ใครๆก็รู้
- V.Junior for Vendetta and varot_boy like this
varot_boy hasn't added any friends yet.
โดย Gop
on 27 เมษายน พ.ศ. 2557 - 15:27
โดย ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่
on 27 เมษายน พ.ศ. 2557 - 17:00
คุณธรรมไทยตกต่ำติดดินยังจะเอาวิชาศีลธรรมออก ยิ่งเละจริงๆ
ไอ้พวกสลิ่ม! อะไรคือศีลธรรม? สลิ่มเอาอะไรมาวัด?
ศีลธรรมคนเราไม่เท่ากัน เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้
คนที่คนนึงบอกว่าดีอาจเป็นคนไม่ดีในสายตาคนอื่นก็ได้ ทำไมต้องยัดเยียดเด็กนร.ให้เรียนวิชาที่ตัวเะองไม่อยากเรียนด้วย
ทำไมไม่ถามเด็กก่อน เสรีภาพอยู่ตรงไหน ไม่เป็นประชาธิปไตยสักนิด
ชิส์
โดย พอล คุง
on 27 เมษายน พ.ศ. 2557 - 10:25
เกาหลีใต้ ไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริงครัช
ประชาธิปไตยที่แท้จริง ต้องตายคาเก้าอี้ ในนาม ประชาธิปไตย์ครัช
พวกสลิ่มอำมาตย์ จะรู้อะไร
โดย แดงประจำเดือน
on 25 เมษายน พ.ศ. 2557 - 13:49
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!
โดย Suraphan07
on 17 เมษายน พ.ศ. 2557 - 15:22
สมแล้วที่เป็นแนวร่วมเสื้อแดง...
คณะอักษรฯ จุฬาฯ ไม่ต่อสัญญาจ้าง "สุดา รังกุพันธ์" อาจารย์แนวร่วมเสื้อแดง
เมื่อวันที่ 16 เม.ย. น.ส.สุดา รังกุพันธ์ นักวิชาการที่เป็นหนึ่งในแนวร่วมของกลุ่มนปช. เปิดเผยว่า คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ต่อสัญญาจ้างพนักงาน (หมวดเงินอุดหนุน) ของตน ซึ่งหมดสัญญาไปเมื่อวันที่ 31 มี.ค. โดยให้เหตุผลว่าผลการประเมินของตนอยู่ในระดับปานกลาง และคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ในการประเมินครั้งต่อไป ซึ่งถือเป็นการตัดสินตนล่วงหน้าว่า ตนจะไม่สามารถปรับปรุงผลการปฏิบัติงานให้ดีขึ้นได้
ทั้งนี้ แม้ว่าเหตุผลทางการเมืองจะไม่ถูกระบุไว้ในเหตุผล แต่ก่อนหน้าที่จะมีการแจ้งไม่ต่อสัญญา ก็มีสัญญาณบางอย่างที่ไม่ดี คือ ผู้บริหารแจ้งตนมาว่า อธิการบดีถูกกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภาเรียกเข้าไปสอบสวน โดยอ้างถึงกรณีที่ตนไปเล่นงิ้วธรรมศาสตร์ ร่วมกับอีกหลายคน ในงานรำลึกเหตุการณ์ 14 ต.ค. อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากสภามหาวิทยาลัยว่าจะเลิกจ้าง แต่ทราบจากทางคณะอักษรศาสตร์ว่า คณะกรรมการพิจารณาต่อสัญญาไม่ต่อสัญญาจ้างงานเท่านั้น
น.ส.สุดากล่าวต่อว่า หลังจากนี้ จะทำเรื่องอุทธรณ์เรื่องการต่อสัญญา เพราะอยากเห็นความเป็นธรรมในระบบการจ้างงานในมหาวิทยาลัย ที่ผ่านมา ตนมองว่ามีบรรทัดฐานการจ้างงานพนักงานในมหาวิทยาลัยที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมาโดยตลอด ซึ่งเป็นผลมาจาก พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ในสมัยสภาที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549
โดยกรณีที่หนักกว่าของตน คือ การจ้างอาจารย์เป็นรายโครงการ หรือการจ้างงานแบบเอาต์ซอร์ส ขณะที่อาจารย์ระดับสูงในระบบราชการ สามารถต่ออายุการจ้างงานของตัวเองต่อไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ได้ทั้งเงินเกษียณอายุ เงินบำนาญ และเงินเพิ่มจากการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยด้วย หลังจากนี้ ตนตั้งใจจะสานงานต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนของนักโทษการเมืองต่อไป
คุ้นๆว่า อาจารย์แก ไม่เอา ม.112 ด้วย?...
จับแพะ ชนแกะได้เก่งอย่างงี้
นายใหญ่ น่าจะรักตายเบยยยย...?
โดย ผู้พิทักษ์ความดี
on 15 เมษายน พ.ศ. 2557 - 08:20
โดย ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่
on 15 เมษายน พ.ศ. 2557 - 04:55
ยางอาย
คำที่สาบสูญไปในยุคสมัยระบอบทักษิณครอบงำประเทศ
โดย RiDKuN_user
on 15 เมษายน พ.ศ. 2557 - 16:51
อยากทราบความเห็นพวกลิเบอเร่า ต่อกรณีนี้จริง ๆ ครับ
โดย คนทุกที่
on 8 เมษายน พ.ศ. 2557 - 14:22
บันทึกลับ!! ร.อ..วัชรชัย ผู้ลอบปลงพระชนม์ ร.๘????
ได้มีโอกาสเจอคุณลุงท่านหนึ่ง(ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) ที่เป็นคนในครอบครัวของ ศ.น.พ.ชุบ โชติกเสถียร หรือฉายา " หมอสปัสซั่ม " ศัลยแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผู้ชันสูตรพลิกพระศพของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ท่านเป็นหมอที่ยืนยันว่านอกจากจะมีการลอบปลงพระชนม์ด้วยอาวุธปืน " พาราเบลลั่ม(Parabellum) "แล้ว ยังมีการวางยาในหลวง วางยาต้นห้อง
คุณลุงนั่งกินหมูกระทะกับผมโดยบังเอิญ ที่หน้าสถานีวิหคเรดิโอ เชียงใหม่ เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เพราะท่านมาวันเกิดลูกของน้องชายผม เลยคุยกับแบบถูกคอเรื่องบ้านเมือง ในอดีตจนถึงปัจจุบัน คุณลุงเล่าให้ฟังเรื่องการลอบปลงพระชนม์ ร.๘ ว่า ศ.น.พ.ชุบ โชติกเสถียร ผู้เป็นบิดา จะไปเป็นพยานในศาลคดีลอบปลงพระชนม์ ปรีดีได้มาเจรจา เพื่อให้ยอมไปให้ปากคำว่า เป็นการปลงพระชนม์ตัวเอง โดยยื่นสินบนด้วยคำพูดว่า "จะเปิดคลังหลวงให้และให้เอากระเป๋าไป ๒ ใบ ใส่เงินเท่าที่ใส่ได้ ให้ไปกินอยู่ตลอดชีวิต แค่อย่าให้ปากคำกับศาลว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์"
ในสมัยนั้นถ้าใครไม่ยอมทำตาม ก็จะมี "เก๋งดำ" หรือรถยนต์เก๋งสีดำ มาจอดหน้าบ้าน นั่นหมายถึงว่าตายทุกราย จนข่าวนี้โด่งดั่ง เกิดข่าวลือว่า ศ.น.พ.ชุบ ตายแล้ว อันที่จริง ศ.น.พ.ชุบ ได้จ้างทหารมาเป็นยาม ถือปืนลูกซองอยู่ในบ้าน ใครเข้ามา "ยิงทิ้งทันที" จากนั้นก็ไปให้ปากคำกับศาลยืนยันว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์จริง ระบุว่าในการตรวจพระศพยังพบว่ามีการ "ลอบวางยา" ต้นห้องของในหลวงรัชกาลที่ ๘ และในพระวรกายของพระองค์ท่านยังพบว่า มีการพบ "น้ำมันละหุ่ง" ในปริมาณมากผิดปกติ จนทำให้เกิดอาการ "มึนงง" ก่อนการลอบปลงพระชนม์
คำว่าหมอ "สปัสซั่ม" สื่อมวลชนในสมัยนั้น ได้ให้ฉายา กับ ศ.น.พ.ชุบ เพราะคำให้การที่อธิบายถึงคนที่จะยิงตัวตายได้ จะต้องมีอาการเกร็ง หรือ "สปัสซั่ม(Spasm)" แต่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ไม่มีพระอาการดังกล่าว นั่นยิ่งแน่ชัดว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ ที่ ศ.น.พ.ชุบไม่ให้ปากคำตามที่นายปรีดีต้องการ เพราะท่านได้ทุนเจ้าฟ้าฯเรียนในประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี มีพี่น้องคือ ๑. หลวงประเสริฐไมตรี โชติกเสถียร ๒. พลเอกหลวงสุระณรงค์ โชติกเสถียร สมุหราชองครักษ์-องคมนตรี ๓. ศ.น.พ.ชุบ โชติกเสถียร ๔. ท่านผู้หญิงศิริ สารสิน เป็นบุตรของ ทูตพระสัมผกิจปรีชา โชติกเสถียร และคุณหญิงฉลวย โชติกเสถียร ซึ่งพลเอกหลวงสุระณรงค์ โชติกเสถียร คือ สมุหราชองครักษ์ ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯให้เป็น "องคมนตรี"
โดยได้รับใช้ดูแลในหลวงรัชกาลที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙ พระพี่นางฯ สมเด็จย่า มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กในประเทศไทยตอนยังไม่ได้ครองราชบัลลังก์ ก่อนเสด็จฯไปประเทศสวิส ทำให้ ตระกูล "โชติกเสถียร" มีความใกล้ชิดและจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีเป็นอย่างมาก พอเกิดการเปลี่ยนแปลงจากคณะราษฎรยึดอำนาจกันเอง ทำให้นายปรีดีหมดอำนาจ จากฝีมือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ชีวิตของ ศ.น.พ.ชุบ จึงรอดเงื้อมมือมัจจุราชมาได้ และได้ก่อตั้งโรงพยาบาล หน่วยแพทย์อาสา จนสิ้นอายุขัยด้วยวัยชรา
ลุงตั้งข้อสงสัยว่าทำไมสำหรับ ใจ อึ้งภากรณ์ ลูก ดร.ป๋วย มาใส่ร้ายโจมตีรัชกาลที่ ๙ กล่าวหาว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๘ เพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์นั้น ผมอธิบายกับคุณลุงนิต ตามหลักยุทธศาสตร์การเมืองว่า เป็นเรื่องที่ไม่แปลก เพราะทั้ง ดร.ป๋วย ทั้ง ใจ เป็นฝ่ายซ้ายนิยมในคอมมิวนิสต์ แม้ ดร.ป๋วย จะเป็นเสรีไทยสายอังกฤษ แต่ก็ไม่นิยมเจ้าจึงเป็นพรรคพวกเดียวกับอำมาตย์ตรีปรีดี การปล่อยข่าวทำลายสถาบันกษัตริย์ เป็นหลักในการล้มล้างการปกครองในประเทศฝรั่งเศส ที่จะปล่อยข่าวทำลายราชวงศ์ก่อนที่จะมีการโค่นล้ม โดยมีรากเหง้ามาตั้งแต่ ประชาธิปไตยเกิดขึ้นนครรัฐกรีกโบราณ ช่วงศตวรรษที่ ๕ ก่อนคริสตกาล ยุคเมโสโปเตเมีย(Mesopotamia) ฟินิเซีย(Phoenician)และอินเดีย(India) ที่มีนักปราชญ์ที่รู้จักกันในนาม "เพลโต้" democracy ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณว่า "ดีมอคระเทีย" หลังการลอบปลงพระชนม์สมัยนั้น
คดีลอบปลงพระชนม์ ถูกรื้อฟื้นอีกครั้ง หลังจาก จอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจจอมพล ป. สำเร็จ โดยถือหลักคิดโจโฉ ถือธงนำหน้า ปกป้องพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนวาทกรรมที่ว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง" ที่มีการประกาศในโรงภาพยนตร์สมัยนั้น เกิดจากประชาชนที่อดรนทนไม่ไหว กับการยึดครองอำนาจของคณะราษฎร เกิดการทุจริต คอร์รัปชัน(corruption) เข่น ฆ่าประชาชน ฆ่ารัฐมนตรี รัฐประหารกันเองหลายสิบครั้ง ปลงพระชนม์ในหลวง ต่างหาก
แต่ฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายคอมมิวนิสต์จะเอามาโจมตีว่าเป็นฝีมือของ “พรรคประชาธิปัตย์” พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นโดย นายควง อภัยวงศ์ พระอนุชาของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ ๖ โดยเจตนาโจมตีป้ายสีในหลวงรัชกาลที่ ๙ ว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชนม์ ให้เกิดเป้าหมายสูงสุด คือ ปลุกให้ประชาชนไม่พอใจ ลุกฮือเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหมือนที่เกิดในฝรั่งเศส รัสเซีย ฯลฯ
การสอบสวนคดีลอบปลงพระชนม์ ร.๘ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รื้อฟื้นขึ้นเมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ มีการแต่งตั้งให้ พล ต.ต. พระพินิจชนคดี กลับเข้ารับราชการทำหน้าที่สืบสวนกรณีสวรรคตเสียใหม่ หลังถูกปลดออกในช่วงรัฐบาลจอมพล ป.(นอมินีปรีดี) บทสรุปบันทึกจากทั้งฝ่ายคอมนิวนิสต์ คือ ฝ่ายผู้แพ้ ฝ่ายขวา คือ ฝ่ายชนะ และคนกลาง ตรงกัน คือ ในหลวงราชการที่ ๘ ถูกลอบปลงพระชนม์จริง
จากพยานที่ถูกบันทึกไว้ทั้ง ๓ ฝ่าย ระบุตรงกัน รวมทั้งคำพิพากษาศาลฎีกาคดีลอบปลงพระชนม์ว่า เพราะในหลวงรัชกาลที่ ๘ จะทรงมาลงเลือกตั้งแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี และจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เป็นในหลวงแทน จากการสอบสวนและบันทึกส่วนพระองค์พบว่า ร.๘ พระองค์ทนไม่ได้ที่ถูกปรีดี ในฐานะนายกรัฐมนตรีและผู้สำเร็จราชการ ริดรอนพระราชอำนาจ กดขี่ จนมีบันทึกในประวัติศาสตร์ไว้ว่า " แม้แต่รถก็ไม่มีให้ใช้ หากแม่เราป่วยจะไปโรงพยาบาลจะไปอย่างไร "
จากผู้อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า ผู้ลงมือลอบปลงพระชนม์คือ " ร.อ.วัชรชัย " อดีตรองราชเลขาสำนักพระราชวัง คนสนิทปรีดี ที่ทำหน้าที่เป็นรองราชเลขาสมัยนั้น ที่เริ่มให้ ร.๘ ซ้อมยิงปืน เมื่อเกิดเหตุจะได้ไม่มีใครสงสัย ลอบสังหารต้นห้อง 2พี่น้อง นายสินกับนายทรัพย์ จนเสียชีวิต จากนั้นเข้าไปวางยา ร.๘ แล้วจึงลอบปลงพระชนม์ด้วยอาวุธปืน เมื่อสำเร็จ ก็หลบหนีไปร่วมกับอำมาตย์ตรีปรีดียังประเทศจีน แล้วกลับมาร่วมกันก่อกบฏวังหลวง กบฏแมนฮัตตัน กบฏเมษาฮาวาย แต่ไม่สำเร็จ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้อำนาจศาลสั่งประหาร นายเฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขานุการในพระองค์ นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน สองมหาดเล็กห้องพระบรรทม ในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยปละละเลยทำให้เกิดการลอบปลงพระชนม์ และเกี่ยวพันการลอบปลงพระชนม์ ส่วน ร.อ.วัชรชัย ที่หลบหนีไปกับปรีดีหลบซ่อนในจีน ได้ขอให้ทางการจีนสังหารให้ตายตกไปตามกัน ส่วนปรีดี โจวเอินไหล เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้เชิญให้ออกจากประเทศ ไปลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งเสียชีวิตบนโต๊ะทำงานด้วยโรคหัวใจ
เรื่องการใส่ร้ายป้ายสีสถาบันกษัตริย์ ฝ่ายคณะราษฎร ได้เริ่มกระทำการปลุกปั่นอย่างหนัก มาตั้งแต่เริ่มทำการปฏิวัติสยาม ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และทำหนักป้ายสี ร.๙ ในยุคจอมพล ป. เพื่อหวังยึดอำนาจการปกครองให้เบ็ดเสร็จ แต่ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐประหาร จึงมีการรื้อคดีลอบปลงประชนม์ขึ้นมา ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือขบวนการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ได้นำหลักนี้มาป้ายสีอีก ก่อนเกิดเหตุการณ์วันเสียงปืนแตก คือ วันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ซึ่งเป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก
จนกระทั่งมาในยุคขบวนการแบ่งแยกดินแดนเสื้อแดงก็นำวิธีเดียวกันมาใช้ ตั้งแต่ ราว ๑ มกราคม ๒๕๕๒ ก่อนเกิดเหตุการณ์เมษาจราจล ๑๒-๑๕ เมษายน ๒๕๕๒ เพราะกลยุทธ์ดังกล่าวในการป้ายสีสถาบันกษัตริย์ คือ หนึ่งในหลักล้มล้างการปกครอง ที่มีต้นแบบมาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ระหว่าง ค.ศ. ๑๗๘๙-๑๗๙๙ เป็นยุคสมัยแห่งกลียุค (upheaval) ที่นิยมกระทำกันมากหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ประเทศถึง ๑ ใน ๓ ของโลก กลายเป็นคอมมิวนิสต์
สิ่งเหล่านี้คือประวัติศาสตร์ กลยุทธการเมือง ที่สลับซับซ้อน ที่เป็นรากเหง้าของประเทศไทย ที่ได้ค้นคว้าจากคำบอกเล่าจากคนมีชีวิต และบันทึกของทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์ คนกลาง และฝ่ายชนะ อันจะเป็นบทเรียนสำหรับคนไทยทั้งชาติได้จดจำ รู้ข้อเท็จจริง มิให้เกิดขึ้นอีกในภายหน้า สิ่งหนึ่งที่ได้จากประวัติศาสตร์ คือ ผลของกรรมที่เกิดจากการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน ผลกรรมยุติธรรมเสมอ ทำกรรมใดไว้ก็จะได้รับผลกรรมตามนั้น
“ รู้จักแผ่นดินถิ่นกำเนิด รู้จักเทิดองค์กษัตริย์ของรัฐถา รู้จักคำสั่งสอนขององค์พระศาสดา จนรู้ซึ้งคำว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ “
บทกลอนในหนังสืออำนาจที่ยิ่งใหญ่ โดย ไกรสร ตันติพงศ์ ปรมาจารย์การเมือง
เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
วันจันทร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๗ข้อมูลอ้างอิง
๑. คำบอกเล่าจากผู้ที่มีชีวิตหลายท่าน ลุงมานิต - ไกรสร ตันติพงศ์ ปรมาจารย์การเมือง
๒. หนังสือของฝ่ายคอมมิวนิสต์-คนกลาง-เหตุการณ์หลังปฏิวัติสยาม ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
๓. บันทึกลับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์
๔. บทความเรื่องเล่าลุง... ลอบปลงพระชนม์ ร.๘ เมื่อ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ร่วมสนับสนุนสถานีวิหคเรดิโอ ถ่ายทอดสด เวทีมวลมหาประชาชน รับฟังทาง 89Mhz -www.vihok.com App thairadio บัญชี สโมสรสื่อมวลชนภาคเหนือ 457-1-00409-2 กสิกรไทย
อ่านกันเพลินๆ หลังมื้อเที่ยงครับ
เรื่อง ปรีดี มีสมาชิกในบอร์ดเคยตั้งมู้ กระเทาะเปลือกมันมาแล้ว
และเกี่ยวกับ ป๋วย เรากะพี่สาวเราเคยตั้งข้อสังเกตกันเองมาตั้งแต่สมัย ใจรันหมิ่นสถาบัน
ว่า ป๋วยมีแนวคิดฝักใฝ่ไปในทางคอมมิวนิสต์ ไม่เอาสถาบัน
และคงสั่งสอนปลูกฝังลูกมา ลูกมันถึงได้ชั่ว ปากหมาใจสัตว์อย่างนี้
ปล.ขออภัยเพิ่อนๆที่เรียนจบ มธ. ด้วยนะคะ
สมัยสาวๆ แม่ผึ้งเคยทำงานเป็นคนใช้ แกเล่าว่าแกเคยไปเป็นแม่บ้านตาป๋วยนี่สักอาทิตย์นึงได้มั้ง แกเลยรู้ว่าตานี่เป็นพวกล้มเจ้า
โดย ทรงธรรม
on 25 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 18:40
คือ ผมอยากให้ทุกคน เห็นใจเด็ก ๆ หน่อยนะครับ
คือ เรื่องหยาบคาย ตอนแรก ที่ผมสัมผัส กับเด็ก ๆ
จากเว็บเด็กดี ก็ตกใจ แต่ตอนนี้ ก็เริ่มชินแล้ว
เด็กสมัยนี้ ไม่ค่อยน่ารัก เท่าแต่ก่อนแล้ว
แต่ผมก็พอจะรับได้บ้าง ก็ไม่ถึงกับ ไม่รู้ถูกผิด
แต่ที่อยากให้เห็นใจ เพราะว่า
เด็กสมัยนี้ จะขาด ความกล้าหาญ
ที่จะรับคำตำหนิ ไปมาก
ผมเองก็ยอมรับว่า แต่ก่อน ก็เป็น
(เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังเป็น)
การแสดงออก ของเด็กที่รับกับคำตำหนิ
หรือ การถูกดูถูกเหยียดหยาม ไม่ได้
ก็มักจะแสดงออก รุนแรงอย่างนี้
แต่พวกเรา ที่เป็นผู้ใหญ่ กลับไม่ค่อย
มีเวลาที่จะเน้น เรื่องการปรับอารมณ์
ของเด็กมากนัก จึงเป็นจุดอ่อน
ที่เด็กสมัยนี้ จะมุ่งเน้นความสำเร็จ
มีกำลังใจ ที่จะสร้างความสำเร็จมาก
แต่ขาดกำลังใจ ที่จะยอมรับ ความล้มเหลว
คำตำหนิ จนถึง คำพูดที่แทงใจดำ
ผมว่า ผู้ใหญ่อย่างเรา ควร ใจเย็น
ถ้าจะตำหนิ ก็ควรจะเป็นในลักษณะ
พูดด้วยความเห็นใจ เป็นเบื้องต้น
ก่อนที่จะสอน ในสิ่งที่ควร เป็นลำดับต่อไป
ส่วนอาจารย์ ที่พาไป สำหรับผม
ก็คิดว่า ยังเด็ก เกินกว่า จะพิจารณา อะไร
ได้อย่างเหมาะสม จึงไม่แปลก ที่จะพากัน
เป็นไปด้วย กับลูกศิษย์
ก็เอาเป็นว่า เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้
ผมเองก็ไม่อยาก ไปตำหนิ มากนัก
เพราะรังแต่ จะสร้างความไม่เข้าใจ
กับพวกเด็ก ๆ มากขึ้น
ก็หันมาให้กำลังใจ เค้าแทนละกัน
แต่เชื่อว่า พวกเด็ก ๆ คงได้บทเรียน อะไรบ้างแล้ว
ก็ไม่ใช่ว่า พวกเค้าจะไม่มี ความคิด
จนไม่สามารถรับรู้ ผลกระทบ ทางสังคม
ที่เกิดขึ้นแล้ว
แต่คงกำลัง ค่อย ๆ ยอมรับ ในแบบของเค้า มากกว่า
โดย Jump Man
on 25 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 10:52
เดี๋ยวต้องมีคนมาว่า เพราะยุบสภา รัฐบาลจึงไม่สามารถจัดสรรงบประมาณให้กระทรวงได้ แล้วสุดท้ายก็โทษผู้ชุมนุม ส่วนตันก็บูชามันแล้วบูชามันอีก ตามลัทธิประชาธิปไตยแบบเงินๆ
โดย DeathRoseTH
on 24 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 20:15
เรื่องนี้ อย่าว่าเป็นผลประโยชน์ของใครเลย เวลาเราลำบากก็ต้องนึกถึงคนที่พึ่งได้
เด็กขอไปทางรัฐบาลเรื่องก็เงียบ ครั้นจะมาขอ กปปส. เดี๋ยวเรื่องจะยาว จึงหาคนที่เด็กรู้ว่าพึ่งพาได้ในขณะนั้น
อย่าไปมองเจตนาของเด็กให้เป็นผลงานเลย ตอนนี้ควรจะมองว่า เด็กไม่ไว้ใจนักการเมือง จะดีกว่า
โดย plunk
on 20 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 16:27
โดย เช never die
on 16 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 16:58
Community Forum Software by IP.Board 3.4.6
Licensed to: serithai.net