ซูจิน

         ง่ายนิดเดียว  ให้แก้กฎหมายอนุญาติให้ประชาชนสามารถเป็นส.ส.ได้  โดยตอนเลือกตั้งให้มีการจับใบดำใบแดง  ใครจับได้ใบแดงก็จะได้เป็นส.ส.มีสิทธิ์เข้าไปนั่งในสภากับพวกส.ส.นักการเมือง  คิดว่าวิธีนี้น่าจะช่วยลดความขัดแย้งลงได้  เพราะส.ส.นักการเมืองจะต้องฟังเสียงของส.ส.ประชาชนด้วย  ไม่ฟังถูกไล่ออกลูกเดียว

         ใครชอบวิธีนี้ให้ไปบอกสรยุทธเอาเอง  เพราะซูจินพูดจนตับแตกก็ไม่เห็นจะมีใครฟังเลยสักคนเดียว

            สภาประชาชนที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มของนายสุเทพ  แท้จริงเป็นแค่การแอบอ้างชื่อประชาชนมาใช้เพื่อให้ตนดูเป็นฝ่ายถูกต้อง  แต่โดยความเป็นจริงประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยทั้งสิ้น  และไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการจัดตั้งครั้งนี้  ถ้าสภาประชาชนจัดตั้งสำเร็จได้เมื่อไหร่  พวกเขาก็คงกีดกันกลั่นแกล้งไม่ให้กลุ่มเสื้อแดงเข้ามามีส่วนได้เสีย  เมื่อถึงตอนนั้นพวกเสื้อแดงถ้าไม่ไปเผาสภาประชาชนทิ้ง  ก็คงเรียกร้องให้มีการจัดตั้งสภาประชาชนของตัวเองบ้าง  บ้านเมืองก็จะยิ่งวุ่นวายกันมากขึ้น

           พอนายสุเทพเคลื่อนพลปุ๊บ  ฉันก็รีบเมล์ไปหานายอภิสิทธิ์ขอให้หยุดการนำประชาชนไปล้มตายทีเถิด  พร้อมเสนอแผนการปฏิรูปประเทศ๔วิธี  หนึ่งในนั้นคือการออกกฎหมายอนุญาตให้มีส.ส.ประชาชนเกิดขึ้นได้  โดยใช้วิธีสอบแข่งขันหรือจับสลากใบดำใบแดงก็ได้  พร้อมให้มีองค์กรส.ส.ประชาชนอีกด้วย  แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน  นายสุเทพก็จัดตั้งสภาประชาชนขึ้นมา  เฮ้ย!  ลอกเลียนแบบกันหรือเปล่าหว่า

          ฉันเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเมล์ไปเตือนพรรคเพื่อไทยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง  พร้อมเสนอให้ออกกฎหมายให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น  ห้ามมาจากฝ่ายค้านเป็นอันขาด  แค่นี้นายอภิสิทธิ์ก็จะหมดสิทธิ์เป็นนายกฯทันที  ไม่กี่วันหลังจากนั้นนายกฯก็เรียกนายสุเทพมาคุยด้วย  ผลคือนายสุเทพโกรธหน้าดำหน้าแดงประกาศจะให้มีการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่โดยเร็วที่สุด

          จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม  พวกเขาไม่เห็นจะยอมคุยเรื่องให้ประชาชนได้เป็นส.ส.กันเลยสักคนเดียว  แสดงว่าไม่มีใครอยากให้ประชาชนมีอำนาจในการบิรหารประเทศกันเลยใช่ไหมคะ

          ระบอบประชาธิปไตยที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้แท้จริงเป็นการจับเสือสองตัวให้มาอยู่ถ้ำเดียวกัน  คือให้มีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านมานั่งโต้เถียงอยุ่ในสภาเดียวกัน  ถ้าเมื่อใดเสือร้ายทั้งสองคิดจ้องช่วงชิงอำนาจความเป็นใหญ่ก็จะเกิดการนองเลือดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ระบอบประชาธิปไตยจึงไม่ใช่ระบอบการปกครองที่ดีจริงเสียเท่าไหร่

          เมื่่อดูจากรูปแบบการปกครองลักษณะเช่นนี้  ความจริงมันก็เป็นรูปแบบเดียวกับการปกครองแบบขุนนางศักดินาสมัยเก่าๆ นั่นแหละ  ไม่ได้ถือว่าวิเศษวิโสตรงไหน  แค่มีลูกเล่นนิดหน่อย  ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเอง  แต่จริงๆ มันเป็นการปกครองโดยขุนนางสองฝ่ายเท่านั้น  ซึ่งโดยมากประเทศที่ปกครองด้วยระบบขุนนางก็มักจะเกิดปัญหาการช่วงชิงอำนาจอยู่เสมอ  ยิ่งฮ่องเต้อ่อนแอก็ยิ่งทำให้เหล่าขุนนางกำเริบเสิบสาน

          ระบอบประชาธิปไตยที่เราใช้กันอยู่ตอนนี้จึงเป็นแค่ระบบขุนนางธรรมดาๆ  ไม่ใช่ระบอบการปกครองของประชาชนเลย  เพราะผู้บริหารประเทศเป็นขุนนาง  ไม่ใช่ประชาชน

สมเด็จ(โต)พรหมรังสีทำนายไว้ว่ายุคที่๙นี้คือกาถิ่นขาว  นั่นคือระบอบประชาธิปไตย  เพราะกาแปลว่าไพร่  ชั้นต่ำ  เลวทราม  ถิ่นขาวแปลว่าทำเนียบรัฐบาล  จึงมีความหมายว่าคนชั่วจะกลายเป็นใหญ่ปกครองบ้านเมือง  เป็นยุคที่จะหาความสงบสุขไม่ได้เลย

ข่าวดี  สมเด็จโตยังทำนายอีกว่ายุคหน้าหรือยุคที่๑๐ที่กำลังจะมาถึงคือยุคชาวศิวิไลซ์  ซึ่งแปลว่าบัณฑิต  หรือคนมีความรู้ความสามารถ  ซึ่งแปลได้ว่ายุคหน้าจะมีการเปลี่ยนระบอบการปกครองใหม่  จากประชาธิปไตยมาเป็นปัญญาชนธิปไตย  ผู้ปกครองของบ้านเมืองจะเป็นพวกบัณฑิตธรรมดาๆ  ไม่ใช่พวกนายทุนอีกต่อไป  โดยหันมาใช้ระบอบการสอบคัดเลือกเหมือนที่สมัยก่อนฮ่องเต้จัดสอบคัดเลือกจอหงวนมาเป็นขุนนางยังไงล่ะ  ซึ่งหมายความว่าแม้แต่ตาสีตาสาหรือคุณเองก็มีสิทธิ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีกับเขาได้เหมือนกัน  ขอเพียงทำข้อสอบได้คะแนนอันดับสูงสุด

แน่นอนว่าในยุคชาวศิวิไลซ์บ้านเมืองจะสงบสุข  เพราะไม่มีทั้งพรรคการเมืองและม็อบออกมาก่อกวนยุแยงสร้างความปั่นป่วนอีกต่อไป