หลังจากได้อ่านบทความด้านบน ก็คิดอยู่นานว่าจะเขียนดีหรือไม่ดีเพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นฝักฝ่ายการเมือง เดี๋ยวก็บอกว่าเป็นการแก้ตัวให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ เพราะวันนี้มีการโยงใยประเด็นนี้เป็นการเมืองไปแล้ว เอาเป็นว่าขอให้ความรู้ก็แล้วกันเพราะเป็นห่วงกลัวคนจะจาบจ้วงพระรัตนตรัยโดยใช่เหตุ
เนื่องจากงาน "หล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร(พระพุทธเจ้าน้อย) วันที่ 8-10มีนาคม ณ.ท้องสนามหลวง" และมีการนำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอยู่ 2-3 ประเด็น
๑. ชื่อนี้ได้แต่ไหนมา "พระพุทธเจ้าน้อย"
ซึ่งจริงๆ ภายในงานใช้ชื่อว่า "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย)" มีการวงเล็บว่าพระพุทธเจ้าน้อย เมื่อตามไปดูเป็นการแปลกลับมาจากคำว่า Baby Buddha หรือ A little Buddha ตามความเข้าใจและนิยมเรียกของชาวต่างประเทศ ครั้งหนึ่ง ฮอลลิวูดก็เคยสร้างภาพยนตร์ที่ใช้ชื่ออย่างนี้ และเป็นการเข้าใจตรงกันว่าเมื่อเราพูดถึง Baby Buddha ก็จะเข้าใจหมายถึง "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร"
ดังนั้นการหล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) เพื่อไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีสถานประเทศเนปาล ที่ไม่ใช่ประเทศไทยและต้องการสื่อสารกันชาวพุทธทั้งโลกทั้งในฝ่ายมหายาน เถรวาท และวัชรยาน ก็คงหมายเอาสัญญาสากลที่หมายรู้กันว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) ก็คือ Baby Buddha นั่นเอง
๒. องค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) มีการสร้างกันมาก่อนหรือไม่หรือเป็นการโยงใยการที่ยืนยกมือชี้ฟ้า ประหนึ่งโยงใยไปถึงตอนหัวหน้าพรรคบางพรรคหาเสียงเบอร์ 1 ประเด็นนี้ ไม่อยากจะให้มองแบบนี้เลยไม่น่าจะเอาเรื่องของ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร มาโยงกับการหาเสียงในเมืองไทย
การที่มีลักษณะดังกล่าวเนื่องจากหมายเอาตอนที่ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร ได้ประสูติมีพระดำเนิน ๗ ก้าวแล้วได้ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ แปลว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก เราเป็นเจริญที่สุดในโลก ความเกิดของเรานี้ เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ของเราไม่มีอีก” ซึ่งปรากฏชัดในพระพุทธประวัติ ในพระไตรปิฎก จึงไม่สมควรที่จะโยงใยประเด็นเหล่านี้ไปผูกกับประเด็นการเมืองอย่างยิ่ง
และการสร้าง Baby Buddha นั้นมีกันมานานมากแล้วมีทั้งการพบหลักฐานโบราณ และในสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธศาสนาก็มีการสร้างกัน แม้แต่ในเมืองลุมพินีก็มีการสร้างไว้กลางแยกใหญ่เป็นสัญลักษณ์กลางเมืองลุมพินี (ตามรูปที่แสดงให้เห็น)
๓. แล้วเด็กเพิ่งถือกำเนิดสมควรจะกราบไหว้หรือไม่ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย ข้อนี้ในพุทธประวัติ 'อสิตดาบส' หรือบางแห่งเรียกว่า 'กาฬเทวินดาบส' ท่านดาบสผู้นี้บวชเป็นฤาษีอยู่ข้างเขาหิมพานต์ หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่าเขาหิมาลัยนั่นเอง เมื่อท่านทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะ ประมุขกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ทรงมีพระราชโอรสใหม่ จึงออกจากอาศรมเชิงเขา เข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อถวายพระพรยังราชสำนัก พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวว่าท่านดาบสมาเยี่ยม ก็ทรงดีพระพระทัยนักหนา จึงตรัสสั่งให้นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะแล้วทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อให้นมัสการท่านดาบส
พอท่านดาบสได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทำกริยาผิดวิสัยสมณะ ๓ อย่าง คือ ยิ้มหรือแย้ม หรือที่ภาษากวีในหนังสือปฐมสมโพธิเรียกอย่างหนึ่งว่า หัวเราะแล้วร้องไห้ แล้วกราบแทบพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะ
ท่านยิ้มเพราะเห็นพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะต้องด้วยตำรับมหาบุรุษลักษณ์ ท่านเห็นว่า คนที่มีลักษณะอย่างนี้ ถ้าอย่างครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่ไปไกล แต่ถ้าได้ออกบวชจะได้เป็นพระศาสดาผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ที่ท่านร้องไห้ก็เพราะเชื่อแน่ว่าเจ้าชายราชกุมารนี้ จะต้องออกบวช เพราะเหตุที่เชื่ออย่างนี้ เลยนึกถึงตัวท่านเองว่า เรานี่แก่เกินการณ์เสียแล้ว เลยเสียใจว่ามีบุญน้อย ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และที่กราบไหว้พระบาทราชกุมารที่เพิ่งประสูติใหม่
เพราะการอุบัติขึ้นของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร นั้นต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะสั่งสมบารมีมาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าดังนั้นเรื่องพุทธวิสัย พระพุทธองค์ท่านทรงเรียกว่า อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น
เอาละที่เขียนมาเสียยืดยาวเพราะไม่ต้องการให้มีการโยงใยงานบุญงานกุศล งานการเมือง หลักธรรม ความเชื่อ แนวทางการปฏิบัติให้ยุ่งกันไปมากกว่านี้วันนี้ในเมืองเรายุ่งพอแล้วอย่างสร้างความแปลกแยกให้ศาสนจักรด้วยเลย สาธุ
เนื่องจากงาน "หล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร(พระพุทธเจ้าน้อย) วันที่ 8-10มีนาคม ณ.ท้องสนามหลวง" และมีการนำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอยู่ 2-3 ประเด็น
๑. ชื่อนี้ได้แต่ไหนมา "พระพุทธเจ้าน้อย"
ซึ่งจริงๆ ภายในงานใช้ชื่อว่า "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย)" มีการวงเล็บว่าพระพุทธเจ้าน้อย เมื่อตามไปดูเป็นการแปลกลับมาจากคำว่า Baby Buddha หรือ A little Buddha ตามความเข้าใจและนิยมเรียกของชาวต่างประเทศ ครั้งหนึ่ง ฮอลลิวูดก็เคยสร้างภาพยนตร์ที่ใช้ชื่ออย่างนี้ และเป็นการเข้าใจตรงกันว่าเมื่อเราพูดถึง Baby Buddha ก็จะเข้าใจหมายถึง "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร"
ดังนั้นการหล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) เพื่อไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีสถานประเทศเนปาล ที่ไม่ใช่ประเทศไทยและต้องการสื่อสารกันชาวพุทธทั้งโลกทั้งในฝ่ายมหายาน เถรวาท และวัชรยาน ก็คงหมายเอาสัญญาสากลที่หมายรู้กันว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) ก็คือ Baby Buddha นั่นเอง
๒. องค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) มีการสร้างกันมาก่อนหรือไม่หรือเป็นการโยงใยการที่ยืนยกมือชี้ฟ้า ประหนึ่งโยงใยไปถึงตอนหัวหน้าพรรคบางพรรคหาเสียงเบอร์ 1 ประเด็นนี้ ไม่อยากจะให้มองแบบนี้เลยไม่น่าจะเอาเรื่องของ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร มาโยงกับการหาเสียงในเมืองไทย
การที่มีลักษณะดังกล่าวเนื่องจากหมายเอาตอนที่ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร ได้ประสูติมีพระดำเนิน ๗ ก้าวแล้วได้ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ แปลว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก เราเป็นเจริญที่สุดในโลก ความเกิดของเรานี้ เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ของเราไม่มีอีก” ซึ่งปรากฏชัดในพระพุทธประวัติ ในพระไตรปิฎก จึงไม่สมควรที่จะโยงใยประเด็นเหล่านี้ไปผูกกับประเด็นการเมืองอย่างยิ่ง
และการสร้าง Baby Buddha นั้นมีกันมานานมากแล้วมีทั้งการพบหลักฐานโบราณ และในสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธศาสนาก็มีการสร้างกัน แม้แต่ในเมืองลุมพินีก็มีการสร้างไว้กลางแยกใหญ่เป็นสัญลักษณ์กลางเมืองลุมพินี (ตามรูปที่แสดงให้เห็น)
๓. แล้วเด็กเพิ่งถือกำเนิดสมควรจะกราบไหว้หรือไม่ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย ข้อนี้ในพุทธประวัติ 'อสิตดาบส' หรือบางแห่งเรียกว่า 'กาฬเทวินดาบส' ท่านดาบสผู้นี้บวชเป็นฤาษีอยู่ข้างเขาหิมพานต์ หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่าเขาหิมาลัยนั่นเอง เมื่อท่านทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะ ประมุขกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ทรงมีพระราชโอรสใหม่ จึงออกจากอาศรมเชิงเขา เข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อถวายพระพรยังราชสำนัก พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวว่าท่านดาบสมาเยี่ยม ก็ทรงดีพระพระทัยนักหนา จึงตรัสสั่งให้นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะแล้วทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อให้นมัสการท่านดาบส
พอท่านดาบสได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทำกริยาผิดวิสัยสมณะ ๓ อย่าง คือ ยิ้มหรือแย้ม หรือที่ภาษากวีในหนังสือปฐมสมโพธิเรียกอย่างหนึ่งว่า หัวเราะแล้วร้องไห้ แล้วกราบแทบพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะ
ท่านยิ้มเพราะเห็นพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะต้องด้วยตำรับมหาบุรุษลักษณ์ ท่านเห็นว่า คนที่มีลักษณะอย่างนี้ ถ้าอย่างครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่ไปไกล แต่ถ้าได้ออกบวชจะได้เป็นพระศาสดาผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ที่ท่านร้องไห้ก็เพราะเชื่อแน่ว่าเจ้าชายราชกุมารนี้ จะต้องออกบวช เพราะเหตุที่เชื่ออย่างนี้ เลยนึกถึงตัวท่านเองว่า เรานี่แก่เกินการณ์เสียแล้ว เลยเสียใจว่ามีบุญน้อย ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และที่กราบไหว้พระบาทราชกุมารที่เพิ่งประสูติใหม่
เพราะการอุบัติขึ้นของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร นั้นต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะสั่งสมบารมีมาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าดังนั้นเรื่องพุทธวิสัย พระพุทธองค์ท่านทรงเรียกว่า อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น
เอาละที่เขียนมาเสียยืดยาวเพราะไม่ต้องการให้มีการโยงใยงานบุญงานกุศล งานการเมือง หลักธรรม ความเชื่อ แนวทางการปฏิบัติให้ยุ่งกันไปมากกว่านี้วันนี้ในเมืองเรายุ่งพอแล้วอย่างสร้างความแปลกแยกให้ศาสนจักรด้วยเลย สาธุ
พอดีผมก็ไปร่วมทำบุญมา ผมว่าอย่าเอาศาสนามาปนกับการเมืองเลยครับ งานนี้ เขาทำดี ก็ต้องช่วยกันครับ เพื่อศาสนาของเรา