Jump to content


korn-online

Member Since 23 November 08
Offline Last Active 22 December 13 22:38
-----

Posts I've Made

In Topic: ช่อง 3 ช่อง 9 ถ่ายทอดข่าวจากม็อบราชดำเนินแล้ว....

26 November 2013 - 07:01

 

พงส.นัดนักข่าวเยอรมันให้ข้อมูลเพิ่ม 21 มิ.ย.

วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 18:48 น. ข่าวสดออนไลน์


จากการณีที่นายนิก นอสทิส ผู้สื่อข่าวอิสระชาวเยอรมัน เข้าพบพ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า พนักงานสอบสวน สน. พญาไท เพื่อติดตามข้อมูลของผู้ชุมนุมเสื้อแดงรายหนึ่ง ซึ่งนักข่าวเยอรมันรายนี้แจ้งว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ได้ภาพถ่ายชายคนหนึ่ง ขณะถูกยิงล้มลงที่หน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ถนนราชปรารภ อยากทราบว่าขณะนี้มีชะตากรรมเป็นอย่างไร ตำรวจจึงนำแฟ้มผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์มาให้ดูและพบว่าชายคนดังกล่าวคือนาย ชาญณรงค์ พลศรีลา อายุ 45 ปี จากสภาพศพเมื่อมาประกอบกับภาพถ่ายของนายนิก ปรากฏว่าเป็นรายเดียวกัน


ความคืบหน้าคดีดังกล่าว วันที่ 18 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบพ.ต.ท.เทพพิทักษ์ เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดีโดยทาง พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ กล่าวว่า นายนิก นิสทอส ช่างภาพอิสระชาวเยอรมัน ได้เข้าพบเมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) เวลา 10.30 น. เพื่อขอดูรูปภาพถ่ายของนายชาญณรงค์และยืนยันว่าเป็นรูปเดียวกับที่ตนบันทึก ภาพไว้ได้ โดยนายนิก ได้ยืนบันทึกภาพอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ หลังจากสอบถามเบื้องต้นแล้ว ได้ให้นายนิก ไปรวบรวมภาพถ่ายที่ทางนายนิก สามารถยืนยันได้ว่า คนตายที่อยู่ในภาพนั้นเป็นนายชาญณรงค์ จริงและได้นัดให้มาพบอีกในวันจันทร์ที่ 21 มิ.ย. เวลาประมาณ 09.00 น. โดยขณะนี้ยังมีผู้ที่เสียชีวิตจากอาวุธปืนอีก 4 คน เป็นผู้ชาย 3 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กชายอายุประมาณ 13 -14 ปี และเป็นผู้หญิงวัยกลางคนอีก 1 คน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีญาติพี่น้องมาติดต่อแต่อย่างใด จึงฝากประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่สงสัยว่าเป็นญาติพี่น้องที่หายตัวไปสามารถของ ดูภาพถ่ายได้ที่สน.พญาไท

Nick Nostitz

http://asiapacific.a....-killing-zone/

16800482.jpg


ตามหาชายที่ถูกทหารยิง บันทึกนักข่าวเยอรมัน ในเขตสังหาร-15พ.ค. ภาพ-เสียงร้องยังติดตา

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7143 ข่าวสดรายวัน

คอลัมน์ แฟ้มคดี

นิก นอสติทซ์, 15 พฤษภาคม 2553


เบื้องหลังความรุน แรงและความตายของประชาชน 90 ศพ ล้มเจ็บอีกกว่า 2 พันรายจากเหตุการณ์ พ.ค.เลือด ยังคงทยอยปรากฏออกมาเรื่อยๆ หาได้เงียบหายไปกับการเก็บกวาดเช็ดล้างท้องถนนสายมรณะเส้นต่างๆ แต่อย่างใด

ไม่มีอำนาจใดปกปิดความจริงได้

รวมถึงกรณีล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ได้มี นายนิก นอสติทซ์ ผู้สื่อข่าวอิสระชาวเยอรมัน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า พนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อติดตามข้อมูลชะตากรรมของผู้ชุมนุมเสื้อแดงรายหนึ่ง ที่นิกถ่ายภาพเอาไว้ได้เมื่อ 15 พ.ค. หลังถูกยิงล้มหน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ถ.ราชปรารภ กทม. กระทั่งทราบว่าชายคนดังกล่าว คือ นายชาญณรงค์ พลศรีลา คนขับแท็กซี่ อายุ 45 ปี

นายชาญณรงค์ พลศรีลา เป็นคนเดียวกับที่นางสุริยัน อายุ 45 ปี ผู้เป็นภรรยา เคยเปิดเผยกับ "ข่าวสด" ว่า มารู้ว่าสามีเสียชีวิตเพราะเห็นภาพถ่ายคนช่วยกันพยุงร่างเปื้อนเลือดของสามี ในข่าวสด ฉบับวันที่ 17 พ.ค. นั่นเอง!

"เสียใจมากที่ชายคนนี้ตาย ทั้งภาพและเสียงร้องขอความช่วยเหลือยังติดตามาตลอด หลังชายคนนี้ถูกยิงล้มลงก็พยายามคลานเข้าไปหลบในปั๊มแล้วปีนข้ามกำแพงปั๊มไป หลบในบ่อบัวของบ้านหลังหนึ่ง ผมเห็นกับตาแม้อยู่ในน้ำแล้วแต่ทหารยังปีนตามมาลากตัวออกไป ทั้งยังด่าว่าอย่างหยาบคาย จากวันนั้นพยายามตามหาเพราะอยากรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร จนมาทราบว่าเสียชีวิตแล้ว ไม่เข้าใจว่าทหารไทยทำแบบนี้ได้อย่างไร พร้อมเป็นพยานกับตำรวจเพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ตาย" นิก ระบุ

ก่อนหน้านี้ นายนิกได้เขียนบทความบรรยายเหตุการณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมบริเวณ ถ.ราชปรารภในวันดังกล่าวเอาไว้ด้วย ใช้ชื่อว่า"In the killing zone"(ในเขตสังหาร) นำเสนอผ่านเว็บไซต์ข่าวนิวมันดาลา(asiapacific.anu.edu.au/newmandala) และถูกศอฉ.สั่งบล็อก แต่ล่าสุดทางเว็บนำมาเผยแพร่ใหม่อีกครั้ง

"สฤณี อาชวานันทกุล"บรรณาธิการโอเพ่นออนไลน์ (onopen.com) แปลและเรียบเรียงไว้ ดังนี้

l ในเขตสังหาร

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่บ้าน สงสัยว่าวันนี้ วันที่ 15 พ.ค. เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ฝันร้ายน่าสยดสยองเท่านั้น ตลอดชีวิตผมไม่เคยรู้สึกกลัวตายเท่าวันนี้

ช่วงเที่ยงที่ผ่านมาผมไปสังเกตการณ์การชุมนุมที่สามเหลี่ยมดินแดง มีผู้ชุมนุมอยู่ประปราย อย่างมากไม่กี่ร้อยคน มีเศษชิ้นส่วนที่หลงเหลือจากการปะทะกันเมื่อคืนจำนวนมาก รถบรรทุกทหารที่ถูกเผาคันหนึ่งยังคุกรุ่น ผู้ชุมนุมขนยางรถยนต์มาสุมเป็นด่าน เอารถฉีดน้ำของเทศบาลเข้ามาคันหนึ่ง

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ชุมนุมย้ายรถฉีดน้ำไปตาม "ถนนราชปรารภ" มุ่งหน้าไปทางแนวของทหาร เพื่อใช้เป็นด่านป้องกันการยิงจากกองทัพ ผู้ชุมนุมบางคนย้ายยางรถยนต์หลายสิบอันมากองสุมเป็นด่าน คนหนึ่งชูหนังสติ๊กเล่นหน้ากล้องของพวกเราเหล่าช่างภาพ



"เห็นไหม นี่ไงอาวุธที่เราใช้สู้กับทหาร"

ผู้ชุมนุมย้ายยางรถยนต์ไปตามถนนอีก ไปกองหน้า "ปั๊มน้ำมันเชลล์" ใกล้กับซอยรางน้ำ ผมหาที่กำบังในปั๊มเผื่อกองทัพจะเริ่มยิง และกองทัพก็เริ่มยิงทันที บนถนนถัดจากผมไปประมาณ 5 เมตร ผู้ชุมนุมกลุ่มเล็กๆ ติดอยู่หลังกองยางรถยนต์ขณะที่กระสุนวิ่งผ่านหัว มันทำเสียงน่าสะอิดสะเอียนเวลาแล่นโดนผู้ชุมนุมที่เพิ่งพูดเล่นกับเราเมื่อ ไม่กี่นาทีก่อน เข้าที่แขนและหน้าท้องของเขา ผู้ชุมนุมบางคนที่หลบอยู่ข้างเดียวกับเรา พยายามโยนเชือกเข้าไปช่วยดึงผู้บาดเจ็บออกมา แต่ทำไม่สำเร็จ การยิงไม่เคยหยุดชะงักลงเลย

ผู้ชุมนุมอีกคนหนึ่งที่พยายามคลานหนีออกมา ถูกยิงที่ขาและไหล่ ผู้ชุมนุมคนหนึ่งวิ่งมาทางเราได้สำเร็จ ผมเริ่มสูญเสียความรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ผู้ชุมนุมอีกคนข้ามมาทางเราได้ อีกคนถูกยิงที่แขน หลังจากนั้นอีกพักหนึ่งคนสองคนที่บาดเจ็บไม่มากวิ่งมาทางเรา คนหนึ่งล้มลงและคลานต่อไปจนถึงที่ปลอดภัย ผมเกรงว่าเขาจะถูกยิงอีกแล้ว

ข้างหลังของปั๊มน้ำมันมีห้องสุขาซึ่งกลายเป็น "โซนปลอดภัยชั่วคราว" ผู้ชุมนุมที่มีแผลที่ไหล่และขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เขาและผู้ชุมนุมอีกคนหนึ่งที่ถูกยิงที่แขน พร้อมด้วยนักข่าวอีกสองสามคนปีนข้ามกำแพงออกไป ผมกลับไปที่จุดเดิมเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับ

ผู้ชุมนุมที่ยังติดอยู่หลังกองยางรถยนต์ ผู้ชุมนุมอีกคนหนึ่งหลบไปสู่ที่ปลอดภัยได้ เขาวิ่งผ่านหน้าปั๊มน้ำมันไป

ผมตระหนักด้วยความหวาดหวั่นว่าทหารเริ่มเคลื่อนมาทางเราและยิงเข้ามาในปั๊ม ผมแอบอยู่ข้างหลังรถที่จอดอยู่ที่นั่น แต่รู้สึกแย่มากๆ ว่าผมอยู่ผิดจุด และผมต้องออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด ผมวิ่งกลับไปที่ห้องสุขาประมาณ 40 เมตรถัดไป รู้สึกว่าผมถูกไล่ยิงขณะวิ่ง ขาของผมล้าจนแทบล้มลง ความกลัวที่เปล่าเปลือยและน่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ

ทันทีหลังจากนั้น ก็มีคนลากผู้ชุมนุมที่ถูกยิงที่ท้องเข้ามา ผมถ่ายรูปสองสามใบ และปีนกำแพงหนีออกไปเหมือนกันกระโดดลงไปในสวนสวยๆ หลังบ้านแห่งหนึ่งที่ขนาบข้างด้วยบ้านไม้ขนาดเล็กสองหลัง หลังบ้านนี้มีนักข่าวและผู้ชุมนุมกลุ่มย่อยมาออกันอยู่ คนที่อยู่ในบ้านนั้นเอาน้ำออกมาให้เรา ผมเห็นว่าที่กำแพงมีคนพยายามยกตัวคนเจ็บออกมา ผมไปที่กำแพงเพื่อพยายามช่วย หลังกำแพงผมได้ยินเสียงทหารวิ่งมาทางปั๊ม คนสองคนที่ช่วยกันยกตัวคนเจ็บพ้นกำแพงวิ่งไปทางบ้าน ผมมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว กดตัวเองแนบกับพุ่มไม้หลังกำแพง ผมเห็นคนเจ็บหลบเข้าไปในทะเลสาบเทียมที่กำแพง ห่างจากผมไปประมาณ 10 เมตร



ผมได้ยินเสียงทหารตะโกนจากหลังกำแพง พวกเขาอยู่ที่ปั๊ม ผู‰ชุมนุมบางคนต้องยังอยู่ที่ห้องสุขา ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงปืนรัวติดกันหลายนัด เห็นปลอกกระสุนบินข้ามกำแพงมา ได้ยินเสียงร้องขอชีวิต เสียงตะโกน และเสียงที่เหมือนกับรองเท้าบู๊ตเตะเนื้อคน ผมกลัวชนิดที่ไม่เคยกลัวมาก่อนในชีวิต ติดอยู่หลังกำแพงนั่น ผมภาวนาว่าขออย่าให้มีใครโทร.เข้ามือถือผมเดี๋ยวนั้นเลย ผมกลัวมากว่าทหารจะยิงข้ามกำแพงมา เพราะพวกเขาต้องรู้ว่ามีคนปีนข้ามมาทางนี้

ผมได้ยินเสียงทหารสั่งว่า ให้ออกมาไม่อย่างนั้นจะยิงตาย ตอนแรกผมนึกว่าหมายถึงผม แต่แล้วผมก็เห็นหัวทหารโผล่พ้นกำแพง ตะโกนใส่คนที่อยู่ในน้ำ (ชาญณรงค์ พลศรีลา) ผมตัดสินใจว่าผมควรจะแสดงตัวเลยตะโกนออกไปว่าผมเป็นนักข่าวต่างชาติ ขอร้องว่าอย่ายิงผม ผมชูมือให้เห็นว่าว่างเปล่า เขาสั่งให้ผมเดินออกมา ผมเดินไปหาเขาและอธิบายว่าคนที่อยู่ในน้ำ ถูกยิงที่ท้องและแขน อาการสาหัส เขาลอยตัวอยู่ในน้ำ หน้าและท้องของเขาอยู่ปริ่มน้ำเท่านั้น

ทหารคนนั้นสั่งให้ผมดึงชายผู้นั้นขึ้นมา ทหารอีกคนหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงมา คนที่สามเฝ้าอยู่เหนือกำแพง ขณะที่ผมพยายามดึงตัวคนเจ็บออกมาจากน้ำ เขาวิงวอนด้วยเสียงอ่อนว่าเขาทนไม่ได้แล้ว ตัวของเขาหนักเกินไป ผมขอให้ทหารคนหนึ่งมาช่วยผม ได้โปรดเถอะครับ ขณะที่กระชากตัวคนเจ็บขึ้นมา ทหารก็ตะโกนว่าชายผู้นี้ควรตาย พวกทหารจะต้องพาเขาไปโรงพยาบาลเพราะเขาไม่ตาย บอกว่าเขาสมควรตาย เสร็จแล้วทหารคนนี้ก็เดินจากไป

ชายคนเจ็บหล่นลงน้ำไปอีกครั้ง ทหารคนที่สองช่วยผมดึงตัวเขาขึ้นมา ขณะที่ทหารคนแรกยังตะโกนไม่หยุด ทหารคนที่สามที่กำแพงสั่งให้ผมดูแลคนเจ็บ ผมตอบว่าผมไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไร เขาถูกยิงสาหัสที่หน้าท้อง ผมเลิกเสื้อชายผู้นี้ให้ดูรูกระสุนเล็กๆ ที่ท้อง ผมคุกเข่าลงกับพื้น คนเจ็บขอให้ผมชูแขนที่บาดเจ็บและพลิกตัวเขาไปอีกข้างหนึ่งเพราะเขาหายใจไม่ ออกแล้ว ผมทำตามที่เขาบอกขณะที่เขาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

ทหารสั่งเอาเปลหามเข้ามา และสั่งไม่ให้ผมถ่ายรูป ทหารคนแรกเดินไปที่บ้าน ผมบอกเขาว่าในนั้นมีนักข่าวต่างชาติอยู่หลายคน ทหารเอาปืนจี้สั่งให้นักข่าวออกมา และสั่งให้พวกเขาหามคนเจ็บออกไปทางประตูบ้าน ไปทางปั๊มน้ำมัน ผมทรุดตัวนั่งอยู่ที่บ้าน รู้สึกใกล้จะสลบ มือสั่นทั้งสองข้าง

ผมใช้เวลานานมากกว่าจะรวบรวมสติได้ เราได้ยินเสียงหวอของรถพยาบาล และเสียงปืนที่ยิงจากทหารในปั๊มน้ำมัน

ผมโทรศัพท์หาภรรยาและเพื่อนร่วมงานข้างนอก บอกพวกเขาว่าผมปลอดภัย เราได้ยินข่าวว่านักข่าวบางคนได้รับบาดเจ็บ บทสนทนาผ่านมือถือว่าจะเอาพวกเราออกไปอย่างไรนั้นกินเวลาหลายชั่วโมง เสียงปืนดังไม่หยุด มองออกไปไกลๆ ทางเวที เราได้ยินเสียงระเบิดเอ็ม 79 จากทิศสามเหลี่ยมดินแดง เราไม่ได้ยินเสียงปืนเลย


ดูเหมือนว่า ศอฉ. รวมทั้งนายกฯ จะมีการประชุมเกี่ยวกับพวกเรา คนที่อยู่ละแวกนั้นทำอาหารเย็นให้เราทาน เจ้าของบ้านออกมาพูดภาษาเยอรมันคล่องมาก บอกว่าเขาอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ที่ทำงานอยู่ห่างจากอพาร์ตเมนต์ไป 10 นาที

หลังจากที่เราทานอาหารเย็นเสร็จ เราก็ได้รับคำแนะนำให้ออกมาทางประตูหน้า เดินผ่านปั๊มไปทางทหารที่อยู่ที่ซอยรางน้ำ เราขอให้ทหารมารับเราได้ไหมเพราะเราไม่เชื่อมั่นพอที่จะเดินออกไปในที่แจ้ง คำตอบคือถ้าทำอย่างนั้นทหารก็จะกลายเป็นเป้า ดังนั้นพวกเขาจึงมารับเราไม่ได้ เราตัดสินใจกันว่าเราต้องหาทางปีนกำแพงหลังออกไป ถึงตอนนั้นก็มืดแล้ว เราได้รับการบอกเล่าว่ามีสไนเปอร์อยู่บนตึกสูงแถวนี้ทุกตึก มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่อาจจะโจมตีทหาร จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมารับเรา

เราโทรศัพท์กันอีกหลายครั้งและปรึกษาว่า ทางไหนจะปลอดภัย สุดท้ายเราปีนบันไดข้ามกำแพง มีชายคนหนึ่งรอรับเราอยู่ เสียงปืนดังขึ้นอีก ครั้งนี้ค่อนข้างใกล้กับจุดที่เราอยู่ จนเราต้องย้ายไปยังจุดที่ปลอดภัยกว่าที่อพาร์ต เมนต์แห่งหนึ่ง หลังจากปรึกษากันอีกสักพัก เราตัดสินใจว่าจะเดินไปทางไหน ปีนข้ามกำแพงอีกกำแพงหนึ่ง ลงไปในซอยเล็กๆ ที่มีคนอยู่ เราถามหาทางออกที่ปลอดภัยที่สุด สุดตรอกนี้มืดมาก มืดมากจริงๆ ผุ้ชุมนุมเสื้อแดงบางคนอยู่ตรงนั้น เรามาถึงใต้สะพานลอยรถข้ามที่สามเหลี่ยมดินแดงพอดี

ผมมองเข้าไปในซอยทางขวามือ มันเหมือนกับจ้องมองเข้าไปในหุบเหวลึก ควันและความมืดสนิทที่สะพานลอยหายเข้าไป เราเดินไปทางซ้าย ไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คนไม่กี่คนซ่อนตัวอยู่ในเงามืด สักพักเราก็ออกมาถึงที่ที่ไฟสว่างกว่าเดิม ชาวบ้านหลายคนอยู่นอกบ้าน เมื่อผมเดินไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิผมก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ของพระ

พระสงฆ์กว่า 100 รูปนั่งอยู่ที่อนุสาวรีย์ ภาวนาให้การฆ่ากันยุติ ผมนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับบ้าน เพราะต้องทิ้งจักรยานยนต์ของตัวเองไว้ในซอยแห่งหนึ่งในเขตสังหาร

หน้า 2

http://www.khaosod.c....dOaTB5TUE9PQ==

ต้นฉบับ Nick Nostitz

http://asiapacific.a....-killing-zone/

__________________

 

 

 

 

 

นายนิก นอสติทซ์ ผู้สื่อข่าวอิสระชาวเยอรมันที่มีเรื่องกับม็อบเมื่อวานนี้ที่หน้า บชน. ได้แจ้งความตำรวจแล้วว่าถูกชกที่ท้อง....

เป็นที่เข้าใจว่าเขาเป็นนักข่าวอิสระ แต่ชอบทักษิณ ชอบอีเพ็ญ......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

 

 

 

ที่เคยผ่านหูผ่านตามาก็พอจำได้ว่านายนิก นี่ออกแนวเสื้อแดง

 

แต่อ่านจากคำให้การของเขากับตำรวจ แสดงว่าเขาฟังทหารไทยพูดภาษาไทยได้????

 

เขาอยู่เมืองไทยมานานแล้ว?


In Topic: นึกแล้วครับ.. ว่ามันต้องมาบิดเบือน ไอ้ขาดทุนกำไรเนี่ย.. ช่วยสงเคราะห์หยาบๆ...

5 September 2013 - 17:37

ผมอยากได้แบบที่คุณ Majestic ทำอยู่พอดีเลย แต่ขี้เกียจทำ


In Topic: ไปๆมาๆ รมต.ชัชชาติก็ไม่ต่างจากนายกปูเท่าไหร่นะครับ

17 August 2013 - 12:59

คนนี้ผมเชียร์ครับ

 

ถึงจะไม่เห็นด้วยเรื่องกู้ 2.2 ล้านล้าน


In Topic: รัฐบาล ปู อำมาตย์ขนาดไหน ติดแอร์ให้ขยะ ด้วย

6 August 2013 - 14:44

มาให้ข้อมูลครับ

 

เรื่องติดแอร์ห้องขยะ ในอาคารใหญ่ๆเป็นเรื่องปกตินะครับ เขากันขยะเน่าส่งกลิ่นก่อนเอาไปทิ้ง

 

ส่วนนาฬิกา Bodet คาดว่าน่าจะเป็นระบบ Master clock 

คือเป็นระบบเครือข่ายนาฬิกาที่จะทำการเทียบเวลาจากส่วนกลางได้โดยอัตโนมัติ

ไม่ต้องไปค่อยตั้งเวลาทีละตัว

ส่วนราคา 75000 ต่อตัว ผมว่าค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากไม่ทราบ spec ก็ยากที่่จะบอกว่าแพงเกินจริงหรือไม่


In Topic: เสนอไอเดียเรื่องนโยบายข้าว สำหรับช่วยเหลือเกษตกร

26 June 2013 - 09:58

ผมจำได้ว่าประกันราคามีปัญหา การลงทะเบียนเกษตรกร คือ มีการไปแจ้งจำนวนไร่เว่อร์ๆ หรือไม่ได้ทำนาแต่มีที่เปล่า ก็ไปแจ้งไว้ แล้วมารับเงินส่วนต่างประกันไป ซึ่งจะทำอย่างนี้ได้ก็ต้องรู้เห็นเป็นใจกับคนรับรอง เห็นว่าเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้านหรือกรรมการชุมชน ซึ่งผมว่าเขาก็คงฮั้วกันนั่นแหล่ะ เคยมีข่าวว่าผู้ใหญ่บ้านไม่ยอมแจ้งเท็จจนถูกลูกบ้านไม่พอใจจะปลดออก ผมว่าเรื่องนี้ต้องหาทางป้อง ไม่อย่างนั้นก็จะรั่วไหลมากและปลูกฝังนิสัยแย่ๆให้ชาวบ้าน

 
เขาให้แค่รายละ 25 ไร่ในตอนแรก แล้วมาปรับเป็น 30 ไร่
อยากทราบว่าแจ้งเว่อร์ๆ แจ้งยังไง ถ้าจะมีก็คือ ชาวนาเดิมมีที่ร้อยไร่
จะเข้าโครงการประกันก็ได้แค่สามสิบไร่เท่านั้นจึงแบ่งนาออกเป็นหลายส่วน
เพื่อเข้าโครงการประกันรายได้ให้ได้ครับทุกไร่ คนที่เข้าโครงการต้องผ่านการ
ประชาคมว่าได้ทำนาจริง ส่วนใครไม่ปลูกข้าวแล้วได้ส่วนต่างมีไหม
จะมีได้ยังไงถ้าไม่มีข้าวไปขายที่โรงสี ก็ไม่ได้เงินส่วนต่าง
คุณต้องไปหาข้าวมาไปหาจากไหนใครเขาจะให้คุณ ถ้าเขาให้คุณ
เขาก็ไม่ได้ส่วนต่างสิ นอกจากว่าคุณจะไปขนมาจากประเทศเพื่อนบ้าน
ถ้าคิดว่าคุ้มก็ทำไปนะ

ผมไม่ใช่ชาวนาครับ ผมไม่ทราบว่าสถานะการณ์จริงๆมันเป็นอย่างไร
ก็รับทราบจากสื่อต่างๆ ทีวี หนังสือพิมพ์ ยกตัวอย่าง
http://www.thairath....price_guarantee
เขาก็มีพูดถึงข้อเสียของการประกันคล้ายๆกับที่ผมจำได้