Jump to content


Pa-Mok

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 13 ธันวาคม 2554
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2557 09:58
-----

#1037766 เปิดสัญญากู้ประวัติศาสตร์ “กำนันสุเทพ”หาเงินทำทุนม็อบไล่ "ยิ่งลักษณ์"

โดย ธีรเดชน้อย on 30 มกราคม พ.ศ. 2557 - 15:43

 

ต้องบอกกำนันว่า อย่าไปสนใจ ไอ เต้น ปากห ม า เลยครับ มัน เห่ า ไปเรื่อย

 

อ่านแล้ว อึ้ง....... ครับ ใครจะทำอะไรอย่างนี้ได้หนอ ใช้ทรัพย์สินตัวเองมาทำกิจกรรมที่ไม่มีรายรับ

 

แถมประกาศไปว่า จะเลิกเล่นการเมืองเมื่อยุติกิจกรรมนี้ 

 

ผมเองเคยผิด ที่มองคนที่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว  :(

ผมก็เคย    รู้หน้าไม่รู้ใจ   เชื่อใครไม่ได้อีก        คุ้นๆป่ะครัฟ

 

 

เผา ไปแล้วครับ เทป ชุดนั้น 

 

ขาย-จำนอง ได้เงิน เป็น ร้อยล้าน แล้วกินอาหารแบบนี้ 

1474381_421181188015921_203670500_n.jpg

 

 
188148_381374028663304_748902826_q.jpg
ถูกใจแล้ว · 2 ชั่วโมงที่แล้ว 
 
 

12.15น. ขบวนลุงกำนันสุเทพ พักทานมื้อเที่ยง กลางแยกทองหล่อ ใต้สถานีbtsทองหล่อ ก่อนเดินหน้าลุยต่อ 



#1038174 ขอเตือนนาย วันนอร์ และ มุสลิมที่เป็นทาสทักษิณ !!!

โดย กระต่ายหมายจันทร์ on 30 มกราคม พ.ศ. 2557 - 19:46

ผมมีความรู้สึกที่ดีว่า ภายหลัง กปปส ชนะระบอบทักษิณอย่างราบคาบ

ความสงบสุขใน 3 จชต จะกลัยคืนมา เนื่องจากความจริงของบวนการ

ก่อการร้ายถูกกระชากหน้ากากออกมาแน่นอน  เชื่อผมเถอะ ขอเอาใจช่วย




#1038132 ขอเตือนนาย วันนอร์ และ มุสลิมที่เป็นทาสทักษิณ !!!

โดย arch_freeman on 30 มกราคม พ.ศ. 2557 - 19:27

ขอเตือนคุณวันนอร์ ถ้าคิดว่า จะพาแขกมุสลิมทาสทักษิณมาแย่งหีบบัตรเลือกตั้งที่สงขลา แล้วละก็ กรุณากลับไปคิดใหม่

 

เพราะงานนี้ คนสงขลาไม่ยอม และ คนสงขลาทั้งพุทธและมุสลิม ไม่ได้ต้องการคุณ และรู้ว่าจุดประสงค์ของคุณคือต้องการทำให้ไทยพุทธกับมุสลิมของพวกคุณนั้นเข้าใจผิด เพื่อเป็นเหตุในการแบ่งแยกดินแดนตามวัตถุประสงค์ของพวกคุณ

 

ผมมั่นใจว่า พี่น้อง กปปส ที่สงขลา จะไม่ยอมให้คนแบบท่าน พาสมุนมาแย่งหีบบัตรแน่นอน งานนี้มีเลือดตกยางออก ถ้าแน่จริงให้คุณวันนอร์นำสมุนมาเอง อย่าหลบหลังฉากเป็นหน้าสุนัขตัวเมียแล้วกัน !!!

 

 




#1037028 "ขอให้ทุกฝ่ายเห็นใจเกษตรกร ชาวนาที่เดือดร้อน ที่ต้องการเงินด้วยนะคะ"

โดย พิฆาตอสูร on 30 มกราคม พ.ศ. 2557 - 09:29

กำลังจะกลับต่างจังหวัด  เพื่อให้ขอแม่ลดหรือไม่เก็บค่าเช่านาสำหรับปีนี้

และคิดว่า..แม่คงเห็นด้วย

 

แต่คนที่ไม่มีปัญญาช่วย  ได้แต่เที่ยวบอกให้คนอื่นช่วย  ตัวเองทำอะไรบ้างล่ะ




#1036995 "ขอให้ทุกฝ่ายเห็นใจเกษตรกร ชาวนาที่เดือดร้อน ที่ต้องการเงินด้วยนะคะ"

โดย ช่อมัลลิกา on 30 มกราคม พ.ศ. 2557 - 09:09

โดยให้รัฐบาลดิฉัน กู้ยืมเพื่อไปจ่ายค่าจำนำข้าวด้วยค่ะ

 

...............................................................................

 

ได้ฟังนายกสมองกลวงให้สัมภาษณ์แบบนี้ ดิฉันอารมณ์ขึ้นทันที

เธอพูดเหมือนเธอไม่มีสามัญสำนึกอะไรเลย พูดแบบลอยตัวหน้าตาเฉย

นอกจากไม่รับผิดชอบที่ตัวเองดำเนินนโยบายผิดพลาด

โกงกันสะบั้นหั่นแหลกแล้ว เธอยังพยายามสื่อพูดเอาใจชาวนา และโบ้ยโยนความผิด

ไปให้ส่วนฝ่ายอื่นๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพียงแค่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ให้กู้ยืมเงิน เพื่อจ่ายเกษตรกรชาวนา

 

คนๆๆนี้หรือค่ะที่เป้นนายกรัฐมนตรีของประเทศ  เธอรับรู้อะไรบ้างนี่?.

เธอคงรู้แต่เพียงว่า ที่จ่ายเงินให้ชาวนาไม่ได้เพราะไม่มีหน่วยงานไหนให้กู้

ซึ่งเธอเสียใจมากว่าหน่วยงานเหล่านั้นไม่เห็นใจชาวนาเลย....โอว เธอคิดได้แค่นี้เจงๆหรือนี่




#1018880 ภาพประทับใจสำหรับวันนี้..

โดย zeed~ko on 20 มกราคม พ.ศ. 2557 - 18:06

p3gm.jpg

 




#1019103 รั้วของชาติ "ฮึ่ม" เตือนตะกวดขี้ข้าทรราช "อย่างกร่าง..ใส่ไฟทหารหาญ

โดย zeed~ko on 20 มกราคม พ.ศ. 2557 - 20:12

รั้วของชาติ "ฮึ่ม" เตือนตะกวดขี้ข้าทรราช "อย่างกร่าง..ใส่ไฟทหารหาญ..ชี้ ทร.ไม่ใช่คู่กรณี ไม่ทำร้าย ปชช.โว้ย..!
 
i73k.jpg
 
"ผบ.หน่วยซีล"โวย ตร.ดิสเครดิต"ทหาร"ยันทหารเรือไม่เคยยิง ปชช. ลั่น อย่าสร้างกระแสให้กองทัพเรือเสียหาย ระบุ ทร.ไม่ใช่คู่กรณี ไม่ทำร้าย ปชช.ยันไม่ได้ทำเลว เตือนระวังกองกำลังต่างชาติถล่มม็อบ...
 
เมื่อวันที่ 20 ม.ค. พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าคนร้ายที่ก่อเหตุระเบิดในพื้นที่ชุมนุมของ กปปส. บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็น 1 ใน 3 ของทหารเรือ สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.นางเลิ้ง จับกุมได้ เนื่องจากพกอาวุธในพื้นที่ชุมนุม เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่า ยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และเป็นการสร้างกระแสเพื่อให้ทหารเรือได้รับความเสียหาย 

ส่วนทหารเรือทั้ง 3 นาย ขณะนี้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ราชการตามปกติอยู่ที่หน่วยต้นสังกัด เพราะทหารทั้ง 3 นายไม่ได้ทำผิดอะไร
 
"ทหารกับอาวุธปืนเป็นของคู่กัน และการที่ทหารเรือทั้ง 3 นายเข้าไปในพื้นที่ชุมนุมในช่วงที่ผ่านมานั้น เพราะต้องปฏิบัติหน้าที่ ติดตามข่าวยาเสพติด โดยอาวุธทั้งหมดที่พบนั้นเอาไว้ป้องกันตัว ที่ผ่านมาทหารเรือไม่เคยมีประวัติทำร้ายประชาชน แม้แต่ปืนนัดเดียวกันไม่เคยยิงใส่ประชาชน ทหารเรือก็ไม่ได้เป็นคู่กรณีกับกลุ่มผู้ชุมนุมจึงไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องทำร้ายผู้ชุมนุมและประชาชน" พล.ร.ต.วินัย กล่าว
 
พล.ร.ต.วินัย ยังกล่าวถึงการแชร์ภาพกำลังพลของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือทางโซเชียลออนไลน์ว่า เรื่องนี้เป็นการทำลายของฝ่ายตรงข้าม ตนยืนยันว่าการทำงานของทหารเรือ ลูกปืนสักนัดไม่เคยออกจากกระบอกปืน และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ ก็ทำงานเพื่อชาติ ราชบัลลังก์และประชาชน ตนยืนยันว่าจะอยู่ข้างประชาชน สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด โดยยืนยันได้แน่นอนว่า กำลังพลไปปฏิบัติภารกิจติดตามแก้ปัญหายาเสพติดต่อเนื่อง ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุนแรงใดๆ ทางการเมือง ขอให้เชื่อใจในความเป็นสุภาพบุรุษของทหารเรือของพวกเรา ทำอะไรไม่เคยมีอะไรแอบแฝง เป็นทหารโดยอาชีพ แต่สิ่งที่เราทำไม่ต้องการให้ประชาชนฆ่ากัน ประชาชนเหมือนเป็นนายตน เพราะตนกินเงินภาษีประชาชน
 
"การที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำภาพกำลังพลออกมาตรวจสอบ จนถูกนำไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์รุนแรงในขณะนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใต้บังคับบัญชา และได้ปรึกษากับนายทหารพระธรรมนูญแล้วว่า สามารถดำเนินการได้ ผมจะดำเนินการฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราไม่ได้เป็นผู้ต้องหาที่เป็นผู้ร้าย ที่จะต้องออกหมายจับ การที่ตำรวจมาทำแบบนี้เหมือนเป็นการดิสเครดิตหน่วย"พล.ร.ต.วินัย กล่าว
 
ผบ.นสร.กล่าวด้วยว่า ตนไม่ได้แคร์อะไร ทหารไม่ได้ทำเลวอะไร สิ่งที่ทหารทำไม่ได้ต้องการหวังสิ่งตอบแทนเหล่านั้น ที่สำคัญที่สุดผมจะอยู่ข้างประชาชน ไม่ต้องการให้ประชาชนถูกฆ่าตาย ดังนั้น การทำงานของหน่วยคือ ไม่ต้องการให้คนไทยฆ่ากัน แม้ว่าจะฝ่ายไหนก็ไม่อยากให้มาฆ่ากัน แต่สิ่งที่ระวังมากคือการเอากองกำลังต่างชาติมาทำ และเมื่อปี 2553 มีกองกำลังชุดดำที่มาตอบโต้เจ้าหน้าที่ทหารคือกองกำลังต่างชาติ.



#1019359 "ลุงสุเทพ" นำทีมกองทัพเสื้อกาวน์ขับไล่รัฐบาล

โดย aiwen^mei on 20 มกราคม พ.ศ. 2557 - 22:34

WiseKnow Thailand
 

DrSant บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ (chaiyodsilp@gmail.com)

18 มกราคม 2557

ขอเขียนถึงการเมืองหนึ่งครั้ง และครั้งเดียว

บล็อกของผมพูดถึงแต่เรื่องสุขภาพการเจ็บป่วย จะนอกเรื่องบ้างก็เป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาคลายเครียด เรื่องอื่นๆที่เป็นสาระแต่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพไม่ว่าจะเป็นศาสนา หรือการเมือง ผมไม่เคยพูดถึงเลย ที่ผมไม่พูดถึงการเมืองนั้นมีเหตุผลสองอย่าง อย่างหนึ่งก็เพราะคนไข้ของผมมีทั้งสีเหลืองสีแดง ที่เป็น ส.ส. ก็มี ที่เป็นรัฐมนตรีก็มี มีทั้งฝ่ายเพื่อไทยและฝ่ายประชาธิปัตย์ แม้แต่ท่านผู้อ่านบล็อกนี้ก็มีทั้งเหลืองทั้งแดง ถ้าผมพูดเรื่องการเมืองไป ไม่ว่าจะพูดออกเหลืองหรือออกแดง ก็ต้องทะเลาะกับคนไข้ของผมเสียราวครึ่งหนึ่ง ดังนั้นผมเงียบเสียดีกว่า


แต่ว่ามาถึงวันนี้บ้านเมืองของเราได้เฉียดเข้าใกล้จวนแจจะตกขอบเหวของความหายนะ ผมจึงคิดว่าเป็นเวลาที่ผมควรแหกประเพณีของบล็อก ขอเขียนเรื่องการเมืองสักหนึ่งครั้ง ครั้งเดียว แล้วจะไม่เขียนถึงอีกเลย

อีกเหตุผลที่ผมไม่เคยเขียนเรื่องการเมืองมาก่อนก็คือผมเองเคยตั้งใจว่าจะทำงานเป็นหมออาชีพมุ่งใช้ชีวิตดูแลคนเจ็บไข้โดยจะไม่ยุ่งอะไรกับการเมืองอีกเลย ตั้งแต่หลังเหตุการณ์ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา เหตุผลเรื่องนี้มันยาว แต่ผมเล่าคร่าวๆให้ท่านผู้อ่านได้ เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องที่ผมจะเขียนวันนี้ คือหลังเหตุการณ์ที่นักศึกษาเดินขบวนขับไล่รัฐบาลทหารเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 ผมก็เหมือนนักศึกษาในสมัยนั้นคนอื่นๆที่ฝักใฝ่การเมืองจนการเมืองเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตัวผมเองเป็นรองนายกองค์การนักศึกษาของมหา’ลัย ซึ่งมีงานหลักคือประสานงานม็อบต่างๆนอกมหา’ลัยมากกว่างานเรียนหนังสือ วาระหลักของขบวนการนักศึกษาสมัยนั้นมีเรื่องเดียว คือทำอย่างไรจะลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนลงได้ หรือที่เรียกว่า wealth distribution วิธีการที่พวกเราตกลงกันได้เป็นเอกฉันท์มีประเด็นเดียว คือต้องต่อต้านการคืนชีพของรัฐบาลเผด็จการทหารทุกรูปแบบ แต่การจะเดินหน้าไปอย่างไรโดยไม่มีเผด็จการทหารนั้น นักศึกษาเองก็แบ่งเป็นสองแนว แนวหนึ่งนิยมระบบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง อีกแนวหนึ่งเชื่อว่าระบบเลือกตั้งไม่เวอร์ค เพราะเปิดช่องให้พวกนายทุนขุนศึกศักดินาตามเข่นฆ่าทำลายผู้นำคนจน จำต้องก่อการปฏิวัติลุกฮือของชนชั้นกรรมาชีพ แล้วตั้งรัฐบาลเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพขึ้น เรียกง่ายๆว่าแนวทางคอมมิวนิสต์ พวกนิยมแนวทางหลังนี้บางคนก็ได้ไปติดต่อสื่อสัมพันธ์กับ พคท.(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองนอกกฎหมายและทำงานอยู่ในป่า ตัวผมนั้นเป็นพวกไม่ชอบความรุนแรงและนิยมระบบเลือกตั้ง แม้ว่าอีกใจหนึ่งยังออกจะเห็นด้วยว่าท่ามันจะไม่เวอร์ค เพราะขณะที่พวกเราพยายามยึดมั่นในแนวทางประชาธิปไตยอยู่นั้น ก็ได้เห็นผู้นำชาวนา ผู้นำกรรมกร ที่ลุกขึ้นมานำเรียกร้องเพื่อปากท้อง ได้ทะยอยถูก “เก็บ” หรือฆ่าตายอย่างทารุณไปหลายราย

แล้วทหารก็ทำรัฐประหารโหดเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 นักศึกษาจำนวนหนึ่งถูกฆ่าตาย บางคนถูกจับแขวนคอ อีกจำนวนมากหนีหัวซุกหัวซุน รวมทั้งผมด้วย ส่วนหนึ่งหนีเข้าป่าไปสมทบกับ พคท. แต่ผมหนีไปตั้งหลักไม่ไกล พอเห็นปลอดภัยก็กลับเข้าหอเรียนหนังสือต่อ ประสบการณ์ที่เหล่าผู้นำนักศึกษาได้รับจากการกระทำของขุนศึกในสมัยนั้น ผมบรรยายได้คำเดียวว่า.. “ยากที่จะลืม”

ผมเองนั้นเป็นคนขี้ขลาด เมื่อเจอเข้าก็บอกตัวเองได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ผมจะใช้ชีวิตที่ทอดยาวรอผมอยู่ข้างหน้าอีกหลายสิบปี จึงสาปส่งการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองตั้งแต่นั้น ช่วงประมาณปีพ.ศ. 2524 เมื่อเรียนจบไปเป็นหมอชนบท มีชาวบ้านนิยมนับถือมาก ก็มีคนมายุว่าคุณหมอน่าจะสมัครผู้แทน ผมได้แต่หัวเราะหึ..หึ ในช่วงเวลานั้น เมื่อไปกลับเยี่ยมบ้านเกิด เพื่อนๆมัธยมรุ่นเดียวกันซึ่งกระจายเป็นครูใหญ่ครูน้อยอยู่ทั่วเขตเลือกตั้งก็รุมชวนให้สมัครผู้แทนโดยอาสาว่าจะช่วย ผมก็ได้แต่หัวเราะหึ..หึ เพราะในใจผมต่อเรื่องการเมืองนั้นมีคำตอบชัดอยู่แล้ว

ช่วงตั้งแต่ปีพ.ศ. 2519 เป็นต้นมา เป็นช่วงที่เมืองไทยใกล้จวนแจจะเกิดสงครามกลางเมือง (civil war) หมายความว่าสงครามที่ชาวบ้านรบกับชาวบ้านด้วยกันเอง

ฝ่ายหนึ่งก็คือฝ่ายที่พวกเราเรียกว่า “นายทุน-ขุนศึก-ศักดินา” ซึ่งมีกำลังพลหลักเป็นชาวบ้านที่ถูกปลุกปั่นให้เกลียดชังพวกคอมมิวนิสต์ที่จะมาล้มเจ้า โดยพวกขุนศึกศักดินาได้ลงไปจัดตั้งมวลชนชาวบ้านขึ้นเป็นกลุ่มลูกเสือชาวบ้านทั่วประเทศ เอาไว้เป็นทัพหนุนของทัพหน้า ตัวทัพหน้าเองก็เป็นชาวบ้านที่พวกขุนศึกลงไปติดอาวุธให้โดยตรง เรียกว่า “ทหารพราน”

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือ พคท. ซึ่งมุ่งโค่นล้มนายทุน-ขุนศึก-ศักดินา และมุ่งสถาปนารัฐบาลเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพขึ้น ฝ่ายนี้มีกองกำลังเป็นชาวบ้านเช่นกัน แต่เป็นชาวบ้านที่ พคท. ได้ปลุกระดมให้สำเหนียกถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมและให้เจ็บแค้นต่อการถูกกดขี่ขูดรีด ส่วนที่เป็นมวลชนนั้นไม่ได้ติดอาวุธ แต่ส่วนที่เป็นแนวร่วม, เป้า ส. (หมายถึงคนที่จ่อคิวจะได้เป็นสมาชิกพรรค) และคนที่เป็นสมาชิกพรรคนั้น พคท.ได้ติดอาวุธให้ด้วย โดยที่ประมาณครึ่งหนึ่งของเพื่อนนักศึกษาที่ผมรู้จักและทำกิจกรรมด้วยกัน ได้มาอยู่กับฝ่าย พคท. 

ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายนี้ก็คือพวกที่หวังอาศัยเวทีประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งในการแก้ปัญหา ซึ่งก็มีทั้งนายทุน ปัญญาชน คนชั้นกลางทั่วไป และนักการเมืองสายไม่รุนแรงซึ่งมีเพื่อนเก่าของผมอยู่ด้วยอีกจำนวนหนึ่ง

แต่เหตุการณ์ก็ผ่านมาได้อีกหลายปีโดยไม่มีสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่จริงๆเกิดขึ้นนอกจากยุทธการป่าล้อมเมืองระดับไม่รุนแรง เพื่อนที่อยู่กับ พคท. ได้เล่าให้ผมฟังว่า พคท. เองมีโครงสร้างภายในที่ล้าหลังพัฒนาไม่ขึ้น ไม่มีศักยภาพพอที่จะก่อการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐมาตั้งเป็นรัฐบาลเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นได้ ท้ายที่สุด พคท. ก็ล่มสลายไป ขณะเดียวกันรัฐบาลป๋าเปรมได้เปิดอ้าแขนรับพวกเราที่เคยเข้าป่าไปอยู่กับ พคท. ให้กลับบ้าน พวกเราเกือบทั้งหมดก็กลับมา เพื่อนรุ่นพี่บางคนกลับมาเป็นหมอฝึกหัดอยู่ภายใต้ความดูแลของผมซึ่งตอนนั้นผมเป็นแพทย์ประจำบ้านแล้ว พวกเราที่กลับมา ได้รับการกระซิบจากฝ่ายขุนศึกว่าให้อยู่แต่ในกรุงเทพฯ คนที่เป็นหมอก็ให้เป็นหมอในกรุงเทพฯ ห้ามออกไปอยู่ชนบท คนที่ยอมเชื่อฟังก็ได้รอดชีวิตมา ซึ่งบางคนกลายมาเป็นผู้นำฮาร์ดคอร์ของมวลชนเสื้อแดงอยู่ในวันนี้ เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งกลับมา เขาไม่ยอมอยู่ในกรุงเทพ แต่ไปทำร้านอาหารอยู่ริมน้ำโขงที่เชียงราย แล้ววันหนึ่งเขาก็ถูกตาม “เก็บ” ตายคาร้านของเขาอย่างโหดเหี้ยมทารุณ

พวกเพื่อนๆที่ยังมีหัวคอมมิวนิสต์ได้เคยเปรยให้ผมฟังว่า เมื่อหมดสิ้น พคท. สำหรับคนชั้นกรรมาชีพ การจะยึดอำนาจรัฐมองไม่เห็นทางอื่น มีทางเหลืออยู่ทางเดียวคือต้องสามัคคีกับนายทุน ซึ่งเขาใช้คำว่า “นายทุนชาติ” เพื่อชิงอำนาจรัฐมาให้ได้ก่อน เมื่อได้แล้วก็ค่อยใช้อำนาจนั้นมากระจายรายได้หรือสร้าง wealth distribution ภายหลัง นั่นหมายความว่าการปฏิวัติต้องทำเป็นสองก๊อก ก๊อกแรก กรรมาชนสามัคคีกับนายทุนชาติโค่นล้มขุนศึกศักดินา ก๊อกสองกรรมาชนค่อยมาโซ้ยกับนายทุนชาติซะเองต่อเพื่อบังคับเฉลี่ยความรวยมาให้คนจน 

ต่อมา ประมาณปี 2544 ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ได้มี “นายทุนใหญ่ใจถึง” เข้ามาเล่นการเมืองด้วยวิธีใช้เงินจำนวนมากซื้อสส.เข้าคอก เพื่อนผมที่เป็นนักสังคมนิยมแนวทางรุนแรงหลายคนได้เข้าไปซุกปีกนี้ พรรคของ “นายทุนใหญ่ใจถึง” ชนะเลือกตั้งอย่างง่ายดาย เรียกว่าวิธีซื้อแบบนี้ทำให้ได้อำนาจรัฐมาง่ายๆโดยแทบไม่ต้องเปลืองเลือดเนื้อเลย เพื่อนผมหลายคนแฮปปี้ ได้เป็นรัฐมนตรี และได้ผลักดันนโยบายที่หากจะเรียกจากมุมของพวกสังคมนิยมก็เรียกได้ว่าเป็นนโยบายกระจายรายได้ แต่พวกนายธนาคารเรียกว่านโยบายประชานิยม ในบรรดานโยบายเหล่านี้ ผมเห็นมีอยู่สองเรื่องที่มีผลดีต่อคนชั้นกรรมาชีพอย่างเป็นรูปธรรม คือนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรค กับนโยบายกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งหากไม่มี "นายทุนใหญ่ใจถึง" ให้อาศัยใบบุญ สิ่งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

แต่ฮันนิมูนระหว่างนักสังคมนิยมหัวรุนแรงกับ “นายทุนใหญ่ใจถึง” มีอยู่ได้ไม่กี่ปี
ปัญหาที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะมิชชั่นที่แท้จริงของ “นายทุนใหญ่ใจถึง” คือการสร้างอำนาจผูกขาดถาวรด้วยการกอบโกยกักตุนทุนทรัพย์ไว้สร้างอำนาจให้ตัวเองและครอบครัวต่อๆกันไปไม่สิ้นสุด มิชชั่นนี้ก่อความไม่พอใจในหมู่นายทุนอื่นที่ถูกกีดกันไม่ให้ได้เอี่ยวในผลประโยชน์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายทุนที่อิงอยู่กับขุนศึกศักดินา พวกอื่นที่ไม่พอใจก็มีนักการเมืองที่อยู่คนละพวก (ซึ่งก็มีเพื่อนของผมอีกจำนวนหนึ่ง) และปัญญาชนคนชั้นกลางที่ต้องการให้ใช้หลักผิดชอบชั่วดีในการดูแลบ้านเมือง ทั้งสามพวกนี้ได้สามัคคีกับพวกขุนศึกศักดินาโค่นล้ม “นายทุนใหญ่ใจถึง” ซึ่ง “นายทุนใหญ่ใจถึง” ก็ทราบดี จึงด้านหนึ่งได้ใช้ยุทธการปลุกระดมและจัดตั้งมวลชนคนยากจนในชนบทไว้เป็นเกราะกันชนปกป้องตัวเองจากพวกขุนศึก อีกด้านหนึ่งได้ลงมือ “ซื้อ” ขุนศึกส่วนหนึ่งมาเป็นพวกของตน ในวันที่ถูกทหารทำรัฐประหารล้มรัฐบาลของตัวเองเมื่อปีพ.ศ. 2549 ตอนนั้นตัว “นายทุนใหญ่ใจถึง” อยู่ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเขาเล่าให้ผมฟังว่านาทีแรกที่ได้รับรายงานข่าวรัฐประหาร นายทุนใหญ่ใจถึงเอ่ยปากถามว่า

“ใครทำ.. พวกเราหรือเปล่า?”

นั่นหมายความว่าย้อนหลังไปไกลถึงแต่สมัยนั้น (2549) การซื้อขุนศึกไว้เป็นพวกของตนก็ได้ดำเนินไปจนถึงจุดที่หากจะใช้ก่อรัฐประหารก็ทำได้แล้ว เพียงแต่ว่ากลุ่มขุนศึกที่ชิงลงมือในวันนั้นเป็นอีกพวกหนึ่ง การแพ้เกมกันในชั่วเวลาสั้นๆที่นับกันเป็นชั่วโมงนี้ทำให้ “นายทุนใหญ่ใจถึง” ต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศและยังไม่ได้กลับเมืองไทยจนทุกวันนี้

การรัฐประหารโค่นล้ม “นายทุนใหญ่ใจถึง” ได้สำเร็จในปี 2549 ทำให้ฝ่ายต่อต้าน “นายทุนใหญ่ใจถึง” กล้าแข็งขึ้น ฝ่าย “นายทุนใหญ่ใจถึง” เองกลับต้องสาละวนตกเป็นฝ่ายตั้งรับ จนชีวิตของเพื่อนๆนักสังคมนิยมที่ไปซุกอยู่ในปีกของ ” นายทุนใหญ่ใจถึง” ทุกวันนี้ไม่มีเวลามาคิดเรื่อง wealth distribution อีกต่อไปแล้ว เพราะต้องมัวแต่ยุ่งอยู่กับการต่อสู้เพื่อธำรงรักษาอำนาจรัฐผ่านการใช้เงินและลูกเล่นทุกรูปแบบโดยเลิกคำนึงถึงหลักผิดชอบชั่วดีไปเลย ขอเพียงยืดเวลายึดกุมอำนาจรัฐออกไปให้ได้อย่างเดียว
นโยบายประชานิยมซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของการกระจายรายได้ที่เคยได้ผล ได้แปลงรูปมาเป็นวิธีหาเสียงแบบสุกเอาเผากินและก่อปัญหามากกว่าแก้ปัญหา เพื่อนๆของผมทุกคนดูเหมือนจะลืมพันธะกิจหลักที่จะ distribute wealth ไปหมดสิ้น ปัญหาพื้นฐานของคนจน ถ้าไม่นับเรื่องการรักษาพยาบาลซึ่งทำได้ดีเสียเรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องอื่นยังไม่ได้รับการแก้ไขเลยแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเกือบสิบปี ปัญหาคนจนไร้ที่ดินทำกินซึ่งเป็นที่มาของ “ม็อบปากมูล” ที่หนังสือพิมพ์เคยขนานนามว่าม็อบตลอดกาล เคยมีอยู่อย่างไร ก็ยังมีอยู่อย่างนั้น ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะปฏิรูปที่ดิน ปัญหาชาวนามีต้นทุนการผลิตสูงและผลผลิตคุณภาพต่ำก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาการกระจายอำนาจและงบประมาณไปชนบทที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้ นอกจากจะไม่ได้ทำแล้วยังถูกระงับอีกต่างหาก ส่วนใหญ่เพื่อนๆเผลอลืมเพราะเผลอไปยึดติดเงินและอำนาจซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือที่จะบรรลุเป้าหมายแทนการมุ่งมั่นที่ตัวเป้าหมายเองเสียฉิบ กิจกรรมปกป้องอำนาจนี้ทำกันโดยทิ้งหลักผิดถูกชั่วดีไปหมด มุ่งเอาแต่ชนะและยึดกุมอำนาจรัฐให้ได้ ทำกันอยู่นานตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา จนทำให้รากวัฒนธรรมของสังคมไทยสั่นคลอนเหมือนต้นไม้ที่ถูกดึงให้รากบางส่วนขาด สังคมไทยทุกวันนี้ไม่มีใครสนใจแยกแยะความชั่วความดีออกจากกันอีกต่อไปแล้ว คนระดับนำของสังคมและอาจารย์มหา'ลัยพูดออกโทรทัศน์ว่าชั่วหมายความว่าดีได้อย่างหน้าตาย และคนไทยทุกคนก็มีส่วนร่วมกันปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ด้วยการทำตัวเป็น “ไทยเฉย” ดังนั้นการที่ประเทศชาติของเราเดินมาจนถึงจุดนี้ได้ จึงเป็น “กรรมหมู่” ที่คนไทยทุกๆคนร่วมกันก่อ จะโทษกันและกันไปก็ไร้ประโยชน์

หลังการรัฐประหารและโดนกลศึก "ตุลาการภิวัฒน์" จนต้องหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ “นายทุนใหญ่ใจถึง” ได้ใช้ความพยายามผ่านรัฐบาลหุ่นของตนเพื่อกลับมามีอำนาจเต็มอีกครั้งให้ได้ โดยทำการอย่างไม่คำนึงถึงหลักผิดชอบชั่วดีใดๆ การกระทำดังกล่าวได้ก่อให้เกิดพลังต่อต้านขึ้นใหม่ในสังคม คือกลุ่มคนชั้นกลางที่ยังเชื่อมั่นเรื่องผิดชอบชั่วดี กลุ่มนี้ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้าน จากล้านเป็นหลายล้าน และขยายข้ามชั่วอายุจากคนรุ่นเก่าลงไปถึงคนรุ่นใหม่ เรียกว่าเป็นการฮึดสู้ของ “ไทยเฉย” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และคนกลุ่มนี้ได้แสดงเจตนาที่จะเข้ามาสร้างระบบการเมืองที่มีพื้นฐานอยู่บนสำนึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาใหม่

สังคมไทยได้เดินมาถึงปากเหวที่อาจเกิดสงครามกลางเมืองอีกครั้ง ซึ่งดูจะเป็นปากเหวที่ลึกและอันตรายกว่าครั้งก่อน หากสังคมไทยถลำเข้าสู่สงครามกลางเมืองคราวนี้ มันจะยืดเยื้อเรื้อรังไม่มีวันจบและประเทศชาติจะทรุดโทรมราวกับร่างกายของคนป่วยเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจายนั่นเทียว เพราะกำลังพลแต่ละฝ่ายนั้นมหึมามหาศาลก้ำกึ่งกัน ชนิดที่ว่าหากทั้งสองฝ่ายฆ่าฝ่ายตรงข้ามตายได้หมด ประเทศไทยก็แทบไม่เหลือคนเดินถนนเลย

ฝ่ายหนึ่งก็คือมวลชนคนยากคนจนในชนบท ซึ่งโดยการปลุกปั่นของพวกเพื่อนๆนักสังคมนิยมแนวเผด็จการ พวกเขาถูกปั่นจนมีความเชื่อว่าชีวิตจะดีขึ้นถ้าปกป้อง “นายทุนใหญ่ใจถึง” ไว้เป็นพวกตน และทำลายล้างพวกขุนศึกศักดินาหรืออำมาตย์ให้สิ้นซากไปเสีย พวกตนก็จะได้ธำรงรักษาอำนาจรัฐที่พวกตนสามารถมีส่วนร่วมไว้ได้ และอนาคตก็จะแก้ปัญหาการปันส่วนผลผลิตที่ไม่เป็นธรรมที่เป็นเหมือนหัวอกกลัดหนองคนจนมาตลอดได้

อีกฝ่ายหนึ่งคือ ไทยเฉยฮึดสู้ ซึ่งประกอบขึ้นจากนายทุนน้อย นักการเมืองที่สู้สนามเลือกตั้งที่ใช้เงินไม่ได้ ปัญญาชน-คนชั้นกลางที่ทนสังคมแบบไร้ความผิดถูกชั่วดีอีกต่อไปไม่ไหว ฝ่ายนี้นอกจากจะถูกปลุกจิตสำนึกให้ลุกขึ้นมา "กู้ชาติ" แล้ว ยังถูกทำให้เชื่อว่าการจะนำประเทศกลับมาเป็นสังคมที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีใหม่ได้อีกครั้งนั้น ไม่มีวิธีอื่นนอกจากต้องกำจัด “นายทุนใหญ่ใจถึง” และบริวารให้สิ้นซากไปเสียก่อน

ในท่ามกลางกำลังรบอันเปรียบเสมือนฝูงจิ้งหรีดข้างละฝูงนี้ ตรงกลางก็คือนักปั่นจิ้งหรีด ซึ่งนั่งกันอยู่สองมุม มุมหนึ่งคือ “นายทุนใหญ่ใจถึง” อีกมุมหนึ่งคือขุนศึกที่นายทุนใหญ่ยังซื้อไม่สำเร็จ ซึ่งผมขอเรียกง่ายๆว่า "ขุนศึกศักดินา" ก็แล้วกัน ดูจากเรคคอร์ดของนักปั่นจิ้งหรีดที่นั่งประจำที่ทั้งสองมุมแล้ว งานนี้คงหลีกเลี่ยงการฆ่ากันตายเป็นเบือได้ยาก เพราะนายทุนใหญ่นั้นมีเรคคอร์ดที่ชัดเจนจากทั้งกรณี “ยิงทิ้ง” ขี้ยาสองพันกว่าศพ กรณีกรือเซะ กรณีตากใบ กรณีเผาราชประสงค์ ส่วนเรคคอร์ดของฝ่ายขุนศึกศักดินานั้นก็ใช่ย่อย ผมเองเคยเห็นกับตามาแล้วสมัยเป็นนักศึกษา รวมทั้งการถูกฆ่าตายของเพื่อนสนิทของผมเองที่ริมฝั่งโขง ซึ่งผมขออนุญาตไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บนะครับ

ไปภายหน้าเมื่อเล่าขานให้ลูกหลานฟัง มันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่เหลือเชื่อ ที่มวลชนจำนวนมหาศาลสองฝ่ายมารบกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีวาระของตัวเองอยู่ในมือ แต่เมื่อเปิดโผออกมา วาระของแต่ละฝ่ายนั้นกลับเป็นคนละเรื่อง และไม่ได้ขัดแย้งอะไรกันเลย แบบนิทานชาวนาสามคน คนหนึ่งอุ้มไก่ อีกคนอุ้มห่าน แล้วต้องมาตบตีกันเพราะชาวนาคนที่สามบอกว่าไก่กับห่านของทั้งสองคนจะจิกตีกันจนทำให้สัตว์เลี้ยงของฝ่ายตรงข้ามตาย ทั้งๆที่ในชีวิตจริง ไก่บ้าที่ไหนจะมาจิกตีกับห่าน


วันจันทร์นี้ผมจะไปเดินถนนร่วมกับพี่ๆน้องๆหมอๆและพยาบาล ตามนัด ด้านหนึ่งไปเดินเพื่อให้น้องๆเกิดความรู้สึกอบอุ่นว่าขณะที่พวกเขาออกมาช่วยประชาชนคนเจ็บไข้ในสนาม ผมซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่แก่แล้วได้ให้ความชื่นชมและสนับสนุนการธำรงเกียรติของวิชาชีพที่พวกเขาได้ทำ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อร่วมเป็น “ไทยเฉยฮึดสู้” อีกคนหนึ่ง ที่อยากแสดงออกถึงความอยากเห็นสังคมไทยกลับมาเป็นสังคมที่เปี่ยมสำนึกผิดถูกชั่วดีดังเดิม ทั้งนี้โดยไม่ได้ให้ราคาอะไรกับพวกนักปั่นจิ้งหรีดที่อยู่เบื้องหลังไม่ว่าข้างไหนแม้แต่น้อย

ทุกครั้งที่ผมไปเดินก่อนหน้านี้ ผมพยายามมองหาทางออกของสังคมไทยที่เป็นรูปธรรมแต่ก็ยังมองไม่เห็น ผมไม่อาจคาดเดาได้ว่าผลสุดท้ายของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร บนนาทีที่ใกล้ถึงจุดหักล้างกันนี้ ผมยังมองไม่เห็นว่าจะมีโอกาสที่ฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือคนจนในชนบทที่ต้องการการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม กับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือไทยเฉยฮึดสู้ที่ต้องการฟื้นฟูสังคมที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลับขึ้นมาใหม่ จะได้มีโอกาสจูนความต้องการของกันและกัน และสร้างสรรค์สังคมใหม่ร่วมกันโดยไม่ถูกปั่นให้ฆ่าฟันกันได้อย่างไร เพราะ

ตราบใดที่ยังมีนักปั่นจิ้งหรีดหน้าเดิมนั่งประจำที่ทั้งสองมุมอยู่ โอกาสที่จะไม่ฆ่าฟันกันนั้นผมคิดว่า...ไม่มีเลย


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

...................................

19 มค. 57
จดหมายจากท่านผู้อ่าน

จิ้งหรีดคือใครคะ มองไม่เห็นว่าเป็นใคร

..................................

ตอบครับ

เกมปั่นจิ้งหรีดให้กัดกันเป็นเกมของเด็กในชนบทในสมัยก่อน วิธีเล่นคือต้องมีผู้เล่นสองฝ่าย แต่ละฝ่ายไปเฟ้นหาจิ้งหรีดที่แข็งแรงมาฝ่ายละตัว แล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็เอาเส้นผมทำเป็นบ่วงคล้องคอจิ้งหรีดของตัวเองแล้วแกว่งจิ้งหรีดให้หัวมันหมุนรอบหางของมันเป็นวงกลมแบบหมุนติ้วจนมันมึนได้ที่ แล้วหย่อนจิ้งหรีดที่กำลังเมาจนบ้านหมุนทั้งคู่ลงไปในกล่องกระดาษเล็กๆ จิ้งหรีดเมื่อหนวดสัมผัสอีกฝ่ายหนึ่งขณะที่ยังมึนตั้งสติไม่ได้ก็จะหมายเอาว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรูไว้ก่อนและก็จะกัดกันจนตายไปข้างหนึ่ง เจ้าของจิ้งหรีดตัวที่เหลืออยู่ก็เป็นฝ่ายชนะ


จิ้งหรีดตัวที่หนึ่ง คือ "คนจนในชนบท" จำนวนหลายล้านที่มีเจตนาปกป้อง "นายทุนใหญ่ใจถึง" สุดลิ่ม เพราะถูกทำให้เชื่อว่า "นายทุนใหญ่ใจถึง" จะเป็นผู้นำพวกตนโค่นล้มหรือกวาดล้างขุนศึกศักดินาสำเร็จ จะได้สถาปนารัฐบาลของคนจนขึ้นมาได้เสียที

จิ้งหรีดตัวที่สอง คือ "ไทยเฉยฮีดสู้" จำนวนหลายล้านคนเช่นกัน ที่มีเจตนาจะเปลี่ยนแปลงการทำการเมืองแบบไร้สำนึกผิดชอบชั่วดีให้เป็นการเมืองที่ชี้นำด้วยสำนึกผิดชอบชั่วดี ทั้งนี้โดยมีความพยายามให้ข้อมูลจิ้งหรีดตัวนี้ว่าการจะล้างการเมืองแบบไร้จิตสำนึกให้สะอาดได้ ต้องกวาดล้าง "นายใหญ่ใจถึง" และบริวารให้หมดเกลี้ยงไปก่อน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์


#ThaiUprising



#1013772 หลักฐานจากข้อสันนิษฐานตำรวจชี้ชัดนะฮะ ว่าเหตุปาระเบิด กปปส เป็นเพราะสุเมพจัดดาก

โดย คนอีสาน on 18 มกราคม พ.ศ. 2557 - 07:54

    ใครที่คิดว่าลุงกำนันจัดฉากมันผู้นั้นไม่ใช่คน ฟันธงพวกสัดที่ทำคือ ตำรวย แม่มสัดนรกจริงๆ

 

ขอให้ลุงกำนันสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ




#1013559 หลักฐานจากข้อสันนิษฐานตำรวจชี้ชัดนะฮะ ว่าเหตุปาระเบิด กปปส เป็นเพราะสุเมพจัดดาก

โดย พ่อไอ้ตอม on 18 มกราคม พ.ศ. 2557 - 00:11

1525425_1503571623201902_739152844_n.jpg




#1013556 สังคมไทยเรา มีจิตใจโอบอ้อมอารี..แต่วันนี้ ผมขอให้พี่น้องทุกคนจดจำบุคคลเหล่านี...

โดย applejaa on 18 มกราคม พ.ศ. 2557 - 00:03

ขอเพิ่มโคตร ชินวัตร ทั้งโคตรได้มั้ยคะ แบบว่า หาคนดีไม่เจอเลยอ้ะ โคตรนี้


#1013539 สังคมไทยเรา มีจิตใจโอบอ้อมอารี..แต่วันนี้ ผมขอให้พี่น้องทุกคนจดจำบุคคลเหล่านี...

โดย kukkuk on 17 มกราคม พ.ศ. 2557 - 23:49

น่าจะพอนะคับ

Attached Images

  • pic20131205124059.jpg



#1013536 สังคมไทยเรา มีจิตใจโอบอ้อมอารี..แต่วันนี้ ผมขอให้พี่น้องทุกคนจดจำบุคคลเหล่านี...

โดย แสงธูป on 17 มกราคม พ.ศ. 2557 - 23:46

โกตี๋
ขวัญชัย
ไอ้ตั้ง


#1013530 สังคมไทยเรา มีจิตใจโอบอ้อมอารี..แต่วันนี้ ผมขอให้พี่น้องทุกคนจดจำบุคคลเหล่านี...

โดย aiwen^mei on 17 มกราคม พ.ศ. 2557 - 23:43

จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ

ธาริต เพ็งดิษฐ์

เฉลิม อยู่บำรุง

จักรภพ เพ็ญแข

อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง

พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์

นพดล ปัทมะ

ชัยเกษม นิติสิริ

อำพน กิตติอำพน




#1013516 สังคมไทยเรา มีจิตใจโอบอ้อมอารี..แต่วันนี้ ผมขอให้พี่น้องทุกคนจดจำบุคคลเหล่านี...

โดย spartacus on 17 มกราคม พ.ศ. 2557 - 23:36

มาถึงวันนี้แล้ว ผมบอกตรงๆว่า ใจผมขอไม่อภัยคนกลุ่มนี้ตลอดไป..ไม่ว่ายังไง มีคนบอกว่าคิดต่างกันใยต้องเกลียดกัน

ข้อนี้ผมเห็นด้วยครับแค่คิดต่างกันเราไม่จำเป็นต้องเกลียดกัน เราอยู่ร่วมกันได้จริงไหม

แต่วันนี้ สถานการณ์แบบนี้ เวลานี้ สิ่งที่ ขี้ข้าอันซื่อสัตย์ต่อนายใหญ่ระบอบทักษิณ ได้กระทำและปฏิบัติในสิ่งที่ต้องบอกว่าเป็นความเลว เป็นสิ่งชั่วร้าย และเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ในเรื่องของความคิดที่ต่างกัน แต่มันเป็นการกระทำความเลวความชั่วที่ต้องการรักษาอำนาจรักษาผลประโยชน์ ของตัวเองไว้เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง
ผมอยากจะบอกว่า เราอย่าลืมคนกลุ่มนี้ ว่ามันเลวระยำ ขนาดไหน และมันขั่วจากสันดานจากจิตใจอันอำมหิต อย่าให้อภัยพวกมัน จงมองหน้ามันด้วยความเหยียดหยาม..มองมันเหมือน สิ่งที่น่าขยะแขยง..สกปรกชั่วร้าย หากมันมาเดินถนน เดินห้าง ให้เราเดินเข้าไปหามันแล้วมองมันด้วยสายตาอันเหยียดหยาม
ให้สิ่งนี้กัดกินมัน ผมคงจะไม่ขอให้ใช้ความรุนแรงเกินไปกว่านี้ จะด่ามันก็ได้ แต่อย่าไปทำร้ายมัน
ต่อให้เราชนะในสงครามต้านระบอบทักษิณครั้งนี้ ก็อย่าปล่อยหรือให้อภัยพวกมันเหล่านี้
1ไอ้เหลี่ยม 2อีโง่หฤโหด 3ไอ้ปึ้ง โป้งเหน่งโด่ง
4ไอ้คำรวยวิทยุ เลวในสันดาน 5วรพงค์ ชิวปรีชา
6ปิยะ สตอเบอรี่ 7 ประชา พรหมนอก
8เสด็จพี่ โกกิ 9ปลอดปากศพ 1ธิดานกแสก 11 โหวง
12ไอ้เต้นไอ้ตู่ 13สุกำพล สุวรรณทัต

ท่านใดต้องการเพิ่มเติมอีก เขียนรายชื่อต่อลงไปเลยครับ
คนพวกนี้ เกินคำว่าให้อภัยแล้วครับ มันไม่ได้เกิดจาก ความบังเอิญความจนใจไม่ตั้งใจ แต่มันเป็นความเลวจากใจจากความเป็นตัวตนของพวกมัน





ฏิกีกัมั