- ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด
- → ดูประวัติผู้ใช้: กระทู้: คุณชายนั่งปอร์เช่
คุณชายนั่งปอร์เช่
เป็นสมาชิกตั้งแต่ 5 ธันวาคม 2555ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2555 13:57
Community Stats
- กลุ่มผู้ใช้ Members
- จำนวนกระทู้และความเห็น 88
- Profile Views 2,908
- Member Title น้องเก่า
- อายุ ไม่ระบุ
- วันเกิด ไม่ระบุ
-
Gender
ไม่ระบุ
44
Excellent
เครื่องมือสมาชิก
Friends
คุณชายนั่งปอร์เช่ hasn't added any friends yet.
ผู้เยี่ยมชมล่าสุด
Topics I've Started
หมีนายกฯ
19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 15:49
ปูร่วมงานปีใหม่นักข่าว ดวงสมพงษ์ชื่อ'อภิสิทธิ์' 'นักข่าว'..ชื่อตรง'มาร์ค' จับของขวัญที่เอามาได้
"นายกฯยิ่งลักษณ์" สร้างสายสัมพันธ์สื่อมวลชน เข้าร่วมงานเลี้ยงปีใหม่นักข่าวทำเนียบรัฐบาล หัวเราะชอบใจหลังนักข่าวกรมประชาฯ ชื่อ "อภิสิทธิ์" ชื่อเดียวผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จับของขวัญที่เตรียมมาร่วมงานของตนเองได้
วันที่ 19 ธ.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในช่วงเที่ยงวันนี้(19 ธ.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่ของผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล ที่บริเวณหน้ารังนกกระจอกเก่า ซึ่งกลุ่มผู้สื่อข่าวของทำเนียบรัฐบาลได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี หลายคนมาร่วมงานด้วย อาทิ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
โดยนายกรัฐมนตรี ได้นำตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ที่ซื้อมาจากงานโอท้อปซิตี้ 2012 มาร่วมจับของขวัญปีใหม่กับผู้สื่อข่าว และยังได้นำไอโฟน 5 มาร่วมจับของขวัญเป็นรางวัลพิเศษด้วย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างกันเองและสนุกสนาน โดยนายอภิสิทธิ์ จันทร์เต็ม ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ จับได้ตุ๊กตาหมีของนายกรัฐมนตรีไป ทั้งนี้ เมื่อรู้ว่าผู้สื่อข่าวที่จับของขวัญของตัวเองได้ชื่อ “อภิสิทธิ์” นายกรัฐมนตรี ถึงกับหัวเราะชอบใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับไอโฟน 5 ที่นายกรัฐมนตรี นำมาร่วมจับของขวัญปีใหม่กับผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีราคาเกิน 3 พันบาทนั้น ทางทีมงานนายกรัฐมนตรี ได้ยืนยัน ได้ตรวจสอบในแง่ของกฎหมายแล้ว ได้รับการยืนยันว่าการให้ของรางวัลมูลค่ามากกว่า 3 พันบาทสามารถทำได้ แต่ไม่สามารถเป็นผู้รับของที่มีมูลค่าเกิน 3 พันบาทได้เท่านั้น
http://thaiinsider.i...-12-19-08-07-04
"ปู" เหลืออด
16 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 11:14
“ปู พงษ์สิทธิ์” เหลืออดจวกวัยรุ่นตีในคอนเสิร์ตครบรอบ 25 ปี แต่ยิ่งด่ายิ่งปาระเบิดปิงปอง เล่นเอาเจ้าตัวหลุดด่า ค....กระจอก บอกประเทศบอบช้ำมาเยอะแล้ว ผู้ใหญ่โง่เป็นเด็กอย่าโง่ตาม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยับยั้งได้วัยรุ่นยังคงตีกันจนมีผู้บาดเจ็บ 4 ราย ในที่สุดก็ต้องล้มคอนเสิร์ตไปกลางคัน
งานกร่อยกันเลยทีเดียวในส่วนของคอนเสิร์ต “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น เปิดหัวใจเพื่อชีวิต 25 ปี คำภีร์ มิวสิค เฟสติวัล” ที่ลานแอ็คทีฟ สแควร์ ด้านหน้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เมื่อช่วงหัวค่ำของวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังแฟนเพลงวัยรุ่นจำนวนหนึ่งก่อเรื่องทะเละวิวาทยกพวกตีกันกระทั่งจำต้องยกเลิกการแสดงไปในที่สุด
ทั้งนี้แหล่งข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ที่คอนเสิร์ตได้เริ่มทำการแสดงตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ปรากฏว่าแฟนเพลงจำนวนกว่าร่วมหมื่นที่เข้าไปชมคอนเสิร์ตนั้นได้มีบางส่วนที่ทำการทะเลาะวิวาทกันอยู่เป็นระยะๆ ทั้งการชกต่อย ขว้างปาขวด-แก้ว จนหลายคนต้องวิ่งหนีออกมา ขณะที่บางส่วนนั้นก็ยังคงเต้นรำอย่างสนุกสนาน
กระทั่งนักร้องชื่อดังได้ขึ้นเวทีและทำการแสดงไปเป็นระยะเวลากว่า 45 นาที ปรากฏว่าการทะเลาะวิวาทของแฟนเพลงก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง จนปู พงษ์สิทธิ์หยุดเล่นและจวกพวกที่ยกพวกตีกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันว่า...
“พี่น้องครับรู้ไหมทำแบบนั้นแล้วคนอื่นเดือดร้อน เห็นเก้าอีล้มไหมมีความสุขไหม ประเทศไม่เจริญก็เพราะพวกมึงนี่แหละ มึงจะเรียนช่าง เรียนช่างพ่อมึงเหรอ มึงเรียนช่างมาเพื่อกอบกู้ประเทศ ทักษะทุกอย่างที่โรงเรียนมึงสอนน่ะ ไอ้ที่ทำอยู่หมาก็ทำเป็น ขอความเมตตา (เสียงระเบิดปิงปองดัง) ไอ้จุดประทัดระเบิดปิงปองเนี่ย ไอ้ค....กระจอก ที่อำเภอหัวค...เขาก็จุด แต่พวกมึงเก่งกว่านั้นเรียนมาฉลาดกว่านั้น....ค...."
“พี่น้องครับ ตบมือขอความเมตตาให้พี่ๆ เขาออกไปได้ไหมครับ มีใครรอให้ตีอยู่เยอะแยะอยู่ตามถนนออกไปตีกับเขาสิถ้าเก่ง แถวนี้มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก น่าละอายเกิดเป็นหน้าตัวเมียยังเ - ยเลย ทำเป็นตื่นเต้น เขวี้ยงระเบิดเอง ไล่ตีเขาเอง แล้วเ - อกตื่นเต้นเองด้วย” นอกจากนั้นแล้วก็ยังพูดว่า บ้านเมืองบอกบช้ำมามากแล้ว ผู้ใหญ่โง่เป็นเด็กอย่าโง่เหมือนผู้ใหญ่
จากนั้นก็เล่นคอนเสิร์ตต่อ แต่เล่นไปได้ไม่นานนักร้องชื่อดังก็ต้องขอยกเลิกการแสดง เพราะมีการยกพวกตะลุมบอนและขว้างปาสิ่งของใส่กันหนักกว่าเดิม หลังเกิดเหตุตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีผู้บาดเจ็บจำนวน 4 ราย โดยมีหนึ่งรายที่เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องเสียงในงานได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีข่าวลือว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย
โดยหลังจากที่คอนเสิร์ตต้องยกเลิกไป เมื่อผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง "ปู พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์" เจ้าตัวได้เผยว่ารู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก และรู้สึกแปลกใจที่มาเกิดเรื่องเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาในการทัวร์คอนเสิร์ตนี้ในต่างจังหวัดไม่เคยมีการตีกันเลยสักครั้งเดียว ซึ่งในครั้งนี้ตนก็พยายามที่จะห้ามปรามแล้วทว่าก็ไม่เป็นผลสำเร็จแต่อย่างใด
นักร้องชื่อดังยังได้บอกต่อไปด้วยว่าตนรู้สึกสงสารผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรวมถึงผู้ที่อาจจะมีคนเสียชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทางผู้จัดเองคงจะมีการรับผิดชอบในส่วนนี้ ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีการแสดงอีกหรือไม่นั้นตอนนี้ตนยังไม่ได้คุยกับผู้จัด แต่โดยส่วนตัวคิดว่าสมควรจะมี เพราะเห็นใจคนที่ต้องการจะเข้ามาดูคอนเสิร์ตจริงๆ และถ้ามีการจัดขึ้นมาก็คงจะต้องมีการป้องกันที่มากกว่านี้
http://www.manager.c...D=9550000152261
ชมคลิป
โพลล์ชี้ทักษิณโผล่ช่อง11เตรียมการมาก่อน
15 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 12:36
นิด้าโพล เผย ประชาชนมอง ทักษิณ ออกช่อง 11 ไม่เหมาะ ใช้สื่อเป็นเครื่องมือการเมือง เชื่อมีการเตรียมการมาก่อน ชี้ สื่อถูกอำนาจรัฐแทรกแซง
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ ทักษิณออกสื่อโทรทัศน์ ช่อง NBT” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 13 – 14 ธันวาคม 2555 จากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,270 หน่วยตัวอย่าง กระจายทุกภูมิภาค ทุกระดับการศึกษาและกลุ่มอาชีพ ในกรณีที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ออกสื่อโทรทัศน์ ช่อง NBT (ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์) จากการสำรวจพบว่า ประชาชน ร้อยละ 36.69 ระบุว่า การที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ออกสื่อโทรทัศน์ ช่อง NBT (ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์) เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะ ถือว่าเป็นการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง อีกทั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีอยู่ ในขณะที่ประชาชน ร้อยละ 13.86 ระบุว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะ เป็นการใช้สื่อเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถทำได้ และได้ให้เอกชนเช่าซื้อเวลาในการออกอากาศ
เมื่อถามว่า การที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ออกสื่อโทรทัศน์ ช่อง NBT (ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์) ถือว่าเป็นการเตรียมการมาแล้ว หรือเป็นเรื่องของความบังเอิญ พบว่า ประชาชน ร้อยละ 41.34 เชื่อว่า เป็นเรื่องที่เตรียมการมาก่อน เพราะ จะต้องมีการเชิญขึ้นไปกล่าวภายในงาน เป็นการเตรียมการมาก่อนแล้ว ในขณะที่ประชาชน ร้อยละ 5.83 เชื่อว่า เป็นเรื่องบังเอิญ เพราะ เป็นการจัดงานที่อยู่ในช่วงเวลาที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อยู่ที่มาเก๊าพอดี
ท้ายสุดประชาชน ร้อยละ 38.82 เชื่อว่า สื่อโทรทัศน์หรือวิทยุต่างๆในปัจจุบัน ถูกแทรกแซงจากอำนาจของรัฐ เพราะ ดูจากการพาดหัวข่าว การนำเสนอข่าวที่บิดเบือนความจริง และไม่สามารถนำเสนอข่าวได้อย่างเสรี ในขณะที่ประชาชน ร้อยละ 14.09 เชื่อว่าไม่มีการแทรกแซง เพราะ สื่อเป็นองค์กรอิสระ รัฐไม่น่าจะเข้ามาควบคุมอำนาจได้ และเชื่อว่าสื่อน่าจะมีจรรยาบรรณพอ
http://bit.ly/SrUANA
ยุคแห่งการมอมเมา: วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
9 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 00:09
หมดสะท้อนว่าเรายังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าประชาธิปไตย นิติรัฐ นิติธรรมคืออะไร คิดแค่ว่าการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากมาแล้วทำอะไร
โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม,นิติพันธุ์ สุขอรุณ
ระวังประเทศเจ๊ง
“ผมมองไม่เห็นอนาคต มันห่อเหี่ยว น่าเบื่อหน่าย นอกจากว่าประเทศนี้จะต้องใช้เวลาพัฒนามากกว่านี้ วันนี้คนไม่ค่อยเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตัวเอง อีกอย่างคือ ไม่เคารพความเห็นคนอื่น ประชาธิปไตยมันต้องฟังและเถียงกันด้วยเหตุและผล ไม่ใช่เอาพวกมากลากไป”
วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตอบอย่างหมดหวังขณะให้สัมภาษณ์โพสต์ทูเดย์หลายสัปดาห์ก่อน กับคำถามที่ว่า เมื่อไรความขัดแย้งในประเทศจะสงบลง?
“ในสหรัฐ บางครั้งประธานาธิบดีก็ไปเอาคนของพรรคการเมืองคู่แข่งเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญ แต่ของเมืองไทยถ้าเป็นพรรคฝ่ายตรงข้ามจะกลายเป็นคนเลวหมด ไม่มีใครดี ถ้าฝ่ายตรงข้ามคิด ผิดหมด ถ้าฝ่ายฉันคิดถูกหมด แม้จะบอกว่า สุนัขมีเขานะ ฉันก็จะเชื่อ มันเป็นอย่างนั้น”
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เล่าว่า ครั้งหนึ่งได้เดินสายให้ความรู้ประชาชน ตั้งคำถามกับชาวบ้านที่ปากช่องว่า เสียงข้างมากทำผิดกฎหมายได้ไหม เขาบอกว่าได้ เมื่อถามต่อว่า แล้วถ้าชนะเลือกตั้ง ปรากฎว่าเสียงข้างมากไปฆ่าคนตายติดคุกไหมเขาก็งง ... ที่ชัยภูมิ ก็ถามไปว่า เสียงข้างมากออกกฎหมายเก็บภาษีเสียงข้างน้อย เสียงข้างมากไม่ต้องเสียได้ไหม เขาก็งงๆแล้วตอบว่า ถ้าจะไม่ได้แล้ว ทั้งหมดสะท้อนว่า เรายังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าประชาธิปไตย นิติรัฐ นิติธรรม คืออะไร คิดแค่ว่า การเลือกตั้งได้เสียงข้างมากมาแล้วทำอะไรก็ได้
“ผมเคยพูดกับสื่อนานแล้วว่า ถ้าคนมีศีลธรรม จริยธรรม ไม่ต้องมีกฎหมาย บ้านเมืองก็อยู่ได้ จริงไหม และถ้าผู้มีอำนาจเป็นคนมีจริยธรรม ศีลธรรม ก็แทบไม่ต้องมีกฎหมาย เหมือนอย่างเรามีกฎหมาย ปปช. การแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ ผลประโยชน์ทับซ้อน ต่างประเทศก็งง เขาถามว่า มีด้วยหรือกฎหมายนี้ บ้านเขาไม่มี เพราะนักการเมืองเขาไม่มีความคิดอย่างนั้น เช่น เป็นผู้นำประเทศ เขาก็ไม่เคยให้คนในครอบครัวมาทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐ แต่ของเรามีการหลีกเลี่ยงกฎหมายกัน เราไปตีความกฎหมายให้เป็นประโยชน์เสียมาก”
วสันต์ย้ำว่า เสียงข้างมากไม่สามารถทำอะไรได้หมดทุกอย่าง เมื่อเดือนก่อนประธานศาลรัฐธรรมนูญบัลกาเลียมาบรรยายว่า เขาดูแลรักษากฎกติกาคือตัวรัฐธรรมนูญและให้ความสำคัญกับเสียงข้างน้อยและการทำงานของฝ่ายค้าน ดูแลให้ฝ่ายอำนาจรัฐปฏิบัติตามกฎกติกาโดยเคร่งครัด หรือ อย่างศาลรัฐธรรมนูญประเทศเยอรมัน ไม่ต้องมีใครยื่นคำร้อง ถ้าเห็นว่ารัฐบาลกำลังละเมิดรัฐธรรมนูญ เขาตั้งเรื่องขึ้นเองแล้วเรียกรัฐบาลมาไต่สวน และให้ข้อแนะนำว่าไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้เพราะจะขัดรัฐธรรมนูญ แต่ของเราแค่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่อง ก็ถูกกล่าวหาว่าผิดแล้ว
แล้วประชาธิปไตยไทยต้องใช้เวลาพัฒนาอีกนานเท่าไร? วสันต์ บอกว่า สมัยก่อนประชาธิปไตยไทยเตาะแตะมาตลอด เพราะมีการยึดอำนาจพร่ำเพื่อ ยึดเสร็จก็กลับไปเลือกตั้ง และก็เลี้ยงเหล้า ซื้อเสียง หยิบยื่นประโยชน์ให้ผู้เลือกตั้งทุกครั้ง ถ้าเลือกตั้งติดกันถี่มันก็ค่อยยังชั่วขึ้น ประชาชนได้เรียนรู้
กระนั้นสิ่งที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญเป็นห่วงไม่น้อยคือ การใช้นโยบายประชานิยม เพราะทำให้ประชาชนเคยตัวและนำมาสู่การใช้จ่ายงบประมาณมหาศาลจนอาจทำให้ประเทศล่มสลายเหมือนที่เกิดในต่างประเทศ
“เราเห็นนโยบายแต่ละข้อว่าจะนำไปสู่อะไร เหมือนบางประเทศในยุโรปที่กำลังแย่ ทั้งที่คนทำงานอยู่ในภาครัฐจำนวนมาก แต่ไม่ยอมทำงานหนัก มีที่ดินก็ไม่ยอมทำการเกษตร เพราะว่าเหนื่อย สุดท้ายเมื่อรัฐบาลมีนโยบายรัดเข็มขัด จากการที่รัฐบาลหมดตัว เขาก็ประท้วง ต่างจากเกาหลี ที่เศรษฐกิจเจ๊งพร้อมๆไทย แต่ทุกคนเดินหน้าไปบริจาคเงินให้รัฐบาลจน 10กว่าปีที่ผ่านมาเกาหลีฟื้น บางบริษัทของเขายิ่งใหญ่กว่าบริษัทในญี่ปุ่น นั่นเป็นเพราะคนเขามีใจ ส่วนของเรามีคนที่รักชาติน้อย เคยมีคำพูดว่า รักชาติจนน้ำลาย เอ้ย.. น้ำตาไหล”
ทางออกของเรื่องนี้คืออะไร? วสันต์ ตอบว่า คงต้องให้เวลาผ่านไป จนกว่าประเทศชาติจะเจ๊งลงไปในมือนักการเมือง วันนั้น ประชาชนจะรู้ว่า ที่เจ๊งจริงๆ แล้ว เป็นเพราะตัวเอง
“สถานการณ์ขณะนี้ มีโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นเช่นนั้นได้ จากการใช้จ่ายเงินงบประมาณจากนโยบายประชานิยมที่คนไม่ค่อยทำงาน เอาความสะดวกสบายที่รัฐจัดให้ เมื่อถึงเวลานั้นเชื่อว่าคนจะคิดได้ ว่ามันเป็นเพราะพวกเรานี่แหละ ตอนนี้คนยังไม่รู้ว่าอันไหนพูดจริงอันไหนพูดโกหก บางคนโกหกคนคิดว่า ที่ตัวเองพูดนั้นเป็นจริงเกือบทุกเรื่อง”
กระนั้น ความขัดแย้งขณะนี้ มีการวิเคราะห์ประเทศไทยเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ องค์กร สถาบันต่างๆ ภาคประชาชน รวมถึง นักการเมืองกำลังปรับตัวสู่ความสมดุลที่เหมาะสม สำหรับวสันต์ เห็นว่า ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่มันเป็นยุคแห่งการมอมเมาทางความคิด พยายามใช้วาทกรรมแปลกๆ ขณะที่พฤติกรรมกลับไม่เปลี่ยน ส่วนการต่อสู้ทางการเมืองขณะนี้น่ากลัวเพราะต่างฝ่ายต่างมีโทรทัศน์ การพูดเต็มไปด้วยการล้างสมอง
“ผมดูหมดทั้ง 2สี 3 สี ต่างฝ่ายต่างปลุกระดมกัน มันก็ขึ้นอยู่กับว่าถ้าการล้างสมองเป็นผล แปลว่าคนของเรายังไม่พร้อมจะใช้ความคิดของตัวเอง คือ ยังคิดไม่เป็น เหมือนสมัยหนึ่งนานแล้ว นักการเมืองคนหนึ่งมาหาเสียงที่ท่าน้ำจ.นนทบุรี บอกว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ยาก ด้วยการทำเขื่อนทั้งแต่ปากน้ำมาจนถึงจ.ปทุมธานี ทำให้สามารถกันน้ำทะเลหนุน และกันน้ำท่วมได้ด้วย คนฟังก็เออ... จริงด้วย แต่เอาเงินงบประมาณจากที่ไหนนี่ไม่ใช่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่จะมั่งคั่งขนาดนั้น เป็นไปได้อย่างไง ที่นี้พอคนฟังเขามีความคิดก็รู้แล้วว่าโกหก ดังนั้น เราต้องคิดตามว่าทำได้หรือที่สำคัญเรายังเห็นเรื่องการทุจริต เรียกรับผลประโยชน์จากโครงการของรัฐแทบจะทุกโครงการ ไม่ว่ารัฐบาลไหน ก็จะมีข่าวออกมาอย่างนี้ตลอด”
ทว่า อีกฝ่ายอ้างว่า เรื่องคอร์รัปชั่นมีทุกรัฐบาล แต่ปัญหาหลักมาจากการรัฐประหาร ประเด็นนี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญ แย้งว่า ต่างฝ่ายต่างโทษกัน กลุ่มรัฐประหารก็อ้างว่าเป็นเพราะนักการเมืองโกง สรุปแล้วมีแต่พวกโกงทั้งนั้น โกงกันมาเรื่อยๆ ถ้าเรายังไม่แก้ปัญหาเรื่องทุจริต ประเทศไทยจะเลวร้ายลงไปอีก นอกจากติดอันดับประเทศรถติดมากที่สุดในโลกแล้ว ยังจะติดอันดับประเทศที่ทุจริตมากที่สุดด้วย
อยากยุบศาลฯ ก็เชิญ
การ แก้ไขรัฐธรรมนูญกลับมาร้อนอีกรอบ เมื่อพรรคเพื่อไทยเตรียมเดินหน้าให้ สส.พรรคร่วมรัฐบาล ลงมติเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่ค้างอยู่ในรัฐสภา เพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหลังชะงักมาหลายเดือน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญติดเบรกเตือนว่า แม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 จะเป็นอำนาจรัฐสภา แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขทั้งฉบับได้เพราะเป็นการผ่านการลงประชามติโดยประชาชน ดังนั้น ถ้าจะแก้ก็ควรถามประชาชนก่อน
วสันต์ บอกว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แค่ให้คำแนะนำรัฐบาลนำไปศึกษาปฏิบัติ แต่จากนี้เขาจะทำอย่างไร ลงมติวาระ 3 หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขาถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ต้องกลับมาว่ากันอีกที
"เราไม่ได้บังคับ แต่เขาจะทำให้เกิดความเห็นต่อต้านขึ้นมาอีกทำไม"
อีกแนวทางที่พรรคเพื่อไทยอาจเสนอแก้คือ มาตรา 68 เพื่อตัดช่องทางไม่ให้ประชาชนยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าล้มล้างการปกครองหรือไม่ เหมือนที่ผ่านมา วสันต์บอกว่า เขาจะแก้อย่างไรก็แก้ได้ แต่มันส่อเจตนา
"รัฐธรรมนูญนี้แก้ไม่ยากอยู่แล้ว แก้เดือนละร้อยมาตรา3เดือนก็หมดแล้ว เขาจะใช้เสียงข้างมากตัดอำนาจฝ่ายค้าน ห้ามฝ่ายค้านอภิปรายก็ทำได้"
โมเดลของแกนนำพรรคเพื่อไทยบางรายที่จะให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญทิ้ง โดยอ้างว่าใช้อำนาจมากขัดขวางการทำงานรัฐบาลรวมถึงแก้ที่มาของตุลาการศาลต่างๆ ด้วยเหตุผลว่าต้องการให้ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ประธานศาลรัฐธรรมนูญท่านนี้บอกว่าก็สุดแล้วแต่ ถ้าใครจะเขียนรัฐธรรมนูญ ยุบทุกศาลก็ทำได้หมด
"ต่อไปเสียงข้างมากฆ่าคนตายก็ไม่ผิด ตามสบายเลย ยุบได้ทุกศาล ต่อไปให้มีศาลประชาชนไปเลย ถ้าจำเลยฆ่าคนตายก็เอาเสียงข้างมากโหวตกันว่า คนนี้ไม่ต้องรับโทษเพราะเป็นพวกเสียงข้างมากสุดแล้วแต่
...เขาว่าฝ่ายตุลาการศาล ไม่มีจุดยึดโยงกับประชาชน ผมก็บอกว่าขณะนี้ใช่ไม่มีจุดยึดโยงประชาชน แล้วตกลงจะให้เลือกตั้งผู้พิพากษาอย่างนั้นเอาไหมตำรวจ ผู้จัดการแบงก์ หมอ เลือกตั้งให้หมดเลยเอาไหม ไม่งั้นไม่เป็นประชาธิปไตย"
แล้วไม่ดีอย่างไร ให้ประชาชนเลือกตั้งผู้พิพากษา "ก็เอาสิ หัวคะแนนก็ชนะคดีหมดแน่"
กลุ่มนิติราษฎร์เสนอให้ยึดโยงประชาชนทางอ้อมผ่านการให้รัฐบาล หรือสภาเห็นชอบการแต่งตั้งตุลาการ ประธานศาลรัฐธรรมนูญตอบทันที
"สภาแจกกล้วยกันเนี่ยนะที่จะมาแต่งตั้งผู้พิพากษา และมีสารพัดสัตว์เลื้อยด่ากันเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ตัวอะไรกันไม่รู้ด่ากันเอง แล้วเราก็ดูพฤติกรรม จริยธรรมของผู้พิพากษากับนักการเมืองกันซิ ผมเปรียบว่า ในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาบางครั้งก็มีการอภิปรายโต้เถียงกันใช้ถ้อยคำรุนแรง แต่ก็ไม่ได้ขว้างปากัน ไม่มีแย่งเก้าอี้กัน ประชุมเสร็จ โหวตแล้ว ชนะแล้วแพ้แล้ว ก็เดินไปรับประทานข้าวด้วยกันเหมือนเดิม ไม่เห็นมาเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรเลย เป็นอย่างนี้มาสิบๆ ปีแล้ว
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างนักการเมืองกับผู้พิพากษา คือ เราถือจริยธรรมคนละระดับ ผมพูดแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง แต่ผมไม่ได้บอกว่าผู้พิพากษาจะดีเลิศประเสริฐศรีอะไร แต่ถ้าคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงอาจทำตัวเป็นลูกสมุนนักการเมืองเพื่อหวังตำแหน่งใหญ่โตในวันข้างหน้าก็ได้เช่นเดียวกัน แล้วเราต้องการให้เป็นอย่างนั้นหรือ"
นักการเมืองไทยยังไม่มีจริยธรรมแค่ไหนเมื่อเทียบกับอารยประเทศ?..."แล้วแต่จะคิดเอา ผมก็ไม่อยากโจมตีใคร พูดได้แค่นี้ แต่นักการเมืองดีๆ ก็พอมีอยู่บ้างมั้ง!แต่ดูสภาพแล้ว...ผมไม่อยากดูภาพการอภิปรายในสภา ดูแล้วหงุดหงิดในพฤติกรรม คนที่ไม่ได้พูดอะไรก็นั่งหลับ คือไม่ได้ใส่ใจฟังอภิปราย ทั้งๆ หน้าที่ต้องมาประชุมฟังความคิดเห็น บางทีมานั่งดื่มกาแฟอยู่ข้างนอก"
"ความจริงระบบตุลาการถูกตรวจสอบจากรัฐสภา คือ วุฒิสภาสามารถถอดถอดได้ การใช้งบประมาณก็ถูกตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเช่นเดียวกัน แล้วจะมาเข้าใจผิดว่าตุลาการเป็นผู้มีอำนาจเต็มในศาลได้อย่างไร จริงๆ ไม่ใช่"
"ถึงเวลาหนึ่งเราก็พร้อมมีจุดยึดโยงถ้าพฤติกรรมอะไรๆ มันดีขึ้น ผมว่า มันขึ้นอยู่กับประชาชนด้วย ...เขาบอกว่า รัฐบาลแย่ใช้ไม่ได้ อ่าว! แล้วใครเลือกรัฐบาล สส.เลือกรัฐบาลใช่ไหม ถ้า สส.ดี จะเลือกคนเลวเป็นรัฐบาลไหม แล้วใครเลือก สส.ถ้าประชาชนดีจะเลือกคนชั่วเป็น สส.ไหมมันดูเป็นขั้นเป็นตอนไป เคยมีคนสมัยก่อนพูดแบบตลกๆ นะว่าเฮ้ย ไม่ต้องเอาความถูกต้อง เอาเสียงข้างมาก ถ้าอย่างนั้นโหวตยังไง พระ5องค์ ก็แพ้โจร500เทศน์ให้ตายยังก็สู้เสียงโจรไม่ได้ ดังนั้นคนที่อธิบายว่าได้เสียงข้างมาจากประชาชนแล้วทำทุกอย่างได้ ฟังแล้วดูดี แต่บ้านเมืองเรายอมรับกติกานี้ได้หรือยัง และยังเข้าใจผิดคิดว่าการเลือกตั้งนี้สุดยอด"
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่า ที่สุดแล้วแนวคิดยุบศาล คงต้องการเอาพวกเขาเข้ามาเป็นเท่านั้น เพราะมันเคยตัวที่ว่า"ไอ้โน้นของเรา ไอ้นี้ก็ของเรา" โดยอาจใช้กระบวนการเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่ เหมือนในรัฐธรรมนูญ 2540
- ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด
- → ดูประวัติผู้ใช้: กระทู้: คุณชายนั่งปอร์เช่
- Privacy Policy
- กฎการใช้งานเว็บบอร์ด ·