Jump to content


~ThugSin~

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 26 กุมภาพันธ์ 2552
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2557 21:20
-----

Topics I've Started

โลกสีเทา

11 มกราคม พ.ศ. 2557 - 16:04

สวัสดียามเย็นครับ อีกไม่กี่วันแล้วสินะ ที่จะได้ออกมาทำงานกลางถนนกันอีกรอบหนึ่งแล้ว
 
มาเขียนอะไรแบบหนัก ๆ ทิ้งไว้เพื่อให้ทำความรู้จักกับโลกอีกใบหนึ่งดีกว่า มันคือโลกสีเทาครับ

โลกสีเทา คือโลกในคติของคนที่ไม่สามารถจะใช้สติปัญญาของตนเองแบ่งแยกได้อีกแล้วว่า จริง ๆ อย่างไหนเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีกับตัวเอง แม้สิ่งที่ตัวเอง
เห็นนั้น จะชัดแจ้ง พอที่จะแบ่งแยกได้ก็ตามที มองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความจนปัญญา หมดสิ้นซึ่งหนทาง หรือแม้กระทั่งจะหลีกหนีปัญหาไปเสีย ไม่กล้า
ออกมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้องที่ตัวเองประสบพบ
 
พวกคนที่เชื่อในเรื่องของโลกสีเทา หลายคนมักจะคิดว่า โลกนี้ไม่สามารถที่จะแบ่งความดีกับความชั่วออกเป็นสีขาวกับสีดำได้ มีแต่สีเทา หากแต่ว่าจะ
เป็นสีเทาที่เข้มมากหรือเข้มน้อยเท่านั้น แล้วก็ช่างหัวมัน ฉันไม่แคร์ ฉันจะอยู่อย่างไรก็เรื่องของฉัน ถ้ามันกระทบกับฉัน ฉันก็จะอดทนอยู่ไปวัน ๆ ฉันทำ
อะไรกับมันไม่ได้ ฉันยอมมันแล้ว ปล่อยมันไป
 
ก่อนอื่น ผมจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟังกันดีกว่า ซึ่งเป็นตัวอย่างง่าย ๆ สำหรับสิ่งที่จะกล่าวต่อจากนี้ไป หลังจากนิทานเรื่องนี้จบ
 
 
มีดาวดวงน้อย ๆ ชื่อว่าดาวสีเทา ดาวสีเทามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง เรียกว่า เจี้ย เจี้ยเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนมากที่สุดบนดาวสีเทา รวมกันแล้วยัง
มีมากกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกันเสียอีก
 
ในวันหนึ่ง ที่ดาวสีเทา มีการจัดเสวนาของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ มีสิ่งมีชีวิตอีกชนิด เรียกว่า เอี้ย
 
ในใจลึก ๆ เอี้ยมองว่า ตัวเจี้ยนั้น เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนมากเกินไปเสียแล้ว เกรงว่าในภายภาคหน้า บนดาวสีเทานั้น จะไม่มีเผ่าพันธุ์อื่นใดอาศัยอยู่อีก
ถูกดูดกลืนหายไปจนหมด เหลือแต่ตัวเจี้ย ดังนั้น เอี้ยจึงเสนอความคิดเห็นหนึ่งขึ้นมาในวงเสวนา ความคิดนั้นคือ "สิทธิในการฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์
อื่น ๆ" แล้วจัดให้มีการลงประชามติกัน โดยยึดถือหลักการเสียงส่วนใหญ่ นับตามจำนวนของสิ่งมีชีวิตในแต่ละเผ่าพันธุ์ 1 ตัว 1 เสียง นั่นหมายความว่า
เผ่าเจี้ย ซึ่งมีจำนวนประชากรมากที่สุดบนดาวสีเทานั้น ก็จะมีเสียงส่วนใหญ่ที่สุดในดาวสีเทาแห่งนี้โดยปริยาย
 
เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ ตัวแทนจากเจี้ย จึงยกมือ เห็นชอบในสิทธิการฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ตามเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ด้วย ผลสรุปของการลง
ประชามติครั้งนี้คือ เสียงทั้งดาวสีเทา เป็นเอกฉันท์ให้สิทธิในการฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เป็นสิ่งที่ชอบอย่างท้วมท้น
 
เจี้ย ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดบนดาวนั้น เพื่อความอยู่รอด เจี้ยมีจารีตประเพณีที่ต้องปฏิบัติอยู่ข้อหนึ่งคือ ต้องไม่ฆ่าฟันกันเองในเผ่า แต่ก็ไม่ได้ระบุไว้ว่า ห้าม
ฆ่าฟันกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ดังนั้น หลังจากการลงประชามติ ฯ ได้เสร็จสิ้นลง เจี้ยก็ยังคงดำรงชีวิตตามปกติสุขต่อไป ส่วนเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เริ่มหันมาทำสงคราม
ซึ่งกันและกัน ฆ่าฟันกันเอง เพื่อแย่งชิงอำนาจและความอยู่รอดบนดวงดาว
 
ในบางครั้ง เจี้ยมักพบเหตุปะทะกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันตัวและตอบโต้ เจี้ยจะใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ตามเหตุ
และปัจจัยแวดล้อม รวมไปถึงการลักไก่ในอำนาจ จ้องฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ด้วย เพราะผลจากการลงประชามติดังกล่าว
 
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดาวสีเทาก็แทบจะไม่เหลือสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอาศัยอยู่อีกต่อไป นอกเหนือไปจากเจี้ย
 
และที่น่าขบขันคือ เผ่าพันธุ์เอี้ย ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่เสนอสิทธิในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และมีการลงประชามติด้วยนั้น กลับเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรก ๆ
ที่สูญพันธุ์ไปจากดาวสีเทาดวงนี้ไป
 
 
ทำไมสัตว์โลกทั้งหลาย นอกเหนือไปจากมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ถึงยังฆ่าแกงกันอยู่ได้โดยที่ไม่รู้สึกสำนึกผิด เพื่อความอยู่รอดของมัน แต่มนุษย์กลับหลีก
เลี่ยงที่จะไม่ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง รู้สึกเกรงกลัวต่อผลที่จะตามมา ถ้าไม่มีความจำเป็น ความคิด ความอยากอื่น ๆ มาเป็นตัวตัดสินใจให้ลงมือทำ แถมเป็น
ความคิดในจิตใจของแต่ละบุคคล ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้เป็นผลมาจากเสียงส่วนใหญ่ในสังคมอีกด้วย
 
สังคมมนุษย์บนโลกนี้ ในสมัยโบราณ ไม่ได้มีการจัดการเลือกตั้ง ลงประชามติกันอย่างเป็นทางการว่า การฆ่าแกงกันนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรมหรือไม่ หากแต่
มีจารีตประเพณีที่สืบต่อกันมาตั้งแต่ยุคมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายมาบังคับ เป็นสิ่งที่ติดตัวในจิตใจ เป็นจิตใต้สำนึกเล็ก ๆ ของ
มนุษย์แต่ละคนอยู่แล้ว ให้ละอาย เกรงกลัวต่อการฆ่ามนุษย์ มนุษย์มักไม่ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง โดยที่ไม่มีเหตุจูงใจอื่น ๆ (ยกเว้นมนุษย์วิกลจริต)
 
สังคมที่เจริญแล้ว ในบางสังคมที่ไม่มีลัทธิบูชายัญ ทำไมถึงมีจารีตประเพณีที่ปฏิเสธการฆ่ามนุษย์ มองว่าการฆ่ามนุษย์เป็นความสกปรก ความน่ารังเกียจ
ความชั่วร้าย ไม่ใช่ความสวยงาม ความสร้างสรรค์ ความดีงามล่ะ...
 
 
ความคิดความอ่านของเรานั้น ประเสริฐกว่าสัตว์โลกอื่น ๆ ไปแล้วครับ อย่าทำตัวเองให้เลวลงไปกว่านี้ เพื่อสนองความอยากต่าง ๆ ในแบบที่สัตว์โลก
เหล่านั้นคิดเห็นกันเถิด เราต้องแยกแยะความดีกับความชั่วให้ออก ไม่ใช่มาบอกว่า
 
- โลกนี้มันก็เลวเหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละ เลวมากเลวน้อย พอคิดแบบนี้ก็มาแข่งกันทำเรื่องเลว ๆ ซะ ถ้าทำเลวแล้วมีแต่คนชื่นชอบ ถือว่าได้กำไร ถ้ามี
แต่คนรังเกียจ ถือว่าสูญเสีย ขาดทุน
 
- ความถูกต้องนั้น ก็คือผลประโยชน์ ถ้าผลประโยชน์นั้นสมกับที่เราชอบ นั่นคือความถูกต้องแล ไม่ว่าผลประโยชน์นั้นจะมาในรูปแบบใด จะมาจากไหน
อย่างไร เราไม่สนใจวิธีการ ขอบเขต ขอแค่ผลที่อยู่ตรงหน้าเป็นพอ
 
- เสียงส่วนมากว่ายังไง เราก็ต้องว่ายังงั้น ฉะนั้นเราจึงต้องรีบตามน้ำไปกับเขาด้วย ไม่งั้นชีวิตจะอยู่ยากลำบาก กลายเป็นคนส่วนน้อย (บางครั้ง พอเสียง
ส่วนมากกลับหลังหัน 180 องศา บางคนก็กลับลำ แทบตามไม่ทันชาวบ้านเขา ดูขำขันไปอีกแบบ)
 
อันนี้เขาเรียกว่าเป็นการสร้างชุดความคิด เพื่อเข้าข้างจริตของตัวเอง ความคิดของตัวเอง รวมทั้งการมโน โกหกตัวเอง คิดเองเออเองด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้
ใช้ปัญญาคิด วิเคราะห์ แยกแยะออกมาอย่างอย่างแท้จริงว่าสิ่งไหนที่เราควรทำ ควรคิด ควรพูด ถึงจะเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตของตัวเองและคนอื่น ๆ อย่าง
ยั่งยืน ตลอดไป ไม่ใช่มองแต่ผลที่มองเห็นได้เฉพาะหน้า ฉาบฉวย แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังกับสิ่งที่ตนเลือกไปว่าทำไมในตอนนั้นถึงไม่ได้คิด
ไม่ได้ไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน นั่งน้ำตาตกใน ด่าตัวเองว่าโง่ หลงเชื่อคนง่าย แล้วมาตามแก้ ตามล้าง ตามเช็ด โดยที่มันก็ไม่ได้จำเป็นตั้งแต่
แรกแล้ว
 
แล้วประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติที่ผ่านมานั้น เราจะคิดค้นศาสนา คุณธรรม จริยธรรมไว้มาสอนใจกันไปทำไม ถ้ามัวแต่คิดว่าบนโลกใบนี้ ความดีนั้นไม่มี
ความชั่วก็ไม่มี มีแต่คำว่าผลประโยชน์ ขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ในเผ่า ในประชาคม ในสังคม เพื่อสนองความใคร่ เอ้ย ความต้องการของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่
ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์เราทุกคนก็ต้องไขว่คว้า แสวงหาความจริง ความดี ที่ตัวเองอยากสัมผัสกันทั้งนั้น ไม่อยากจะพบเจอกับความเท็จ ความชั่ว ที่ตัวเอง
ไม่อยากสัมผัส ไม่อยากถูกหลอกลวงอีกต่อไป...