มองฟ้าเบื้องบน ฝนหล่นลงมาเปียกกาย
นวลน้องเจ้าเหนื่อยบ้างไหม อยากถามไถ่ถึงใจกานดา
ที่ต้องสู้ทนตากแดดตากฝนทุกวันเรื่อยมา สิ่งเดียวที่ปารถนาสูงยิ่งกว่าเงินทองใดใด
คนบางคนมองเจ้าเป็นเช่นคนข้างทาง พูดดูถูกเหยียดหยามคำบางคำทนแทบไม่ไหว
หากไม่หวังให้ได้กลับมาปะชาธิปไตย เลือดเนื้อนองพื้นเท่าไหร่ ท่านคงจำได้ที่ราชดำเนิน
ดำ...เนิน เดินนำตามทางของตน มันไม่สนว่าประชาชนจะเป็นหรือตาย
หวังเพียงแต่ว่าให้มันได้มาซึ่งความเป็นใหญ่ ขวานทองต้องลุกเป็นไฟผู้คนล้มตายเมื่อเดือนตุลา
ผมมาเป่าร้องอยากให้พี่น้องชาวไทยทุกคน มาลุกขึ้นสู้อีกหนมาสู้กับคนที่ไร้จรรยา
ไอ้พวกทักษิณ ไอ้พวกโกงกินที่มันเข้ามา ขับไล่พรรคมารชั่วช้าที่เห็นเงินตราเหนือค่าแผ่นดิน
- ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด
- → ดูประวัติผู้ใช้: กระทู้: Nuttapron
Nuttapron
เป็นสมาชิกตั้งแต่ 27 มีนาคม 2556ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2556 20:16
Community Stats
- กลุ่มผู้ใช้ Members
- จำนวนกระทู้และความเห็น 15
- Profile Views 1,688
- Member Title น้องใหม่
- อายุ ไม่ระบุ
- วันเกิด ไม่ระบุ
-
Gender
ไม่ระบุ
2
Neutral
เครื่องมือสมาชิก
Friends
Nuttapron hasn't added any friends yet.
ผู้เยี่ยมชมล่าสุด
No latest visitors to show
Topics I've Started
ขอแต่งเพลงนี้ให้กับนักสู้.....ทุกท่านครับ
28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 20:11
เรื่องเก่า.....มาเล่าใหม่
18 เมษายน พ.ศ. 2556 - 21:26
ในที่สุดการให้สัมภาษณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหลบหนีคดีทุจริต กับ “ริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี่” บรรณาธิการเอเซียของ “เดอะไทมส์” ออนไลน์ สื่ออังกฤษ ซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมาได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาจนถึงก้นบึ้ง และเป็นเสมือน “ใบเสร็จ” ยืนยันทุกคำพูดและพฤติกรรมที่ผ่านมาของเขาได้เป็นอย่างดีว่าเป้าหมายในใจ ลึกๆแล้วมีเจตนาและมีความทะเยอทะยานอย่างไร
คำพูดผ่าน สื่อต่างประเทศดังกล่าวมีความยาวกว่า 12 หน้า ใช้เวลาในการให้สัมภาษณ์ที่ดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตนานนับชั่วโมงพรั่งพรูออกมาจากปากของเขา ล้วนพาดพิงและโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการจาบจ้วง ให้ร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อย่างรุนแรง
เป็นการพูดพาดพิงและจาบ จ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่เคยเป็นถึงนายก รัฐมนตรีคนหนึ่งและเคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณมาจนหาที่สุดมิได้จะกล้าพูดออก มาเยี่ยงนี้ เพราะนอกจากเป็นการย่ำยีหัวใจคนไทยทุกดวงที่เทิดทูนสถาบัน เทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวที่เปรียบเสมือน “พ่อของแผ่นดิน” ซึ่งไม่มีทางที่คนไทยคนไทยจะยอมรับได้
ทำ ให้เกิดปฏิกิริยาฉับพลันทันที เพราะถือว่าคำพูดและท่าทีดังกล่าวมีเจตนาทำร้าย ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน และยังถือว่านี่คือเจตนาเป็นศัตรูกับคนไทยทั้งมวลอีกด้วย
อย่าง ไรก็ดีเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นก็จะขอไล่เรียงเหตุการณ์ การก่อกำเนิดของขบวนการล้มเจ้ามาตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อจะนำมาปะติดปะต่อเรียงร้อยจนกระทั่งเห็นตัวตนของคนที่เป็นหัวหน้าขบวน การในวันนี้
..
ย้อนอดีตขบวนการล้มเจ้า
ขบวน การล้มเจ้า เท่าที่ปรากฏข้อมูลและความเคลื่อนไหวต่อเนื่องกันมา ถ้าจะว่ากันไปแล้วน่าจะเริ่มจากการรวมตัวของกลุ่มฝ่ายซ้ายเก่าที่เคยเป็น อดีตนักศึกษา และนักกิจกรรม ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองในยุค 14 ตุลาคม 2519 ต่อเนื่องมาจนถึงการถูกล้อมปราบในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ได้เห็นการกดขี่ ความไม่เป็นธรรมในสังคม การใช้อำนาจเผด็จการทหาร ประกอบกับมีการแผ่ขยายเข้ามาของลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกาเข้ามาในภูมิภาคเอ ซียตะวันออกเฉียงใต้
คนเหล่านั้นซึ่งยังเป็นคนหนุ่มสาว ได้รับอิทธิพลทางความคิดในลัทธิคอมมิวนิสต์ แนวทางสังคมนิยม ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นพวก “หัวก้าวหน้า” ขณะที่บางส่วนก็มีความเห็นในเชิงอุดมคติ ใฝ่ฝันจะเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่ และเมื่อสังคมรอบข้างบีบคั้นมากขึ้นในลักษณะที่เรียกว่า “ขวาพิฆาตซ้าย” ทำให้พวกเขาต้องหลบหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) จับอาวุธขึ้นสู้กับอำนาจรัฐ โดยฝันว่าจะสามารถ “ปลดแอก” นำไปสู่สังคมใหม่
แน่ นอนว่าแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในเป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยน แปลงสังคมแบบถอนรากถอนโคน โดยพาะอย่างยิ่งการโค่นล้ม “สถาบันพระมหากษัตริย์” เหมือนกับกรณีปฏิวัติประชาชนที่เกิดขึ้นในบางประเทศ เช่น ที่รัสเซีย
นอก เหนือจากนั้นยังเป็นช่วงสงครามเย็น ในยุคที่มีการแข่งเข้ามาอิทธิพลของมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายทุนนิยมเสรีที่นำโดย สหรัฐอเมริกา กับอีกฝ่ายคือสังคมนิยมคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียตและ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยฝ่ายหลังจะให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่งเกิดสงครามเวียดนาม และลุกลามเข้ามาจนทั่วภูมิภาคอินโดจีนและประเทศไทย
อย่าง ไรก็ตามด้วยพระบารมี พระปรีชาสามารถ และด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ได้ ทรงอุทิศพระวรกาย ทุ่มเททุกอย่าง และด้วยนโยบาย 66/2523 ในรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สร้างความปรองดองกันในชาติ เพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้ง ประกอบกับความขัดแย้งกันเองในกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ระหว่าง จีนกับรัสเซีย รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสียใหม่ สามารถเจรจาให้ยุติการสนับสนุน จนทำให้ พคท.ต้องอ่อนแอลงเรื่อยๆ และต้องปิดฉากการต่อสู้ด้วยอาวุธลงในเวลาต่อมา
อีก ทั้งกลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายจำนวนมากที่ส่วนใหญ่เคยอยู่ในเมือง ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพความยากลำบากในถิ่นธุระกันดารได้อีกต่อไป ทำให้กลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายเหล่านี้หวนกลับคืนสู่เมืองมาใช้ชีวิตตามปกติ
ขณะที่ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่เรียกว่า “ซ้ายอกหัก” แม้ว่าจะออกมาจากป่า แต่คนกลุ่มนี้ยังไม่เคยละทิ้งความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมตามอุดมคติดั้ง เดิมตามที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้ โดยเฉพาะความพยายามในการ “โค่นล้ม” สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อนำไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
เพียง แต่ว่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ก็ต้องปรับวิธีการใหม่ โดยหันเข้าหาทุน ซึ่งคงไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเห็นว่ามีพร้อมในทุกด้าน ดังนั้นนี่คือที่มาของ “ทุนบวกความฝันและอำนาจ”
วิธีการเริ่มแรกคือใช้วิธี “ฝังตัว” ทำงานรับใช้ทั้งในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มรวมไปถึงการปลูกฝังให้คำปรึกษา สร้างนโยบายทางการเมืองเพื่อผูกใจประชาชน จนในที่สุดพัฒนากลายพันธุ์มาเป็น “ระบอบทักษิณกับทุนสามานย์” ที่เชื่อมโยงแบบพึ่งพาอาศัยกันอย่างลงตัว
ปฐมบทปฏิญญาฟินแลนด์
ปฏิญญา ฟินแลนด์ เริ่มมีการระแคะระคายเผยแพร่ออกมาสู่สังคมภายนอกได้รับรู้อย่างจริงๆจังๆใน ราวปี 2547 โดยกลุ่มคนเดือนตุลาคม ที่มีการติดต่อปฏิสัมพันธ์กันเป็นประจำ มีการรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวในลักษณะหลุดโลก ถึงขนาดที่ว่ามีบางคน “ตัวอ้วนๆ” ขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าเรือสำราญขณะท่องทะเลสาบแห่งหนึ่งประกาศเจตนารมณ์ให้ได้ยินไปทั่วทั้งคุ้งน้ำว่าเป้าหมายขั้นสุดท้ายคือต้อง “พลิกฟ้าคว่ำดิน” กันเลยทีเดียว
ที่ มาของปฏิญญาเกิดจากการประชุมที่ฟินแลนด์ของ 3 กลุ่มใหญ่คือ คนเดือนตุลาที่เข้าไปอิงแอบอยู่กับบริษัททุนใหญ่ นักธุรกิจและนักการเมืองร่วมกันกำหนดยุทธศาตร์การเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงการ บริหารการปกครองประเทศไทยในอนาคต และคนกลุ่มดังกล่าวก็กลายเป็นมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในเวลาต่อมา
อย่าง ไรก็ดีหลังจากนั้นไม่นานเมื่อมีการปูดข้อมูลเรื่องนี้ออกมาก็มีการยอมรับจาก ปากของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตซีอีโอบริษัทเครือชินคอร์ป ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2549ว่ามีการเดินทางไปประเทศฟินแลนด์จริงเมื่อปี 2540 แต่เป็นการนำคณะบุคคลที่ช่วยงานไปพักผ่อนรวมทั้งไปดูงานทางธุรกิจเท่านั้น
อย่างไรก็ดียุทธศาสตร์ฟินแลนด์ หรือ “ปฏิญญาฟินแลนด์” หรือบางครั้งเลยเถิดกลายเป็น “ยุทธศาสตร์ทักษิณ” ถูกนำมาขยายความในเวลาต่อมาว่ามีเป้าหมาย 5 ประการหลัก คือ
1 สร้างระบบการเมืองพรรคเดียว2 ทำลายความเข้มแข็งของระบบราชการแบบเก่า ให้รับใช้ระบบการเมือ3 แปลงสินทรัพย์ของรัฐเป็นทุนเสรี 4 บั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นเพียงสัญญลักษณ์ และ5 สร้างระบบพรรคแบบรวมศูนย์การนำสูงสุด
หากพิจารณากัน อย่างพินิจก็จะพบเห็นถึงความบังเอิญว่าไปพ้องกับพฤติกรรมและความเคลื่อนไหว ของพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องกันมา แม้กระทั่งถูกสั่งยุบพรรคแล้วกลายสภาพมาเป็นพรรคพลังประชาชนในเวลาต่อมาก็ ตาม
มุ่งสู่สาธารณรัฐ
สำหรับขบวนการล้มเจ้า หรือขบวนการสาธารณรัฐ เริ่มปรากฎเป็นหลักฐานอ้างอิงชัดเจนมากขึ้นจากคำพูดและคำยืนยันจากปากของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันหวนกลับมาเป็นประธานพรรคเพื่อไทยและเกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมขบวนการที่ร่วมสร้างความปั่นป่วนนั่นเอง
น่าตกใจก็คือก่อนหน้านั้นเขายืนยันถึง “ขบวนการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” ว่ามีอยู่จริงและกำลังคุกคามขยายวงออกไปอย่างน่ากลัว เนื่องจากมีขั้นตอนและเป้าหมายสูงสุดถูกกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ “สาธารณรัฐ”
โดยขบวนการดังกล่าวกำลังรุกคืบในหลายช่องทาง ทั้งในรั้วมหาวิทยาลัย สถาบันทางวิชาการ ในรัฐสภา แม้กระทั่งภายในรัฐบาลก็ไม่เว้น
นอก จากนี้ยังใช้วิธีการเผยแพร่ความคิดผ่านทางสื่อบางกลุ่มไปยังประชาชน ซึ่งรวมไปถึงการอิงแอบไปกับการเคลื่อนไหวบนท้องถนนอย่างแนบเนียนอีกด้วย
การ โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์มีให้เห็นเด่นชัดเมื่อประมาณ 2-3 ปี ที่ผ่านมา และมีให้เห็นมากขึ้นในช่วง 3 รัฐบาลที่แล้ว คือรัฐบาล ทักษิณ ต่อเนื่องมาจนถึง สมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์
ยุคไทยรักไทยขบวนการใต้ดินเติบโต
นับตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล “ขบวนการล้มเจ้า” หรือ “ขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” รวมไปถึง “ขบวนการสาธารณรัฐ” เริ่มขยายเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่างบังเอิญเป็นอย่างยิ่ง
ใน ระยะเริ่มแรกหลายคนอาจจะไม่ทันได้สังเกตว่าเกิดเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพ ให้ร้าย บิดเบือนและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่มีการกล่าวขานกันมากก็คือเว็บไซต์ “มนุษยด็อทคอม” ที่มุ่งโจมตี บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะถูกปิดไปแล้ว แต่กว่าจะดำเนินการได้สำเร็จก็ต้องใช้เวลาผ่านไปเนิ่นนานนับปี
เปลี่ยนเพลงชาติ-เปลี่ยนบัตรประชาชน
ใน ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2548 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีแนวคิดจะเปลี่ยนเพลงชาติไทยใหม่ โดยให้กระทรวงกลาโหมประสานงานกับระทรวงวัฒนธรรมในยุค อุไรวรรณ เทียนทอง มอบหมายให้บริษัทจี เอ็มเอ็มแกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เรียบเรียบเสียงประสานใหม่ และมีผลสรุปออกมาเป็นเพลงชาติไทย 6 รูปแบบใหม่ดังนี้ คือ1. แบบเป็นทางการ 2. แบบเข้มแข็ง แต่ไม่แข็งกร้าว 3. แบบเปิดในงานลีลาศ 4. แบบแดนซ์รุ่นใหม่เอาใจวัยรุ่น 5. เวอร์ชันแบบเอาใจเด็กเล็ก 6. เวอร์ชันเอาใจผู้สูงอายุ มีเครื่องมโหรีช่วยบรรเลง แต่หลังจากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปก็มีเสียงคัดค้านและตำหนิรัฐบาลอย่าง รุนแรงว่าเป็นการทำลายเอกลักษ์และอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนานจน มีความโดดเด่นเฉพาะตัว เรื่องก็เงียบไป
นอกจากนี้ยัง มีการเปลี่ยนแปลงบัตรประชาชนขึ้นใหม่ โดยมีความพยายามยกเลิกตราครุฑซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ บนบัตรประชาชนแบบใหม่ที่เรียกว่าบัตรสมาร์ทการ์ด อ้างว่าเพื่อสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล ป้องกันการปลอมแปลง หรือเพื่อความมั่นคง สารพัด
ขณะเดียวกันรัฐบาลในยุค นั้นยังได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 ว่าด้วยการจ้างพนักงานของรัฐ โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 เป็นต้นมา โดยอ้างว่าการเปลี่ยนฐานะดังกล่าวเพื่อให้เกิดความหลากหลาย และความเหมาะสมในการใช้กำลังคนภาครัฐให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับการ บริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่
เพราะหากพิจารณาคำนิยามของ “ข้าราชการ” ตั้งแต่สมัยโบราณมีความหมายถึงการปฏิบัติราชการในลักษณะรับใช้พระเจ้าแผ่นดินหรือพระมหากษัตริย์
ตั้งสมเด็จพระสังฆราชซ้อน
ต่อ มายังได้ลงนามเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช มี สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เป็นประธาน อ้างว่า สมเด็จพระญาณสังวร สังคปรินายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันประชวร มิอาจปฏิบัติพระภารกิจได้
กรณี ที่เกิดขึ้นได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นการละเมิดพระราชอำนาจของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่หากพิจารณาตามโบราณราชประเพณีแล้วพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมเด็จ พระสังฆราช หรืออย่างน้อยก็ต้องขอพระราชทานกราบทูลเพื่อให้ทรงวินิจฉัยเสียก่อน
“ไทยคู่ฟ้า”เทียบชั้นประมุข
อาจเป็นเพราะเห็นสหรัฐมีเครื่องบินประจำตำแหน่งที่เรียกว่า “แอร์ฟอร์ซวัน” หรือเปล่าไม่ทราบ หรืออาจเป็นเพราะคิดว่าตัวเองมีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในประเทศนี้อยู่ในกำมือ จึงมีความทะเยอทะยานต้องการเสริมสร้างบารมีให้สูงเด่นเกินระดับผู้นำธรรมดา แม้ว่าเมื่อหันไปดูสหรัฐอเมริกาที่ใช้เครื่องบินดังกล่าวเป็นพาหนะเป็นระดับ ประมุขของชาตินั่นคือประธานาธิบดี และเป็นประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก และเพื่อความปลอดภัยของผู้นำ
ขณะที่ไทยยังถือว่าเป็น ประเทศกำลังพัฒนา และในอดีตไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดมีความคิดที่จะมียานพาหนะเป็นเครื่องบิน ประจำตำแหน่งเลย
สำหรับการซื้อเครื่องบิน “ไทยคู่ฟ้า” หรือ แอร์บัส เอ 319 ACJ มาใช้ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2547 โดยใช้งบประมาณของรัฐ เฉพาะค่าเครื่องบินประมาณ 2 พันล้านบาท ยังไม่นับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอีกเดือนละไม่ต่ำกว่า 55 ล้านบาท แม้ว่าจะจอดอยู่เฉยๆไม่ได้ใช้งานก็ตาม
แต่ที่น่าสนใจ ก็คือความเป็นมาของเครื่องบินลำนี้ ที่นำมาจากการนำเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปแลกมาพร้อมกับเพิ่มเงินอีก 30 ล้านเหรียญกว่าจะได้มา ซึ่งแทนที่จะนำไปซื้อเครื่องบินพระที่นั่งเพราะในเวลานั้นมีสภาพเก่าใช้งาน มานานกว่า 20 ปี แต่รัฐบาลยุคนั้นกลับนำไปซื้อเครื่องบินประจำตำแหน่งนายกฯแทน
ทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ตีตนเสมอเจ้า
การ สร้างกระแสเพื่อเสริมสร้างบารมี เพื่อให้เกิดความศรัทธาจากประชาชนยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และนับวันจะยิ่งเข้มข้นและพิสดารพันลึกมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เครือข่ายระบอบทักษิณมักนำมาใช้ก็คือเรื่อง “พิธีกรรม” บางครั้งถึงกับใช้วิธีการแบบ “ระลึกชาติ” แบบหลุดโลกพิสดาร เพื่อรองรับและโน้มน้าวความเชื่อของมวลชนในระดับล่างที่มีความคุ้นเคยกับ เรื่องเหล่านี้ตามวิถีชีวิตดั้งเดิมแบบสืบทอดกันมาแบบรุ่นต่อรุ่น เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ผู้นำ “หน้าเหลี่ยม” ก็มีที่มา “ไม่ธรรมดา” เหมือนกัน
ที่ผ่านมาเคยมีอุตริอุปโหลกให้ ทักษิณ ชินวัตร เป็น “พระเจ้าตากสิน” กลับชาติมาเกิด เพื่อมากอบกู้ชาติก้มี และบังเอิญว่าในภาษาอังกฤษก็ใช้คำว่า TAKSIN ซึ่งชื่อไปพ้องกันพอดี
นอกจากนี้ยังมีภาพวาด “พญากือนา” หรือ “พระเจ้ากือนาธรรมิกราช” ที่ตามประวัติระบุว่าเคยเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์เม็งราย ปกครองอาณาจักรล้านนา สันนิษฐานว่าทรงครองราชย์ในราวปี พ.ศ.1898-1928 และกษัตริย์พระองค์นี้ยังทรงอัญเชิญพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าไปประดิษฐานบน ดอยสุเทพ สร้างคุณูปการมากมาย
แต่ที่น่าตกตะลึงพรึงเพริดไปมากกว่านั้นก็คือมีความพยายามจงใจวาดพระพักตร์ของพญากือนาในยุคหลายร้อยปีก่อนให้มี “ใบหน้าเหลี่ยมๆ” เหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผิด
นอกจากนี้ยังมีการหล่อรูปปั้นพระพุทธรูป “ชินวัตรมุณี” ในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก็อย่าได้แปลกใจที่เป็นพระพุทธรูปใบหน้าปางสี่เหลี่ยมเช่นเดียวกัน
อุปโลกน์ “พระเจ้ามูลเมือง-เจ้าษิณ”
ยัง มีพิธีกรรมเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ที่วัดอุโมงค์ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่คราวนี้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดญาติผู้พี่ถึงกับลงทุนไปนั่งเป็นประธานในพิธีด้วย ตัวเอง พร้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่งร่วมกันทำพิธีทำบุญสืบชะตานัยว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ตามข้อมูลของคนทรงยืนยันว่ากำลังถูกเจ้ากรรมนายเวรตามเอาชีวิต
ในพิธีกรรมดังกล่าวมีผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งในชุดนุ่งขาวห่มขาวมาเข้าทรงแล้วอ้าง “ข้อมูลใหม่” สมัยเมื่อชาติปางก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเป็นกษัตริย์ปกครองหัวเมืองล้านนา ในอดีตมีชื่อว่า “พระเจ้ามูลเมือง” หรือ “เจ้าษิณ” และเชื่อว่าสาเหตุที่ต้องประสบเคราะห์กรรมในขณะนี้ เป็นเพราะกรรมในอดีตชาติตามมารังควานจึงต้องมีการปัดเป่าให้พ้นไป
แต่ ที่เหิมเกริมไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกันไปกว่านั้นก็คือในการทำพิธีดังกล่าวมี การเขียนชื่อบุคคลระดับสูงที่ชาวบ้านทั้งประเทศเคารพนับถือ และบุคคลสำคัญคนอื่นๆ หลายคนที่ถูกระบุว่าเป็นศัตรู เช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงคนอื่นๆที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามและคิดว่าเป็นศัตรูกับตนเองอีกหลายคนรวม อยู่ด้วย
พิธีกรรมดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิพากษ์ วิจารณ์เป็นอันมากว่าเป็นเสมือนจงใจสร้างภาพหรือยกฐานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นลักษณะของสมมุติเทพ ไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป
แม้ ว่าพิธีกรรมแบบนี้อาจจะสร้างความตลกขบขันให้คนทั่วไปที่ไม่เชื่อถือในเรื่อง ไสยศาสตร์ดังกล่าวเห็นว่าเป็นเรื่องงมงาย แต่สำหรับวิถีชีวิตในชนบทก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดมั่นอย่างเคร่งครัด ประกอบกับมีขบวนการ “ปล่อยข่าว” อย่างเป็นขั้นเป็นตอนมันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมากขึ้นไปอีก
นั่งบนพรมแดงเป็นประธานในวัดพระแก้ว
ปราก ฎการณ์ที่สร้างความสงสัย สร้างความปวดร้าวและความไม่พอใจระคนกันมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายได้ดำเนินการมาโดยตลอดนั้นมีเป้าหมายสูงสุดคืออะไรกันแน่
สิ่ง ที่สะกิดใจและเริ่มเกิดความสงสัยผุดขึ้นในใจเป็นทวีคูณเมื่อได้เห็นภาพที่ ปรากฎขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 2548 ของ ทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี “ศาสนสัมพันธ์สมานฉันท์แห่งชาติ” หรือที่เรียกกันว่า “พิธีทำบุญประเทศ” ภายในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ “วัดพระแก้ว” ซึ่งเป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานในพระบรมมหาราชวัง
พิธีดังกล่าวมี ทักษิณ นั่งอยู่บน “พรมแดง” ในตำแหน่งที่พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์ชั้นสูงทรงประทับ โดยมีบุคคลในครอบครัว และคณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วม ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ ศ.ระพี สาคริก ซึ่งเป็นปูชนียบุคคล และ พล.อ.พิจิตร กุลวณิชย์ องคมนตรี ทนไม่ได้ต้องออกมาท้วงติงในทำนองว่าเป็นการเหิมเกริมตีเสมอเจ้า
ทำลาย พล.อ.เปรมกระทบชิ่งสถาบัน
ปฏิเสธ ไม่ได้ว่าระบอบทักษิณ ได้ใช้มวลชนเสื้อแดง รวมทั้งเครือข่ายใต้ดินแทบทั้งหมดมุ่งเน้นโจมตีสถาบันองคมนตรี โดยเฉพาะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ แต่หากพิจารณาให้ดีก็หมายถึงต้องการให้กระทบไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์นั่น เอง
เป็นการรับรู้กันอยู่แล้วว่า องคมนตรีเปรียบเหมือนที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ขณะที่ พล.อ.เปรม ก็เปรียบได้กับประธานที่ปรึกษา มีที่มาจากการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งและให้พ้นจากตำแหน่งเป็นไปตามพระราช อัธยาศัย ดังนั้นการก้าวล่วงโจมตีองคมนตรี หรือประธานองคมนตรี น่าจะมีเจตนาที่แท้จริงสูงไปกว่านั้นแน่นอน
หากเปรียบ สถาบันองคมนตรีเป็นขาเก้าอี้ที่ค้ำยันรองรับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเมื่อจะทำลายให้ได้ผลสำเร็จก็ต้องเลื่อยขาเก้าอี้ให้ขาดไปก่อน อีกทั้งยังสามารถอำพรางมวลชนที่บริสุทธิ์ให้หลงทาง เข้าร่วมขบวนการโดยไม่รู้ตัว โดยอ้างว่าการขับไล่ พล.อ.เปรมก็คือการปกป้องสถาบัน
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ ต้องควรรู้ก็คือการเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม และองคมนตรีคนอื่นๆลาออก เช่น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พล.อ.พิจิตร กุลลวณิชย์ เป็นต้น ถือว่าเป็นการก้าวล่วง ทำให้ระคายเคือง เพราะการแต่งตั้งหรือให้พ้นจากตำแหน่ง ต้องมีการโปรดเกล้าฯตามพระราชอัธยาศัย ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเป็นก็เป็นได้ ดังนั้นบุคคลที่รับตำแหน่งดังกล่าวนอกจากต้องความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์สูงแล้วยังต้องได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยอีกด้วย
ใช้สื่อเครื่องมือดิสเครดิต-ทำลาย
ใน ยุคที่ระบอบทักษิณ ยังครองอำนาจรัฐ สื่อถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมืออย่างเป็นระบบ ทั้งในรูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อ และที่สำคัญเพื่อโจมตีสถาบันเบื้องสูงซึ่งกระทำอย่างเป็นระบบมีทั้งประเภท สื่อหลัก สื่อรอง สื่อใต้ดิน อย่างเช่น ฟรีทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เว็บไซต์ ใบปลิว รวมไปถึงการปล่อยข่าวลือตามแหล่งชุมชน หรือบนรถแท็กซี่ เป็นต้น
ปรากฏการณ์ที่สร้างความแปลก ประหลาดใจคนไทยเป็นอย่างมากกับการนำเสนอรายงานของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที(ภาย ใต้การกำกับของ จักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีสำนักนายกฯ) นำเสนอรายงานเกี่ยวกับการโค่นล้มราชวงศ์เนปาล ตามมาด้วยสารคดีเกี่ยวกับการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส รวมไปถึงการโค่นล้มระบบกษัตริย์ในอังกฤษโดย นายพลครอมเวล
ปราก ฎการณ์ที่เกิดขึ้นหากจะบอกว่าเป็นการรายงานสถานการณ์ตามข้อเท็จจริงก็อาจจะ กล่าวได้ ไม่ผิด แต่ผิดปกติตรงที่มีการรายงานในลักษณะพิเศษและเจาะจงจนผิดสังเกต เพราะมีความเคลื่อนไหวที่ “บังเอิญ” จนเกินไป
สื่อแดง-สื่อเทียมโหมโรงจาบจ้วง
นอก จากจะมีสื่อกระแสหลักทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อ สร้างความนิยมให้กับระบอบทักษิณแล้ว บางโอกาสยังฉวยจังหวะคอยเป็นกระบอกเสียงหรือเปิดโอกาสให้ ทักษิณ ชินวัตร ชี้แจงกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามอย่างผิดปกติ ดังเกิดขึ้นกับกรณีของ จอม เพชรประดับ ที่ใช้คลื่นวิทยุอสมท.สัมภาษณ์สด เปิดโอกาสให้แก้ตัว(อาจเรียกว่าชี้แจง) รวมทั้งโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทย
ระบอบทักษิณ รวมไปถึงขบวนการสาธารณรัฐเหล่านี้ยังได้ผลิตสื่อรอง หรือสื่อเฉพาะกิจหรือที่เรียกกันว่า “สื่อเทียม” ออกมามากมายเพื่อระดมโหมโจมตีสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง เท่าที่เห็นในสารบบตอนนี้ ซึ่งมีทั้งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เช่น สถานีประชาธิปไตย(ดี-สเตชั่น) ก่อตั้งโดย อดิศร เพียงเกษ สถานีประชาชน (พีเพิลชาแนล) เป็นต้น
ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์ ก็มี ไทย เรดนิวส์ รายสัปดาห์ แนววิเคราะห์การเมืองไทย และ Red News หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน เป็นต้น
วิทยุ ชุมชน เช่น วิทยุชุมชนอุดรคนรู้ใจ คลื่นเอฟเอม 87.75 วิทยุชมชนคนรักไทย คลื่นเอฟเอ็ม 95.25 วิทยุชุมชนเชียงใหม่ คลื่นเอฟเอ็ม 92.50 วิทยุชุมชนลำปางคลื่นเอฟเอ็ม 90.25 วิทยุชุมชนเชียงราย คลื่น 104 วิทยุชุมชนริมปิง วิทยุชุมชนลำพูน วิทยุชุมชนอุบล วิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่ คลื่น 92.75 ฯลฯ
นอกจากนี้ เครือข่ายระบอบทักษิณ ได้ใช้ยุทธวิธีโลกล้อมประเทศ โจมตีฝ่ายตรงข้ามในประเทศไทย ซึ่งหมายรวมไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยว่าจ้างบริษัทลอบบี้ยิสต์ต่างประเทศโน้มน้าวสื่อชั้นนำ รวมไปถึงการจ้างบริษัทลอบบี้ยิสต์ที่มีอิทธิพลและเข้าถึงสมาชิกรัฐสภาของ สหรัฐ ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็คือ บริษัทบาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส จำกัด และบริษัท เบเกอร์ บ๊อทส์ จำกัด (BAKER BOTTS L.L.P.) ของนายเจมส์ เอ. เบเกอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ ที่มีความใกล้ชิดกับนายจอร์จ บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ โดยบริษัทหลังได้ว่าจ้างเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2549 รวมทั้ง บริษัท เอลเดอร์แมน ในกรุงวอชิงตัน และฮ่องกง เป็นต้น
ใช้ “วัดธรรมกาย” ขยายมวลชน
มวล ชนถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเป้าหมายทางการเมืองในอนาคตข้างหน้า แต่ปัญหาก็คือจะหามวลชนที่มีระเบียบวินัย มีการจัดตั้งที่ดี และที่สำคัญต้องมีจำนวนมากพอ ขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องการอำนาจจากการเมืองในการปกป้องหรือช่วย “เคลียร์” บางเรื่องให้ผ่านพ้นไป อีกทั้งทำให้การขยายเครือข่าย “ธรรมกาย” ออกไปได้กว้างขวางและสะดวกทำให้ทั้งสองฝ่ายสมประโยชน์ซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
ขณะ เดียวกันอีกด้านหนึ่งสำหรับธรรมกาย ที่ต้องมาอิงแอบอยู่กับ ระบอบทักษิณ ก็น่าจะมาจากเหตุผลต้องการพึ่งพาอำนาจรัฐในการขยายอาณาจักรความเชื่อแบบ “ลัทธิใหม่” ออกไปแบบไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ดังจะเห็นได้จากกรณีสั่งให้ถอนฟ้องคดียักยอกทรัพย์ที่ ธรรมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกฟ้องเป็นจำเลย อย่างพิลึกพิลั่นคาใจคนทั้งประเทศมาแล้ว
ลัทธิธรรมกายที่เน้นในเรื่อง “นิมิต” ซึ่งนิมิตนี้จะ กลม ใส สว่าง รวมไปถึงการอวดอ้างว่านิมิตดังกล่าวเป็นปากทางก่อนเข้าสู่นิพพาน อีกทั้งสอนให้เชื่อว่า นิพพานคือ “อัตตา” ซึ่งยังมีข้อถกเถียงกันว่าเป็นการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และทุกคนสามารถเข้าถึงนิพพานได้หากปฏิบัติตามแนวทางธรรมกายรูปแบบที่กำหนด เอาไว้
นอกจากนี้ยังอวดอุตริในเรื่องพิธีกรรมแปลก ประหลาด สร้างเรื่องความเป็นคน “พิเศษ” ของ “แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง” ผู้ให้กำเนิดวัดธรรมกาย เป็นผู้อุปถัมภ์ พระธรรมชโย และเป็นผู้ชี้ทางให้บรรลุในวิชาธรรมกาย ซึ่งความพิเศษที่ว่านั้นก็คือ ทั้งสองคนดังกล่าวจะทำหน้าที่กลั่นอาหารทิพย์ที่นำมาจากข้าวปลาอาหารที่ชาว บ้านนำมาถวาย ซึ่งอาหารทิพย์ที่ว่านั้น ทั้งแม่ชีจันทร์กับ ธรรมชโย จะเป็นผู้นำไปถวายพระพุทธเจ้าเสวยในทุกข์วันอาทิตย์ต้นเดือน
แค่ นี้ก็ถือว่าแหกตาหลุดโลกแล้ว เพราะในบรรดาชาวพุทธทั้งหลายที่มีอยู่หลายล้านคนทั่วโลก ทำไมมีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่มีสิทธิพิเศษได้เข้าเฝ้าฯในแดนนิพพานเท่า นั้น
นอกจากนี้ยังอวดอุติสร้างกระแสอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์อื่นๆ เช่น บอกว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดลงมาตอน แรกมีเป้าหมายที่ประเทศไทย เนื่องจากมีกองทหารญี่ปุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ด้วยการบำเพ็ญภาวนาของ แม่ชีจันทร์ เป็นเวลาถึง 7 วัน 7 คืน มีตบะแก่กล้า ก็สามารถสร้างกุศล ปัดระเบิดนิวเคลียร์ไปตกที่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิได้ ทำให้คนไทยรอดพ้นอันตราย
แต่ขณะที่สร้างกระแสในเรื่องนี้เพื่อให้สาวกทึ่งและนับถือในความเก่งกาจ เพื่อสร้าง “อุปทานหมู่” แต่คงลืมไปว่าการที่ทำเช่นนั้นกลับไปสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสให้กับ ชาวญี่ปุ่นอีกนับแสนคนที่เสียชีวิตและทนทุกข์ทรมาณจากกัมมันตภาพรังสี มีบาดแผลทางกายและใจมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่รู้มีบาปกรรมตามมาอีกเท่าไหร่ อย่างไรก็ดียังเป็นความโชคดีที่เรื่องนี้ยังไม่แพร่ไปถึงประเทศญี่ปุ่น หรือคนญี่ปุ่นฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ไม่เช่นนั้นก็มีสิทธิ์จะโดนยำเละคา “จานบิน” ไปแล้วก็เป็นได้
ที่ ผ่านมาวัดธรรมกายสามารถสร้างเครือข่าย สร้างมวลชน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “สาวก” ได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในสมัยที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ เป็นลักษณะจัดตั้งแบบลูกโซ่ ซึ่งรวมไปถึงการให้เงินสนับสนุนกับวัดในต่างจังหวัด หรือโรงเรียนทั่วประเทศ ที่มักมีกิจกรรมในเรื่องพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ
การ ขยายเครือข่ายออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็วดังกล่าวทำให้ถูกมองว่าเป้าหมาย แท้จริงของวัดธรรมกายคงไม่ใช่แค่เรื่องกิจกรรมในทางศาสนาโดยทั่วไปเท่านั้น แต่น่าจะหมายถึงการตั้งนิกายใหม่ และรวมไปถึงการมีอิทธิพลไปครอบงำวงการสงฆ์ไทยทั่วประเทศ ซึ่งครั้งหนึ่งถึงขั้นเหิมเกริมท้าชนกับมหาเถรสมาคม ขอกำหนดทิศทางของคณะสงฆ์ของตัวเอง
เมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในวันหน้า ก็มีทางเดียวที่จะสามารถบรรลุไปถึงได้ก็ต้องประสานเคียงคู่ไปกับระบอบทักษิณเท่านั้น
ดัง นั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมาทั้งหมด มันช่างบังเอิญและสอดคล้องต้องกัน เพราะมีการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเป็นขบวนการ และเมื่อมาถึงวันนี้เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์กับ “เดอะไทมส์” ออนไลน์ ที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างตรงไปตรงมาก็เผ็นจิ๊กซอร์ที่เชื่อมถึง กันพอดี จนกลายเป็น “ใบเสร็จ” ที่เป็นหลักฐานมัดจนดิ้นไม่หลุด !!
คำพูดผ่าน สื่อต่างประเทศดังกล่าวมีความยาวกว่า 12 หน้า ใช้เวลาในการให้สัมภาษณ์ที่ดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตนานนับชั่วโมงพรั่งพรูออกมาจากปากของเขา ล้วนพาดพิงและโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการจาบจ้วง ให้ร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อย่างรุนแรง
เป็นการพูดพาดพิงและจาบ จ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่เคยเป็นถึงนายก รัฐมนตรีคนหนึ่งและเคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณมาจนหาที่สุดมิได้จะกล้าพูดออก มาเยี่ยงนี้ เพราะนอกจากเป็นการย่ำยีหัวใจคนไทยทุกดวงที่เทิดทูนสถาบัน เทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวที่เปรียบเสมือน “พ่อของแผ่นดิน” ซึ่งไม่มีทางที่คนไทยคนไทยจะยอมรับได้
ทำ ให้เกิดปฏิกิริยาฉับพลันทันที เพราะถือว่าคำพูดและท่าทีดังกล่าวมีเจตนาทำร้าย ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน และยังถือว่านี่คือเจตนาเป็นศัตรูกับคนไทยทั้งมวลอีกด้วย
อย่าง ไรก็ดีเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นก็จะขอไล่เรียงเหตุการณ์ การก่อกำเนิดของขบวนการล้มเจ้ามาตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อจะนำมาปะติดปะต่อเรียงร้อยจนกระทั่งเห็นตัวตนของคนที่เป็นหัวหน้าขบวน การในวันนี้
..
ย้อนอดีตขบวนการล้มเจ้า
ขบวน การล้มเจ้า เท่าที่ปรากฏข้อมูลและความเคลื่อนไหวต่อเนื่องกันมา ถ้าจะว่ากันไปแล้วน่าจะเริ่มจากการรวมตัวของกลุ่มฝ่ายซ้ายเก่าที่เคยเป็น อดีตนักศึกษา และนักกิจกรรม ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองในยุค 14 ตุลาคม 2519 ต่อเนื่องมาจนถึงการถูกล้อมปราบในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ได้เห็นการกดขี่ ความไม่เป็นธรรมในสังคม การใช้อำนาจเผด็จการทหาร ประกอบกับมีการแผ่ขยายเข้ามาของลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกาเข้ามาในภูมิภาคเอ ซียตะวันออกเฉียงใต้
คนเหล่านั้นซึ่งยังเป็นคนหนุ่มสาว ได้รับอิทธิพลทางความคิดในลัทธิคอมมิวนิสต์ แนวทางสังคมนิยม ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นพวก “หัวก้าวหน้า” ขณะที่บางส่วนก็มีความเห็นในเชิงอุดมคติ ใฝ่ฝันจะเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่ และเมื่อสังคมรอบข้างบีบคั้นมากขึ้นในลักษณะที่เรียกว่า “ขวาพิฆาตซ้าย” ทำให้พวกเขาต้องหลบหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) จับอาวุธขึ้นสู้กับอำนาจรัฐ โดยฝันว่าจะสามารถ “ปลดแอก” นำไปสู่สังคมใหม่
แน่ นอนว่าแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในเป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยน แปลงสังคมแบบถอนรากถอนโคน โดยพาะอย่างยิ่งการโค่นล้ม “สถาบันพระมหากษัตริย์” เหมือนกับกรณีปฏิวัติประชาชนที่เกิดขึ้นในบางประเทศ เช่น ที่รัสเซีย
นอก เหนือจากนั้นยังเป็นช่วงสงครามเย็น ในยุคที่มีการแข่งเข้ามาอิทธิพลของมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายทุนนิยมเสรีที่นำโดย สหรัฐอเมริกา กับอีกฝ่ายคือสังคมนิยมคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียตและ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยฝ่ายหลังจะให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่งเกิดสงครามเวียดนาม และลุกลามเข้ามาจนทั่วภูมิภาคอินโดจีนและประเทศไทย
อย่าง ไรก็ตามด้วยพระบารมี พระปรีชาสามารถ และด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ได้ ทรงอุทิศพระวรกาย ทุ่มเททุกอย่าง และด้วยนโยบาย 66/2523 ในรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สร้างความปรองดองกันในชาติ เพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้ง ประกอบกับความขัดแย้งกันเองในกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ระหว่าง จีนกับรัสเซีย รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสียใหม่ สามารถเจรจาให้ยุติการสนับสนุน จนทำให้ พคท.ต้องอ่อนแอลงเรื่อยๆ และต้องปิดฉากการต่อสู้ด้วยอาวุธลงในเวลาต่อมา
อีก ทั้งกลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายจำนวนมากที่ส่วนใหญ่เคยอยู่ในเมือง ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพความยากลำบากในถิ่นธุระกันดารได้อีกต่อไป ทำให้กลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายเหล่านี้หวนกลับคืนสู่เมืองมาใช้ชีวิตตามปกติ
ขณะที่ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่เรียกว่า “ซ้ายอกหัก” แม้ว่าจะออกมาจากป่า แต่คนกลุ่มนี้ยังไม่เคยละทิ้งความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมตามอุดมคติดั้ง เดิมตามที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้ โดยเฉพาะความพยายามในการ “โค่นล้ม” สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อนำไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข
เพียง แต่ว่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ก็ต้องปรับวิธีการใหม่ โดยหันเข้าหาทุน ซึ่งคงไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเห็นว่ามีพร้อมในทุกด้าน ดังนั้นนี่คือที่มาของ “ทุนบวกความฝันและอำนาจ”
วิธีการเริ่มแรกคือใช้วิธี “ฝังตัว” ทำงานรับใช้ทั้งในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มรวมไปถึงการปลูกฝังให้คำปรึกษา สร้างนโยบายทางการเมืองเพื่อผูกใจประชาชน จนในที่สุดพัฒนากลายพันธุ์มาเป็น “ระบอบทักษิณกับทุนสามานย์” ที่เชื่อมโยงแบบพึ่งพาอาศัยกันอย่างลงตัว
ปฐมบทปฏิญญาฟินแลนด์
ปฏิญญา ฟินแลนด์ เริ่มมีการระแคะระคายเผยแพร่ออกมาสู่สังคมภายนอกได้รับรู้อย่างจริงๆจังๆใน ราวปี 2547 โดยกลุ่มคนเดือนตุลาคม ที่มีการติดต่อปฏิสัมพันธ์กันเป็นประจำ มีการรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวในลักษณะหลุดโลก ถึงขนาดที่ว่ามีบางคน “ตัวอ้วนๆ” ขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าเรือสำราญขณะท่องทะเลสาบแห่งหนึ่งประกาศเจตนารมณ์ให้ได้ยินไปทั่วทั้งคุ้งน้ำว่าเป้าหมายขั้นสุดท้ายคือต้อง “พลิกฟ้าคว่ำดิน” กันเลยทีเดียว
ที่ มาของปฏิญญาเกิดจากการประชุมที่ฟินแลนด์ของ 3 กลุ่มใหญ่คือ คนเดือนตุลาที่เข้าไปอิงแอบอยู่กับบริษัททุนใหญ่ นักธุรกิจและนักการเมืองร่วมกันกำหนดยุทธศาตร์การเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงการ บริหารการปกครองประเทศไทยในอนาคต และคนกลุ่มดังกล่าวก็กลายเป็นมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในเวลาต่อมา
อย่าง ไรก็ดีหลังจากนั้นไม่นานเมื่อมีการปูดข้อมูลเรื่องนี้ออกมาก็มีการยอมรับจาก ปากของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตซีอีโอบริษัทเครือชินคอร์ป ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2549ว่ามีการเดินทางไปประเทศฟินแลนด์จริงเมื่อปี 2540 แต่เป็นการนำคณะบุคคลที่ช่วยงานไปพักผ่อนรวมทั้งไปดูงานทางธุรกิจเท่านั้น
อย่างไรก็ดียุทธศาสตร์ฟินแลนด์ หรือ “ปฏิญญาฟินแลนด์” หรือบางครั้งเลยเถิดกลายเป็น “ยุทธศาสตร์ทักษิณ” ถูกนำมาขยายความในเวลาต่อมาว่ามีเป้าหมาย 5 ประการหลัก คือ
1 สร้างระบบการเมืองพรรคเดียว2 ทำลายความเข้มแข็งของระบบราชการแบบเก่า ให้รับใช้ระบบการเมือ3 แปลงสินทรัพย์ของรัฐเป็นทุนเสรี 4 บั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นเพียงสัญญลักษณ์ และ5 สร้างระบบพรรคแบบรวมศูนย์การนำสูงสุด
หากพิจารณากัน อย่างพินิจก็จะพบเห็นถึงความบังเอิญว่าไปพ้องกับพฤติกรรมและความเคลื่อนไหว ของพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องกันมา แม้กระทั่งถูกสั่งยุบพรรคแล้วกลายสภาพมาเป็นพรรคพลังประชาชนในเวลาต่อมาก็ ตาม
มุ่งสู่สาธารณรัฐ
สำหรับขบวนการล้มเจ้า หรือขบวนการสาธารณรัฐ เริ่มปรากฎเป็นหลักฐานอ้างอิงชัดเจนมากขึ้นจากคำพูดและคำยืนยันจากปากของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันหวนกลับมาเป็นประธานพรรคเพื่อไทยและเกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมขบวนการที่ร่วมสร้างความปั่นป่วนนั่นเอง
น่าตกใจก็คือก่อนหน้านั้นเขายืนยันถึง “ขบวนการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” ว่ามีอยู่จริงและกำลังคุกคามขยายวงออกไปอย่างน่ากลัว เนื่องจากมีขั้นตอนและเป้าหมายสูงสุดถูกกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ “สาธารณรัฐ”
โดยขบวนการดังกล่าวกำลังรุกคืบในหลายช่องทาง ทั้งในรั้วมหาวิทยาลัย สถาบันทางวิชาการ ในรัฐสภา แม้กระทั่งภายในรัฐบาลก็ไม่เว้น
นอก จากนี้ยังใช้วิธีการเผยแพร่ความคิดผ่านทางสื่อบางกลุ่มไปยังประชาชน ซึ่งรวมไปถึงการอิงแอบไปกับการเคลื่อนไหวบนท้องถนนอย่างแนบเนียนอีกด้วย
การ โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์มีให้เห็นเด่นชัดเมื่อประมาณ 2-3 ปี ที่ผ่านมา และมีให้เห็นมากขึ้นในช่วง 3 รัฐบาลที่แล้ว คือรัฐบาล ทักษิณ ต่อเนื่องมาจนถึง สมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์
ยุคไทยรักไทยขบวนการใต้ดินเติบโต
นับตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล “ขบวนการล้มเจ้า” หรือ “ขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” รวมไปถึง “ขบวนการสาธารณรัฐ” เริ่มขยายเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่างบังเอิญเป็นอย่างยิ่ง
ใน ระยะเริ่มแรกหลายคนอาจจะไม่ทันได้สังเกตว่าเกิดเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพ ให้ร้าย บิดเบือนและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่มีการกล่าวขานกันมากก็คือเว็บไซต์ “มนุษยด็อทคอม” ที่มุ่งโจมตี บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะถูกปิดไปแล้ว แต่กว่าจะดำเนินการได้สำเร็จก็ต้องใช้เวลาผ่านไปเนิ่นนานนับปี
เปลี่ยนเพลงชาติ-เปลี่ยนบัตรประชาชน
ใน ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2548 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีแนวคิดจะเปลี่ยนเพลงชาติไทยใหม่ โดยให้กระทรวงกลาโหมประสานงานกับระทรวงวัฒนธรรมในยุค อุไรวรรณ เทียนทอง มอบหมายให้บริษัทจี เอ็มเอ็มแกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เรียบเรียบเสียงประสานใหม่ และมีผลสรุปออกมาเป็นเพลงชาติไทย 6 รูปแบบใหม่ดังนี้ คือ1. แบบเป็นทางการ 2. แบบเข้มแข็ง แต่ไม่แข็งกร้าว 3. แบบเปิดในงานลีลาศ 4. แบบแดนซ์รุ่นใหม่เอาใจวัยรุ่น 5. เวอร์ชันแบบเอาใจเด็กเล็ก 6. เวอร์ชันเอาใจผู้สูงอายุ มีเครื่องมโหรีช่วยบรรเลง แต่หลังจากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปก็มีเสียงคัดค้านและตำหนิรัฐบาลอย่าง รุนแรงว่าเป็นการทำลายเอกลักษ์และอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนานจน มีความโดดเด่นเฉพาะตัว เรื่องก็เงียบไป
นอกจากนี้ยัง มีการเปลี่ยนแปลงบัตรประชาชนขึ้นใหม่ โดยมีความพยายามยกเลิกตราครุฑซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ บนบัตรประชาชนแบบใหม่ที่เรียกว่าบัตรสมาร์ทการ์ด อ้างว่าเพื่อสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล ป้องกันการปลอมแปลง หรือเพื่อความมั่นคง สารพัด
ขณะเดียวกันรัฐบาลในยุค นั้นยังได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 ว่าด้วยการจ้างพนักงานของรัฐ โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 เป็นต้นมา โดยอ้างว่าการเปลี่ยนฐานะดังกล่าวเพื่อให้เกิดความหลากหลาย และความเหมาะสมในการใช้กำลังคนภาครัฐให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับการ บริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่
เพราะหากพิจารณาคำนิยามของ “ข้าราชการ” ตั้งแต่สมัยโบราณมีความหมายถึงการปฏิบัติราชการในลักษณะรับใช้พระเจ้าแผ่นดินหรือพระมหากษัตริย์
ตั้งสมเด็จพระสังฆราชซ้อน
ต่อ มายังได้ลงนามเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช มี สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เป็นประธาน อ้างว่า สมเด็จพระญาณสังวร สังคปรินายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันประชวร มิอาจปฏิบัติพระภารกิจได้
กรณี ที่เกิดขึ้นได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นการละเมิดพระราชอำนาจของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่หากพิจารณาตามโบราณราชประเพณีแล้วพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมเด็จ พระสังฆราช หรืออย่างน้อยก็ต้องขอพระราชทานกราบทูลเพื่อให้ทรงวินิจฉัยเสียก่อน
“ไทยคู่ฟ้า”เทียบชั้นประมุข
อาจเป็นเพราะเห็นสหรัฐมีเครื่องบินประจำตำแหน่งที่เรียกว่า “แอร์ฟอร์ซวัน” หรือเปล่าไม่ทราบ หรืออาจเป็นเพราะคิดว่าตัวเองมีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในประเทศนี้อยู่ในกำมือ จึงมีความทะเยอทะยานต้องการเสริมสร้างบารมีให้สูงเด่นเกินระดับผู้นำธรรมดา แม้ว่าเมื่อหันไปดูสหรัฐอเมริกาที่ใช้เครื่องบินดังกล่าวเป็นพาหนะเป็นระดับ ประมุขของชาตินั่นคือประธานาธิบดี และเป็นประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก และเพื่อความปลอดภัยของผู้นำ
ขณะที่ไทยยังถือว่าเป็น ประเทศกำลังพัฒนา และในอดีตไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดมีความคิดที่จะมียานพาหนะเป็นเครื่องบิน ประจำตำแหน่งเลย
สำหรับการซื้อเครื่องบิน “ไทยคู่ฟ้า” หรือ แอร์บัส เอ 319 ACJ มาใช้ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2547 โดยใช้งบประมาณของรัฐ เฉพาะค่าเครื่องบินประมาณ 2 พันล้านบาท ยังไม่นับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอีกเดือนละไม่ต่ำกว่า 55 ล้านบาท แม้ว่าจะจอดอยู่เฉยๆไม่ได้ใช้งานก็ตาม
แต่ที่น่าสนใจ ก็คือความเป็นมาของเครื่องบินลำนี้ ที่นำมาจากการนำเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปแลกมาพร้อมกับเพิ่มเงินอีก 30 ล้านเหรียญกว่าจะได้มา ซึ่งแทนที่จะนำไปซื้อเครื่องบินพระที่นั่งเพราะในเวลานั้นมีสภาพเก่าใช้งาน มานานกว่า 20 ปี แต่รัฐบาลยุคนั้นกลับนำไปซื้อเครื่องบินประจำตำแหน่งนายกฯแทน
ทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ตีตนเสมอเจ้า
การ สร้างกระแสเพื่อเสริมสร้างบารมี เพื่อให้เกิดความศรัทธาจากประชาชนยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และนับวันจะยิ่งเข้มข้นและพิสดารพันลึกมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เครือข่ายระบอบทักษิณมักนำมาใช้ก็คือเรื่อง “พิธีกรรม” บางครั้งถึงกับใช้วิธีการแบบ “ระลึกชาติ” แบบหลุดโลกพิสดาร เพื่อรองรับและโน้มน้าวความเชื่อของมวลชนในระดับล่างที่มีความคุ้นเคยกับ เรื่องเหล่านี้ตามวิถีชีวิตดั้งเดิมแบบสืบทอดกันมาแบบรุ่นต่อรุ่น เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ผู้นำ “หน้าเหลี่ยม” ก็มีที่มา “ไม่ธรรมดา” เหมือนกัน
ที่ผ่านมาเคยมีอุตริอุปโหลกให้ ทักษิณ ชินวัตร เป็น “พระเจ้าตากสิน” กลับชาติมาเกิด เพื่อมากอบกู้ชาติก้มี และบังเอิญว่าในภาษาอังกฤษก็ใช้คำว่า TAKSIN ซึ่งชื่อไปพ้องกันพอดี
นอกจากนี้ยังมีภาพวาด “พญากือนา” หรือ “พระเจ้ากือนาธรรมิกราช” ที่ตามประวัติระบุว่าเคยเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์เม็งราย ปกครองอาณาจักรล้านนา สันนิษฐานว่าทรงครองราชย์ในราวปี พ.ศ.1898-1928 และกษัตริย์พระองค์นี้ยังทรงอัญเชิญพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าไปประดิษฐานบน ดอยสุเทพ สร้างคุณูปการมากมาย
แต่ที่น่าตกตะลึงพรึงเพริดไปมากกว่านั้นก็คือมีความพยายามจงใจวาดพระพักตร์ของพญากือนาในยุคหลายร้อยปีก่อนให้มี “ใบหน้าเหลี่ยมๆ” เหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผิด
นอกจากนี้ยังมีการหล่อรูปปั้นพระพุทธรูป “ชินวัตรมุณี” ในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก็อย่าได้แปลกใจที่เป็นพระพุทธรูปใบหน้าปางสี่เหลี่ยมเช่นเดียวกัน
อุปโลกน์ “พระเจ้ามูลเมือง-เจ้าษิณ”
ยัง มีพิธีกรรมเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ที่วัดอุโมงค์ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่คราวนี้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดญาติผู้พี่ถึงกับลงทุนไปนั่งเป็นประธานในพิธีด้วย ตัวเอง พร้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่งร่วมกันทำพิธีทำบุญสืบชะตานัยว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ตามข้อมูลของคนทรงยืนยันว่ากำลังถูกเจ้ากรรมนายเวรตามเอาชีวิต
ในพิธีกรรมดังกล่าวมีผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งในชุดนุ่งขาวห่มขาวมาเข้าทรงแล้วอ้าง “ข้อมูลใหม่” สมัยเมื่อชาติปางก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเป็นกษัตริย์ปกครองหัวเมืองล้านนา ในอดีตมีชื่อว่า “พระเจ้ามูลเมือง” หรือ “เจ้าษิณ” และเชื่อว่าสาเหตุที่ต้องประสบเคราะห์กรรมในขณะนี้ เป็นเพราะกรรมในอดีตชาติตามมารังควานจึงต้องมีการปัดเป่าให้พ้นไป
แต่ ที่เหิมเกริมไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกันไปกว่านั้นก็คือในการทำพิธีดังกล่าวมี การเขียนชื่อบุคคลระดับสูงที่ชาวบ้านทั้งประเทศเคารพนับถือ และบุคคลสำคัญคนอื่นๆ หลายคนที่ถูกระบุว่าเป็นศัตรู เช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงคนอื่นๆที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามและคิดว่าเป็นศัตรูกับตนเองอีกหลายคนรวม อยู่ด้วย
พิธีกรรมดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิพากษ์ วิจารณ์เป็นอันมากว่าเป็นเสมือนจงใจสร้างภาพหรือยกฐานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นลักษณะของสมมุติเทพ ไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป
แม้ ว่าพิธีกรรมแบบนี้อาจจะสร้างความตลกขบขันให้คนทั่วไปที่ไม่เชื่อถือในเรื่อง ไสยศาสตร์ดังกล่าวเห็นว่าเป็นเรื่องงมงาย แต่สำหรับวิถีชีวิตในชนบทก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดมั่นอย่างเคร่งครัด ประกอบกับมีขบวนการ “ปล่อยข่าว” อย่างเป็นขั้นเป็นตอนมันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมากขึ้นไปอีก
นั่งบนพรมแดงเป็นประธานในวัดพระแก้ว
ปราก ฎการณ์ที่สร้างความสงสัย สร้างความปวดร้าวและความไม่พอใจระคนกันมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายได้ดำเนินการมาโดยตลอดนั้นมีเป้าหมายสูงสุดคืออะไรกันแน่
สิ่ง ที่สะกิดใจและเริ่มเกิดความสงสัยผุดขึ้นในใจเป็นทวีคูณเมื่อได้เห็นภาพที่ ปรากฎขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 2548 ของ ทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี “ศาสนสัมพันธ์สมานฉันท์แห่งชาติ” หรือที่เรียกกันว่า “พิธีทำบุญประเทศ” ภายในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ “วัดพระแก้ว” ซึ่งเป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานในพระบรมมหาราชวัง
พิธีดังกล่าวมี ทักษิณ นั่งอยู่บน “พรมแดง” ในตำแหน่งที่พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์ชั้นสูงทรงประทับ โดยมีบุคคลในครอบครัว และคณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วม ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ ศ.ระพี สาคริก ซึ่งเป็นปูชนียบุคคล และ พล.อ.พิจิตร กุลวณิชย์ องคมนตรี ทนไม่ได้ต้องออกมาท้วงติงในทำนองว่าเป็นการเหิมเกริมตีเสมอเจ้า
ทำลาย พล.อ.เปรมกระทบชิ่งสถาบัน
ปฏิเสธ ไม่ได้ว่าระบอบทักษิณ ได้ใช้มวลชนเสื้อแดง รวมทั้งเครือข่ายใต้ดินแทบทั้งหมดมุ่งเน้นโจมตีสถาบันองคมนตรี โดยเฉพาะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ แต่หากพิจารณาให้ดีก็หมายถึงต้องการให้กระทบไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์นั่น เอง
เป็นการรับรู้กันอยู่แล้วว่า องคมนตรีเปรียบเหมือนที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ขณะที่ พล.อ.เปรม ก็เปรียบได้กับประธานที่ปรึกษา มีที่มาจากการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งและให้พ้นจากตำแหน่งเป็นไปตามพระราช อัธยาศัย ดังนั้นการก้าวล่วงโจมตีองคมนตรี หรือประธานองคมนตรี น่าจะมีเจตนาที่แท้จริงสูงไปกว่านั้นแน่นอน
หากเปรียบ สถาบันองคมนตรีเป็นขาเก้าอี้ที่ค้ำยันรองรับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเมื่อจะทำลายให้ได้ผลสำเร็จก็ต้องเลื่อยขาเก้าอี้ให้ขาดไปก่อน อีกทั้งยังสามารถอำพรางมวลชนที่บริสุทธิ์ให้หลงทาง เข้าร่วมขบวนการโดยไม่รู้ตัว โดยอ้างว่าการขับไล่ พล.อ.เปรมก็คือการปกป้องสถาบัน
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ ต้องควรรู้ก็คือการเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม และองคมนตรีคนอื่นๆลาออก เช่น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พล.อ.พิจิตร กุลลวณิชย์ เป็นต้น ถือว่าเป็นการก้าวล่วง ทำให้ระคายเคือง เพราะการแต่งตั้งหรือให้พ้นจากตำแหน่ง ต้องมีการโปรดเกล้าฯตามพระราชอัธยาศัย ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเป็นก็เป็นได้ ดังนั้นบุคคลที่รับตำแหน่งดังกล่าวนอกจากต้องความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์สูงแล้วยังต้องได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยอีกด้วย
ใช้สื่อเครื่องมือดิสเครดิต-ทำลาย
ใน ยุคที่ระบอบทักษิณ ยังครองอำนาจรัฐ สื่อถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมืออย่างเป็นระบบ ทั้งในรูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อ และที่สำคัญเพื่อโจมตีสถาบันเบื้องสูงซึ่งกระทำอย่างเป็นระบบมีทั้งประเภท สื่อหลัก สื่อรอง สื่อใต้ดิน อย่างเช่น ฟรีทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เว็บไซต์ ใบปลิว รวมไปถึงการปล่อยข่าวลือตามแหล่งชุมชน หรือบนรถแท็กซี่ เป็นต้น
ปรากฏการณ์ที่สร้างความแปลก ประหลาดใจคนไทยเป็นอย่างมากกับการนำเสนอรายงานของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที(ภาย ใต้การกำกับของ จักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีสำนักนายกฯ) นำเสนอรายงานเกี่ยวกับการโค่นล้มราชวงศ์เนปาล ตามมาด้วยสารคดีเกี่ยวกับการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส รวมไปถึงการโค่นล้มระบบกษัตริย์ในอังกฤษโดย นายพลครอมเวล
ปราก ฎการณ์ที่เกิดขึ้นหากจะบอกว่าเป็นการรายงานสถานการณ์ตามข้อเท็จจริงก็อาจจะ กล่าวได้ ไม่ผิด แต่ผิดปกติตรงที่มีการรายงานในลักษณะพิเศษและเจาะจงจนผิดสังเกต เพราะมีความเคลื่อนไหวที่ “บังเอิญ” จนเกินไป
สื่อแดง-สื่อเทียมโหมโรงจาบจ้วง
นอก จากจะมีสื่อกระแสหลักทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อ สร้างความนิยมให้กับระบอบทักษิณแล้ว บางโอกาสยังฉวยจังหวะคอยเป็นกระบอกเสียงหรือเปิดโอกาสให้ ทักษิณ ชินวัตร ชี้แจงกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามอย่างผิดปกติ ดังเกิดขึ้นกับกรณีของ จอม เพชรประดับ ที่ใช้คลื่นวิทยุอสมท.สัมภาษณ์สด เปิดโอกาสให้แก้ตัว(อาจเรียกว่าชี้แจง) รวมทั้งโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทย
ระบอบทักษิณ รวมไปถึงขบวนการสาธารณรัฐเหล่านี้ยังได้ผลิตสื่อรอง หรือสื่อเฉพาะกิจหรือที่เรียกกันว่า “สื่อเทียม” ออกมามากมายเพื่อระดมโหมโจมตีสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง เท่าที่เห็นในสารบบตอนนี้ ซึ่งมีทั้งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เช่น สถานีประชาธิปไตย(ดี-สเตชั่น) ก่อตั้งโดย อดิศร เพียงเกษ สถานีประชาชน (พีเพิลชาแนล) เป็นต้น
ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์ ก็มี ไทย เรดนิวส์ รายสัปดาห์ แนววิเคราะห์การเมืองไทย และ Red News หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน เป็นต้น
วิทยุ ชุมชน เช่น วิทยุชุมชนอุดรคนรู้ใจ คลื่นเอฟเอม 87.75 วิทยุชมชนคนรักไทย คลื่นเอฟเอ็ม 95.25 วิทยุชุมชนเชียงใหม่ คลื่นเอฟเอ็ม 92.50 วิทยุชุมชนลำปางคลื่นเอฟเอ็ม 90.25 วิทยุชุมชนเชียงราย คลื่น 104 วิทยุชุมชนริมปิง วิทยุชุมชนลำพูน วิทยุชุมชนอุบล วิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่ คลื่น 92.75 ฯลฯ
นอกจากนี้ เครือข่ายระบอบทักษิณ ได้ใช้ยุทธวิธีโลกล้อมประเทศ โจมตีฝ่ายตรงข้ามในประเทศไทย ซึ่งหมายรวมไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยว่าจ้างบริษัทลอบบี้ยิสต์ต่างประเทศโน้มน้าวสื่อชั้นนำ รวมไปถึงการจ้างบริษัทลอบบี้ยิสต์ที่มีอิทธิพลและเข้าถึงสมาชิกรัฐสภาของ สหรัฐ ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็คือ บริษัทบาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส จำกัด และบริษัท เบเกอร์ บ๊อทส์ จำกัด (BAKER BOTTS L.L.P.) ของนายเจมส์ เอ. เบเกอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ ที่มีความใกล้ชิดกับนายจอร์จ บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ โดยบริษัทหลังได้ว่าจ้างเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2549 รวมทั้ง บริษัท เอลเดอร์แมน ในกรุงวอชิงตัน และฮ่องกง เป็นต้น
ใช้ “วัดธรรมกาย” ขยายมวลชน
มวล ชนถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเป้าหมายทางการเมืองในอนาคตข้างหน้า แต่ปัญหาก็คือจะหามวลชนที่มีระเบียบวินัย มีการจัดตั้งที่ดี และที่สำคัญต้องมีจำนวนมากพอ ขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องการอำนาจจากการเมืองในการปกป้องหรือช่วย “เคลียร์” บางเรื่องให้ผ่านพ้นไป อีกทั้งทำให้การขยายเครือข่าย “ธรรมกาย” ออกไปได้กว้างขวางและสะดวกทำให้ทั้งสองฝ่ายสมประโยชน์ซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
ขณะ เดียวกันอีกด้านหนึ่งสำหรับธรรมกาย ที่ต้องมาอิงแอบอยู่กับ ระบอบทักษิณ ก็น่าจะมาจากเหตุผลต้องการพึ่งพาอำนาจรัฐในการขยายอาณาจักรความเชื่อแบบ “ลัทธิใหม่” ออกไปแบบไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ดังจะเห็นได้จากกรณีสั่งให้ถอนฟ้องคดียักยอกทรัพย์ที่ ธรรมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกฟ้องเป็นจำเลย อย่างพิลึกพิลั่นคาใจคนทั้งประเทศมาแล้ว
ลัทธิธรรมกายที่เน้นในเรื่อง “นิมิต” ซึ่งนิมิตนี้จะ กลม ใส สว่าง รวมไปถึงการอวดอ้างว่านิมิตดังกล่าวเป็นปากทางก่อนเข้าสู่นิพพาน อีกทั้งสอนให้เชื่อว่า นิพพานคือ “อัตตา” ซึ่งยังมีข้อถกเถียงกันว่าเป็นการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และทุกคนสามารถเข้าถึงนิพพานได้หากปฏิบัติตามแนวทางธรรมกายรูปแบบที่กำหนด เอาไว้
นอกจากนี้ยังอวดอุตริในเรื่องพิธีกรรมแปลก ประหลาด สร้างเรื่องความเป็นคน “พิเศษ” ของ “แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง” ผู้ให้กำเนิดวัดธรรมกาย เป็นผู้อุปถัมภ์ พระธรรมชโย และเป็นผู้ชี้ทางให้บรรลุในวิชาธรรมกาย ซึ่งความพิเศษที่ว่านั้นก็คือ ทั้งสองคนดังกล่าวจะทำหน้าที่กลั่นอาหารทิพย์ที่นำมาจากข้าวปลาอาหารที่ชาว บ้านนำมาถวาย ซึ่งอาหารทิพย์ที่ว่านั้น ทั้งแม่ชีจันทร์กับ ธรรมชโย จะเป็นผู้นำไปถวายพระพุทธเจ้าเสวยในทุกข์วันอาทิตย์ต้นเดือน
แค่ นี้ก็ถือว่าแหกตาหลุดโลกแล้ว เพราะในบรรดาชาวพุทธทั้งหลายที่มีอยู่หลายล้านคนทั่วโลก ทำไมมีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่มีสิทธิพิเศษได้เข้าเฝ้าฯในแดนนิพพานเท่า นั้น
นอกจากนี้ยังอวดอุติสร้างกระแสอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์อื่นๆ เช่น บอกว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดลงมาตอน แรกมีเป้าหมายที่ประเทศไทย เนื่องจากมีกองทหารญี่ปุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ด้วยการบำเพ็ญภาวนาของ แม่ชีจันทร์ เป็นเวลาถึง 7 วัน 7 คืน มีตบะแก่กล้า ก็สามารถสร้างกุศล ปัดระเบิดนิวเคลียร์ไปตกที่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิได้ ทำให้คนไทยรอดพ้นอันตราย
แต่ขณะที่สร้างกระแสในเรื่องนี้เพื่อให้สาวกทึ่งและนับถือในความเก่งกาจ เพื่อสร้าง “อุปทานหมู่” แต่คงลืมไปว่าการที่ทำเช่นนั้นกลับไปสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสให้กับ ชาวญี่ปุ่นอีกนับแสนคนที่เสียชีวิตและทนทุกข์ทรมาณจากกัมมันตภาพรังสี มีบาดแผลทางกายและใจมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่รู้มีบาปกรรมตามมาอีกเท่าไหร่ อย่างไรก็ดียังเป็นความโชคดีที่เรื่องนี้ยังไม่แพร่ไปถึงประเทศญี่ปุ่น หรือคนญี่ปุ่นฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ไม่เช่นนั้นก็มีสิทธิ์จะโดนยำเละคา “จานบิน” ไปแล้วก็เป็นได้
ที่ ผ่านมาวัดธรรมกายสามารถสร้างเครือข่าย สร้างมวลชน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “สาวก” ได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในสมัยที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ เป็นลักษณะจัดตั้งแบบลูกโซ่ ซึ่งรวมไปถึงการให้เงินสนับสนุนกับวัดในต่างจังหวัด หรือโรงเรียนทั่วประเทศ ที่มักมีกิจกรรมในเรื่องพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ
การ ขยายเครือข่ายออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็วดังกล่าวทำให้ถูกมองว่าเป้าหมาย แท้จริงของวัดธรรมกายคงไม่ใช่แค่เรื่องกิจกรรมในทางศาสนาโดยทั่วไปเท่านั้น แต่น่าจะหมายถึงการตั้งนิกายใหม่ และรวมไปถึงการมีอิทธิพลไปครอบงำวงการสงฆ์ไทยทั่วประเทศ ซึ่งครั้งหนึ่งถึงขั้นเหิมเกริมท้าชนกับมหาเถรสมาคม ขอกำหนดทิศทางของคณะสงฆ์ของตัวเอง
เมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในวันหน้า ก็มีทางเดียวที่จะสามารถบรรลุไปถึงได้ก็ต้องประสานเคียงคู่ไปกับระบอบทักษิณเท่านั้น
ดัง นั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมาทั้งหมด มันช่างบังเอิญและสอดคล้องต้องกัน เพราะมีการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเป็นขบวนการ และเมื่อมาถึงวันนี้เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์กับ “เดอะไทมส์” ออนไลน์ ที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างตรงไปตรงมาก็เผ็นจิ๊กซอร์ที่เชื่อมถึง กันพอดี จนกลายเป็น “ใบเสร็จ” ที่เป็นหลักฐานมัดจนดิ้นไม่หลุด !!
จับ..แต่กุ.????
3 เมษายน พ.ศ. 2556 - 20:57
แปลก /////////. แต่จริง
เม่ือวานขับรถมอเตอร์ไซไปตลาดหน้าปากซอย
บังเอิญเจอคนแถวบ้านเลยให้ซ้อนมาด้วย
ผมใส่มวกกันน๊อก. แต่คนซ้อนไม่ได้ใส่
เจอะ..ดาวไถตอนกลางวัน//// เลยต้องควักให้.....มาน...ไปหนึ่งร้อย
ผมไม่เข้าใจ.??? วินมอเตอร์ไซแถวนั้นคนซ้อนท้ายไม่เห็นมีใครใส่มวกกันน๊อกเลยสักคน
มาน....ทามไม????? ไม่ไปจับ
เม่ือวานขับรถมอเตอร์ไซไปตลาดหน้าปากซอย
บังเอิญเจอคนแถวบ้านเลยให้ซ้อนมาด้วย
ผมใส่มวกกันน๊อก. แต่คนซ้อนไม่ได้ใส่
เจอะ..ดาวไถตอนกลางวัน//// เลยต้องควักให้.....มาน...ไปหนึ่งร้อย
ผมไม่เข้าใจ.??? วินมอเตอร์ไซแถวนั้นคนซ้อนท้ายไม่เห็นมีใครใส่มวกกันน๊อกเลยสักคน
มาน....ทามไม????? ไม่ไปจับ
- ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด
- → ดูประวัติผู้ใช้: กระทู้: Nuttapron
- Privacy Policy
- กฎการใช้งานเว็บบอร์ด ·