Jump to content


Zecret

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 5 ธันวาคม 2551
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: ส่วนตัว
*****

Topics I've Started

ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับ “หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย รักษาพระองค์” (นถปภ. รอ.)

9 เมษายน พ.ศ. 2557 - 23:05

slkuZj.jpg
“หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย รักษาพระองค์” (นถปภ. รอ.)
via หมื่นทิวา พันราตรี

ขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และความเข้าใจที่ถูกต้อง
เกี่ยวกับ “หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย รักษาพระองค์” (นถปภ. รอ.)

เดิมทีคิดว่าวันนี้จะทำงานเบาๆ ชิวๆ แต่บังเอิญมีน้องที่ทำงาน Print ข่าวลือ
และเรื่องเข้าใจผิด ในInternet มาให้อ่าน พอได้อ่านแล้ว รู้สึก “ปี๊ด” ครับ
ขึ้นทันที..ไอ้พวกเวรล้มเจ้า นี่แม่งเล่นไม่เลิก...
(ขออภัย..อาจไม่สุภาพไปบ้าง สำหรับเปรตพวกนี้)

ปกติจะไม่โพสต์บทความสองวันติดกัน แต่วันนี้ไม่ไหว
...ถ้างั้น จะช้าอยู่ใย...จัดเลยดีกว่า.....

เรื่องนี้ เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว จะนิ่งเฉยเสียมิได้...ดูท่าว่าจะบานปลายเข้าใจผิดไปกันใหญ่
ที่ร้ายไปกว่านั้น...จะกลับกลายเป็นว่า...ถูกขบวนการล้มล้างสถาบัน...นำมาบิดเบือน
ใส่สีตีไข่จนกลายเป็นข่าวลือห่างไกลความจริงไปมาก

เรื่องที่ว่านี้ก็คือ เรื่อง “หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (นถปภ. รอ.)”
เนื่องจากมีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์
กระทรวงกลาโหม ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๕ เม.ย.๕๗ เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๓๘ ก
ที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรในก่อไผ่เลย...เป็นเรื่องของการบริหารจัดการภายในมากกว่า
เหตุที่ต้องแยก “นถปภ. รอ.” ออกมาเป็นหน่วยขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหมนั้น
ในฐานะที่พอมีความรู้ในเรื่องนี้อยู่บ้างจึงขออธิบายโดยภาพรวม ดังนี้...

(๑) เนื่องจาก ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยนี้ (นถปภ. รอ.) คือ “พลเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกุฎราชกุมาร” ทรงดำรงพระยศ พลเอก แต่อัตรา “จอมพล” และเนื่องจาก ตำแหน่ง ผบ.ทบ.
หรือ ผบ.สส. นั้น มีชั้นยศ “พลเอก” ประกอบกับกำลังพลของหน่วย “นถปภ. รอ.” มีกำลังพลที่ประจำ
และโอนย้าย หรือมาช่วยราชการจากทุกเหล่าทัพ ดังนั้นเพื่อความเหมาะสมและเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ
ในฐานะที่องค์ผู้บังคับบัญชาสูงสุดทรง ดำรงพระอิสริยยศชั้น “มงกุฎราชกุมารและเป็นองค์รัชทายาท”
ตลอดจนเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดกำลังพลภายในหน่วย จึงจำเป็นต้องแยก นถปภ. รอ.
ออกมาต่างหากจากกองทัพไทย ไม่มีนัยสำคัญใดๆ ในทางการเมืองทั้งสิ้น


(๒) หน่วยขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหม มิได้มีเพียง “นถปภ. รอ.” เท่านั้น แต่ยังคงมีอีกหลายหน่วย
เช่น “กรมราชองครักษ์” ซึ่ง ผู้บังคับบัญชาสูงสุด ของ “กรมราชองครักษ์” คือ “สมุหราชองครักษ์”
ชั้นยศ พลเอก แต่ อัตรา “จอมพล” และเป็นหน่วยที่มีกำลังพลที่ประจำ และโอนย้าย
หรือมาช่วยราชการจากทุกเหล่าทัพเช่นกัน ดังนั้นด้วยเหตุผลคล้ายกับข้อ (๑)
กรมราชองครักษ์ จึงเป็นหน่วยขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม
และเป็นหน่วยขึ้นตรงมานานแล้ว ก่อน “นถปภ. รอ.”

ดังนั้นใครก็ตามที่มีการกล่าวว่า “นถปภ. รอ.” เป็นก้านที่ห้า หรือกองทัพที่ห้าของกระทรวงกลาโหมนั้น
ขอบอกเลยว่า ผู้กล่าวไม่ใช่ทหารแน่นอน ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกองทัพ หรือกระทรวงกลาโหม
และไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับราชสำนักด้วยซ้ำ ที่สำคัญ ....“โคตรโง่” สุดๆ …
เพราะหากนับโครงสร้างองค์กร (Organization Chart) กระทรวงกลาโหม
มีหน่วยขึ้นตรง รวมทั้งกิ่งก้าน และสายการบังคับบัญชาภายในเต็มไปหมด ไม่รู้กี่ก้านต่อกี่ก้าน
เพราะฉะนั้นกลับไปศึกษาเรื่องหน่วยขึ้นตรงของกระทรวง ทบวงกรม ต่างๆให้ดี
แล้วค่อยมาอวดฉลาด... “เจ้าหนูน้อย....ไอ้ลูกหมา”...หัวจะหลุดจากบ่ายังไม่รู้ตัว

(๓) หากถามว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือปลัดกระทรวงกลาโหม เป็น... “ผู้บังคับบัญชาสูงสุด”
ของ “นถปภ. รอ.” และ “กรมราชองครักษ์” ใช่หรือไม่ .. คำตอบคือ “ไม่ใช่” เน้นอีกครั้ง “ไม่ใช่”
ตามที่กล่าวในข้อ (๒) ผู้บังคับบัญชาสูงสุด ของ “นถปภ. รอ.” คือ “พลเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกุฎราชกุมาร” และผู้บังคับบัญชาสูงสุดของ “กรมราชองครักษ์” คือ สมุหราชองครักษ์
ส่วนรมว.กลาโหม และปลัดกระทรวงกลาโหม จะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สนับสนุน ในงานด้านธุรการ
หรืออำนวยการทั่วไปเท่านั้น ไม่มีอำนาจสั่งการ หรือบังคับบัญชาโดยตรง
หากแต่การบังคับบัญชาสั่งการ การเลื่อน ลด ปลด ย้าย และการพิจารณา ความดีความชอบ
ข้าราชการในสังกัด “นถปภ. รอ.” และ “กรมราชองครักษ์” จึงมิได้ขึ้นต่อ รมว.กลาโหม
หรือปลัดกระทรวงกลาโหม แต่อย่างใด

การบริหารจัดการหน่วยราชการลักษณะนี้ มีอีกหลายต่อหลายส่วนราชการ ในหลายๆ กระทรวง
ไม่ใช่เฉพาะกระทรวงกลาโหมเท่านั้น อยากรู้ไปศึกษาต่อเอาเองหรือ Inbox มาถาม ถ้าว่างจะช่วยตอบให้


(๔) การที่มีกระแสข่าว ว่า “นถปภ. รอ.” จัดกำลังทหารออกมาคุ้มกันนายกรัฐมนตรีนั้น
ขอตอบเลยว่าเป็นเรื่อง “ตลก” ของพวกที่ประสงค์จะดึงฟ้าต่ำมากกว่า
เนื่องจากภารกิจหลักของ “นถปภ. รอ.” คือ การถวายอารักขา และถวายพระเกียรติ
สำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์
หรือ “VVIP.” เท่านั้น ..นายกไม่เกี่ยว!!

(๕) เชื่อมั่นได้เลยว่า เจ้าหน้าที่งานในพระองค์ สังกัดกองกิจการในพระองค์
“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” และกำลังพลในสังกัดของ “นถปภ. รอ.”
มีความจงรักภักดีต่อชาติ และราชบังลังก์ทุกคน ไม่ว่าตั้งแต่พลอาสาสมัครจนถึงพลเอก
ไม่ว่าจะย้ายมาจากหน่วยไหน ก่อนจะเริ่มถวายงานทุกคนทุกนายจะต้องผ่านการฝึก
จาก “หน่วยฝึก” ของนถปภ. รอ. โดยหัวข้อหนึ่งของการฝึกคือ แบบธรรมเนียมในราชสำนัก
และจะต้อง ท่องจำ “ราชสวัสดิ์” จนขึ้นใจ ผิดไม่ได้แม้แต่คำเดียว มิเช่นนั้นถือว่าไม่ผ่านการฝึก
จะถวายงานไม่ได้ ซึ่งถือเป็นพระราชบัณฑูร(คำสั่ง) ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
โดย “ราชสวัสดิ์” นี้ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ และเป็นแนวทางที่ข้าราชบริพาร
ตลอดจนเจ้าหน้าที่งานในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร จะต้องยึดถือปฏิบัติ
ในการถวายพระเกียรติ และถวายความจงรักภักดี โดยเคร่งครัด “เหมือนสมาทานศีลไว้ให้มั่นคง”
(หาอ่าน “ราชสวัสดิ์” ต่อได้จาก Google)


จากที่กล่าวมาทั้งหมด การที่มีกลุ่มบุคคลพยายาม “ดึงฟ้าต่ำ”
นำพระนามของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
เข้ามายุ่งเกี่ยวในความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ถือว่าเป็นผู้ที่ห่างไกล มิได้มีความใกล้ชิด
หรือไม่มีความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด ที่สำคัญนับแต่รัชกาลที่ ๗
ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูฐ และอำนาจอธิปไตยให้กับพสกนิกรชาวไทยแล้ว
สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองอีกเลย
พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงวางพระองค์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาโดยตลอด
แต่จะทรงเกี่ยวข้อง เฉพาะในเรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เท่านั้น...

พระเก้าอี้ประวัติศาสตร์

6 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 02:18

uu4LDP.jpg
"พระเก้าอี้ประวัติศาสตร์"
via คลังประวัติศาสตร์ไทย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาถวายบังคมพระบรมรูปที่ปราสาทพระเทพบิดร
เมื่อเสด็จถึงก็ทรงเหนื่อย ทรงหาที่จะนั่งพัก แล้วอยู่ดีดีท่านก็ประทับนั่งตรงเก้าอี้เหล็กนี้
เป็นที่ตกตะลึงมากสำหรับประชาชนที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงเก็บเก้าอี้นี้มาไว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคล
เก้าอี้เหล็กนี้เป็นที่นั่งพักของประชาชนทั่วไป ค่อนข้างเก่ามาก




t9VNPJ.jpg
หนีร้อน มาพึ่งเย็น "ใต้ร่มจิตลดา"
via คลังประวัติศาสตร์ไทย
จากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา หลังจากที่ตำรวจได้เข้าปิดล้อมปราบผู้ชุมนุม
ทำให้นักศึกษาประชาชนบางส่วนหนีข้ามคลองไปยังฝั่งของวังสวนจิตลดา
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทราบข่าวก็ทรงรีบเสด็จพระราชดำเนินไปหานักศึกษาและประชาชนที่เข้ามาหลบภัย
ด้วยทรงเป็นห่วงประชาชนของพระองค์ โดยที่พระองค์ไม่ทรงเกรงกลัวอันตรายใดๆ
ดังที่มีคนเคยกล่าวไว้ให้ได้ยินอยู่เสมอๆว่า "ในหลวง ทรงอยู่ข้างประชาชนของพระองค์เสมอ"




U5iJcK.jpg
จะไม่บรรทมหลับ ”ข้ามวัน”
via คลังประวัติศาสตร์ไทย
ธรรมเนียมนี้มีมาจากสมัยอยุธยา ที่ว่าพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายในพระราชวงศ์จะไม่บรรทมหลับข้ามวัน
คือนอนจากวันนี้ข้ามเที่ยงคืนไปอีกวันหนึ่ง แต่จะบรรทมก็ต่อเมื่อหลังเที่ยงคืนไปแล้ว

รัชกาลที่ ๖ ทรงอธิบายไว้ว่า
เป็นมาตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวกรุงเก่าแล้ว ที่พระมหากษัตริย์จะทรงงานในเวลากลางคืน
เปรียบเหมือนทรงเป็นนายยามคอยระวังภัยให้ราษฎรของพระองค์
เพราะเวลากลางคืนเป็นเวลาที่ราษฎรทั้งหลายพักผ่อนนอนหลับจากการประกอบอาชีพมาทั้งวัน
เมื่อมีข้าศึกหรือมีภัยมาในเวลากลางคืน
พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงงานอยู่ในเวลากลางคืน
ก็จะสามารถจัดการป้องกันภัยนั้นให้แก่ราษฎรได้
และเมื่อราษฎรตื่นนอนในตอนใกล้รุ่งจึงเสด็จเข้าพระบรรทม

จึงเป็นที่มาของการไม่บรรทมหลับข้ามวัน
ดังตัวอย่างเจ้านายในพระราชวงศ์จักรี เช่น สมเด็จพระพันปีหลวงก็จะทรงงานจนถึงเช้า
เล่ากันว่ารอบๆ ตำหนักที่ประทับวังสวนดุสิต หรือวังพญาไทจะสว่างตลอดทั้งคืน
หรือ พระนางเจ้าสุขุมาลฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาฯ ส่วนพระองค์ในรัชกาลที่ ๕
เมื่อถึงเวลา ๔ ทุ่ม ก็จะเสด็จขึ้นพระที่นั่งจักรีเพื่อทรงงานพระอักษรถวายรัชกาลที่ ๕ จนถึงตีสี่จึงเสด็จกลับ

สำหรับในหลวงของเรา เมื่อครั้งยังมีพระวรกายแข็งแรงก็ไม่ทรงบรรทมหลับข้ามวันเช่นกัน
โดยในเวลากลางคืนพระองค์จะทรงงานด้านแผนที่ และสรุปการทรงงานโครงการในพระราชดำริของแต่ละวัน
จนเช้าจึงเสด็จเข้าบรรทม หรือบรรทมในรถยนต์พระที่นั่งหากมีพระราชกรณียกิจต่อในช่วงเช้า
อีกหนึ่งพระองค์คือ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ที่มักจะเสด็จทรงงานในเวลาใกล้ค่ำ
กลับถึงตำหนักที่ประทับในเวลาดึกแล้วทรงพระอักษรชมรม หรือมูลนิธิที่พระองค์ทรงดูแลต่อ
จนใกล้รุ่งถึงเข้าบรรทมจนเป็นกิจวัตร และอีกหลายๆ พระองค์


เรียนพี่ๆ น้องๆ กปปส. ทุกท่าน โดย ดร.พร วิรุฬห์รักษ์

1 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 20:25

fHdIs5.jpg
เรียนพี่ๆ น้องๆ กปปส. ทุกท่าน
via : Dr.Ponn Virulrak - Politics Only (๑ มี.ค. ๕๗)

หลายๆ ท่านกำลังอาจกลุ้มใจที่กำนันตัดสินใจยุบเวที เปิดถนนทั้งหมด แล้วไปรวมที่สวนลุมนั้น
ผมอยากให้ทุกท่านใจเย็นๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะมากลุ้มใจอะไรเลย
ผมเห็นด้วยกับ Move นี้ สนับสนุน 100%

ใครที่บอกว่าเสื้อแดงกำลังหัวเราะเยาะ
ผมก็ต้องขอเรียนว่า มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องสนใจว่าเขาจะคิดอะไรทำอะไร
เราสนใจการกระทำ และผลของการกระทำที่จะเกิดขึ้นเป็นหลักครับ เราสนใจแค่นั้นพอเลย

อันดับแรกขอให้พี่น้อง กปปส. มาลองมองสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนว่า
จุดแข็งในกลยุทธของเราที่ผ่านมาคืออะไร ผมมองว่าจุดแข็งของเรามี ๓ เรื่องครับ

๑. ทุน – ที่เป็นกำลังเงินในการขับเคลื่อนทั้งหมด
แต่เราต้องยอมรับว่าทุนเหล่านี้มาจากนักธุรกิจที่สนับสนุนเรา
และหากสถานการณ์ยังเป็นอยู่อย่างนี้ นักธุรกิจระดับกลางก็จะเริ่มเบื่อ
เศรษฐกิจมีปัญหา นักธุรกิจก็จะค่อยๆ ถอย
เราจะลำบากมากขึ้น เราก็จะขาดการสนับสนุน ตรงนี้ต้องรีบแก้

๒. การประเมินตลอดเวลาและปรับตัวอย่างรวดเร็ว – ตรงนี้สำคัญ
เวลามวลชนมีความเห็น ความอึดอัดทางใด กปปส. จะ React อย่างเร็วเสมอ
ปรับปรุงแผนได้เสมอ ตามสถานการณ์ที่ไม่มีความแน่นอน
ที่ชัดๆ ก็คือการขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้า พอโดนโจมตีมาก
เราก็ไม่ขัดขวางในวันเลือกตั้งใหญ่อีกแล้ว กกต.ก็ระบุว่าทุกอย่างดำเนินไปได้ดี
ตอนที่เราโดนยิงฝ่ายเดียว วันต่อมาเราก็มี Popcorn มาเลย ตรงนี้ไม่เคยตก เราทำมาตลอด

๓. การรักษาภาพเรื่องการชุมนุมที่มีสาระ – ตรงนี้สำคัญมาก
คือบนเวที ไม่มีการปลุกอารมณ์ให้เกลียด หรือโกรธ หรือคลั่ง
แต่เป็นเรื่องของการให้ความรู้ บางที่ก็ฮาเป็นหลักเกือบ 80%
การปลุกระดมมีบ้าง แต่ไม่ใช่ส่วนหลัก ผลคืออารมณ์ของคนเป็นลักษณะ Stable
คนก็เสพได้เรื่อยๆ ไม่เครียด ทำให้มันเกิดความเป็นบรรยากาศปกติของการชุมนุม
ซึ่งหมายถึงว่าจะชุมนุมยืดเยื้อก็ว่าก็ไป ตราบใดที่ทุนยังไม่หมด
จัดเครื่องจัดไฟได้เวทีได้อยู่ คนก็มาเรื่อยๆ ได้

นิทานยามเช้า #แม้วจบ

18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 07:04

QPWTB8.gif
"นิทานยามเช้า #แม้วจบ"
via @SunnyAsia

คืนนี้ขอสรุปตัวเลขจำนวนตำรวจที่เตรียมมาให้ทราบ
พรุ่งนี้ ๑๘ ก.พ. ยังไงก็จะเอาให้จบ แล้วมันจะจบด้วยอะไรครับ
เราเรียกว่า แม้วจบดีไหม ...

#แม้วจบ
จำนวนตำรวจที่เตรียมมาทั้งสิ้น ๑๒๐ กองร้อย จำนวน ๑๘,๐๐๐ คน
มาจากภูธร และนครบาลเท่านั้น ให้สังเกตุจะไม่มี ตชด. มาเลย
กำลังอยู่ที่ ๔ แห่ง
-๓๐ กองร้อย ๔,๕๐๐ คนอยู่ที่เมืองทอง
-๓๐ กองร้อย ๔,๕๐๐ คนอยู่ที่สตช
-๒๐ กองร้อย ๓,๐๐๐ คนอยู่ที่บช.น.
-๔๐ กองร้อย ๖,๐๐๐ คนอยู่ที่ตชด.ภาค๑

เวทีตามที่ประกาศ ๕ เวที (๑)ทำเนียบรัฐบาล (๒)มหาดไทย (๓)ก.พลังงาน
(๔)สะพานผ่านฟ้า (๕)แจ้งวัฒนะ กำลังพลที่ขอพื้นที่คืนมีจำนวนเพียงพอทำงาน

ชุด๑ ใช้แก๊สน้ำตาและยิงเครื่องเสียงรวมถึงยิงขับไล่
ชุด๒ ใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าขับไล่
ชุด๓ เปิดทางให้ผู้ขุมนุมเข้าแนวและล้อมจับ
ชุด๔ คุ้มกันไปกับตำรวจชุด ๑-๓ และขึ้นที่สูงยิงคุ้มกัน ปะทะกับมือปืนป๊อบคอร์น
แนวหลังจะเป็นแดงฮาร์ดคอร์ และเขมรชุดดำประกบหลัง

ตำรวจเข้าพรุ่งนี้ (๑๘ กพ.) ช้าสุดต้องจบในเที่ยงวันที่ ๑๙ ก.พ.
มีชุดอาวุธกระสุนจริงรวมทั้ง M79 แถมด้วยสุดยอดรถยนต์หุ้มเกราะล้อยางที่เตรียมมา

จากนี้ก็ต้องมีข่าวดีบ้าง
ชุดมือปืนป๊อบคอร์นที่ออกมาคุ้มครองผู้ชุมนุมที่หลักสี่
แบบนั้นมีทั้งหมด ๖ ชุด อุปกรณ์และขนมที่จะแจกมีเพียงพอ
ชายคนดีป๊อบคอร์นเตรียมรถที่หนักกว่าหุ้มเกราะล้อยางของตำรวจไว้แล้ว
งานนี้เละแน่ถ้าตำรวจจะเริ่มงาน

ทหารเตรียมตัว (๑)เบิกหน้ากากป้องกันไอพิษ (๒)เบิกเสื้อเกราะมาเตรียม
(๓)ชุดแพทย์ประสานรพ. (๔)เตรียมสัญญานบอกฝ่ายให้เรียบร้อย

ตชด. เป็นหน่วยเดียวที่ "อดุลย์" มีบารมีสั่งได้ ยืนยัน "อดุลย์" ไม่อยู่กับปู
ภูธรมาหมดทุกภาค แม้วช้อปไปหมดทุกคนแล้ว ทหารภาค๑ เปิดงานให้ปชช
การตอบโต้โดยกองกำลังปชช ทุกจุดมีหมด บางบอน ทร.ดูแล
พรุ่งนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับปชช เป็ดเหลิมเป็นอดีตไปเลย ชาวนาให้ สห.ทอ.ดูแล

#ตัวช่วย
ชุดป๊อบคอร์นที่หลักสี่ (๑)คนยิงถือถุงป๊อบ (๒)คนชี้เป้าใส่ฮู้ดขาว
(๓)มี ๓-๔ คนเป็นชุดคุ้มกัน ๑ และ๒ เรียกว่าชุด Q.O.D. ในที่ชุมนุมมีทั้งหมด ๖ ชุด
หลักสี่ตะกวดเห็นชุด Q.O.D.ทำงาน ดูออกว่ากำลังเจอนรก
ถึงรีบพาโก๊ะตี๋บนรถตู้หนีออกมาก่อน
ไปตั้งหลักที่โรงพักไม่งั้นโกตี๋ไปรอแม้วที่นรกก่อนเลย

The Next Move: ของ กปปส. และ ระบอบทักษิณ โดย ดร.พร วิรุฬห์รักษ์

17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 09:04

lhk7uI.gif
The Next Move: ของ กปปส. และ ระบอบทักษิณ
via : Dr.Ponn Virulrak - Politics Only (8 ก.พ. 57)

จากหนังสือ 33 Strategies of War โดย Robert Green ซึ่งเป็นหนังสือกลยุทธ์ที่ฝรั่งเขียนตามซุนหวู่
มีประโยคสำคัญในภาคแรก ก่อนที่จะพูดถึงกลยุทธ์ใดๆ คือ “Seeing things as they are”
ซึ่งหมายถึงการเปิดตา มองรอบๆตัว ดูสถานการณ์ตามความเป็นจริง ไม่ดูตามอารมณ์
ไม่ดูในแบบที่อยากให้มันเป็น ไม่อวดดี ไม่กลัว ไม่สับสน ตัดอารมณ์ทุกอย่างออกไปก่อน
สนใจแค่ “ความเป็นจริง” อย่างเดียว

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในหลายๆ สาขาของการเรียน และประกอบธุรกิจ
เพราะถ้าเราไม่เห็นความจริง หรือเห็นความจริงแต่ไม่ครบถ้วน แผนที่เราจะวางต่อไปก็คือแผนที่ผิด

หลักคิดนี่สำคัญ แต่หากมาปรับในสถานการณ์ปัจจุบัน
ก็ต้องขอเพิ่มองค์ประกอบคำว่า “at that time” เข้าไป เป็นเงื่อนไขอีกข้อที่สำคัญมาก
ซึ่งหมายถึงการพร้อมที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ ตามเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป
องค์ประกอบของ “ความจริง” ก็ต้องเป็นความจริง “ณ เวลานั้น” ด้วย
ถ้าเป็นความจริงของเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว
เอามาวางแผนกลยุทธ์ตอนนี้อาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ใช้การไม่ได้

สำหรับการเมืองของไทยตอนนี้ การเอาความจริงเมื่อ 3 วันที่แล้ว
มาวิเคราะห์เพื่อวางแผนกลยุทธ์ อาจจะเป็นยิ่งกว่าแผนทีใช้ไม่ได้
อาจจะถือว่าเป็นแผนที่ “เน่า” ไปเลยก็ได้

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2556 ใครจะคิดว่า พรรคประชาธิปปัตย์จะเริ่มเล่นการเมืองข้างถนน

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ใครจะคิดว่า สุเทพ ที่มีภูมิหลังสกปรก
จะได้รับการยอมรับจากมวลชน ให้เกิดการประสานขั้วต่อต้านทักษิณเป็นหนึ่งเดียวกัน


เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 ใครจะคิดว่าคนจะเข้ามาร่วมกระบวนการ กปปส. เป็นล้าน

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2557 ใครจะคิดว่าวิกฤติจำนำข้าวจะคลี่ออกมาเป็นดาบอาญาสิทธิ
ที่กำลังจะตัดคอระบอบทักษิณ ช้าๆ แต่โคตรชัวร์


และแล้ว วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา
เราก็ยังคงคาดไม่ถึงกับอะไรหลายๆ เรื่องที่มันกำลังเกิดอยู่
แต่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ถึงแม้รัฐบาลจะกำลังเมาหมัด
กปปส. ของเราก็อ่อนแรงไปพอสมควรเหมือนกัน
นี่คือความจริง ซึ่งผมคิดว่าแกนนำก็รู้


หากเราจะวิเคราะห์เกม เราต้องดูความเป็นจริงก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนหากลยุทธ์