

นี้ก็เป็นรากฐานความคิดต่อยอดมาเป็นการทำแท้งเสรี

 

หาก เรามีสิทธิในร่างกายเรา 100%

เราไม่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยก็ได้

เราไม่ต้องใส่หมวดกันน็อค ก็ได้

เราไม่ต้องใช้ อุปกรณ์ safety ในงานก็ได้

นึกอยากวิ่งข้ามถนน เมื่อไหร่ อย่างไร ก็ได้

แม้กระทั่ง ฆ่า ตัวตาย ก็ไม่ผิดกฎหมาย

 

เรามีสิทธินั้นจริงหรือ

 

เอาให้ชัดเจนกันก่อน

แต่เด็กที่อยู่ในท้องเป็นอีกชีวิตหนึ่ง แยกต่างหากออกไป

หากเรามีสิทธิที่จะทำอย่างไรก็ได้กับอีกชีวิต

นี้เป็นการอ้างสิทธิของชีวิตเหนือ ผู้อื่น

 

เราไม่ได้เป็นเจ้าชีวิตคนอื่นแน่นอน


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#88 isa

isa

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 447 posts

Posted 8 May 2014 - 20:26

สำหรับความเห็นของผม เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นความเสื่อมและความเพี้ยนของสังคมปัจจุบันครับ

 

ทำไมถึงต้องทำแท้ง ก็เพราะมีท้อง ทำไมถึงมีท้อง ก็เพราะมีเพศสัมพันธ์ และที่ต้องทำแท้งเพราะมีเพศสัมพันธ์โดยที่ยังไม่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตคนทั้งชีวิต

 

ก็ต้องไปตั้งคำถามใหม่ว่า "เรื่อง Sex กลายเป็นความบันเทิงของคนทั่วไปตั้งแต่เมื่อไหร่?"

 

ผมไม่คิดว่าแต่เดิมที Sex จะถูกใช้เพื่อความบันเทิงสำหรับคนทั่วไปนะ เพราะ Sex เป็นเรื่องที่สัมพันธ์โดยตรงกับการสืบเผ่าพันธ์ ซึ่งเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ และเกี่ยวพันกับภาระหน้าที่ต่างๆมากมายของเจ้าตัวและของครอบครัวในการเลี้ยงดูทายาทคนใหม่ที่อาจจะเกิดมา ตลอดจนญาติกลุ่มใหม่ๆที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยผ่านการแต่งงาน และในยุคไม่กี่สิบปีก่อน คนเรายังไม่ค่อยรู้จักการคุมกำเนิด เรียกว่าเสียบเข้าไปเมื่อไหร่ โอกาสท้อง 50/50 ดังนั้นแม้ Sex จะเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ แต่ผมไม่คิดว่าการ Sexual Intercourse จะเป็นความบันเทิงสำหรับคนทั่วไป เว้นแต่คนเจ้าชู้ไร้ความรับผิดชอบ คนไม่มีความคิด และคนที่ฐานะมั่งคั่งพอที่จะ Support เมียหรือทายาทได้ทีละหลายๆคน

 

และเพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการนี้จะไม่ถูกละเมิด สังคมถึงต้องสร้างค่านิยม ขนบประเพณีหลายๆอย่างมาช่วยปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรักษาพรหมจรรย์ เพื่อให้แน่ใจว่าทายาทที่กำเนิดมา และตระกูลนั้นต้องเลี้ยงดูรับผิดชอบ จะเป็นทายาทแท้จริง ไม่ใช่กาฝากนอกตระกูลที่จะสร้างความวุ่นวายสับสนในอนาคตทั้งต่อวงศ์ตระกูล ทั้งต่อตัวเด็ก

 

 

การที่สังคมสมัยก่อนไม่ค่อยมีการทำแท้ง เพราะเขาไม่ฝ่าประเพณีกันไงครับ ถ้ามีการฝ่ากันก็คือรักกันจริงแต่พ่อแม่ไม่ยอมรับ ถึงต้องพากันหนี แล้วค่อยอุ้มหลานไปกราบขอขมาพ่อตาแม่ยายทีหลัง อีกอย่าง คนสมัยก่อนเขารู้จักบาปบุญคุณโทษ เขาไม่ทำแท้งกันหรอกครับ ถ้าจะมีทำ ก็อยู่เฉพาะในหมู่ผู้หญิงขายตัวจำนวนน้อยในสังคมเท่านั้น ไม่ใช่ในสังคมปกติ

 

 

เป็นความไร้ความรับผิดชอบของสื่อปัจจุบันหรือเปล่า ที่สร้างภาพให้ Sex กลายเป็นความบันเทิงที่ใครก็ได้สามารถเข้าถึงได้ แม้จะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ยังรับผิดชอบตัวเองก็ยังไม่ได้ โดยตัดภาพเรื่องของภาระสังคมที่อาจจะตามมาไปโดยสิ้นเชิง

 

อย่างหนังเรื่อง Hormone ที่เป็นที่ถกเถียงกัน ผมก็ไม่เห็นด้วยกับผู้กำกับนะ แน่นอนว่าเราปฏิเสธไม่ได้ว่ามี Sex ในเด็กวัยเรียนจริง แต่ข้อเท็จจริงก็คือ มีนักเรียนมัธยมใจแตกเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ต่อโรงเรียนเท่านั้น ที่มีเพศสัมพันธ์กันในวัยเรียน และปกติทางโรงเรียนหรือครอบครัวก็ควรสามารถที่จะจัดการกับมันแบบ Case by Case ได้ แต่พอพวกสื่อยกมันขึ้นมาอยู่หน้าฉาก  ราวกับมันเป็นเรื่องปกติที่ใครๆก็ทำกัน มันก็จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของสังคม ซึ่งจะเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กที่เคยอยู่พ้นเส้นมาตรฐานให้ต่ำลงไป ผลก็คือโรงเรียนและครอบครัวต้องรับมือกับปัญหาเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนเพิ่มมากกว่าเดิม และแน่นอนว่าเมื่อมาตรฐานกลางมันต่ำลง พฤติกรรม Bottom line ที่มันเคยเลวร้ายอยู่แล้ว มันก็จะยิ่งตกต่ำเลวร้ายลงกว่าเดิม นั่นแหละคือสิ่งที่เหล่าครูเขากลัวกัน และเราก็รู้ดีอยู่แล้วว่าสังคมไทยคือสังคมเลียนแบบกันแบบไม่ค่อยมีความคิดเท่าไหร่หรอก

 

ดังนั้นการสนับสนุนให้ทำแท้งกันโดยเสรี ก็เท่ากับว่าเราสนับสนุนให้เด็กมี Sex กันโดยไร้ความรับผิดชอบ ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย ซึ่งการมี Sex กันโดยอายุยังน้อย รับผิดชอบตัวเองไม่ได้ แถมไม่ป้องกัน แค่นี้มันก็สะท้อนความไม่รับผิดชอบพออยู่แล้ว และการทำแท้ง มันก็คือการ "ฆ่าคน" ดีๆนี่เอง ดังนั้นคนที่ทำแท้งได้โดยไม่รู้สึกอะไร โดยเฉพาะฝั่งผู้หญิง (เพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นกับตัวคุณเอง) ผมก็ไม่ชัวร์กับมาตรฐานคุณธรรมในจิตใจเท่าไหร่หรอกนะ ลองคิดดูแล้วกันว่าอนาคตที่เต็มไปด้วยผู้ใหญ่ที่ไม่เคยรับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่น จะเป็นอย่างไร

 

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดก็คือ การโยนกลองความผิดพวกนี้ให้ผู้ชาย ผู้ชายที่ให้เกียรติผู้หญิงก็มีอยู่มากมาย แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัว คนที่ตัดสินใจมี Sex กับผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบก็คือตัวผู้หญิงเองไม่ใช่หรือ แถมมีข้อมูลสนับสนุนด้วยซ้ำว่า ผู้หญิงจะไม่ค่อยเลือกผู้ชายที่สงวนท่าที แต่จะเปิดใจให้ผู้ชายที่เจ้าชู้มากกว่า เพราะท่าทีชัดเจนกว่า และแน่นอนว่าเรื่องคุยเรื่องเข้าหาผู้หญิงก็จัดเจนกว่าด้วย ดังนั้นถ้าจะป้องกัน คนในอดีตเขาทำถูกแล้วที่ให้ไปป้องกันที่ผู้หญิง เพราะเขารู้ว่าผู้ชายดีๆ มันคิดเยอะอยู่แล้วก่อนจะมีอะไรกับผู้หญิงสักคน แต่ผู้ชายเจ้าชู้ มันมาเพื่อสิ่งนี้อยู่แล้ว เวลาเขาสอน ผู้ชายกับผู้หญิงสมัยก่อนเขาถึงสอนต่างกัน เวลาสอนผู้หญิง เขาจะสอนให้รับผิดชอบ ดูแลตัวเอง แต่สอนผู้ชาย เขาจะสอนให้รับผิดชอบคนอื่น (เว้นในครอบครัวคนจีนบางบ้านที่มองลูกชายเป็นเทพฯนะ)

 

ไม่รู้นะ เวลาที่เห็นครอบครัวที่มีลูกสาว เลี้ยงดูลูกแบบทำใจว่า ก็เลี้ยงเท่าที่จะทำได้ อะไรจะเกิดก็ต้องให้เกิด แล้วค่อยมาปะรอยร้าวกัน แล้วก็รู้สึกหดหู่ว่าสังคมเราทุกวันนี้มันมาถึงจุดนี้ได้ไง  -_-



#89 Maratiraj_

Maratiraj_

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 826 posts

Posted 8 May 2014 - 20:33

เดี๊ยวนี้เริ่มมีคนสร้างวาทะกรรมนิว่า

 

จริยธรรม ศิลธรรม ไม่ใช่สิ่งสากล

 

จริยธรรม ศิลธรรม ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว แต่มีได้หลายมุมมอง

 

ใครที่พยายาม สร้าง จริยธรรม ศิลธรรม สากล นั้นคือเผด็จการ



#90 Huligan

Huligan

    ดาวพยศนภา

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,880 posts

Posted 8 May 2014 - 20:36

 

 

ผมมีข้อสังเกตบางอย่างที่อยากฝากให้ช่วยกันคิดต่อด้วยครับ

*****************************

คำว่า "ปาณาติบาต" แปลเป็นไทยว่า "ฆ่า" ซึ่งมีความหมายไม่ดี (คือแค่ได้ยินก็ชวนให้คิดว่าผิดแล้ว)

ส่วนในภาษาบาลีแปลว่า "ทำให้หมดลมหายใจ" (taking breath) หรือ "ทำให้ชีวิตตกล่วงไป"

ผมขอเรียกง่ายๆ ว่า "ยุติชีวิต" ก็แล้วกัน

ปัญหาอยู่ตรงนี้ครับ

สมมติว่ามีหมาตัวหนึ่งป่วยเป็นโรคหัดระยะสุดท้าย

เชื้อจุลินทรีย์จำนวนมหาศาลรุมแทะทึ้งสมองของมันจนหมดสภาพแล้ว

มันเดินสะเปะสะปะ อาเจียนไป ฉี่ราดไป ชนข้าวของระเนระนาด ถ้ามัดไว้ก็จะดิ้น เพราะมันเจ็บปวดจากข้างใน

สัตวแพทย์บอกว่า ถ้ามัดไว้อย่างนั้นก็คงตะตายไปเอง แต่ไม่รู้เมื่อไหร่

คำว่า "ไม่รู้เมื่อไหร่" นี่แหละที่ทำให้เจ้าของคิดหนัก

ท้ายที่สุด เจ้าของก็ขอให้หมอให้ยาเพื่อให้มันหลับไป

ที่ขออย่างนั้นก็เพราะเขารักมัน ทนเห็นสภาพที่น่าเวทนาของมันไม่ได้

นี่คือวิธีสุดท้ายที่เขาพยายามปกป้องหมาที่เลี้ยงมันมาอย่างเพื่อนจนถึงที่สุด

ตรงนี้แหละครับที่ผมสงสัยว่า ความสงสารและความพยายามที่จะช่วย "ยุติความทรมานของมัน" เป็นปาณาติบาตหรือไม่?

บางครั้งก็คิดว่าพอจะเห็นคำตอบรางๆ แล้วว่า

"จะเป็นปาณาติบาตได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าของหมารักมันมาก ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับมันเลย"

แต่พอกลับไปคิดทบทวนอีกทีก็ไม่แน่ใจ

เพราะคำตอบที่คิดได้ในตอนแรกนั้นคิดโดยเอา "เจตนาของผู้กระทำ" เป็นตัวตั้ง

แต่ความไม่แน่ใจที่เกิดขึ้นในตอนหลังนั้นคิดจาก "ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ"

ผมหวังว่า วันหนึ่ง ถ้าเด็กในครรภ์หรือหมาตัวนั้นพูดได้ ปัญหาแบบนี้ก็คงจะยุติไปเสียที

:( :(

เราชอบดูช่องทรูเอ็กซพลอร์1 มันจะเป็นช่องรวมสัตว์ สัตว์แพทย์ฝรั่งบางคนแบบคุณหมอ คริส บราวน์ (Bondi vet) น่ารักมากมาย

แต่บางตอน (ซึ่งไม่ใช่คุณหมอคริส) เป็นเรื่องม้าป่วย ปลาวาฬเกยตื้นอะไรเงี้ย..ฝรั่ง เขามีแนวคิดว่า มันจะทรมาน ต้องทำให้มันหลับไปซะ เราก็ยังสงสัยอยู่ในใจ พวกคุณวิชาการล้ำเลิศทำไมต้องไปคิดแทนสัตว์ด้วยฟระ?  มันอาจไม่อยากตายก็ได้ สัตว์ที่คิดฆ่าตัวตายมีน้อยมากๆ เลยนะ ที่มันดิ้นรนคือ ต้องการเอาชีวิตรอดตะหาก

 

 

ผมก็เคยติดอยู่พักนึง

ดูแล้วมีความสุขไงไม่รู้...บอกไม่ถูกครับ

 

 

ผมก็ชอบดูครับ(เมื่อตอนเด็ก)พวกสารคดีสัตว์น่ะนะ

แต่มีผู้ใหญ่บางคนมาวิจารณ์ว่า เวลาดูสัตว์ไล่ล่ากัน ไม่สงสารมันรึไง?ถ้าตัวเองเป็นเหยื่อจะรู้สึกยังไง?(นี่ก็เศือกคิดแทนสัตว์อีก?)

ดราม่าแบบน่ารำคาญฉิบ!!! ทำยังกะว่าเราไม่ต้องแดรกอะไรที่กระทบกระเทือนสัตว์ในธรรมชาติเลยงั้นแหละ

ต่อให้คุณแดรกเจ แดรกมังสวิรัตติ์ แล้วแน่ใจหรือว่ากระบวนการปลูกพืชพรรณเหล่านั้นไม่ไม่ได้ไปแย่งพื้นที่หากินของสัตว์ในธรรมชาติเลย?หรือไม่มีสัตว์ใดตายจากการกสิกรรมนั้นๆ?(ยาฆ่าแมลง,รั้วตาข่ายกั้นฯลฯ)

 

"...อุ๊ยตายนอกเรื่องโทษที  :huh: 


Edited by Huligan, 8 May 2014 - 20:47.

ทฤษฎีของ เดล คาเนกี ใช้กับเหิ้ยหางแดงไม่ได้*สิ่งที่มองไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มองเห็นได้นั้นน่าเชื่อถือมากกว่า*

#91 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

Posted 8 May 2014 - 20:40

เข้าประเด็นกันหน่อย

 

จะแดรก หรือ ไม่แดรก

เกี่ยวยังไง กับการทำแท้งเสรี


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#92 alat

alat

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 16 posts

Posted 8 May 2014 - 23:52

กระทู้นี้ เป็นกระทู้ที่ดีมากอีกกระทู้หนึ่ง เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เป็นส่วนผสมกันทั้งด้าน ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในที่สุด

ผมอ่านแล้ว เข้าใจว่า มีอยู่ สามส่วนที่กำลังแลกเปลี่ยนความเห็นกันอยู่

ศาสนา วิทยาศาสตร์ และสังคม ที่พยายามจะโยงให้สอดคล้องเป็นข้อสรุปส่วนจะตกผลึกได้หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่อง

 

หากเราไม่ได้นับถือ ศาสนาพุทธตามบัตรประชาชน เราคงมั่นคงในเรื่องของกรรมและผลแห่งกรรม เพราะชีวิตทุกขณะคือผลของกรมและการทำกรรมสะสมต่อไป

ซึงในเรื่องของกรรมนั้น ไม่เป็นโมฆะ คือ จะต้องให้ผล ตามสมควรแก่กรรม แต่กรรมมีกาลเวลาให้ผล กรรมบางอย่างให้ผลชาตินี้ กรรมบางอย่างให้ผลชาติหน้า

กรรมบางอย่างให้ผลในชาติถัดไป ดังนั้น เมื่อมีการทำกรรม ก็ต้องมีการได้รับผลของกรรม ไม่ต่างไปจากแนวคิดที่ว่า สสารไม่สูญหายไปใหนจากโลกนี้

 

เหตุที่กรรม มีผลจริง เพราะเวลาเป็นเรื่องจริง เมื่อมีเวลาแล้ว ก็มีที่ที่จะให้กรรมมีเวลาให้ผล ดังนั้นหากไม่มีเวลา กรรมก็จะกลายเป็นโมฆะแน่นอน

 

หากชาติหน้าไม่มีจริง การฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ก็ไม่เป็นไร ตายแล้วจบ การทำความดี ก็ไม่ไม่มีผล ตายแล้วจบ แต่ความจริง เมื่อมีการทำกรรมแล้ว ก็ต้องมีการได้รับผลของกรรม

ซึ่งเมื่อยังไม่ให้ผล ยังไม่ได้รับผลของกรรม จะว่าไม่มีกรรมไม่ได้ และสิ่งที่ยังไม่เกิด จะปฏิเสธว่าไม่มีไม่ได้ หากไม่มีชาติหน้า ก็เท่ากับว่า ชาติก่อนก็ไม่มี

เพราะ ชาตินี้ ก็คือ ชาติหน้าของชาติก่อน และหากเป็นเช่นนั้น ทำไมชาตินี้บางคนถึงมีความแตกต่างกันทั้งร่างกาย ยศ ตำแหน่ง ฐานะแตกต่างกันเพราะอะไร

และการได้รับสิ่งที่ดี ไม่ดีในชาตินี้ก็แตกต่างกันเพราะอะไร

 

และถ้าละเอียดตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง  หากค่อยๆย่อยระยะเวลายาวนาน ที่เป็นชาติหน้า ก็ย่อยออกมาเป็น 30 ปีข้างหน้า 20 ปีข้างหน้า

10 ปีข้างหน้า1 ปีข้างหน้า 1 เดือนข้างหน้า 1 พรุ่งนี้   6 ชม.ข้างหน้า  1 ชั่วโมงข้างหน้า 1 นาทีข้างหน้า จะมีอีก 1 นาทีข้างหน้าหรือไม่ 1 วินาทีข้างหน้า จะมีอีก

1 วินาทีข้างหน้าหรือไม่ แม้ยังมาไม่ถึง ทำให้มีระยะเวลา มี 1 วินาที มีพรุ่งนี้ มีปีหน้า มีชาติหน้า 

และในทำนองเดียวกัน หากเราย้อนไปทางตรงข้าม มี  1 นาทีที่ผ่านมา มี1 ชม ที่ผ่านมา มี 1 ปีที่ผ่านมา………30ปีที่ผ่านมาย้อนไปเรื่อยเรื่อยอย่างนี้

จนกระทั่งก่อนที่เราจะเกิดมา ก็จะกลายเป็นชาติที่แล้ว….

 

ภพภูมิต่างๆ ที่เป็นที่เสวยผลของกรรมดี กรรมชั่ว การเกิดสืบต่อกันของขันธ์อายตนะ เป็นต้น ชื่อว่า สังสารวัฏฏ์ ในชาตินี้ ก็มีการเกิดสืบต่อกันอยู่

จึงมีวันนี้  เมื่อวานนี้ สัปดาห์ที่แล้ว   เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว 10ปีที่แล้ว 20 30 40 50 ถึง 100 ปีที่แล้วก็มี และถอยไปเรื่อยๆ อีกก็คือ ชาติที่แล้ว

 

ส่วนอนาคตก็คือการเกิดสืบต่อของนามรูปที่เรียกว่า ขันธ์ เป็นต้น นั่นเอง    ที่สืบต่อจากขณะนี้ก็คือ เย็นนี้ก็มี พรุ่งนี้ก็มี สัปดาห์หน้าเดือนหน้า  ปีหน้า

10  20 30 40 50ถึง 100 ปีข้างหน้าก็มี เพราะยังมีเหตุและปัจจัยให้เกิดขันธ์    ขันธ์ก็ยังเกิดอีกต่อไป เป็น 200 500 พันปี หมื่นปี แสนปี ล้านปีข้างหน้าก็มี

ก็คือชาติหน้า

 

นี่คือหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ประกอบด้วยเหตุและผล

การที่ไม่เชื่อว่ามีชาติหน้านั่นหมายถึงการไม่เชื่อเหตุและผลและไม่เชื่อคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ 

 เป็นผู้มีความเห็นผิด และสุ่มเสี่ยงต่อการประพฤติทุจริตกรรมประการต่าง ๆ   ได้โดยง่าย   เพราะเข้าใจว่าชาติหน้าไม่มี 

ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำตอบดีๆๆ ตรงใจมากค่ะ _/\_






1 user(s) are reading this topic

0 members, 1 guests, 0 anonymous users