Jump to content


GreenTea

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 5 เมษายน 2556
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2556 11:22
-----

Topics I've Started

ปตท. ตัวอย่างของการพัฒนารัฐวิสาหกิจ กับ การโดนตราหน้าว่าเป็นทุนสามานย์ของคนบางกลุ่ม??

16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 13:04

ปตท. กับคำว่าเหลี่ยมทุน ทุนสามานย์ เป็นประโยคที่คุ้นตา คุ้นหูมากในยุคหลังจากการปล้นชาติ แปรรูป ปตท. ถึงอย่างนั้นแล้ว ยังไงอยากรบกวนอ่านกระทู้นี้ให้จบ และ ให้มองโดยอย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล อยากให้คุณผู้อ่าน “เปิดใจ” ไม่ใช่ “ปักใจ” เชื่อแต่ข้อมูลในทางลบ

 

PTTpics01.png

 

 

จากอดีต...การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้จัดตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2521 เพื่อเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติ โดยเป็นการรวมกันขององค์การเชื้อเพลิงและองค์การก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตขาดแคลนน้ำมันทั่วโลก และเมื่อเกิดวิกฤตอีกครั้งในปี 2533 อิรักบุกยึดคูเวต เกิดการกักตุนน้ำมันทำให้ขาดแคลน รัฐบาลตอนนั้นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมาก ประเทศไทยขาดแคลนพลังงานและแหล่งในการจัดการ ทำให้ต้องมีการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในกิจการน้ำมันมากขึ้น จนทำให้เกิดผู้ค้าน้ำมันรายใหม่หลายราย การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยต้องทำหน้าที่เป็น "ผู้คานอำนาจ" พร้อมกับมีความจำเป็นต้องพลิกบทบาทของตนเองไปกับการแข่งขันในเชิงธุรกิจไปด้วย ซึ่งเป็นหลักการเบื้องต้นของการพัฒนารัฐวิสาหกิจที่ต้องสร้างบรรยากาศในการแข่งขัน และเป็นจุดเริ่มต้นที่เสริมสร้างศักยภาพให้กับ ปตท. มาตั้งแต่เวลานั้น ซึ่งแตกต่างจากรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ที่มักจะเป็นการผูกขาด ปตท.ต้องอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของบริษัทน้ำมันต่างชาติที่ยึดครองประเทศอยู่ ทั้งที่ตนเองมีขนาดเล็กจิ๋วมีทรัพย์สินเพียง 400 ล้านบาท ทำให้ต้องมีการปรับบทบาทเชิงพาณิชย์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แล้วกระบวนการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ก็ถูกจุดชนวนขึ้น ณ ตรงนั้น

 

PTTpics02.jpg

 

 

การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ได้เป็นสิ่งเร้ากระตุ้นให้ ปตท. และบริษัทในเครือต้องเร่งปรับโครงสร้างขนานใหญ่ ต้องขวนขวายหาเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน ในภาวะเงินหน้าตักมีข้อจำกัด ซึ่งเป็นการเดิมพันที่สำคัญต่ออนาคตความมั่นคงทางพลังงานของชาติที่มีบรรษัทน้ำมันข้ามชาติที่อยู่ในสภาพได้เปรียบพร้อมยึดธุรกิจนี้ของประเทศเรา จากวิกฤตครั้งนั้น การลอยตัวค่าเงินบาททำให้หนี้สินต่อทุนของบริษัทพุ่งเป็น 5 ต่อ 1 ทำให้ยากที่จะกู้เงินเพิ่มและภาระดอกเบี้ยที่ต้องชำระเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ปตท.ต้องเลือกวิธีการที่ยืนบนลำแข้งของตนเองด้วยการแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ ระดมทุนจากทั้งในและต่างประเทศ กู้สถานการณ์เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานระยะยาว หรือขอเงินงบประมาณสนับสนุน  กู้เงินให้รัฐค้ำประกัน จะเป็นการเพิ่มภาระทางการเงินให้ภาครัฐซึ่งมีปัญหาอยู่อย่างมาก

จากการแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ ปตท. กลายมาเป็นบริษัทมหาชนที่คล่องตัว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2544 ด้วยทุนจดทะเบียน 20,000 ล้านบาท และเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนธันวาคม โดยยังมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือรายใหญ่เช่นเดิม ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นยุทธวิธียอมเสียส่วนน้อย (กระจายหุ้นบางส่วน) เพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้ ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนของ ปตท. เหลือเพียง 2 ต่อ 1 และมีเงินสดที่สามารถเพิ่มทุนให้บริษัทในเครือที่ประสบปัญหาทางการเงินอย่างสาหัส เช่น ไทยออยล์ มีทุนจดทะเบียนเพียง 20 ล้านบาท แต่มีหนี้สินเพิ่มเป็นเฉียดแสนล้านบาท หรืออีกหลายๆโรงกลั่นในไทย แต่ ปตท. ที่มีกำลังเงินจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์เข้ามาช่วยเพิ่มทุนให้

 

PTTpics03.jpg

 

 

หากไม่ต่อสู้พัฒนามาจนถึงปัจจุบัน เราคงจะพบเจอแต่สถานีน้ำมันต่างชาติเรียงรายไปทุกถนน ปตท. กลายเป็นแหล่งใหญ่นำเงินรายได้ส่งรัฐ ตกปีละกว่าแสนล้านบาท ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมพลังงานต่างให้ความเห็นว่า การแปรรูปเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดที่ได้ยกระดับ ปตท. ขึ้นมาเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติที่ผู้ถือหุ้นกว่าร้อยละ 68 เป็นสายเลือดไทย และมีการประเมินกันว่าถ้าไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ปตท. วันนี้คงมีกำไรปีละ 30,000 - 40,000 ล้านบาท และคงไม่มีเงินพอจะไปซื้อบริษัทลูกต่างๆ ซึ่งคงตกไปเป็นของต่างชาติกันหมด  ถ้าพิจารณาถึงแนวทางการพัฒนาพลังงานของประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย จีน รัสเซีย เวียดนาม ที่ประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับบรรษัทน้ำมันข้ามชาติ ต่างพยายามให้การสนับสนุนและผลักดันบริษัทน้ำมันแห่งชาติของตนเองให้เข้าไปมีบทบาทในตลาดโลกด้วยการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้บริษัทมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะลงทุนไปกับโครงสร้างขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมพลังงานให้สามารถขับเคี่ยวในตลาดพลังงานโลกได้

 

การบริโภคพลังงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเดินไปควบคู่กัน หากอนาคตอีก 50 ปีข้างหน้า เกิดสถานการณ์ขาดแคลนพลังงานไปทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจระส่ำระสาย คงจะมีการถามกันว่าที่ผ่านมา ปตท.ทำอะไรกันอยู่ ทำให้ ปตท. ได้วางงบประมาณลงทุนในปี 2551-2555 ไว้ 900,000 ล้านบาท และในปี 2555-2563 ต้องลงทุนถึง 4 ล้านล้านบาท ทั้งการสำรวจขุดเจาะหาแหล่งพลังงานสำรอง พลังงานทดแทน ซึ่งอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ปตท. ต้องออกไปกู้เงินจากต่างประเทศด้วยเครดิตของตนเอง โดยไม่ต้องหวังขอเงินจากรัฐบาล รัฐจะได้เอาไปช่วยเหลือและเยียวยาเศรษฐกิจทางด้านอื่นๆ จะไม่ดีกว่าหรือ

 

นอกจากนั้นทุกครั้งที่นำเข้าก๊าซแอลพีจี ปตท. จำเป็นต้องสำรองเงินล่วงหน้าส่วนต่างแทนรัฐบาลไปก่อน ในขณะที่รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ดำเนินการได้เช่นกัน แต่ไม่มีใครอยากเจ็บตัว ในฐานะที่เป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติที่ต้องหาทางแก้ไขให้ประเทศมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ ปตท.ก็ต้องเข้ามารับหน้าเสื่อให้ และเมื่อทาง กพช. มีมติเห็นชอบปรับราคาแอลพีจีเป็น 2 ราคา เพื่อชดเชยภาระการนำเข้าให้ ปตท. กลับมีการปลุกสาธารณชนให้งอแง เพราะคุ้นเคยกับราคาแอลพีจีที่ถูกบิดเบือนมาอย่างยาวนาน จึงทำให้โดนกร่นด่าถึงความเลวของ ปตทไปโดยปริยาย

 

การดำรงธุรกิจอยู่ได้ในโลกเสรีนิยมยุคใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานนอกจากมีทุนเพียงพอในการขยายและพัฒนาธุรกิจแล้ว อีกบทบาทหนึ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนาและสร้างความเติบโตคือ การบริหารด้วยหลักธรรมาภิบาล และการที่บริษัทในกลุ่ม ปตท. ล้วนเป็นบริษัทมหาชน จะถูกตรวจสอบมากกว่าการเป็นรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ ปตท. ทั้งกลุ่มเป็นบริษัทที่มีดีกรีที่นักลงทุนให้การยอมรับกันมากที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมกับการคว้ารางวัลแห่งความสำเร็จในระดับประเทศและนานาชาติอย่างมากมาย ด้วยการที่เป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและรับผิดชอบต่อสังคม

ปตท. เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการพัฒนารัฐวิสาหกิจของไทย ผ่านการแปรรูปเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กระแสบางส่วนยังตั้งข้อสังเกตว่า การขายหุ้น ปตท. ถือเป็นการเปิดประตูให้ทุนการเมืองเข้ามาฮุบกิจการของภาครัฐ แต่หากมองย้อนมาอีกทาง การเข้ามาเป็นบริษัทมหาชนได้เป็นผลให้ ปตท. ถูกตรวจสอบมากขึ้นและเข้มข้นขึ้นอีกจากทางภาคประชาชน และต้องดำเนินการตามกรอบหลักเกณฑ์ กติกาของตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ ปตท. เองก็ยังต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบบัญชีจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเช่นเดิม จึงทำให้ภาคการเมืองจะต้องระมัดระวังตัวอย่างมากหากคิดจะเข้ามาแทรกแซงหรือแสวงหาผลประโยชน์จากธุรกิจพลังงาน ดังนั้นหากเราตั้งใจกันจริงที่จะร่วมมือกันพัฒนารัฐวิสาหกิจไทย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่การพัฒนาก่อให้เกิดคุณูปการกับประเทศชาติมากกว่าการสูญเสียจากความไร้ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล โดยไม่จำเป็น

จากข้อมูลข้างต้นทำให้ไขข้อข้องใจในเรื่องทุนสามานย์ของปตท ได้ไม่มากก็น้อย เหตุผลที่ปตท ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นข้อเท็จจริงหาได้บิดเบือนข้อมูลก่อนมาเผยแพร่ไม่ อยากให้ทุกคนเปิดใจ และลองมองโลกในแง่ดีบ้าง ลองคิดกลับกัน ถ้าประเทศไทยมีสถานีน้ำมันต่างชาติเต็มไปหมด ค่าน้ำมันคงแพงกว่านี้ 2-3 เท่า เลยด้วยซ้ำ 

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://pantip.com/topic/30469718


ใครว่าปตทขูดรีดคนไทย แล้วใครควรรับภาระตลาดโลก?

9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 13:54

ข่าวต่างๆนานาที่ออกสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่พาดพิงถึงเรื่องปตทขูดรีดคนไทยนั้น มีกระแสข่าวที่ค่อนข้างรุนแรงและเป็นแง่ลบของ ปตท เสียส่วนมาก ทั้งในเรื่องปตท โก่งราคาน้ำมัน บางคนกล่าวไว้ว่า ปตท คือ ปล้นตลอดทางด้วยซ้ำ และผู้คนส่วนมากเลือกที่จะเสพข่าวในแง่ลบมากกว่า การนำบทความของ ปตท มาบอกกล่าวในวันนี้ ไม่ได้อยากจะสวนกระแสหรืออะไร แค่อยากให้ลองเปิดใจ ทำใจเป็นกลางและลองอ่านดู ว่าจริงๆแล้ว ปตทขูดรีดคนไทยจริงๆหรือเปล่า

 

จริงอยู่ที่ก๊าซฯ ธรรมชาติที่ใช้ในโรงแยกก๊าซฯ นั้นได้มาจากอ่าวไทย แต่ก็ต้องยอมรับกันด้วยว่าคงจะไม่มีใครตัดสินใจสร้างโรงแยกก๊าซฯ หากรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นจะถูกควบคุมราคาขาย ให้ต่ำกว่าต้นทุน เพราะจากศึกษาของกระทรวงพลังงานที่ได้ให้บริษัท Deloitte ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำมาศึกษาต้นทุนของ LPG พบว่าประมาณการต้นทุนราคา LPG ปี 2553 อยู่ที่ 450 เหรียญ/ตัน ในขณะที่รัฐบาลควบคุมราคาจำหน่ายหน้าโรงแยกก๊าซฯ ให้อยู่ที่ 333 เหรียญฯ/ตัน มาเป็นเวลานาน ทำให้ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมได้ใช้ LPG ในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ไม่ว่าผลิตจากโรงกลั่นหรือจากโรงแยกก๊าซฯ โดยผู้ผลิตต้องเป็นผู้แบกรับภาระดังกล่าว

 

ต่างกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นกิจการที่มีการแข่งขันอย่างเสรี ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเจรจาต่อรอง และกำหนดราคาซื้อขายวัตถุดิบ LPG ระหว่างกันได้โดยไม่มีการควบคุม อุดหนุนหรือแทรกแซงราคาจากภาครัฐ ดังนั้นในวันที่ LPG ขาดแคลน และต้องมีการนำเข้าเราไม่ควรส่งภาระดังกล่าวให้กลุ่มที่ไม่เคยได้รับการอุดหนุนมาก่อน อย่างไรก็ตามการค่อยๆ ปล่อยกลไกตลาดทำหน้าที่จะช่วยให้ปัญหาต่างๆ ในอนาคตลดลงจากความสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน

 

แต่มันก็น่าคิดนะว่า...รัฐยังถือหุ้นใหญ่ “บมจ.ปตท.” แท้ๆทำไมยอมให้เกิดปัญหาแบบนี้ได้

• รัฐไม่เคยปล่อยให้เอกชน หรือหน่วยงานใดดำเนินธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม หรือเอาเปรียบประชาชน ในทางกลับกันรัฐมีหน้าที่ดูแลให้ราคาพลังงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสม เป็นธรรม โดยรัฐได้ใช้ ปตท. ในฐานะรัฐวิสาหกิจเป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพของราคาพลังงาน เช่น ประชาชนชาวไทยได้ใช้ LPG ถูกกว่าราคาตลาดโลก จากการควบคุมราคาของรัฐบาลมาตลอดเป็นเวลากว่า 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2538

• ไม่จริงเลยที่บอกว่าประชาชนไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากการที่ ปตท. มีผลการดำเนินงานที่มีผลกำไร เพราะแค่ย้อนหลังไป 10 ปี (หลังจากที่ปตท. แปรรูปตั้งแต่ปี 2544 - 2554) รัฐบาลได้รับเงินจาก ปตท. ทั้งในรูปแบบของภาษีและเงินปันผลกว่า 462,403 ล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวรัฐบาลได้นำไปพัฒนาประเทศ ซึ่งเกิดผลประโยชน์ตกกับประชาชนทุกคน

• กิจการพลังงานเป็นธุรกิจที่เปิดเสรี ที่กลไกอุปสงค์และอุปทานของตลาดโลกเป็นผู้กำหนดราคาน้ำมัน โดยมีกฎหมายและหน่วยงานที่ติดตามกำกับดูแลธุรกิจพลังงาน เพื่อรักษาความเป็นธรรมด้านราคาและความปลอดภัยของประชาชนมีหลายหน่วยงาน เช่น

 

newpost09052013_1.jpg

 

 

หรือว่าต้องทนให้ปตท โกงคนไทยต่อไป?

• เนื่องจากภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ปตท. ดังนั้นจึงส่งผู้แทนไปเป็นคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลชี้แนะการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ และผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่นเดียวกับบริษัททั่วไปที่จะต้องมีผู้ถือหุ้นใหญ่เข้าไปเป็นกรรมการ

 

ปตท. เป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ ปตท. ต้องดำเนินกิจการภายใต้ถือหุ้นพ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ดังนั้น จึงต้องปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียนที่ออกโดยตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งได้มีการกำหนดแนวทางในการคัดเลือก แต่งตั้ง บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสม รวมทั้งแนวทางการพิจารณาค่าตอบแทนคณะกรรมการอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมครัฐ) ไม่เข้ามาดูแลทรัพย์สินแล

 

• ทั้งนี้ ค่าตอบแทนกรรมการ ปตท. ยังต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ในประเทศโดยทั่วไป

 

 

newpost09052013.jpg

 

 

สรุปได้ง่ายๆคือ เราทุกคนควรจะยอมรับในเรื่องราคาน้ำมัน ว่าทำไมถึงแพง ไม่มีใครอยากใช้ของแพง แต่ก็ต้องเข้าใจกลไกราคาน้ำมันตลาดโลกด้วย ไม่ใช่ว่า 10-20 ปีที่แล้วเคยใช้อยู่ลิตรละ 10 บาท ปัจจุบันก็ยังจะใช้ลิตรละ 10 บาทเท่าเดิม โลกมีการเปลี่ยนแปลง หมุนเวียนเดินหน้าพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ทรัพยากรที่เคยมีมากจนเหลือใช้ กลับกลายเป็นร่อยหรอลงทุกวัน ทำไมไม่คิดบ้างล่ะว่าที่น้ำมันแพงเพราะทรัพยากรไม่เพียงพอต่อความต้องการ อยากให้น้ำมันถูกลง เรามาช่วยกันประหยัดพลังงาน ประหยัดทรัพยากรดีกว่าไหม? ประเทศไทยจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข


ภาษีคนไทย – กำไรเอกชน ปตท เป็นโจรปล้นชาติ จริงหรือ?

2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 19:24

วิพากย์วิจารณ์กันต่างๆนานา ว่าจริงๆแล้วปตท นั้นมาเก็บค่าท่อนำก๊าซกับประชาชนก็เพื่อหวังกำไร การลงทุนทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องหวังกำไร ปตท ก็เช่นกันเพราะปตท ก็คือธรุกิจค้าน้ำมัน อีกทั้งทำไมปตท ต้องขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีด้วยล่ะ ทั้งๆที่ตอนแรกก็ถูกดีอยู่แล้ว? แล้วในเมื่อประเทศไทยก็ผลิตก๊าซ LPG เองได้ แล้วจะนำเข้ามาอีกทำไม?

• ปตท. ไม่ได้นำทรัพย์สินของรัฐไปหาประโยชน์จากการจ่ายค่าเช่าท่อให้รัฐถูกๆ แล้วคิดค่าท่อกับประชาชนแพงๆ รายได้จากค่าผ่านท่อที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับการจ่ายคืนค่าเช่า 1,335 ล้านบาท และ ปตท. ไม่ได้นำค่าเช่าดังกล่าวมาคำนวณเป็นค่าผ่านท่อ แต่เป็นภาระที่ ปตท. รับไว้แต่เพียงผู้เดียว

• รายได้ค่าผ่านท่อที่เพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาทเป็นรายได้จากการลงทุนขยายท่อส่งก๊าซฯ ระบบใหม่ และลงทุนเพิ่มในการบำรุงรักษาท่อปัจจุบันให้มีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 15 ปี รายได้ในส่วนนี้ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นจากการลงทุนระบบท่อใหม่และการบำรุงรักษาเพิ่มอีก และที่สำคัญรายได้ส่วนนี้คิดเป็นเพียง 1% ของเงินลงทุนที่ ปตท. ลงไปเท่านั้น

 

ปตท ขูดรีดคนไทย แล้วทำไมเราคนไทยแท้ๆ ไม่เห็นเคยรู้เรื่องนี้เลยล่ะ

ปตท จะขูดรีดคนไทยได้ยังไง ในเมื่อหลักการคำนวณราคาก๊าซฯ และค่าผ่านท่อได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และได้เผยแพร่เป็นประกาศโดย กพช. ใน Website สนพ. ตั้งแต่ 2544 รวมทั้งประกาศดังกล่าวได้แนบไว้ในหนังสือชี้ชวนขายหุ้นสามัญ ปตท. เพื่อให้นักลงทุนทราบ

 

• ดังนั้นไม่มีการรวบรัดจัดทำคู่มือการคำนวณดังกล่าวตามที่กล่าวอ้าง โดยคู่มือเป็นเพียงการระบุให้ลดผลตอบแทน การลงทุนจาก 16% เป็น 12.5% ตามมติคณะรัฐมนตรีเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ค่าผ่านท่อใหม่ปรับลดลงเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งคู่มือมีการเผยแพร่ใน Website เช่นกัน ไม่มีการปิดบังหรือเป็นยุทธการปล้น ปตทแต่ประการใด

 

เหตุที่ต้องขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี อย่างนี้ก็เป็นกลโกงปตทน่ะสิ

• เป็นเรื่องจริงที่ปัจจุบันประเทศไทยขาดแคลน  LPG!! สาเหตุจากปริมาณการใช้ LPG ของภาคครัวเรือน ภาคขนส่งภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการควบคุมราคา LPG ไว้ต่ำกว่าราคาตลาดโลก และต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นเป็นระยะเวลานานมากว่า 30 ปี เป็นภาระต่อกองทุนน้ำมันจำนวนนับหลายแสนล้านบาท

 

• อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2523 ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนให้มีการนำก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นทรัพยากรของประเทศมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และก่อประโยชน์ได้มากกว่าการนำก๊าซธรรมชาติที่มีคุณค่าไปเผาเป็นเชื้อเพลิง โดยที่ราคาจำหน่ายก๊าซ LPG เป็นวัตถุดิบให้ภาคปิโตรเคมีเป็นไปตามกลไกตลาด ไม่เคยได้รับการอุดหนุนหรือชดเชยจากภาครัฐนับตั้งแต่อดีต

 

• หากย้อนไปในปี 2538 นอกจากไทยจะไม่จำเป็นต้องนำเข้าก๊าซ LPG แล้ว ยังเคยเป็นผู้ส่งออก LPG ติดต่อกันถึง 13 ปีตั้งแต่ปี 2538–2550 แต่เมื่อความต้องการใช้ LPG ภายในประเทศไม่เพียงพอและเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไทยจึงกลายเป็นผู้นำเข้า LPG ตั้งแต่เมษายน ปี 2551 เป็นต้นมา โดยในปี 2554 ไทยมีปริมาณการผลิตก๊าซฯ LPG ประมาณ 5 ล้านตัน/ปี ในขณะที่มีปริมาณการใช้สูงถึงเกือบ 6.5 ล้านตัน/ปี

 

• ที่สำคัญก็คือผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ผลิตได้สามารถนำไปต่อยอดเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ อีก

มากมาย ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน และลดภาระการนำเข้าให้กับประเทศ เป็นการช่วยสร้างงานกว่า 300,000 คน และสร้างรายได้ให้ประชาชน และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างมากจนถึงทุกวันนี้

 

• ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือการที่ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่แข็งแกร่ง ช่วยให้บริษัทผลิตรถยนต์ที่คิดจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นทำได้ยาก เพราะอุตสาหกรรมต่อเนื่องในกลุ่มยานยนต์ของไทยที่ใช้ปิโตรเคมีเป็นวัตถุดิบนั้นแข็งแกร่งตลอดสายโซ่การผลิตซึ่งการจะสร้างให้เป็นเช่นนี้ได้ต้องใช้เวลา และต้องมีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เข้มแข็ง

 

newpost02052013.jpg

 

 

สรุปว่าการที่ประเทศไทยนำก๊าซ LPG มาเป็นวัตถุดิบให้แก่ภาคปิโตรเคมีนั้น เป็นรากฐานที่ดีของทุกฝ่าย ทั้งช่วยผลักดันให้สร้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชน ยังเป็นการสร้างรายได้ในภาคปิโตรเคมีให้แก่ประเทศอีกด้วย สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้ ไม่ใช่มานั่งเถียงกันว่าใครผิดหรือถูก แต่ควรช่วยกันประหยัดพลังงาน เพราะทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถหามาทดแทนได้ในระยะเวลาสั้นๆ


จริงหรือที่ปตท ฉวยโอกาส...? ที่เราต้องจ่ายแพงเพราะ “ขาดแคลน” พลังงาน

17 เมษายน พ.ศ. 2556 - 19:22

  • พลังงาน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ ยิ่งถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับประเทศที่เป็นเศรษฐีน้ำมันชาติอาหรับ หรือแม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านเราบางประเทศ จะยิ่งเห็นว่าเรา “เทียบไม่ติด"
     
  • ยกตัวอย่างง่ายๆ ซาอุดิอาระเบีย มีก๊าซฯ สำรองมากกว่าเรา 7 เท่า มีน้ำมันสำรองมากกว่าเรา 600 เท่า!!!! ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียก็มีก๊าซฯ สำรองมากกว่าเรา 7.5 เท่า มีน้ำมันสำรองมากกว่าเราถึง 9 เท่า (ข้อมูล EIA)
     
  • จริงอยู่ที่เราจะผลิตปิโตรเลียมได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นก๊าซฯ น้ำมันดิบ ถ่านหิน แต่เมื่อคิดรวมกันแล้วเราผลิตได้ประมาณ 1,000,000 บาร์เรล/วัน หรือเพียง 55% ของความต้องการใช้พลังงาน ทำให้เรายังต้องนำเข้าพลังงานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันดิบ ถ่านหิน หรือแม้กระทั่งก๊าซฯ เรียกได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซฯ สูงเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค รองจากประเทศสิงคโปร์
     
  • ปตท ฉวยโอกาส? ทำให้ปีหนึ่งๆ เราต้องเสียเงินในการนำเข้าพลังงานมหาศาลกว่า 1.2 ล้านล้านบาท* หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555
     
  • ที่ว่ากาตาร์เป็นเศรษฐีน้ำมันแต่ทำไมผลิตก๊าซฯ น้อยกว่าเรา คำตอบก็คือประเทศกาตาร์มีประชากรไม่ถึง 2 ล้านคน น้อยกว่าเรา 35 เท่า! ดังนั้นการที่กาตาร์สามารถผลิตพลังงานได้พอๆ กับเรา ก็มากเกินความต้องการใช้ในประเทศ ทำให้มีเหลือเพื่อส่งออก ซึ่งต่างกับไทยเพราะปริมาณการผลิตเท่ากันแต่คนใช้ 70 ล้านคน เพราะฉะนั้นการจะหยิบเอาแต่แค่ปริมาณตัวเลขเพียงด้านเดียวโดยละเลยข้อเท็จจริงที่สำคัญคือจำนวนประชากรของประเทศมาพิจารณาประกอบจะทำให้หลงเข้าใจผิดได้
     
  • นอกจากนั้นการที่จะดูว่าใครเป็นเศรษฐี คงไม่ดูแค่ว่ามีการผลิตออกมาใช้เท่าไหร่ แต่ต้องดูที่ปริมาณสำรองด้วย ซึ่งจะเห็นว่า กาตาร์มีน้ำมันดิบสำรองมากกว่าไทย 58 เท่า ก๊าซฯ สำรองมากกว่าไทย 81 เท่า! อย่างนี้ยังจะเชื่ออีกเหรอว่าเราร่ำรวยแบบกาตาร์?

 

สรุปง่ายๆเลยก็คือ กำลังการผลิตน้ำมันดิบของเรามีไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ทำให้เราต้องนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อให้ประชากรในประเทศในพลังงานกันอย่างเพียงพอ เพียงแค่คุณเปิดใจยอมรับ ก็จะทำให้คุณเข้าใจในกลไกราคาน้ำมันได้มากขึ้น

 

17042013newpost.jpg


ทำไมคนไทยใช้น้ำมันแพง ทั้งๆที่เราเป็นถึงเจ้าของบ่อน้ำมันตั้งหลายบ่อ?

5 เมษายน พ.ศ. 2556 - 16:29

PTT01.jpg

 

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมคนไทยใช้น้ำมันแพง เป็นเพราะ ปตท. โก่งราคาน้ำมันรึเปล่า? ก็ในเมื่อประเทศไทยก็เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันตั้งหลายบ่อ รายได้เข้าประเทศก็ดี เราก็น่าจะเติมน้ำมัน “ถูก” สิ

 

  • ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมประเทศไทยยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบ?

คำตอบคือก็เพราะว่าน้ำมันดิบที่เราผลิตได้ในประเทศมีไม่เพียงพอกับความต้องการใช้น่ะสิ

 

  • ประเทศไทยผลิตน้ำมันดิบได้เพียง 140,000 บาร์เรล/วัน หรือ 23 ล้านลิตร/วัน แต่เรามีความต้องการใช้ถึง 900,000 บาร์เรล/วัน หรือ 143 ล้านลิตร/วัน  นั่นแสดงว่าเรามีความจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันดิบ 800,000 บาร์เรล/วัน หรือ 127 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ อย่างนี้แล้วจะให้เราใช้น้ำมันถูกได้อย่างไร ในเมื่อเรายังต้องนำเข้าน้ำมันดิบ

 

  • น้ำมันดิบที่ประเทศไทยนำเข้ากว่า 80% มาจากตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลก ดังนั้น ทำไมคนไทยใช้น้ำมันแพง ก็เพราะราคาที่ใช้ในการ ซื้อ-ขาย เป็นราคาที่ถูกกำหนดโดยกลไกในตลาด นั่นคือ อุปสงค์และอุปทานของทั้งโลกนั่นเอง

 

  • โรงกลั่นซื้อน้ำมันดิบมาในราคาตลาดโลก เวลาขายก็ใช้ราคาตลาดโลกเช่นกัน โดยตลาดกลางซื้อขายน้ำมันที่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุด และเป็นศูนย์กลางการซื้อขายในภูมิภาคเอเชียก็คือตลาดสิงคโปร์ โดยราคาที่ซื้อขายกันในตลาดสิงคโปร์สะท้อนมาจากอุปสงค์-อุปทานของผู้บริโภค

-          ไม่ใช่ ราคา ณ โรงกลั่นสิงคโปร์

-          ไม่ใช่ ราคาขายปลีกสิงคโปร์

-          ไม่ใช่ ราคาที่รัฐบาลสิงคโปร์กำหนด

 

  • ถ้าหากประเทศไทยไม่มีโรงกลั่นน้ำมันเอง ประเทศไทยก็ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งต้องบวกค่ากลั่นและค่าดำเนินการราคาก็จะแพงกว่าน้ำมันดิบ ทำให้ประเทศต้องเสียเงินตราต่างประเทศมากขึ้น แถมยังต้องพึ่งพาต่างชาติล้วนๆ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องที่ดี ดังนั้น การมีโรงกลั่นจึงเป็นการเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน ลดการพึ่งพาต่างชาติ

 

สรุปง่ายๆ คนไทยใช้น้ำมันแพงเพราะคนไทยยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเพราะปริมาณน้ำมันดิบที่มีอยู่ในประเทศไทยไม่เพียงพอต่อการบริโภคของคนไทย และอีกอย่างกลไกราคาน้ำมัน ที่ใช้ในการ ซื้อ-ขาย เป็นราคาที่ถูกกำหนดโดยกลไกในตลาดโดยตลาดกลางซื้อขายน้ำมันที่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุด และเป็นศูนย์กลางการซื้อขายในภูมิภาคเอเชียก็คือตลาดสิงคโปร์ แล้วก็ถูกนำมาคำนวนบวกภาษีสรรพสามิต,ภาษีเทศบาล,กองทุนน้ำมัน, VAT ฯลฯ จึงออกมาเป็นราคาน้ำมันที่ประชาชนคนไทยต้องจ่ายอยู่ทุกวันนี้