Jump to content


ครุฑดำ

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 14 มีนาคม 2555
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2556 09:38
-----

Topics I've Started

ตะลึงกู้ 2.2ล้านล้านลงทุนเมกะโปรเจกต์ ค่าที่ปรึกษา60,000ล้าน!!!

22 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 14:02

http://www.prachacha...7&subcatid=0703

 

ตะลึง ! เมกะโปรเจ็กต์ลงทุน 2 ล้านล้านบาท ที่ปรึกษาโครงการรับเละ มูลค่างานสูงถึง 60,000 ล้าน เผยบริษัทที่ปรึกษาไทย-เทศเตรียมแข่งประมูลงานทั้ง "รถไฟฟ้า ไฮสปีดเทรน ทางคู่ มอเตอร์เวย์" "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" เผย 92 โครงการหลักต้องจ้างที่ปรึกษาทุกขั้นตอน


13638848341363884857l.jpg

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ...วงเงิน 2 ล้านล้านบาท สอดคล้องกับยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง 1.เปลี่ยนรูปแบบขนส่งสินค้าจากถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า 2.อำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งสู่ศูนย์กลางภูมิภาคและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และ 3.พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัว

ที่ประชุมเห็นชอบหลักเกณฑ์จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวให้เสร็จภายใน 50 ปี ดังนี้ ปีที่ 11-20 ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท หรือ 1% ของวงเงิน ปีที่ 21-30 ไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท หรือ 2% ปีที่ 31-40 ไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท หรือ 3% และปีที่ 41-50 ไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท หรือ 4%

นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า หากช่วงใดมีความสามารถชำระคืนได้มากกว่ากำหนดไว้ก็ทำได้ และยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องไปปรับแก้ในส่วนพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะแต่อย่างใด เพราะถือว่าเป็นมติ ครม.แล้ว

รายงานข่าวเปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้จัดทำบัญชีท้ายร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท แบ่งวงเงินออกเป็น 3 ส่วน 1.เปลี่ยนรูปแบบขนส่งสินค้าจากถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า 354,560.73 ล้านบาท 2.อำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งสู่ศูนย์กลางภูมิภาคและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน 1,042,376.74 ล้านบาท 3.พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัว 593,801.52 ล้านบาท และจัดสรรวงเงินไว้เป็นแผนงานการ

ส่งเสริมเพื่อเตรียมความพร้อม การประเมินผล แผนการบริหารความเสี่ยงด้านการเงิน และรองรับการดำเนินการกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 9,261.01 ล้านบาท

นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะนำร่าง พ.ร.บ.เสนอต่อสภาผู้แทนฯ ในวันที่ 20 มี.ค.
เพื่อบรรจุวาระการประชุม และในวันที่ 27 มี.ค.จะขอเลื่อนระเบียบวาระให้ขึ้นมาเป็นลำดับแรก เพื่อพิจารณาทันทีในวันที่ 3 เม.ย. รัฐบาลยังหวังว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะผ่านการพิจารณาวาระแรกสมัยประชุมนี้ จากนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเสนอให้มีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาคู่ขนานกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2557 โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ก่อนเดือน ก.ย.นี้

ชิงดำที่ปรึกษา 92 โครงการ

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า แผนลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของกระทรวงคมนาคม 92 โครงการ จะเปิดประมูลคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาเพื่อมาออกแบบรายละเอียด บริหารโครงการ และควบคุมการก่อสร้างทุกโครงการ มีอัตราค่าจ้างมาตรฐานถัวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.75% ของวงเงินลงทุนแต่ละโครงการ

"กระบวนการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาผมจะบริหารจัดการให้มีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้ได้งานมีคุณภาพคุ้มค่ากับเม็ดเงินงบประมาณ อย่างน้อยที่สุดในสัญญาจ้างจะต้องมีการประเมินผลงานของบริษัทที่ปรึกษาด้วย หากงานล่าช้าที่ปรึกษาก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันกับผู้รับเหมาก่อสร้าง"

นายชัชชาติกล่าวด้วยว่า โครงการหลัก ๆ ที่อยู่ในบัญชีลงทุนภายใต้งบฯ 2 ล้านล้านบาท เช่น รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง 4 สาย รถไฟฟ้า 10 สาย ขยาย 4 ช่องจราจร ปรับปรุงทางหลวงเชื่อมระหว่างภาค มอเตอร์เวย์ 3 สาย นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่เหลือเป็นโครงการย่อย ๆ อีกเป็น 100 โครงการ เพราะจะเป็นการลงลึกรายละเอียดเพื่อประมูลก่อสร้างต่อไป

เค้กก้อนโต 60,000 ล้าน

แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจบริษัทที่ปรึกษา กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" เพิ่มเติมว่า ขณะนี้บริษัทที่ปรึกษาทั้งไทยและต่างประเทศกำลังเตรียมความพร้อมและใจจดใจจ่อรองานประมูลในส่วนการจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาโครงการต่าง ๆ ในแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาทตามนโยบายของรัฐบาล ที่จะใช้ระยะเวลาดำเนินการภายใน 7 ปี ตั้งแต่ปี 2556-2563

ทั้งนี้ จากการประเมินวงเงินเฉพาะค่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา เบื้องต้นคาดว่าภายใน 7 ปีนี้จะมีมูลค่างานในภาพรวมสูงถึง 60,000 ล้านบาท โดยคิดคำนวณจากฐานค่าจ้างมาตรฐานแต่ละงานตามมูลค่าการลงทุนรายโครงการ เช่น งานศึกษาและออกแบบรายละเอียด ค่าจัดจ้างที่ปรึกษาจะอยู่ที่ประมาณ 1.75% งานควบคุมไซต์ก่อสร้างเฉลี่ยอยู่ที่ 2% และงานบริหารโครงการอยู่ที่ประมาณ 1% เป็นต้น

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สัดส่วนเงินลงทุนได้ข้อสรุปเบื้องต้น ระบบรางใช้เงินลงทุนทั้งหมด 1.68 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย เนื่องจากจะต้องปรับเพิ่มวงเงินรถไฟความเร็วสูง 4 สายทางใหม่ จากเดิม 753,105 ล้านบาท เป็นเกือบ 800,000 ล้านบาท สำหรับขยายเส้นทางจากนครราชสีมา-หนองคาย มีวงเงินเพิ่มประมาณ 20,000 ล้านบาท เป็นค่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมและเป็นค่าเวนคืน แผนเดิมก่อสร้างเฟสแรก

จากกรุงเทพฯ-นครราชสีมาเท่านั้น รวมถึงเพิ่มเงินลงทุนสายกรุงเทพฯ-หัวหินประมาณ 500 ล้านบาท เป็นค่าจ้างที่ปรึกษาศึกษาส่วนต่อขยายจากหัวหิน-ปาดังเบซาร์ เป็นต้น

"การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง นโยบายจะทำครอบคลุมทั่วประเทศแน่ แต่ทยอยทำภายใน 7 ปีนี้ โดยช่วง 5 ปีแรกทำเฉพาะ 4 สาย ต้นทางจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ หัวหิน โคราช และระยอง ส่วนที่เหลือจะเป็นเฟส 2 เช่น โคราช-หนองคาย กับหัวหิน-ปาดังเบซาร์"

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า งบฯลงทุนด้านทางน้ำวงเงินลงทุนเท่าเดิมประมาณ 30,000 ล้านบาท เป็นโครงการของกรมเจ้าท่า (จท.) อาทิ สร้างท่าเรือ จ.ชุมพร 1,713 ล้านบาท ท่าเรือสงขลาแห่งที่ 2 วงเงิน 3,613 ล้านบาท เขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำป่าสัก 11,387 ล้านบาท ท่าเรือปากบาราระยะที่ 1 วงเงิน 11,786 ล้านบาท เป็นต้น

เอ็ม เอ เอฯ พร้อมสุดขีด

นายวิเชียร วิไลงาม ประธานกรรมการ บริษัท เอ็ม เอ เอ คอนซัลแตนท์ จำกัด กล่าวว่า ในวงการประเมินกันว่าจะมีงานออกมาจำนวนมาก มูลค่างานหลายหมื่นล้านบาท โดยบริษัทมีผู้เชี่ยวชาญอยู่หลายสาขา โดยเฉพาะระบบรางมีความสนใจจะเข้าร่วมประมูลงานหลายโครงการ เช่น รถไฟฟ้า 10 สาย รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น

ล่าสุดโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กิโลเมตร บริษัทได้ลงนามเป็นคู่สัญญากับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ไปแล้วเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา มีวงเงินค่าจ้าง 826 ล้านบาท

  •  
  •  
  •  

 


จะเป็นไรไม๊ถ้าจะเชิญชวนพี่น้องเสื้อแดงที่รักเพื่อไทยมาลงคะแนนให้ผู้สมัครหมายเลข4

27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 15:46

ก็ท่านเฉลิมท่านก็เชียร์ซะดังขนาดนั้น พี่น้องเสื้อแดงอย่าได้ขัดศรัทธาท่านเฉลิมเลย
 จำไว้นะครับ
รักเพื่อไทย กาเบอร์4  รับรองว่ากรุงเทพไร้รอยต่อแน่นอน!!


"จม.ลับ"เงื่อนงำรายงานเผาเมืองไม่เปิดเผย

12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 15:13

"จม.ลับ"เงื่อนงำรายงานเผาเมืองไม่เปิดเผย



        

54A561F646DB40C0B660FC1051F5561C.jpg


        

    

    

    

    

โดย....ทีมข่าวการเมือง


    

            

ภายหลัง นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม
ภรรยาพล.อ.ร่มเกล้า
ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่คลี่คลายสถานการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดง
ได้เขียนบันทึก”ประชาชนได้อะไรจากการนิรโทษกรรม…ในวันนี้”
โดยมีการเสนอแนะทางออกต่อการออกกฎหมายนิรโทษกรรม(จากรายงานพิเศษโพสต์ทูเดย์
ออนไลน์เมื่อวันที่ 8 ก.พ.56 http://bit.ly/YYB3qD
)   กระทั่งที่ประชุมสภาอย่างไม่เป็นทางการซึ่งมีนายเจริญ จรรย์โกมล
รองประธานสภาเชิญตัวแทนจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แกนนำคนเสื้อแดง
ได้หยิบยกข้อเสนอของนิชาร่วมหารือด้วย 


ปรากฎว่าบันทึกของนิชา ยังนำมาซึ่งจดหมายฉบับหนึ่ง จาก นพ.ชูชัย ศุภวงศ์
อดีตเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ส่งถึงนิชา
โดยเนื้อหาบอกเล่าถึงเบื้องหลังรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์คนเสื้อ
แดงเผาเมือง ที่ถูกตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงยังไม่มีการเผยแพร่!?! 
โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ขอนำรายละเอียดเสนอ ดังนี้  


คุณนิชาครับ


ผมอ่านบันทึกล่าสุดของคุณนิชา
ที่เขียนทักท้วงถึงความพยายามที่จะผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมในขณะนี้แล้ว
ผมอดไม่ได้ที่จะขอแสดงความชื่นชมในความแข็งแกร่งของคุณนิชาที่แสดงความกล้า
หาญในการถามหาความจริงและความจริงใจจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่ยังคงเป็นข้าราชการที่สามารถจะถูกกลั่นแกล้งใดๆ
ก็ได้จากฝ่ายการเมือง
และเป็นข้อเสนอที่ผมคิดว่าได้ก้าวข้ามความสูญเสียของคนที่รักไปถึงการต้อง
การให้สังคมได้เรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต
เพื่อมิให้ความรุนแรงต้องเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้เป็นสังคมที่ปลอดภัย
ปลอดความรุนแรงแก่ลูกแก่หลานในอนาคต


ผมเห็นว่าคุณนิชามีสิทธิอันชอบธรรมอย่างยิ่ง
ในฐานะของคนที่สูญเสียคนที่เป็นที่รักซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การ
ชุมนุมของ นปช. ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553
ที่จะเรียกร้องจากผู้มีหน้าที่รับผิดชอบถึงสิ่งที่เป็นความจริง ความถูกต้อง
ซึ่งไม่ต่างกับคุณแม่ของน้องเกด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตในเหตุการณ์
แม้จะเป็นผู้สูญเสียจากคนละฟากฝั่งและมีวิธีการถามหาความจริงที่แตกต่างกัน
แต่ในสาระสำคัญของการเรียกร้องว่าอะไรเกิดขึ้นกับการสูญเสียของสามีและลูก
และการต้องมีผู้รับผิดชอบต่อการกระทำนั้นเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรม
และเป็นหน้าที่ของทุกองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสังคมจะต้อง
ดำเนินการโดยสุจริต ไม่บิดพลิ้วจากความเป็นจริง
อย่างกล้าหาญและมีความเที่ยงธรรม


ผมเห็นเช่นกันว่า
กระบวนการปรองดองที่ขณะนี้กำลังพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นโดยใช้การนิรโทษ
กรรมนั้น ไม่มีทางที่จะสร้างความปรองดองที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้

เพราะการปรองดองที่แท้จริงไม่เพียงแต่การทำให้ฝ่ายขัดแย้งอยู่ร่วมกันได้โดย
สันติ แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ความรุนแรงกลับมาเกิดขึ้นใหม่อีกในสังคมไทย


การเรียกร้องให้ทุกฝ่ายต้องยอมรับการนิรโทษกรรมโดยไม่มีกระบวนการต่อ
เนื่องอย่างจริงใจ และจริงจังโดย อ้างเหตุของความปรองดองเป็นเพียง
“สิ่งฉาบหน้า”
ความพยายามที่จะปิดหน้าประวัติศาสตร์และบังคับให้ทุกฝ่ายลืมสิ่งที่เกิดขึ้น
ผมไม่คิดว่าการที่สังคมไม่ตระหนักถึงความทุกข์ระทม
ความขมขื่นของผู้สูญเสียหรือผู้ได้รับผลกระทบแล้ว
เขาเหล่านั้นพร้อมที่จะลืมและก้าวไปสู่หน้าใหม่ของประวัติศาสตร์และทิ้งความ
เจ็บปวดสูญเสียให้เป็นอดีต


เหตุการณ์ความรุนแรงในสังคมไทยที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 และ 2519 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
หรือแม้แต่ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้
และการชุมนุมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า
หากไม่สามารถเยียวยาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม
ไม่เยียวยาบาดแผลที่บาดลึกทางจิตใจของผู้ที่ยังมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด
ไม่สามารถทำให้คู่ขัดแย้งเข้าใจร่วมกันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตและยอมรับ
ร่วมกันถึงสาเหตุหรือความผิดพลาด
ไม่มีการแก้ไขความอยุติธรรมที่มีอยู่ในเชิงโครงสร้างและสถาบันก็อย่าได้หวัง
ว่าเราจะมองไปในอนาคตว่าจะเกิดความสมานฉันท์ การให้อภัย
และทำให้ผู้ได้รับผลกระทบและผู้สูญเสียสามารถดำเนินชีวิตต่อไปอย่างปกติใน
สังคมได้ โดยไม่รู้สึกว่าต้องแบกรับความขมขื่นของการเป็นผู้ถูกกระทำ
สังคมไทยก็ไม่มีทางหนีพ้นจากวงจรของความรุนแรงที่จะกลับมาอีก...


กับดักสำคัญที่เป็นอุปสรรคในกระบวนการสร้างความปรองดองที่แท้จริงให้เกิด
ขึ้นได้ในสังคมไทยคือ
การไม่ทำความจริงให้ปรากฏเพื่อที่จะนำไปสู่ความรับผิดชอบของบุคคลที่มีส่วน
ทำให้เกิดขึ้นตามกระบวนการยุติธรรม อย่างน้อยที่สุด ได้แสดงความเสียใจ
ขอโทษโดยสำนึกและรับผิดต่อการกระทำของตนที่นำความสูญเสียมาสู่ผู้อื่นและ
สังคม


การนิรโทษกรรมโดยไม่ทำให้ความจริงปรากฏเสีย
ก่อนเท่ากับว่าเป็นการทำให้ผู้สูญเสียหรือผู้ถูกกระทำอยู่ในฐานะเดียวกับผู้
กระทำความผิด นั่นคือ ผู้กระทำความผิด “ปราศจาก”
โทษหรือไม่ต้องรับโทษจากการกระทำที่ละเมิดต่อผู้อื่น
ในที่สุดแล้วสังคมเองก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ความรุนแรง
ที่เกิดขึ้น
ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและผมคิดว่าก็คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
เพราะผู้กระทำผิดย่อมย่ามใจว่าจะกระทำอะไรก็ได้หากได้มาซึ่งอำนาจรัฐ
แล้วก็ค่อยมีการ นิรโทษกรรมกันภายหลัง


องค์กรใดไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ
หรือองค์กรอิสระที่มีหน้าที่แล้วไม่ดำเนินการ ไม่ว่าจะด้วยเจตนา
ขาดความสามารถ ขาดประสิทธิภาพ ขาดเจตนารมณ์มุ่งมั่นทางการเมือง
และยิ่งแสดงอาการไม่รู้ร้อนรู้หนาวจากความขมขื่นของผู้สูญเสียที่รอคอยความ
จริงอย่างคุณนิชา หรือคุณแม่ของน้องเกด ผมเห็นว่าเป็นการ “สมยอม”
ให้ผู้กระทำผิดอยู่อย่างลอยนวล


ในเหตุการณ์การชุมนุมของ นปช. ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553
มีหลักฐานต่างๆ มากมายแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่ามี “เจตนา”
ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น


มีกลไกของรัฐ 2 องค์กรที่ทำหน้าที่ค้นหาความจริงในเรื่องนี้
คือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
และคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)
ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
และได้ดำเนินการต่อมาจนถึงสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี  
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา สองปีหลังเหตุการณ์การชุมนุมของ
นปช. องค์กร Human Rights Watch
ได้ออกแถลงการณ์ตอนหนึ่งตั้งคำถามถึงรายงานการสอบสวนข้อเท็จจริงของทั้ง
กสม. และ คอป. ที่ยังไม่แล้วเสร็จ บัดนี้ รายงานของ คอป.
ได้ออกมาแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2555 ดังที่ทราบกัน


จึงมีคำถามว่าเหตุใดรายงานของ กสม. จึงไม่แล้วเสร็จเสียที
ผมในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในขณะนั้น
ต้องทำหน้าที่เป็นประธานคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานกรณี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีพนักงานเจ้าหน้าที่ 30
คนและผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกอีก 4 คน
(เป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยมีชื่อ
อัยการและทนายความอาวุโสที่เป็นที่เชื่อมั่นในเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชน)
เป็นที่ปรึกษา
ได้ร่วมกันวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลพยานหลักฐานทั้งหมดที่มี โดยประธาน
กสม. ได้เข้าร่วมประชุมกับคณะทำงานหลายครั้ง


และในขณะเดียวกัน กสม. ยังได้มีมติตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจอีก 3 ชุด
เมื่อคณะทำงานฯ ได้จัดทำร่างรายงานแล้วเสร็จ ประธาน กสม.
ได้เชิญประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้งสามชุดร่วมกับ กสม. เมื่อวันที่ 29
พฤษภาคม 2554 หลังจากนั้น ประธาน กสม. ได้ให้มีการประชุม กสม.
นัดพิเศษในวันที่ 29 มิถุนายน 2554 เพื่อพิจารณาร่างรายงานที่คณะทำงานฯ
ได้ปรับแก้ตามข้อเสนอแนะจากที่ประชุมเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมเป็นการเฉพาะ


ในการประชุมครั้งนั้น ฝ่ายเลขานุการได้อ่านร่างรายงานทีละบรรทัด
ที่ประชุมได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมในบางประเด็นโดยไม่มีการคัดค้านร่างรายงาน
ทั้งฉบับ และประธาน กสม.
มอบให้ฝ่ายเลขานุการไปปรับแก้ตามความเห็นของที่ประชุม
และให้นัดประชุมอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 6 กรกฎาคม 2554 ซึ่งประธาน กสม.
บอกกับผมว่าเป็นการประชุมครั้งสุดท้าย
โดยที่ได้พูดในที่ประชุมและนอกห้องประชุมว่ารายงานฉบับนี้ทำให้ประธาน กสม.
สู้หน้าใครต่อใครได้ ซึ่งมีพยานบุคคลสามารถยืนยันในเรื่องนี้


เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2554
ได้มีการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือก
ตั้ง ในการประชุม กสม. วันที่ 6 กรกฎาคม
ได้ปรากฏเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนคือ
มีกรรมการท่านหนึ่งได้นำความเห็นจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการที่ไม่ได้เกี่ยว
ข้องกับการพิจารณาเรื่องนี้มาเสนอต่อที่ประชุม
เพื่อคัดค้านร่างรายงานฉบับที่คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ 3 ชุดและ กสม.
ได้พิจารณาร่วมกันและได้ให้ความเห็นมาแล้ว
ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดระเบียบรักษาความลับทางราชการเพราะได้นำร่างรายงาน
ที่เป็นเอกสารราชการประทับตราลับไปแจกในที่ประชุมคณะอนุกรรมการที่กรรมการ
ท่านนั้นเป็นประธานแต่ไม่มีหน้าที่ในการพิจารณาเรื่องนี้


นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังมีกรรมการท่านอื่นๆ
ก็ได้บอกให้ไปทบทวนร่างรายงานใหม่
กรรมการท่านหนึ่งถึงกับพูดว่าหากรายงานออกไปเช่นนี้
กรรมการต้องไปขึ้นศาลทั่วประเทศ
ทั้งที่ในการประชุมก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ให้ความเห็นในลักษณะดังกล่าว
กรรมการบางท่านก็เสนอให้กลับไปให้คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้ง 3
ชุดพิจารณาใหม่อีก ทั้งที่ในการประชุมร่วมของคณะอนุกรรมการทั้งสามชุด
ประธาน กสม.
ก็ได้กล่าวขอบคุณคณะอนุกรรมการทั้งหมดไปแล้วและว่าจะไม่มีการประชุมคณะ
อนุกรรมการเฉพาะกิจอีก
ผมได้ยืนยันว่าขั้นตอนของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทั้งสามชุดได้สิ้นสุดลงแล้ว


แต่ก็มีกรรมการที่ยืนยันความคิดเช่นเดิม ทั้งยังไปให้ข่าวต่อในสื่อต่างๆ
ทั้งหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์
และทางโทรทัศน์ว่ารายงานที่เป็นข่าวทางสื่อมวลชนนั้น กสม. ยังไม่ได้พิจารณา
เป็นเพียงอยู่ในชั้นของสำนักงานหรือคณะทำงานฯเท่านั้น
ซึ่งต่อมามีความพยายามปกปิดหรือทำให้ความจริงคลาดเคลื่อนไป
โดยไม่มีการเปิดเผยความจริงต่อสาธารณชนอย่างตรงไปตรงมา


คุณนิชาครับ


หลังจากที่ผมในฐานะเลขาธิการ กสม.
และผู้อำนวยการสำนักที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำรายงานถูกย้ายออกไป
ยังมีการประชุมพิจารณาร่างรายงานอีกกว่าสิบครั้ง จนบัดนี้ รวมเวลา 1 ปี 6
เดือนที่ร่างรายงานถูกปฏิเสธจากที่ประชุม กสม.
ก็ยังไม่มีรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเหตุการณ์ดังกล่าวของ
กสม. ปรากฏต่อสาธารณะ
กสม.ทั้งคณะคงต้องตอบคำถามต่อสาธารณชนและผู้สูญเสียให้ได้ว่า
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
มีอะไรที่เป็นสาระสำคัญต่างจากร่างรายงานเดิมที่ควรจะได้รับการเผยแพร่และทำ
ความจริงให้ปรากฏแก่สังคมมานานมากแล้ว


การที่คุณนิชาเรียกร้องต่อสาธารณะอย่างสุภาพ
ด้วยความอดทนเพื่อให้ความจริงได้ปรากฏทั้งทางส่วนบุคคลและผ่านสื่อเป็นระยะๆ
เป็นความมานะมุ่งมั่นเพื่อประโยชน์อันชอบธรรมของผู้ที่ต้องสูญเสีย
และจะเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมไทยในอนาคต


ผมทำได้เพียงเสนอความจริงให้สังคมได้เห็นถึงกระบวนการทำงานที่ผ่านมาใน
ส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับตัวผมเอง
ที่เหลือจากนี้เป็นเรื่องกลไกที่เกี่ยวข้องจะต้องออกมาชี้แจงความจริงต่อไป
ขอเพียงมีส่วนแม้เล็กน้อยในการทำหน้าที่ใช้ฝ่ามือแหวกเมฆหมอกแห่งความเท็จ
ที่ปกคลุมทั่วแผ่นดินสยาม
ให้แสงสว่างได้เล็ดลอดออกมาได้บ้างเท่านั้นดูเพิ่มเติม

http://www.posttoday...เมืองไม่เปิดเผย


มันเงียบไปแล้วหรือครับ คดีรถเช่าหมื่นล้านของตำรวจ!!!!

12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:24

ใครมีข้อมูลรบกวนด้วยครับ ผมอยากติดตาม อยากรู้ว่าปชปใส่ร้ายจูดี้ หรือว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ตะกวดไทยผลาญเงินภาษีประชาชนเล่น!!

 

ขอบคุณล่วงหน้าพี่น้องสรทที่ให้ข้อมูลครับ :) :)


แดงตายแบบนี้ใครรับผิดชอบ!!

28 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 13:36

ผู้ต้องหา "แดง" ตายคาคุกหลักสี่ "ราชทัณฑ์" แจงยังไม่ทราบสาเหตุ
วันพฤหัสบดี ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555, 20.28 น.

35632.jpg

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ ได้โพสข้อความผ่านหน้าเฟซบุ๊คของตัวเองว่า “ด่วน!! ได้รับแจ้งว่า คุณวันชัย รักสงวนศิลป์ ผู้ต้องขังคดีการเมืองที่เรือนจำหลักสี่เพิ่งเสียชีวิต หลังจากร่วมงานกีฬาสีของเรือนจำ ทางราชทัณฑ์แจ้งว่า จะเคลื่อนศพไปทำการชันสูตรที่สถาบันนิติเวชตำรวจในวันพรุ่งนี้”

ขณะที่ต่อมา นายสรสิทธิ์ จงเจริญ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ (เรือนจำหลักสี่) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่า มีผู้ต้องขังเป็นลมหน้ามืด เจ้าหน้าที่พร้อมเพื่อนผู้ต้องขังจึงเร่งนำตัวส่งเข้ารักษาที่ทัณฑสถานโรง พยาบาลราชทัณฑ์ แต่ผู้ต้องขังเสียชีวิต ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเสียชีวิตจากโรคใด จึงได้แจ้งให้ญาติทราบข่าวการเสียชีวิต ทั้งนี้ในวันที่ 28 ธันวาคม จะนำศพผ่าพิสูจน์เพื่อให้แพทย์นิติเวชสรุปสาเหตุการเสียชีวิตอย่างเป็นทาง การ ขอยืนยันว่าที่ผ่านมาดูแลนักโทษเป็นอย่างดี ผู้ตายก็เป็นคนสุขภาพแข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำและมีอายุเพียง 30 ปี เป็นผู้ต้องขังที่ก่อคดีความไม่สงบในจังหวัดอุดรธานี

 

http://www.naewna.com/politic/35632