Jump to content


สายลมพัดผ่าน

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 13 ธันวาคม 2555
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2555 20:55
-----

#544176 "ของขวัญปีใหม่จากพ่อ"

โดย โจโฉ นายกตลอดกาล on 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 00:57

Posted Image


ของขวัญจากในหลวง --มีเรื่องราวดีๆ ที่จะทำให้พวกเรามีความสุขกันอีกครั้ง อ่านเรื่องนี้แล้วจะทำให้ทุกคนรู้ว่า พวกเราแสนโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยภายใต้พระบรมโพธิสม...
ภาร

"แม่จ๋า...ในหลวงมาช่วยเราแล้ว แม่จะหายแล้วนะ แม่จะหายแล้ว...."

นับเป็นของขวัญชิ้นสุดแสนพิเศษ ต้อนรับปี 2552 ของครอบครัว ด.ญ.วรรณชลี พิลึก หรือนา วัย 14 ปี หลังจากที่เด็กหญิงเขียนจดหมายถึง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ขอพระเมตตาจากพระองค์ ทรงช่วยเหลือแม่ที่กำลังนอนป่วยเป็นโรคกระดูกทับเส้นประสาทนานถึง 5 ปี จากจดหมายที่จ่าหน้าซองถึง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" และเขียนที่อยู่เพียงคำว่า "สำนักพระราชวัง" ไม่มีแม้แต่รหัสไปรษณีย์ และไม่ติดแสตมป์

ในที่สุด...จดหมายฉบับดังกล่าว ได้ถูกส่งกลับมา พร้อมกับถ้อยคำตอบรับจาก "สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง" และได้ดำเนินการให้แม่ของเธอเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่เด็กหญิงไม่คิดว่า ตนผู้เปรียบดั่งละอองดิน จะได้ รับพระเมตตาจาก "ฟ้า" ที่พระราชทาน "น้ำฝน" ลงมาชโลมความทุกข์ยามยากลำบาก

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แม่ของวรรณชลี นางสาวชนะ เทพแสง อายุ 47 ปี มีอาการปวดขารุนแรง แพทย์วินิจฉัยให้ผ่าตัดทันทีเพราะกระดูกทับเส้นประสาท หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง แพทย์อนุญาตให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน "พอกลับมาถึงบ้าน แทนที่จะหาย แม่กลับเป็นมากขึ้น เพราะปวดขามากจนเดินไม่ได้ต้องนอนอย่างเดียว" นาเล่าถึงความหลังครั้งอายุ 9 ขวบ

ดั่งโชคชะตากลั่นแกล้ง เมื่อกลับไปโรงพยาบาลเดิม แพทย์กลับวินิจฉัยว่า ไม่เป็นอะไรมาก เพียงแค่จ่ายยาให้กลับไปรับประทานที่บ้าน และนัดให้มาตรวจอีกครั้งในเดือนถัดไป แต่จนแล้วจนรอด แม่ชนะก็ไม่ได้ไปพบแพทย์ตามนัด เนื่องจากไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล จากครอบครัวที่มี 2 คนสามีภรรยาช่วยกันทำมาหากิน เมื่อคนหนึ่งล้ม ภาระทั้งหมดก็ตกอยู่กับผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว "พ่อต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนเดียว ค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่งหนูเรียน เงินเดือนช่างซ่อมรถยนต์เดือนละสี่พันกว่าบาทไม่พอพาแม่ไปหาหมอ ทำได้เพียงซื้อยาแก้ปวดให้แม่กินไปวันๆ แต่ยาก็ช่วยได้แค่บรรเทา พอยาหมดฤทธิ์ แม่ก็กลับมาปวดขาอีก"

ตั้งแต่นั้นมา.... ชีวิตเด็กหญิงตัวเล็กๆ ก็ต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 มาหุงข้าวทำกับข้าว ส่วนหนึ่งห่อให้พ่อไปกินที่ทำงาน อีกส่วนหนึ่งจัดสำรับให้แม่รับประทานเป็นอาหารเช้า จากนั้นอุ้มแม่ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำแล้วอุ้มกลับมาวางไว้ที่เตียงเพื่อแต่งตัว ระหว่างที่แม่กินข้าว วรรณชลีจะปลีกตัวไปอาบน้ำแต่งตัว เสร็จแล้วก็ออกมาจัดสำรับอาหารกลางวันให้แม่ก่อนไปโรงเรียน พอเข็มนาฬิกาบอกเวลาเลิกเรียน วรรณชลีจะรีบกลับบ้านมาดูแลแม่ทันที อาบน้ำ ทำกับข้าว บีบนวดให้แม่ จนส่งแม่เข้านอน เด็กหญิงจึงได้มีเวลาสำหรับตัวเอง ทำการบ้าน อ่านหนังสือ

ดำเนินชีวิตแบบนี้ทุกวันกระทั่งเรียนชั้น ป.5 พ่อก็ได้งานซ่อมรถที่ได้เงินเดือนดีกว่าที่ทำงานเก่า จึงย้ายครอบครัวจากเขตประเวศ กรุงเทพฯ มาอยู่ที่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ด้วยหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น หาก...ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่ "บ้านที่เราอยู่เป็นห้องแถวเล็กๆ มีหน้าต่างระบายอากาศบานเดียว เพื่อนบ้านมีแต่ผู้ชาย เวลาหนูไปโรงเรียนต้องล็อคกุญแจบ้านขังแม่ไว้ เพราะกลัวจะเป็นอันตราย" ความเป็นห่วงจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ถ้าวันไหน "ฝนตก" เพราะหลังคาบ้านรั่ว "เรียนหนังสือไม่เป็นสุขเลยค่ะ อยากให้เลิกเรียนเร็วๆ มีอยู่วันหนึ่งลูกเห็บตก ลมพัดแรง พอกลับบ้านไป แม่เปียกไปทั้งตัวเลย สงสารแม่มาก" เหนื่อยกาย วรรณชลี "ทนได้" แต่ "ทรมานใจ" ที่ต้องเห็นแม่นอนร้องโอดโอยเพราะความเจ็บปวดทุกวันทุกคืน หัวใจลูกมันเหลือจะทานทนไหว "แม่ปวดจนช็อค ปวดจนบิดจนต้องกัดผ้า หนูนอนร้องไห้ทุกวัน สงสารแม่มาก" น้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตารื้อออกมา

ชีวิตดำเนินไปอย่างไร้ความหวัง..... กระทั่งวันหนึ่ง เด็กหญิงดูรายการโทรทัศน์ "ฝนจากฟ้า" นำเสนอเรื่องราวของเด็กโดนแก๊สระเบิดเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือจากในหลวง หลังจากจบรายการ วรรณชลีไม่รีรอที่จะเขียนจดหมายถึง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายในยามสิ้นหวัง ถ้อยคำในจดหมาย บรรยายถึงอาการป่วยของแม่ และขอพระเมตตาจากพระองค์ ช่วยแม่ของเธอด้วย "แม่จะตายหลายครั้งแล้ว เพราะปวดขาจนช็อค หนูไม่รู้จะช่วยยังไง จะไปหาหมอก็ไม่มีเงิน หนูกลัวแม่จะไม่อยู่กับหนู เลยตัดสินใจเขียนจดหมายถึงในหลวง เขียนทั้งๆ ที่รู้ว่าความหวังริบหรี่ แต่หนูก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ขนาดคนข้างบ้านยังพึ่งไม่ได้เลย" น้ำเสียงสะอึกสะอื้น

หลังจากนั้นเพียง 1 เดือนเศษๆ "วรรณชลี วรรณชลี" เสียงเรียกดังมาจากหน้าประตูบ้าน เด็กหญิงลุกขึ้นเดินมาเปิดด้วยอาการสะลึมสะลือเพราะพิษไข้ เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบอาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้น ม.1 ยืนอยู่ พร้อมกับยื่นซองจดหมายสีขาวให้ "มีจดหมายจากสำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราช วัง ส่งมาถึงเธอ" วรรณชลียกมือขึ้นรับซองด้วยอาการสั่นเทา แล้วรีบเปิดอ่านทันที "ถึงเด็กหญิงวรรณชลี พิลึก ตามที่ท่านทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ความว่า ติดต่อที่ โรงเรียนบัวแก้วเกษร เลขที่ .... จังหวัดปทุมธานี ขอพระราชทาน พระบรมราชานุเคราะห์ ความแจ้งอยู่แล้ว นั้น สำนักราชเลขาธิการได้รับเรื่องแล้ว จึงแจ้งมาเพื่อทราบชั้นหนึ่งก่อน สำนักราชเลขาธิการ 3 กันยายน 2551"

น้ำตาใสๆ ของเด็กหญิงวัย 14 ปีไหลอาบแก้ม รีบเดินไปกอดแม่ที่นอนหลับอยู่ในบ้าน "แม่จ๋า...ในหลวงมาช่วยเราแล้ว แม่จะหายแล้วนะ แม่จะหายแล้ว...." เมื่อถามว่า "ความสุข" ของวรรณชลีคืออะไร เด็กหญิงนิ่ง ส่ายหน้าบอกว่า "ไม่รู้" แต่พอถามว่า สิ่งที่ทำให้ยิ้มได้คืออะไร วรรณชลีรีบบอกว่า "แม่ไม่ปวดขา" เมื่อก่อน...เด็กหญิงจะไปเรียนหนังสือด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ยิ้ม ไม่เล่น ไม่คุยกับเพื่อน แต่วันนี้ หลังจากที่สำนักราชเลขาธิการส่งจดหมายฉบับที่ 2 มาบอกให้แม่ของวรรณชลีไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา และนัดให้ไปตรวจอีกครั้งในวันที่ 17 ธันวาคม ในฐานะ "คนไข้ราชสำนัก" วรรณชลีเริ่ม "ยิ้ม" ได้แล้ว....แม้จะรู้ความจริงอันแสนเจ็บปวดว่า อาการป่วยของแม่จะไม่มีวันหายก็ตาม!! "แม่อาการดีขึ้นนิดหน่อยค่ะ หมอให้ยามากิน แม่ปวดขาน้อยลง ไม่ทรมานอย่างเก่าแล้ว"

ไม่เพียงพระมหากรุณาธิคุณที่ครอบครัววรรณชลีได้รับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... หลังจากที่ได้มาเห็นสภาพครอบครัวของวรรณชลี คณะครู-อาจารย์โรงเรียนบัวแก้วเกษรก็เข้ามาช่วยเหลือเต็มที่ ด้วยการนำจดหมายจากสำนักราชเลขาธิการไปเป็นหลักฐานเพื่อยื่นขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการต่างๆ ไม่นาน...แม่ของวรรณชลีก็ได้รับบริจาครถเข็น ได้รับการส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลลาดหลุมแก้ว จากนั้นไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลปทุมธานี ได้รับความช่วยเหลือเรื่องที่อยู่อาศัย ย้ายบ้านจากห้องแถวสภาพโทรมๆ มาอยู่บ้านเช่าหลังเล็กๆ โดย อบต.คูบางหลวง ช่วยออกเงินค่าเช่าบ้านให้ครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้วรรณชลียังได้รับทุนการศึกษาอีก 3,000 บาทด้วย "จดหมายของพระองค์ฉบับนั้นเปิดทางให้คนอื่นมองเห็น แล้วยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ถ้าไม่ได้พระบารมีจากพระองค์ก็ไม่รู้ว่าครอบครัวหนูจะเป็นอย่างไร" วรรณชลีบอกด้วยน้ำเสียงตื้นตัน

อย่างไรก็ตาม "น้ำใจ" ที่หลั่งไหลเข้าช่วยเหลือครอบครัวพิลึก ก็ไม่ทำให้เด็กหญิงยอดกตัญญูคนนี้ "ลืมตัว" เธอยังคงเป็นวรรณชลีคนเดิม ที่ตื่นตี 5 มาหุงหาอาหารและดูแลแม่เช่นเดิม รวมทั้งยังคงช่วยครอบครัวประหยัดด้วยการไม่ "กินข้าวกลางวัน" เช่นเคย "ชินแล้วค่ะ ทำมาตั้งนานแล้ว" บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วบอกต่อว่า ได้เงินค่าขนมวันละ 40 บาท จ่ายค่ารถไป-กลับ 20 บาท ถ้าวันไหนหิวมากก็จะซื้อแซนด์วิชอันละ 10 บาทรับประทาน แต่ถ้าวันไหนหิวน้อยจะซื้อน้ำผลไม้ปั่นแก้วละ 6 บาทดื่ม และถ้าวันไหนไม่หิวก็จะไม่กินอะไรเลย จะเหลือเงินกลับบ้านประมาณ 20-30 บาททุกวัน ซึ่งเงินจากวันนี้ก็จะนำไปใช้ในวันถัดไป "หนูไม่ต้องการอะไรหรอกค่ะ ยังเหมือนเดิม ที่ต้องการที่สุด อยากให้แม่ดีขึ้นกว่านี้ ช่วยเหลือตัวเองได้ ถ้าเดินไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่อยากให้แม่ปวด อยากให้แม่อยู่กับหนูนานๆ และหนูก็เชื่อว่า ต่อไปนี้แม่จะดีขึ้นตามลำดับ เพราะในหลวงมาช่วยแม่แล้ว อย่างน้อยกำลังใจแม่ก็ดีขึ้นมาก พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนของพระองค์เลย"

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ ด้วยท้องฟ้าสดใส ผูกริบบิ้นด้วยรุ้งงาม ของครอบครัวเด็กหญิงยอดกตัญญู "วรรณชลี"

ที่มา www.rbac.ac.th และ เพจ "บอกต่อความจริง" ในเฟซบุ๊ค


ถึงเรื่องราวจะผ่านมาหลายปีแล้ว อ่านแล้วยังประทับใจไม่ลืม

ขอแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ต้อนรับปีใหม่ 2556 และ

สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ "พ่อ" ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย

โจโฉ นายกตลอดกาล


#542796 “แม่เกด” เถื่อน! ขนแดงยึดเวที กสม.ชูป้ายด่า “ว.วชิรเมธี”-แจกฟัก “หมอนิรัน...

โดย ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ on 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 08:28

ทำไมผมไม่แปลกใจเลยว่านี่คือพฤติกรรม "คนเสื้อแดง"


นี่พวกเราต้อง "ทน" กับพวกนี้ไปนานถึงแค่ไหนน่ะครับท่าน?

ทีเดี๋ยวนี้คนแซงคิวคนไทยกลับฮึดฮัดฟัดเหวี่ยง โกรธจนแทบจะฆ่าตายเพราะ "ไร้มารยาท ไร้ระเบียบ"
แต่กลับกัน เราดันทนพวกเสื้อแดงทำกริยาดิบ ถ่อย เถื่อน อันธพาล ก้าวร้าว ล่วงละเมิด ไร้มารยาท วาจาหยาบช้าได้เป็นเวลาหลายปี

เราต้องทนแบบนี้อยู่เรื่อยไปไหมครับ? จะสิ้นสุดเมื่อไหร่?

สิ้นหวังจริงๆ


#543914 โอ๊คFB แขวะ มาร์ค ดราม่าเรียกน้ำตาแม่ยก หากผิดขอรับโทษประหาร

โดย นารายณ์สังหาร on 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 20:56

ไอ้โอ้คนี่ดูจริงๆน่าสงสารนะ .. พ่อแม่ก็เลิกกัน .....พ่อเป็นนักโทษหนีคดี (ไม่ได้กล่าวหานะ เพราะศาลตัดสินแล้ว) .....

วิชาความรู้ตัวเองก็ไม่มี อาศัยนามสกุลขายชาติของพ่อ ทำตัวเด่นไปวันๆ กับใช้เงินที่พ่อโกงชาติบ้านเมืองมา ...

น่าสมเพชกว่านี้มีอีกเหรอครับ??


#540665 เหวง..กับ..นกแสก...จุดยืนคุณอยู่ตรงไหน???

โดย ดอกปีบ on 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 17:24

จินนี่ไปจริงๆ ละ ยิ่งอยู่นาน ยิ่งสงสารดอกปีบ

ถือว่าจินนี่ให้ความรู้ สั่งสอน ละกันน๊ะจ๊ะ

สอนฟรี ไม่คิดตังค์จ่ะ :lol: :lol: :lol:

บาย


เฮ้อกับป้าจินหนี้พูดไปก็สองไพเบี๊ย.. :(
12170056561.gif


#541848 ขอขอบคุณรัฐบาลท่านนายกยิ่งลักษณ์ครับ ที่ทำให้ประชาชนตามท้องไร่ท้องนาได้ "...

โดย โจโฉ นายกตลอดกาล on 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 14:26

กระทู้นี้ขอเขียนเพื่ออุทิศแก่ผู้หลงงมงายมาตลอด!!!

และเมื่อผมลาโลกนี้ไปแล้ว ก็เชื่อมั่นเหลือเกินว่าเมล็ดพันธุ์

ของคำว่า "ตาสว่าง ทั้งแผ่นดิน" จะเติบโตในใจของคนตามท้องไร่ท้องนา

เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ผมมีแขกมาทานข้าวด้วย แบบไม่ทันตั้งตัว

เราก็ไม่ได้เตรียมต้อนรับขับสู้ แต่แขกของผมท่านนี้บอกว่าไม่เป็นไร

พาไปกินตามท้องไร่ท้องนาก็ได้ เอาล่ะซิ ความสนุกของคนวัยกลับเริ่มอีกครั้ง

ด้านหลังพื้นที่ของผมเป็นท้องไร่ท้องนาขนาดหลายพันไร่

มีชาวนาอยู่กันไม่ต่ำกว่าหลายร้อยหลังคาเรือน แขกของผมดันนึกสนุกอยาก

สัมผัสกับชาวนาโดยตรง พูดคุยกับเขาโดยตรง ทำให้ผมนึกถึง

ร้าน ก๋วยจั๊บ ริมทุ่งนาขึ้นมาทันที ร้านก๋วยจั๊บร้านนี้จะมีชาวไร่ชาวนาล้วนแต่

แวะเวียนมากิน เราขับรถบนถนนที่ชำรุดเป็นหลุมเป็นบ่อ หลังจากเหตุ

มหาอุทกภัยก้ยังไม่มีหน่วยงานไหนของรัฐมาเหลียวแลสักที

จนมาถึงร้านก๋วยจั๊บ ไม่พูดพร่ำทำเพลงสั่งพิเศษสองถ้วย

แม่ค้ามองหน้าผม จำได้ทันทีว่าผมคือใคร แม่ค้าไถ่ถามผมว่า

เมื่อไรเขาจะมาทำถนนให้สักที ช่วยไป ส.ส. ให้เขามาดูหน่อยได้ไหม

ผมเลยรับปากจะเป็นธุระให้ โต๊ะข้างๆก็บ่นสวนขึ้นมาทันที เพราะรัฐบาลเฮงซวย

*** ออกนโยบาย ห่-า อะไร รถคันแรก คนมันก็พากันไปถอย

วันๆหนึ่งถนนนี้ป้ายแดงวิ่งกันว่อนไปหมด ถนนมันไม่พังไวได้ไง

หลังน้ำท่วมไม่รู้จักมาซ่อมมาทำ โต๊ะถัดมาบ่นต่ออีก *** จำนำข้าว

ก็เหมือนกัน พากัน แด-ก ไม่รู้เท่าไร ตกถึงเราไม่เท่าไร โดนกดราคาอีก

ว่ารัฐบาลก่อนเขาแด-ก กัน แต่พอแม่-ง เป็นรัฐบาลเองกลับแด-กกัน

ซะจนฉิบหายทั่วไปหมด หนักกว่าเขาซะอีก

แขกผม งง เป็นไก่ตาแตก ถามว่านี่มาผิดจังหวัดหรือเปล่านี่

ยังไม่ถึงอยุธยาใช่ไหม เห็นเขาว่ากันว่าที่นี่จังหวัดของคนเสื้อแดงไม่ใช่เหรอ

โต๊ะถัดมาสวนทันที เสื้อแดงแล้วไง มันใหญ่คับจังหวัดนี้หรือไง

เราเกิด และ โตอยู่จังหวัดนี้ก่อนมีพวกมันอีก พวกห่-า เผาบ้านเผาเมือง

ตาผม งง แล้วบ้างทีนี้ คำว่า "เผาบ้าน เผาเมือง" ไม่เคยได้ยินจากปากคน

ในจังหวัดนี้สักที โต๊ะถัดมาโวยอีก ในหลวงไปทำอะไรให้พวกแม่-ง

พวกมันพูดว่า "ไอ้เหี้-ย สั่งฆ่า อีห่-า สั่งลุย" (ผมเคยได้ยินจากคนเสื้อแดงว่า

"เหี้-ย สั่งฆ่า ห่-า สั่งยิง สงสัยพูดกันปากต่อปากแล้ว) มันหมายถึงใคร?

แม่ค้า งง ตามผมติดๆ เพราะแม่ค้าคนนี้เสื้อแดงเต็มตัว

แม่ค้าถามว่า เสื้อแดง เคยพูดแบบนี้ด้วยเหรอ มองหน้าผมปานขอความเห็น

ผม บอกได้แค่ว่า ต้องหาอินเตอร์เน็ตเปิดดูเอา จะได้รู้ว่ามันจริง

โต๊ะเจ้าเดิมบอกต่ออีกว่า เรื่องแบบนี้มันไม่พูดออกทีวีให้แกได้ฟังหรอก

มันไปแอบพูดกัน ไอ้พวกหนักแผ่นดินนี่ แขกของผมอมยิ้มทันที

บอกกับผมว่า สงสัยอีกไม่เกินห้าปีจังหวัดนี้คงไม่ใช่ของคนเสื้อแดงแล้ว

ดูจากอาการของคนไม่ต่ำกว่าสิบคนวันนี้ ผมเองก็แปลกใจไม่น้อย

หลงคิดว่าจังหวัดเสื้อแดงมาตลอด คนแถวๆนี้คงต้องชื่นชมรัฐบาลไม่น้อย

ทำไมมันกลับตาลปัตรได้ขนาดนี้ พาลนึกๆย้อนหลังดู อ๋อ

เพราะ "รัฐบาลท่านนายกยิ่งลักษณ์" นี่เอง ทำให้คนที่นี่

เริ่ม "ตาสว่างทั้งแผ่นดิน" ขอขอบพระคุณอย่างสูง และยินดีให้ท่านเป็นนายกฯ

ต่อไปเลยอีกสมัย "นายกฯปู แปดปี"

โจโฉ นายกตลอดกาล

ปล. ขออภัยที่คำไม่สุภาพเยอะเต็มกระทู้ แต่อารมณ์คนท้องไร่ท้องนา

เขาพูดจากันแบบนี้เป็นเรื่องปกติจริงๆ ใช้คำตรงไปตรงมา จริงใจ


#541968 ขอขอบคุณรัฐบาลท่านนายกยิ่งลักษณ์ครับ ที่ทำให้ประชาชนตามท้องไร่ท้องนาได้ "...

โดย เช never die on 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 16:27


แต่กว่าจะเข้าที่เข้าทาง กว่าประเทศจะเริ่มเดินหน้าไปอย่างถูกทิศถูกทาง กว่ารัฐบาลอัปปรีย์ชุดนี้จะหมดคำแก้ตัว

ก็คงจะต้องรอไปจนกว่าจะถึงกลางปี 2557 โน่นละครับ



ไร้สาระแ้ล้ว มาจริงจังดีกว่า :)

ผมว่าบางที 8 ปีก็ไม่ได้ช่วยอะไรนะครับ น้าเช บางทีอาจจะต้องรอเป็น ปู-โอ๊ค 16 ปี ด้วยซ้ำ จึงจะพอทำให้คนอีสานตาสว่างได้
มันน่าแปลกใจจริงๆ ครับ ผมรู้สึกว่า คนทางอีสานนี่ ไม่กินข้าวกินปลากันหรืออย่างไร ข้าวของที่แพงขึ้น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น จำนำที่ไม่ได้หมื่นห้า ฯลฯ
รวมถึงการบริหารห่วยๆ ที่่แทบไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรเลยจากรัฐบาลนี่ มันไม่ได้ไปกระทบเซลล์สมองหรือมีผลทางกายภาพกับคนพวกนี้บ้างหรืออย่างไร

ทุกวันนี่ที่เห็นสนใจมีแค่ สนใจเรื่องพี่มาร์ค กะลุงสุเทพครับ
อ้อ ไใม่ค่อยมีใครสนใจเรื่อง รธน. เท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่า ถ้า แกนนำแดงให้โหวตว่าแก้ ก็คงโหวตแก้กันอยู่ดี ด้วยเหตุผลที่ว่า "เขาบอกให้แก้อ่ะ"

หลายครั้งที่ผมยังอดคิดไม่ได้ว่า การที่คนพวกนี้จะรู้และสำนึกและเปลี่ยนแปลงความคิดนี่
เราคาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหมเนี่ย?
ครับ


จะไปโทษคนอิสานอย่างเดียวก็ไม่ได้ครับ เพราะอย่างที่รู้ๆกันคนอิสานระดับรากหญ้าเอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีความคิดหรือมีสิทธิืมีเสียงทางการเมืองอะไร อย่างที่รู้ๆกัน ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของคนแถวนั้น ชาวบ้านตาสีตาสายังต้องพึ่งพาการชี้นำทางความคิดจากพวกหัวคะแนน ซึ่งก้คือบรรดากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อส. ครู ปลัด อบต ฯลฯ เป้นส่วนมาก

ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องของประเทศเราก้คือต้องยอมให้ระบบเศรษฐกิจชาติพังทะลายด้วยน้ำมือรัฐบาลนี้ แล้วเกิดผลกระทบโดยตรงไปยังบรรดากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อส. ครู ปลัด อบต ฯลฯ เมื่อนั้นแหละ ต่อให้สิบแม้วมาเป่ามนต์วิเศษก็ไม่มีใครเอาด้วยแล้ว


#542076 ขอขอบคุณรัฐบาลท่านนายกยิ่งลักษณ์ครับ ที่ทำให้ประชาชนตามท้องไร่ท้องนาได้ "...

โดย aneak on 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:07

เห็นด้วยกับคุณเช ไม่เคยตาย เป็นอย่างยิ่ง ต้องรอไห้มันพังทลายถึงจะเห็นได้ชัดเจน เราได้แต่พูดคาดการณ์ล่วงหน้า พูดไห้ตายก็ไม่เข้าหูกับรากหญ้าหรอกเพราะต้องไช้คความเข้าใจอย่างมาก อธิบายกันยืดยาวโดยเฉพาะในทางเศรษศาตร์ พูดจนคอแตกก็ยังไม่เข้าใจมันไกลตัวเขาเกินไป ต้องรอไห้ลูกหลานของพวกเขาตกงานกันแล้วกลับไปอยู่บ้านถึงตอนนั้นคงจะนึกได้ ผมเคยพูดจนคอแทบแตก เดียวนี้ไม่พูดแล้ว ได้แต่เตื่อนบอกกับคนในครอบครัวไห้ระวังตัวกัน ไช้ชีวิตแบบพอเพียง พอดี พอดี ถ้าพังคราวนี้จะน่ากลัวมากกว่าปี 40