Jump to content


dragon baby

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 13 ตุลาคม 2551
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2557 13:33
-----

Topics I've Started

"จำนำข้าว" นโยบายงี่เง่า จะรอให้เจ๊งอีกเท่าไหร่.. เลิกได้หรือยัง?

26 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 21:48

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
 
26 ธันวาคม 2556
 
    ช็อก วงการผู้ส่งออก "อิรัก-อินโดนีเซีย" แบนไม่ซื้อข้าวไทย อ้างมีปัญหาเรื่องคุณภาพ ออร์เดอร์หายไปทันทีปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน
 
    เหตุที่ผ่านมาข้าวในสต๊อกรัฐบาลถูกบริหารจัดการผ่านเครือข่าย "สยามอินดิก้า" เพียงคนเดียว ทำป่วนไปหมด
 
    หลังจากที่คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขยายผลการไต่สวนกรณี ทุจริตโครงการรับจำนำ และการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล เฉพาะอย่างยิ่งการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) มีความเกี่ยวพันกับบริษัทสยามอินดิก้า 
 
      ล่าสุดมีรายงานข่าวเข้ามาว่า ข้าวส่วนใหญ่ที่สยามอินดิก้ารับเป็นผู้แทนรับมอบข้าว G to G จากรัฐบาลได้ถูกส่งต่อไปยังตลาดอินโดนีเซียกับอิรัก ปรากฏตามสถิติการส่งออกของกรมศุลกากร 10 เดือนแรกส่งออกไปยังอินโดนีเซียเพียง 78,988 ตัน จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2555 จำนวน 321,565 ตัน ลดลง 75% ส่วนการส่งออกไปอิรักมี 703,746 ตัน เพิ่มขึ้น 10.4% แต่เป็นการเพิ่มในอัตราที่ลดลงจากช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ปี 2556 ที่ส่งออกปริมาณ 418,490 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 113%
 
       แหล่งข่าวกล่าวว่า การส่งออกที่ลดลงเป็นผลมาจากคุณภาพข้าวโดยตรงและลุกลามถึงขั้นประเทศทั้งสอง ไม่ยอมซื้อข้าวจากไทยอีก โดยการประมูลนำเข้าข้าวของอิรักในช่วง 2-3 ครั้งหลัง ไม่อนุญาตให้
ผู้ส่งออกจากไทยเป็นผู้เสนอราคาและหันไปซื้อ จากที่อื่น ซึ่งลอตสุดท้ายเมื่อเร็ว ๆ นี้อิรักซื้อข้าวจากอุรุกวัยซึ่งมีราคาสูงพอ ๆ กับราคาข้าวสหรัฐ ส่วนองค์กรสำรองข้าวอินโดนีเซีย (บูล็อก) หลังเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ก็ประกาศ "แบน" ข้าวไทย เนื่องจากการรับมอบข้าวลอตหลังสุด 300,000 ตัน มีการระบุว่า ข้าวที่ส่งออกเป็นข้าวคุณภาพต่ำ
 
"ทั้ง 2 ตลาดปกติจะซื้อข้าวไทยปีละ 1 ล้านตัน ตรงนี้ผู้ส่งออกกังวลกันว่า เรากำลังเสียตลาดถาวรหรือไม่ จากปัญหาคุณภาพข้าว เท่ากับเป็นคำตอบว่า ทำไมเราถึงเจรจาการขาย G to G กับอินโดนีเซียไม่สำเร็จเสียที กรณีของอิรักก็เช่นกัน เดิมทีเป็นตลาดของข้าวไชยพร ค้าขายกันมานานไม่มีปัญหา แต่พอเปลี่ยนมือผู้ส่งออกก็เกิดการตัดราคากันขึ้นมาทันที โดยผู้ส่งออกรายนั้นได้ข้าวไปจากสยามอินดิก้าถูก ๆ ไปแข่งกับเจ้าเดิมห่างกันตันละ 40-50 เหรียญ ยกตัวอย่าง ข้าว 100% เกรด B ควรจะขายได้ 450 เหรียญ แต่ถูกตัดราคาลงเหลือ 390 เหรียญ เป็นการทำลายราคาหั่งเช้ง" แหล่งข่าวกล่าว
 
       อย่างไรก็ตาม เมื่อข้าวส่งออกที่ผ่านผู้เกี่ยวข้องใน บริษัทสยามอินดิก้ามีปัญหาในเรื่องของคุณภาพ ส่งผลให้ฝ่ายการเมืองต้องหาบริษัทอื่นเข้ามา G to G ไปยังตลาดอื่นนอกเหนือจากอินโดนีเซีย-อิรัก 
 
         "ปัญหาที่เกิดขึ้นส่ง ผลต่อการจัดลำดับผู้ส่งออกข้าว Top 5 ของไทยใน 10 เดือนแรกของปีนี้ ปรากฏว่าบริษัทเอเซียโกลเด้นไรซ์ยังคงครองอันดับ 1 รองลงมาได้แก่ บริษัทสยามอินดิก้า, บริษัทแคปปิตัสซีเรียลส์, บริษัทซีพี อินเตอร์เทรด และบริษัทนครหลวงค้าข้าว ที่น่าจับตาเป็นพิเศษก็คือ การปรากฏตัวของบริษัทโอแล่ม ประเทศไทย ที่เข้ามาในอันดับที่ 11แสดงให้เห็นว่า มีการกระจายข้าวในสต๊อกรัฐบาลสู่มือผู้ส่งออกรายอื่น ๆ อีกทางหนึ่ง" แหล่งข่าวกล่าว 
 
          ด้านนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกล่าวว่า ขณะนี้ราคาส่งออกข้าวไทยต่ำกว่าเวียดนามซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน คือ ข้าวขาว 5% ของไทยตันละ 410-415 เหรียญสหรัฐ แต่ข้าวเวียดนามราคา 420-425 เหรียญ โดยราคานี้ยังต่ำกว่าช่วงก่อนที่มีการดำเนินโครงการรับจำนำเมื่อ 2 ปีก่อนด้วย 
 
          ทั้งหมดนี้เป็นปัญหามาจากการระบายข้าวในสต๊อกให้กับ เครือข่ายผู้แทนรับมอบเพียงรายเดียว และมีแนวโน้มว่าข้าวไทยจะรูดลงไปอีกจาก
 
1) ผู้ซื้อประเมินแนวโน้มว่าราคาน่าจะปรับลดลงอีก จากการที่รัฐบาลมีแรงกดดันต้องเร่งระบายข้าวในสต๊อกเพื่อหาเงินมาคืน ธ.ก.ส.
 
2) เวียดนามจะมีข้าวรอบใหม่ออกมาปลายเดือนมกราคมต่อกุมภาพันธ์ ถึงตอนนั้นสงครามราคาข้าวคงกลับมาอีกรอบ คาดว่าราคาข้าวเวียดนามจะลงไปอยู่ที่ 380-390 เหรียญทำให้ยอดคำสั่งซื้อข้าวในเดือนมกราคมมีน้อยมาก โดยเฉพาะข้าวขาว ซึ่งผู้ส่งออกบางรายไม่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้ามาหลายเดือนแล้ว 
 
           "รัฐบาลต้องหยุดโครงการรับจำนำข้าวแล้วเคลียร์สต๊อกมากกว่า 20 ล้านตันให้หมด" นายชูเกียรติกล่าว
 

* นายก.เสนอ ตั้งสภาปฏิรูปประเทศ เอาไง ๆ *

25 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 11:40

นายกแถลงการณ์เสนอตั้งสภาปฏิรูปประเทศ โดยไม่มีคนของรบ. เริ่มจากการหาตัวแทนปชช.2000คนแล้วคัดเลือกออกมา499คน 

 

โดยจะออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี..

 

       25 ธ.ค.56 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงว่า ขอเสนอรูปแบบองค์กรที่จะจัดตั้งขึ้นรูปแบบหนึ่งเรียกว่า สภาปฏิรูปประเทศ เพื่อแก้ไขการเมือง
 
          "ขอเสนอรูปแบบองกรณ์ที่จะจัดตั้งขึ้นรูปแบบหนึ่งเรียกว่า สภาปฏิรูปประเทศ พี่น้องอาจสงสัย และขอยืนว่า สภาปฏิรูปประเทศนี้จะไม่ใช่เวทีของรัฐบาล และถ้าทุกฝ่ายเห็นร่วมกัน รัฐบาลเป็นเพียงผู้จัดตั้งโดยใช้คำสั่งสำนักนายกฯ และสามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งเวทีนี้จะเป็นสภาของประชาชนอย่างแท้จริง พร้อมดึงประชาชนจากสาขาอาชีพต่าง ๆ จำนวน 2,000 คน จากนั้นเลือกให้สมาชิกเหลือ 499 คน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสมัคร การสรรหา การคัดเลือก แต่งตั้ง ขั้นตอนต่างๆ จะถูกกำหนด โดยคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบดังนี้ ผบ.เหล่าทัพ, หน.ส่วนราชการ, เลขาสภาพัฒน์, อธิการม.รัฐ, ปธ.สภาหอการค้า, ปธ.สภาอุตฯ, ปธ.สภาธนาคารไทย และผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน รวม 11 คน" " น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว 
 
         น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า หน้าที่ของสภาปฏิรูปประเทศนั้น มี 5 ข้อหลัก ได้แก่ 1.ศึกษาและจัดทำข้อเสนอรัฐธรรมนูญ รวมถึงร่างแก้รัฐธรรมนูญ, 2.ศึกษาและจัดทำข้อเสนอปรับปรุงเศรษฐกิจสังคมของประทเศ รวมถึงให้ประชาชนมีส่วนบริหารภาครัฐ, 3.ศึกษาและจัดทำข้อเสนอในเรื่องข้อกฎหมาย ข้อบังคับ คำสั่งต่าง ๆ ในการเลือกตั้ง อีกทั้ง แต่งตั้งตำแหน่งต่าง ๆ โดยสุจริตและเที่ยงธรรม, 4.ศึกษาและจัดทำ พร้อมเสนอการกระทำความผิด และ5.ศึกษาและจัดทำการปรับปรุงกระจายอำนาจในเรื่องกฎหมาย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้สังคม
 
         " ทั้งนี้ระยะเวลาขึ้นกับสภาปฏิรูปจะเป็นผู้กำหนด เมื่อสภาปฏิรูปประเทศทำแล้วเสร็จ พร้อมเสนอให้นายกรัฐมนตรี และให้สภาปฏิรูปประเทศเปิดเผยรายงานต่อสาธารณะชน เพื่อให้ที่รับผิดชอบได้ดำเนินงานต่อไป
นอกจากนี้ จะมีการกำหนดว่าให้รัฐบาลชุดใหม่ หลังการเลือกตั้ง 2 ก.พ.ดำเนินการต่อไปสืบเนื่องด้วย การออกคำสั่งในเรื่องนี้น่าจะดำเนินการได้ก่อนสิ้นปี
 
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
 
.

 

http://www.posttoday...ขนานเลือกตั้ง57

 

 

คำต่อคำ “ยิ่งลักษณ์” แถลงตั้งสภาปฏิรูป
       
       “พี่น้องประชาชนไทยที่เคารพ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ดิฉันต้องขอขอบคุณทางนักวิชาการ นักธุรกิจ และพี่น้องประชาชน ผู้ที่มีความหวังดีต่อประเทศ และจากหลายภาคส่วนที่ช่วยกันแสดงออกถึงความคิดเห็น และหาทางออกจากวังวนแห่งความขัดแย้งให้กับประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราทุกคน
       
        จากเวทีเสวนา เวทีสัมมนา หรือการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ดิฉันประมวลได้ว่าส่วนใหญ่ก็คิดเห็นไปในทางเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่องที่จะให้พี่น้องประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐในทุกระดับ รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งทางการเมือง การพัฒนาการเมือง และการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในหลายเวทีก็มีการเสนอให้จัดตั้งองค์กรที่จะมาดำเนินการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วไม่เป็นการขัดหรือแย้ง และสามารถที่จะทำคู่ขนานไปกับกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นี้ ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดไว้เป็นที่แน่ชัดแล้ว
       
        ดิฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องช่วยกันพัฒนากลไกที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้เกิดขึ้นนั้น ในโอกาสนี้ดิฉันใคร่ขอเสนอรูปแบบองค์กรที่จะจัดตั้งขึ้นรูปแบบหนึ่ง โดยอาจจะเรียกว่า สภาปฏิรูปประเทศ ซึ่งพี่น้องประชาชนหลายท่านอาจจะสงสัยว่า ใครจะมาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ ดิฉันก็ขออนุญาตเรียนยืนยันตั้งแต่ต้นเลยว่า สภาปฏิรูปประเทศนี้ จะไม่ใช่เวทีของรัฐบาล ซึ่งถ้าทุกฝ่ายเห็นร่วมกัน รัฐบาลจะเป็นเพียงผู้ที่จะจัดตั้งโดยใช้คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ให้รับทราบ เพื่อให้เรื่องนี้สามารถดำเนินการได้ทันที
       
        ทั้งนี้ สภาปฏิรูปประเทศก็จะเป็นสภาของตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริง โดยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ และจะเริ่มจากการสรรหาตัวแทนประชาชน จากสาขาอาชีพต่างๆ จำนวน 2,000 คน แล้วจึงให้ตัวแทนอาชีพจำนวน 2,000 คนดังกล่าว เลือกผู้ที่จะเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ จำนวน 499 คน
       
        คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการสมัคร การสรรหา การคัดเลือก และการแต่งตั้งตัวแทนวิชาชีพ ตลอดจนการเลือกสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศในขั้นตอนต่างๆ นั้น จะถูกกำหนดโดยคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบดังนี้
       
        1. ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือผู้แทน ซึ่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแต่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ หรือผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นกรรมการ
       
        2. หัวหน้าส่วนราชการ ระดับปลัดกระทรวง หรือเทียบเท่า ซึ่งที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง เลือกจำนวน 2 คน เพื่อเป็นกรรมการ
       
        3. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการ 
       
        4. อธิการบดี ของสถานบันอุดมศึกษาของรัฐ ซึ่งที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย เลือกจำนวน 1 คน เป็นกรรมการ 
       
        5. ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน เป็นกรรมการ 
       
        6. ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน เป็นกรรมการ
       
        7. ประธานสมาคมธนาคารไทย หรือผู้แทน เป็นกรรมการ 
       
        8. ประธานและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 2 คน ซึ่งคณะกรรมการที่กล่าวถึงเบื้องต้นเป็นผู้เสนอชื่อ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ จะมีกรรมการรวมกันทั้งสิ้น 11 คน
       
        สำหรับหน้าที่ของสภาปฏิรูปประเทศ ดิฉันขอเสนอดังนี้
       
        1. ศึกษา และจัดทำข้อเสนอการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจรวมถึงการจัดเตรียมร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 
       
        2. ศึกษาและจัดทำข้อเสนอการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ศึกษาและจัดทำข้อเสนอการให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมบริหารภาครัฐ
       
        3. ศึกษาและจัดทำข้อเสนอการจัดให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือการยกเลิกกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งต่างๆ เพื่อให้การเลือกตั้งในทุกระดับ การสรรหา และการแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ การใช้อำนาจรัฐ และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม
       
        4. จัดทำข้อเสนอการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบในวงราชการ ทั้งฝ่ายการเมือง และฝ่ายข้าราชการประจำ เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องนี้มีประสิทธิภาพ
       
        5. ศึกษาและจัดทำข้อเสนอการปรับปรุงการกระจายอำนาจ การสร้างความรู้ความเข้าใจกฎหมาย การเตรียมความพร้อม และการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน และท้องถิ่น โครงสร้างการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินในทุกระดับ การปรับปรุงระบบ และวิธีการงบประมาณ และบริหารงานบุคคลภาครัฐ
       
        ทั้งนี้ เมื่อสภาปฏิรูปประเทศได้ดำเนินการในข้อใดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ทำรายงานเสนอนายกรัฐมนตรี และให้สภาปฏิรูปเปิดเผยรายงานดังกล่าว ต่อสาธารณชน เพื่อที่จะได้ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องนั้นได้นำไปดำเนินการตามเจตนารมณ์ต่อไป โดยกรอบของเวลาการดำเนินการ ขึ้นอยู่กับสภาปฏิรูปประเทศเป็นผู้กำหนดให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด
       
        สำหรับผู้ที่เป็นห่วงถึงความต่อเนื่อง เมื่อมีการเลือกตั้ง ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 และมีรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วนั้น ก็จะมีการกำหนดไว้ด้วยว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ให้เลขาคณะรัฐมนตรีเสนอนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในการปฏิบัติงานตามคำสั่งนี้ให้ดำเนินต่อไปอย่างสืบเนื่อง ตามเจตนารมณ์และแนวทางที่ทุกฝ่ายได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว
       
        ซึ่งทั้งหมดที่ดิฉันกล่าวมานั้นเป็นรูปแบบที่จะนำเสนอให้เพื่อให้เกิดมีการแลกเปลี่ยน ถกเถียงหารือจากทุกฝ่าย ซึ่งรัฐบาลจะได้รวบรวมเอาความคิดเห็นต่างๆ มาปรับปรุงแก้ไข และออกเป็นคำสั่ง ถ้ามีข้อคิดเห็นลงตัวเราก็จะสามารถที่จะประกาศได้ภายในก่อนสิ้นปีนี้
       
        สุดท้ายนี้ ดิฉันขอเรียกเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงภารกิจการปฏิรูประเทศที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย และเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันที่จะทำให้การปฏิรูปประเทศครั้งนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน เพื่อสังคมที่สงบสันติ มีความปรองดอง ความรักและความสามัคคี และเพื่ออนาคตของลูกหลานเราต่อไป ขอบคุณค่ะ”

* เรื่องแปลกแต่จริง สำหรับการเลือกตั้งคราวนี้ *

24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 08:37

         จากการที่ได้พูดคุยกับผู้สันทัดกรณี รวมทั้งแหล่งข่าววงใน ในพรรคการเมืองขนาดเล็กขนาดกลาง หลายราย

 

สิ่งที่กังวลที่สุดของบรรดาพรรคขนาดกลางขนาดเล็กทั้งหลาย  ในการเลือกตั้งคราวนี้ คือ

 

       กลัวการได้ สส.มาก เกินไป ! ...

 

        ตลกใช่ไหม?

 

            ถ้าตลกก็อาจจะเป็นตลกที่ขำไม่ค่อยจะออกเท่าไหร่....     

 

ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ?

 

            การเมืองไทย ใครๆ ก็อยากเป็นรัฐบาล...ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน

 

            ถ้าเที่ยวนี้ พรรคขนาดกลาง ตัวอย่างเช่นพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย ฯลฯ ได้สส.มามาก (ซึ่งก็คงไม่มีทางได้มากไปกว่าพรรคเพื่อไทย เป็นแน่)

 

ก็จะมีแนวโน้มว่าจะได้มาเป็นอันดับ 2    ซึ่งการได้จำนวนสส.มาเป็นอันดับ 2 โดยมีจำนวนค่อนข้างมากนั้น เป็นการรับประกันว่า จะมีโอกาสเป็นฝ่ายค้านค่อนข้างแน่ แทนที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่ได้ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง 

  

           

            บรรดาคนวงในเค้าคุยกันว่า เลือกตั้งคราวนี้ ไม่ต้องได้สส.มาแยะมาก ได้มาพอสมควรก็พอ  

 

 

ถ้าเป็นที่ 2 มีโอกาสเป็นฝ่ายค้านสูง  เอาให้เป็นที่ 3 ที่ 4 ลงมาดีกว่า โอกาสได้ร่วมรัฐบาลมากกว่า...

 

 

        ฟังดูแล้วตลก แต่เป็นเรื่องจริงนะครับ...

.


* ถ้าไม่เอา"ยิ่งลักษณ์" พวกคุณก็ต้องเอา"สมชาย" ! *

23 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 09:31

เลือกตั้งเสร็จ ในอนาคต

 

ถ้ายิ่งลักษณ์ลาออก ก็สมชายแทน

 

มีไรไหม...


** (ถ้ามีเลือกตั้ง) คราวนี้ ต้อง VOTE NO**

22 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 10:10

จากบทความนี้

 

ใครว่า Vote No ไม่มีผล.

 

ผลทางนิตินัยของบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนน (VOTE NO)

 

เลขานุการศาลฎีกานักการเมือง ชี้ ส.ส.เขต ไม่เพียงได้คะแนนมากสุด ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ20 ของผู้มีสิทธิในเขต และยังต้องมากกว่าบัตรโหวตโน ด้วย

 

   

 ผู้คนในสังคมโดยทั่วไปส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่า การเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น จะเกิดขึ้นได้เฉพาะในกรณีที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียวในเขตเลือกตั้งนั้นเท่านั้น มิฉะนั้น กกต.จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นใหม่ โดยสังคมไทยมีประสบการณ์จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2เมษายน 2549 ซึ่งหลายเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยเพียงพรรคเดียว เพราะพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชนได้บอยคอตการเลือกตั้ง (Election boycott) จนนำไปสู่ปรากฏการณ์พรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก และถูกคณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย เพราะถือว่าเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2540 มาตรา 66 (1) และเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา 66 (3) (คำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ 3-5/2550)  

     
       แท้จริงแล้ว แม้ในเขตเลือกตั้งใดมีผู้สมัครมากกว่าหนึ่งคน ผู้สมัครที่จะเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องเป็นผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดแล้ว ยังจะต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้งอีกด้วย ทั้งนี้ เป็นไปตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 มาตรา 89 ประกอบมาตรา 88 ซึ่งบัญญัติไว้ ดังนี้ มาตรา 89 ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเท่ากันหลายคน ให้ใช้วิธีการจับสลากซึ่งต้องกระทำต่อหน้าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
       
       มาตรา 88 ในเขตเลือกตั้งใด ถ้าในวันเลือกตั้งมีผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งคนเดียว ผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้งต่อเมื่อได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง
       
       ในกรณีที่ผู้สมัครได้รับคะแนนเลือกตั้งน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น หรือไม่มากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนน ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งนั้น โดยให้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ และให้นำความในมาตรา 9 มาใช้บังคับ
       
       ในการเลือกตั้งใหม่ตามวรรคสอง ถ้ามีผู้สมัครคนเดียว ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม และถ้าผู้สมัครได้คะแนนเลือกตั้งน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นอีก หรือได้ไม่มากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยให้ดำเนินการตามวรรคสองอีกครั้งหนึ่ง
       
       ในการเลือกตั้งใหม่ตามวรรคสาม ถ้ามีผู้สมัครคนเดียว ให้ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง โดยให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้ได้รับเลือกตั้งภายในระยะเวลาตามมาตรา 8
       
       ในกรณีที่มีการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามวรรคสาม หากปรากฏว่าไม่มีผู้สมัครให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม เพื่อให้ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และให้นำความในวรรคสอง และวรรคสาม และความในส่วนที่ 5 ผู้สมัครและการสมัครรับเลือกตั้ง 2.การสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
       
       จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มาตรา 89 บัญญัติให้อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 88 ซึ่งเป็นเทคนิคการร่างกฎหมายที่ต้องการให้มาตรา 89 นำหลักการตามมาตรา 88มาใช้บังคับด้วยโดยไม่ระบุซ้ำลงไปในมาตรา 89 อีก จึงหมายความว่า ในเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครหลายคน ผู้สมัครที่จะถือว่าเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง จะต้องผ่านองค์ประกอบของกฎหมายทั้งมาตรามาตรา 88 และมาตรา 89 กล่าวคือ
       
       1.ได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น       
       2.ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง และ       
       3.ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้น
       
       ทั้งนี้ เนื่องจากหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย คือ การถือเสียงข้างมากของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเกณฑ์มาตรฐานเสียงข้างมากขั้นต่ำตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 ก็คือไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง
       
       
ดังนั้น จำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) จึงมีผลทางนิตินัยตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว และหากในเขตเลือกตั้งใดมีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้งมากกว่าคะแนนเลือกตั้งของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้น ผู้สมัครผู้นั้นก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งนั้น โดยให้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ตามมาตรา 88 วรรคสองถึงวรรคห้า
       
       
การที่มาตรา 61 ของกฎหมายเลือกตั้งดังกล่าวบัญญัติไว้ให้บัตรเลือกตั้งมีช่องทำเครื่องหมายว่าไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้งด้วยนั้น ก็เพื่อเป็นหลักประกันแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะสงวนสิทธิ์ไม่เลือกผู้ใด ในกรณีที่เห็นว่าไม่มีพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใดมีคุณสมบัติดีเพียงพอที่จะได้รับเลือกให้เป็น ส.ส. ยิ่งถ้าบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีอยู่และลงสมัครรับเลือกตั้งในปัจจุบันได้พยายามสื่อสารกับสังคมว่าขอให้เลือกพรรคหรือผู้สมัครที่เลวน้อยที่สุด กรณีการที่มีการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกาบัตรเลือกตั้งในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน (VOTE NO) ด้วยเหตุผลว่าระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถสร้างพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ดีได้ ด้วยวาทะที่ว่า “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” และข้อกล่าวหาว่า “มีแต่พรรคการเมืองเผาบ้านเผาเมืองจาบจ้วง ล้มเจ้า พรรคการเมืองปล่อยคนเผาบ้านเผาเมืองขายชาติหลอกเจ้า และพรรคการเมืองโกงชาติกินเมืองโหนเจ้า” จึงสามารถกระทำได้โดยชอบ และมีผลต่อการเลือกตั้งตามกฎหมายดังกล่าว
       
       หากมีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) มากกว่าคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดจำนวนมากๆ หรือแม้แต่คะแนนของจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) รวมกับคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนในลำดับรองๆ ลงไป มากกว่าคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุด ก็อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะได้ เพราะผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดย่อมไม่ใช่ตัวแทนของประชาชนเสียงข้างมากไปในตัว และน่าจะต้องถือว่าขัดต่อหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ต้องยอมรับเสียข้างมาก แต่มีหลักประกันสำหรับเสียงข้างน้อย เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่ กกต.เพียงแต่จัดการเลือกตั้งโดยหันคูหากลับด้านทำให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเลือกตั้งที่จัดคูหาให้ผู้เลือกตั้งหันหน้าเข้าคูหาและหันหลังให้กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งและประชาชน ไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 93 วรรคสอง) เป็นเหตุให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ
       
       (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2549) แล้ว การเลือกตั้งกรณีนี้อาจจะต้องถือว่านั้นเป็นโมฆะยิ่งกว่าบรรทัดฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิฉัยไว้ดังกล่าวเสียอีก ทั้งหากพรรคการเมืองใดยังฝืนส่งคนไม่ดีที่ประชาชนปฏิเสธลงสมัครรับเลือกตั้งอีก อาจถึงขั้นถือได้ว่า เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่การถูกยุบพรรคการเมืองนั้นก็เป็นได้ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 68)
       
       ท้ายที่สุดนี้ ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า บัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) มีผลทางนิตินัยตามกฎหมายดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้นอย่างแน่นอน
       
                                      อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล
       เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา

 

http://www.oknation....t.php?id=723014