Garfield

 

ทางแก้ปัญหาเรื่องราคาข้าวคือ กรมส่งเสริมการเกษตร ต้องแนะนำวิธีลดต้นทุนให้ชาวนา เช่น ทำเกษตรอินทรีย์ หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมีเพราะแพง + มีปัญหาระยะยาวต่อสุขภาพดินและสุขภาพคน ...พอต้นทุนมันลด ถึงจะได้เกวียนไม่ถึงหมื่นห้า ก็ยังอยู่ได้

เรื่อง กรมส่งเสริมการเกษตรก็เช่นกัน ควรปฎิรูปอย่างยิ่ง สาระสำคัญมีอยู่ว่า ผมเพิ่งได้คุยกับพี่ที่นับถือท่านเคยเป็นชาวสวนมาก่อนไม่กี่วันก่อน เกี่ยวกับว่าทำไมกรมส่งเสริมการเกษตรถึงไม่ค่อยแนะนำวิธีลดต้นทุน ตามต่างจังหวัด พวกเกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ บางคนมีผลประโยชน์กับพ่อค้าบริษัทเคมีภัณฑ์การเกษตรต่าง ๆ สนับสนุนหรือเชียร์ให้ซื้อผลิตภัณฑ์ของพวกพ่อค้าแล้วได้ % น้อยรายนักที่จะสอนแบบลดต้นทุนให้กับเกษตรกร เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนซะเป็นหลัก เกษตรกรบางพื้นที่ย่ำแย่เพราะเชื่อเกษตรจังหวัดเกษตรอำเภอก็มีเพราะเคยได้พูดคุยกับเกษตรกรต่างจังหวัด อยากให้กรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำวิธีลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรอย่างแท้จริง และอย่างยั่งยืน นำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ต้องไปอิงพ่อค้าเคมีภัณฑ์การเกษตรเป็นใหญ่ เกษตรกรกระดูกสันหลังของชาติผู้ผลิตต้องเป็นคนตั้งราคา ไม่ใช่ให้พ่อค้าคนกลางเป็นคนตั้งราคา อยากให้ กรมส่งเสริมการเกษตร ส่งเสริมการเกษตรให้กับเกษตรอย่างตรงไปตรงมาไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงครับ.....

 

ในฐานะที่เคยทำงานคลุกคลีกับชาวนามา 3 ปีเต็มๆ

ชาวนาในภาคอีสานส่วนใหญ่ก็หันมาตื่นตัวเรื่องการลดต้นทุนต่างๆ นาๆ แต่ปัญหาที่ทำไม่ได้แม้อยากทำคือ

1. เรี่ยวแรงถดถอย เป็นความจริงเมื่อลงพื้นที่จริงๆ ผมไม่ค่อยเห็นชาวนาอายุ 30+ เลย เห็น 40+ นี่ก็ค่อนข้างแปลกใจแล้ว แต่ส่วนมากคืออายุ 50 -70 ปีทั้งนั้น ผมยังพูดกับเค้าว่าลุงแข็งแรงจริงๆ ในหมู่บ้านคุณจะเจอแค่คนแก่กับเด็กเท่านั้น

2. วัวควายไม่มีแล้วขายกินไปตอนตั้งแต่ตอนไหนยังจำไม่ได้เลย จะให้ซื้อใหม่ก็ไม่มีเงิน

3. พันธ์ข้าวของกระทรวงการข้าวปรับปรุงพันธ์มาเพื่อตอบสนองต่อปุ๋ยเคมี ใส่ปุ่ยคอก ปุ๋ยทำเองต่างๆ นาๆ จะไม่ได้ผลผลิตที่ดี

4. ปัญหาหนี้สิน ทำการเกษตรแบบลดต้นทุนต้องใช้เวลา 4-5 ปี กว่าจะได้ผลผลิตเท่าการใช้สารเคมี แต่หนี้ต้องจ่ายทุกปี ไหนจะภัยแล้งปีเว้นปีอีก

ทางแก้ปัญหาเรื่องราคาข้าวคือ กรมส่งเสริมการเกษตร ต้องแนะนำวิธีลดต้นทุนให้ชาวนา เช่น ทำเกษตรอินทรีย์ หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมีเพราะแพง + มีปัญหาระยะยาวต่อสุขภาพดินและสุขภาพคน ...พอต้นทุนมันลด ถึงจะได้เกวียนไม่ถึงหมื่นห้า ก็ยังอยู่ได้

เรื่อง กรมส่งเสริมการเกษตรก็เช่นกัน ควรปฎิรูปอย่างยิ่ง สาระสำคัญมีอยู่ว่า ผมเพิ่งได้คุยกับพี่ที่นับถือท่านเคยเป็นชาวสวนมาก่อนไม่กี่วันก่อน เกี่ยวกับว่าทำไมกรมส่งเสริมการเกษตรถึงไม่ค่อยแนะนำวิธีลดต้นทุน ตามต่างจังหวัด พวกเกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ บางคนมีผลประโยชน์กับพ่อค้าบริษัทเคมีภัณฑ์การเกษตรต่าง ๆ สนับสนุนหรือเชียร์ให้ซื้อผลิตภัณฑ์ของพวกพ่อค้าแล้วได้ % น้อยรายนักที่จะสอนแบบลดต้นทุนให้กับเกษตรกร เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนซะเป็นหลัก เกษตรกรบางพื้นที่ย่ำแย่เพราะเชื่อเกษตรจังหวัดเกษตรอำเภอก็มีเพราะเคยได้พูดคุยกับเกษตรกรต่างจังหวัด อยากให้กรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำวิธีลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรอย่างแท้จริง และอย่างยั่งยืน นำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ต้องไปอิงพ่อค้าเคมีภัณฑ์การเกษตรเป็นใหญ่ เกษตรกรกระดูกสันหลังของชาติผู้ผลิตต้องเป็นคนตั้งราคา ไม่ใช่ให้พ่อค้าคนกลางเป็นคนตั้งราคา อยากให้ กรมส่งเสริมการเกษตร ส่งเสริมการเกษตรให้กับเกษตรอย่างตรงไปตรงมาไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงครับ.....

 

 

บริบทที่คล้ายๆกัน

 

ใครยังจำปี 49 ได้มั้ยครับ เริ่มที่สนธิลิ้ม จบที่สนธิบัง 

 

มา่ปี 57 เริ่มที่สุเทพ จบที่ประยุทธ์ 

 

แต่สิ่งที่แตกต่างคือ สนธิลิ้ม มีความเกี่ยวข้องกับทักสินก่อนที่จะแตกคอกันภายหลัง ส่วนสนธิบังมาเป็นขี้ข้าทักสินภายหลังการรัฐประหาร

 

แต่คู่ สุเทพ + ประยุทธ์ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับระบอบทักสินเลย

 

และที่สำคัญที่สุด คือวิธีการ การปฏิบัติ คู่หลังเรียกว่าได้ใจประชาชนเต็มๆ ไม่มีสักชอตเลยที่ทำออกมาแล้วถูกด่า หรือถูกวิจารณ์ว่าไม่เข้าท่า

 

แต่คู่แรกนี่ทำอะไรก็ไม่สุดสักอย่าง แป๊ะลิ้มนั้นโหนเจ้า ดึงสถาบันลงมาจนเปรอะไปหมด จนทำให้สถาบันถูกโจมตีไม่หยุดหย่อนในทุกวันนี้ (ผมน่ะเคยคิดว่าแกรับงานทักสินมาเพื่อล้มล้างสถาบันเลยด้วยซ้ำ) แล้วก็ผลักมิตรไปเป็นศัตรูเยอะแยะ ขนาด ดร.สมเกียรติแกยังรังเกียจ ไม่เอาด้วย ตอนนั้นผมก็มอง ดร.สมเกียรติในทางลบ แต่เมื่อเห็นแกออกมาเคลื่อนไหวกับ กปปส.แล้ว ผมเชื่อแกอย่างสนิทใจ ตอนนั้นแกพูดถึงแป๊ะลิ้มยังงัย้าง ต้องรีบกลับไปหามาดูเลยทีเดียว

 

ส่วนสนธิบัง รัฐประหารแล้วก็ไม่เด็ดขาด ทำอะไรไม่สุดสักอย่าง ผมไม่ตำหนิเรื่องรัฐบาลสุรยุทธ์ เพราะเมื่อเลือกให้เขามาเป็น นายกฯแล้ว บิ๊กบังก็ไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายอะไรในสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นสนธิบัง มีอำนาจเพียงพอที่จะกวาดล้างระบอบทักสินได้ แต่ก็ไม่ทำ ก่อนที่จะตั้งรัฐบาลสุรยุทธ์ขึ้นมา

 

แต่ก็อย่างว่า ถ้ามองให้เป็นธรรมสักหน่อย ตอนนั้นก็คงไม่มีใครคิดว่าทักสินมันจะระยัมตำบอนขนาดนี้ ตอนนั้นยังไม่มีเสื้อแดง ยังไม่มีเหตุการณ์ปี 52 53 พวกระบอบทักสินชั่วๆก็ยังไม่แสดงตัวสุดๆขนาดนี้ ผมว่าถ้าลุงตู่ประยุทธ์ไปอยู่ตรงนั้นแทนบิ๊กบัง ก็คงทำไม่ต่างกันในตอนนั้น 

 

เพราะไม่มีใครคิดว่าทักสินมันจะดื้อด้านขนาดนี้ ปกติทั่วไปที่ผ่านๆมา การเมืองไทยเขารู้ว่าจุดไหนเขาแพ้ เขาก็จะหยุดสู้ จะไม่ยอมให้มีประชาชนตายหรือประเทศชาติเสียหายเด็ดขาด เจอทักสินนี่ พลิกตำราสู้กันไม่ทัน 

 

ถึงเวลานี้ผมว่าเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะกวาดล้างระบอบทักสิน ผมยังไม่ขอบคุณบิ๊กตู่นะครับ เพราะใจนึงผมก็ยังกลัวว่าบิ๊กตู่จะทำอะไรไม่สุดเหมือนเดิม ที่สำคัญ แหวนของมอรอนวงนี้ที่เรียกว่าอำนาจ จะเปลี่ยนบิ๊กตู่ไปเหมือนบิ๊กจ๊อด หรือบิ๊กสุหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ เพราะส่วนตัวมีความคิดเสมอว่า ใครก็ตามที่เข้ามาได้ลิ้มรสอำนาจ ไม่มีทางที่จะกลับออกไปเหมือนตอนที่จะเข้ามา 

 

ก็หวั่นไอ้ตัว "อำนาจ" นี่อยู่เหมือนกัน...

แต่ยังเชื่อว่าคนดีจะไม่มีวันหมดไปจากกรุงศรีอยุธยาฉันใด... 

ข้าก็ยังจะหวังอีกครั้งกับ บิ๊กตู่ ว่า คนนี้ล่ะ ใช่แล้ว... 555

 

สมเพชพวกปั้นนําเป็นตัวว่ะทุเรศสิ้นดีถ้าสนธิขี้ข้าแม้วจริงสนธิคงไม่ออกมาต้านแม้วแล้วตอนนั้นใครกล้าจะมาต้านแม้วไม่มีสนธิลิ้มก็ล้มแม้วไม่ได้หรอกแล้วไอ้พวกที่หาว่าสนธิบังเยี่ยวไม่สุดเพราะสนธิลิ้มเอ๊งก็ไปดูอดีตมั่งรายการเมืองไทยรายสัปดาห์พอเห็นว่้าไอ้สนธิบังกับขิงเน่าเยี่ยวไม่สดสนธินี่แหละด่าสนธิบังและขิงเน้าเป็นคนแรกแล้วพวกปชปและส่าวกตอนนั้นไปมุดรูไหน

 

สมเพชเวทนาไอ้พวกเสี้ยมแบบอคติจังว่ะ

 

ถ้าจะมาหยาบคายแถวนี้ ไปเฝ้ากระทู้ตัวเองไป

ปู จิตกร บุษบา

สหรัฐอเมริกา สั่งยกเลิกฝึกร่วม CARATกับ ทร.ไทยแล้ว สั่งทหารมะกัน ถอนกำลังกลับ แล้ว ผบ.แปซิฟิค ยกเลิกมาเยือนไทย และสั่งยกเลิกการไปเยือนของ พล.อ.ธนะศักดิ์ ผบ.สส. มิย.นี้ ด้วย
--- ฝึกกับกองทัพจีนให้มันดูสักครั้งเดียว ขี้คร้าน จะวิ่งจู๋สั่นมาหาถึงที่ ลองดูนะ

โด่แค่เขาถามถึงว่า กํานันกะประยุทธ์จะขุดรากถอนโคนไอ้แม้วยังไงทําไหมพวกเอ๊งแทนที่จะรับฟังแบบคนหวังดีติงเพื่อให้ชนะเอ๊งก็เหมือนพวกไร้สติกัดคนอื่นไปทั่ว

โทรไปยัง ไอ้ดีแต่ปาก

ได้เวลา กัดกันเอง แล้ว  

ปากหมา  

ประกาศรูดซิป กระเป๋าสตางค์แล้วครับ

ใครจะทำโปรเจ๊คบ้าๆบอๆ ต้องมาชี้แจงก่อน แม้อนุมัติโครงการไปแล้วก็ตาม

รอบคอบที่สุด

โอ๊ย เหนื่อย ออกจากบ้านไปงาน สุดยอดของดีเมืองจันท์มา

กลับมา เลยมีเรื่องเล่า และความเห็นที่ค่อนข้างมโนสุดๆ ดังนี้

๑.ประธานในงานที่ผมไปกบลูกสาวคือเกรียงเดชฯ ผวจ.จันท์

หงอยมาก มันไม่เหลือราศีอีกแล้ว แขกในงานมองมันเป็นเหมือน

ธาตุอากาศยังไงก็ไม่รู้ ผิดกับคุณธวัชชัยฯ ที่ดูมีน้ำมีนวลและ

เป็นไฮไลต์ของงานนี้

๒.กรณีที่ คสช ยุบ สว ขอบอกแบบมโนว่า จะมี สว ชุดนี้หลายท่าน

อย่างเช่น คุณหญิงจารุวรรณ คุณสมชาย ทนายวันชัย คุณไพบูลย์

หรือคุณประสาร ฯลฯ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ

แห่งชาติหรือไม่ก็เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปการเมือง ไม่เชื่อก็คอยดู

๓.ผบ ตร ธาริต ปลัด กห ก็โดนย้ายไปแล้ว คิวต่อไปน่าจะเป็นคิว

ของปลัดกระทรวง อธิบดี และผู้ว่าฯ ซึ่งมีบุคคลที่ได้รับการจองกฐิน

จาก คสช เท่าที่ทราบ(จากมโนของผมเอง)ก็มี ปลัดฯมหาดไทย

อธิบดีกรมปกครอง(ไอ้ศิริพงษ์ ห่านตระกูลตัวเอี้ยประจำกระทรวง)

เกรียงเดช ผวจ.จันท์ และอีกหลายๆตัว ใครนึกออกช่วยบอกที

๔.เรื่องการเรียกบุคคลมาพบเพื่อสนทนาธรรมกับ คสช เช็คไปเช็คมา

ยังขาดไปเป็นบางคน เช่น คณิน บุญสุวรรณ ตัวนี้แสบสุดๆ ไอ้วิเชียร

นายก อบจ.ตราด ไอ้นี่ คนเกาะช้างเขาบอกมาว่าตอนปี ๕๓ มันเคยให้

ที่พักไอ้แม้วบนเกาะช้าง เพื่อบัญชาการเกมให้ควายแดงเผาเมืองมาแล้ว

+บ้านเมืองที่มันมีปัญหาสารพัดปัญหาทุกวันนี้ เพราะคนเลวระยำทุก

สาขาอาชีพมาเจอกัน ตั้งแต่ นักการเมืองเลว ข้าราชการเลว ตำรวจเลว

ทหารเลว(บางคน) กำนัน ผญบ.เลว  พ่อค้าเลวๆ  นักธุรกิจเลวๆ พระหรือ

นักบวชเลวๆ  รวมไปถึงประชาชนรากหญ้าเลวๆบางตัว  ถึงเวลาหรือยังที่

พวกเราทุกคนที่พอมีจิตสำนึกสาธารณะอยู่บ้าง  ช่วยกันทำหน้าที่ของตน

ให้ดีที่สุด ช่วยดูแลสภาพสังคม และช่วยกันสรรค์สร้างพัฒนาบ้านเมือง

โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือผลประโยชน์และความผาสุกของประเทศชาติ+

 

 

pooh_tnn24 ‏@poohtnn24  15sView translation

พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล "ได้ดีเพราะพี่ให้" ยื่นใบลาออกแล้ว


----------------------

ไปอีก 1
 

 

 

ถ้าเป็นผม .. ลาออกเองดีกว่าถูกไล่ออก (เรื่องให้ทักษิณประดับยศ)

...

 

อยากให้ระงับใบลาออกไว้ก่อน  ตั้งกก.สอบวินัยเล่นงานให้น่วมแล้วค่อยไล่มันออก

แถมคดีให้อีกสักหน่อย...

Posted by นายวอร์
 

วันนี้..มีคำสั่ง ล่าสด..แต่..เล่นเอาสะดุ้งไม่น้อย  เพราะคำสั่งที่ 7,8,9 กับคำสั่งย้าย ผบ.ตร,นายธาริต และ พลเอกนิพัทธ์ เข้ากรุไปอยู่นั่งสำนักนายกฯ  นั้น คำสั่งนี้ก็ต้องบอกว่าเที่ยวนี้เป็นของจริง!!! ไม่อิงอาบังฯ หน้าไหน

ที่สะดุ้งกว่าก็คือ ประกาศฉบับที่ 30/2557ที่ให้วุฒิสภาสิ้นสุดลงนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่หลายฝ่ายอาจตั้งคำถามว่า
เกิดอะไรขึ้นหรือ??

เพราะเมื่อแรก..เข้าใจกันว่าน่าจะเป็นการหาทางออกให้วุฒิสภาเป็นอิสระในการสรรหาบุคคลเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ
โดยมี คสช.คอยเป็นพี่เลี้ยง...

แต่หลังประกาศนี้สิ้นสุด...พยายามค้นหาข้อมูลและเหตุจูงใจ ก็พอจะนึก “อ๋อ”ว่า  ผบ.ประยุทธ์ท่านคือสุดยอดแห่งการเสียสละจริง ๆ


ผม อ่าน ทวีตของคุณเป๊ปซี่ ( เสริมสุข กษิติประดิษฐ์) ก่อนหน้าไม่นานที่โค๊ตคำพูดของผบ.ประยุทธ์ โดยรวมความว่า ท่านไม่อยากให้พระองค์ทรงหนักพระทัยมาตั้งแต่แรก

แนวคิดของการเอาตัว เองเข้าไปจัดการเรื่องนี้ทั้งหมดจึงเป็นการตัดวงจรของการที่ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายไหนก็ตามก็อาจสร้างความลำบากพระทัยและอาจทำให้สถาบันต้องกลายมาเป็นส่วน หนึ่งของปัญหาว่าอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เพราะต่อให้..วุฒิสภาจะสรรหานายกฯได้แล้วและนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ ก็อาจทำให้อีกฝ่ายยังรู้สึกไม่ดีรวมทั้งสถาบันด้วย

การเอาตัวเองเข้าไปรับผิดชอบและจัดการเองจึงเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่จะปกป้องพระเกียรติแห่งพระองค์ได้อย่างน่าชมเชย

เพราะถ้าใครจะเกลียด...ใครไม่ชอบ ก็ขอให้มาลงที่ ผบ.ประยุทธแทน
และเพราะเมื่อก้าวเดินหน้าแล้ว ต้องเดินให้สุด และเมื่อประกาศจะปกป้องสถาบัน  ทางออกที่งดงามก็คือต้องทำแบบนี้

ที่สำคัญ..การสรรหาและเลือกนายกฯ เที่ยวนี้ต้องสอดคล้องกับ แนวคิดเพื่อให้ภาระกิจนี้ "สะเด็ดน้ำ" จริง ๆ ไม่หน่อมแน้มแบบที่เกิดขึ้นในอดีต

ทหาร จะต้องอึด..และทน เพราะระยะนี้เริ่มเห็นภาระกิจอีกฝ่ายที่เริ่มกระบวนการสร้างภาพ...เพื่อ เตรียมป่วน ทั้งในและนอกซึ่งมีสื่อเสืี้ยมฝรั่งเป็นส่วนหนึ่งในแนวร่วมกันบ้างแล้ว อย่างที่ปรากฎทั้งที่หน้าเมเจอร์..ยันมาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ดัง นั้น..ความมุ่งมัน..แนวแน่...และเด็ดเดี่ยว ปฎิบัติการครั้งนี้มิใช่ภาระกิจโดดเดี่ยวของกองทัพฯ ทว่าท่านได้เดินไปพร้อมกับคนไทยทั้งประเทศ เราจะก้าวไปสู่ประเทศไทยที่เป็นของคนไทย..โดยคนไทยและเพื่อคนไทยกันจริง ๆเสียที

วันนี้...หลายคนเริ่มบอกว่า “ทหารไทยหล่อชะมัด” กันมากขึ้นทุกที

แต่หลังจากประกาศฉบับนี้ออกมาต้องบอกต่อ ๆแบบชาวบ้านว่า   ท่านหัวหน้า คสช.ท่านนี้.."โคตรแมน” จริง ๆ

http://www.oknation....4/05/24/entry-1

วุฒิสภาแบบที่มีเมียขวัญชัยอยู่เนี่ยนะครับ

จะล้างไฟ่แล้วมันก็ต้องเอาให้สุดๆไปเลย

อย่าเหลือเชื้อไว้ ไม่งั้นไม่จบซักที

ไอ้ตั้ง อาชีวะ อีกตัวน่าจะโดน

ไอ้ตั้งไม่มีชื่อสงสัยเพราะทหารไม่คิดจะให้เหลือชื่อไว้มั้งครับ

 

 

เม้นต์อันนี้อาจจะไม่ถูกใจสาวกประชาธิปัตย์ก็ได้(เราก็สาวกปชปนะ) แต่เผชิญ การมีวิวาทะกับเพื่อนสมาชิกในบอร์ดเมื่อครู่ ทำให้ไปกระตุกข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับคุณลักษณะของคนหรือสส.ในพรรคประชาธิปัตย์บางอย่างได้ คือเหตุผลว่าทำไมพรรคนี้จึงแพ้การเลือกตั้งมาตลอด 20 ปีหลังๆ

ประการแรก เราว่านโยบายของพรรคก็ดูดี เพียงแต่ใช้คำที่เข้าใจได้ยาก หรือ เข้าถึงได้ยากในหมู่ชนชั้นแรงงาน เช่น บอกถึงโครงการประกันราคาข้าว แต่ไม่ได้บอกลิมิตว่าได้เท่าไหร่ คือคนเขาต้องการเห็นตัวเลขแบบที่พรรคเพื่อไทยทำ เช่นว่า 15000 บาทต่อตัน  เพื่อที่เขาจะได้ประมาณการรายได้ไว้ เราไม่รู้หรอกว่าทำได้หรือไม่ได้อย่างไร เพียงแต่ถ้าจะทำนโยบายในการหาเสียงใหม่ ต้องพยายามที่จะระบุเป็นตัวเลขออกมาให้เห็นชัดๆไปเลย จะขั้นสูงขั้นต่ำก็ว่ากันไป หรือด้านเงินออมแห่งชาติ ก็บอกตัวเลขไปเลยว่าถ้าเกษียณอายุแล้วจะได้เท่าไหร่ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ชอบอะไรที่เป็นตัวหนังสือยาวๆ เข้าใจยาก

ประการที่สอง ด้านบุคลากรในพรรค

2.1 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับตัวสส. หรือสมาชิกในพรรค มักจะมีลักษณะของบุคคลชนชั้นสูง มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย การศึกษาดี ซึ่งจริงๆสิ่งเหล่านี้ไม่ผิด แต่บังเอิญว่า การทำงานด้านพรรคการเมืองจะเกี่ยวกับการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎร และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง เช่น เลขานุการ ก็จะต้องรับหน้าที่ในรับมือกับประชาชน และบุคคลทางแวดวงการเมืองด้วย เรื่องบุคคลทางแวดวงทางการเมืองนั้นจะละไว้เป็นที่เข้าใจ แต่กับคนที่ต้องรับมือหรือทำงานกับประชาชน ควรจะเป็นบุคคลที่ติดดิน คนเข้าถึงได้ง่าย ไม่ใช่บุคคลที่ใส่แบรนด์เนม รองเท้าคู่ละสี่ห้าหมื่น คือในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนเดินดินธรรมดาคนหนึ่ง ทำให้เรารู้สึกไปว่า บุคคลที่มีบุคลิกเหมือนเป็นบุคคลชั้นสูงนั้นแปลกแยกไปจากพวกเรา แม้ว่าบุคคลคนนั้นจะมีท่าทีที่เป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส เต็มใจช่วยเหลือ แต่เรากลับรู้สึกว่าเมื่อพูดกับเขาเหล่านั้น เหมือนกับเราตัวเล็กกว่าพวกเขามาก และทำให้ไม่ค่อยกล้าที่จะเปิดใจ ทางที่ดีน่าจะมีการปรับลุคใหม่ให้ดูติดดิน ลดการใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมลง ให้มีบุคลิกคล้ายสส.น้องแนนลูกพ่อใหญ่อิสระ นั่นแหละ เหมาะมาก เพราะ มันทำให้ชาวบ้านที่เข้ามาติดต่อรู้สึกสบายใจ และอบอุ่น คุ้นเคย และสนิทใจด้วยง่าย สรุปง่ายก็คือน่าจะมีบุคลากรที่มาจากชนชั้นที่มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่ไปกระจุกตัวอยู่ที่บุคคลชนชั้นสูงฐานะร่ำรวยเพียงอย่างเดียว

2.2 สส. ของพรรค ส่วนใหญ่ สส.ของพรรคนี้ ต้องยอมรับว่ามีคุณภาพดี การศึกษาดี ความประพฤติดี แต่สิ่งที่ขาดมากๆคือความเป็นคนติดดิน และความแปลกแยกกับสังคมชนบทอย่างมาก มีไม่กี่คนในพรรคที่บุคลิกดูเข้ากับคนในท้องถิ่่นได้ เช่นจุมพล จุลใส เทพไท เสนพงศ์ อิสระ สมชัย บางคนอาจจะแย้งว่า สส.แถบไหนก็ต้องทำตัวให้เข้ากับถิ่นนั้น เช่นสส. กรุงเทพ ก็ต้องแต่งตัวเป็นหนุ่มเมืองกรุง ประเภทนี้ทแอนด์คลีน โดยการใส่เสื้อเชิ้ต หรือสแล้ค ที่ว่ามานั่่นก็ถูก แต่เราต้องอย่าลืมว่า สส. ก็คล้ายๆกับเป็นmass product อย่างหนึ่งที่เสนอตัวมาให้คนเลือก โดยคนที่เลือกต้องเป็นคนหมู่มาก ซึ่งเราไม่คิดว่าคนหมู่มากคือคนรวย หรือชนชั้นกลางในประเทศไทยหรอก เพราะฉะนั้น การทำตัวเป็นmass product ก็คือการทำตัวให้บุคคลทุกระดับชั้นสามารถประทับใจในความเป็นกันเอง ไม่แปลกแยกกับคนหมู่มาก เข้าถึงง่าย คือ การจะทำให้ได้รับเลือกคือการทำให้คนส่วนใหญ่พึงใจให้ได้ต่างหากที่สำคัญ ยกตัวอย่างพิธีการสายล่อฟ้าสามคน คือเทพไท ชวนนท์ และศิริโชค ถ้าลงรับสมัครเลือกตั้งนะ คนที่จะได้รับเลือกในสายตาชาวบ้านคนแรกคือเทพไท คนที่สองคือชวนนท์ คนที่สามคือศิริโชค เพราะเทพไทมีความเป็นชาวบ้านอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดจา หรือท่าทาง ส่วนชวนนท์ ท่าทางคือคำพูดอาจจะไม่ดูเหมือนชาวบ้านธรรมดา แต่บุคลิกเขามีความอบอุ่นและมีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก  ส่วนศิริโชค นี่ขอบอกเลย ในฐานะเราเป็นผู้หญิง เขาคือคนที่ไม่มีเสน่ห์เลย ดูเหมือนเป็นคนเย็นชาไม่ว่าจะด้านคำพูดคำจา หรือการวางตัว บางคนอาจจะแย้งว่าไม่รู้จักเขาไปวิจารณ์เขาได้อย่างไร ก็เราเป็นประชาชนธรรมดา เขาเป็นสส. ทำอย่างไรก็ไม่มีทางจะไปรู้จักเขาได้มากจากการดูทีวีหรอก เราก็ต้องตัดสินจากสิ่งที่เห็นจากทีวีนั่นแหละ สิ่งที่เห็นจากทีวีบอกเราว่าศิริโชค ดูเป็นคนไม่อบอุ่น ช่างประชดประชัน เสียดสีเก่งมาก พูดง่ายๆคือปากจัด อันที่จริงสกลธี นี่ก็ปากจัด แต่เขามีอารมณ์ขัน เราดูแล้วไม่รู้สึกสะดุด แต่ของศิริโชคนี่บุคลิกบางอย่างคล้ายสรยวย เรายังคิดเล่นๆเลยว่าถ้าเขาไม่ได้ลงพรรคประชาธิปัตย์นี่เขาจะได้เป็นสส.หรือเปล่า เราก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร แต่น่าจะไปปรึกษามืออาชีพในด้านการปรับลุ้คดู เพื่อให้ดูเป็นคนอบอุ่น เข้าถึงได้ง่าย และปากไม่จัด (อันหลังนี่ไม่ทราบว่าทำได้หรือเปล่า)

คือทั้งหมดนี่ เราได้มาจากการสังเกตสส.พรรคเพื่อไทย ว่าทำไมพวกเขาถึงได้รับเลือกมากในภาคอีสานถึงร้อยกว่าเสียงในขณะที่ปชป ได้ไม่ถึงสิบ ถึงแม้หลายคนจะบอกว่าซื้อเสียงก็ตาม แต่ทำไมคนอย่างจ่าประสิทธิ์ยังได้รับเลือก หรืออย่างเมียขวัญชัย ยังได้รับเลือกเป็นสว ถึงจะขนเพชรก็เหอะ  ก็มันเป็นอย่างที่ว่า ก็คือชาวบ้านเขาก็เลือกจากรูปร่างหน้าตา บุคลิกภาพภายนอก ที่พวกเขารู้สึกคุ้นเคย พูดจาแบบชาวบ้านๆ พวกชาวบ้านเขาไม่จำเป็นต้องรู้ลึกถึงขนาดว่าเป็นคนดีหรือเปล่าหรอก เขาก็เลือกจากสิ่งที่เขาเห็น ก็แค่นั้น ถ้าคุณสมบัติดีด้วยอย่างสส.พรรคปชป. ก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะฉะนั้น ถ้าพรรค ปชป อยากได้สส.เพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า เราคิดว่าที่เราได้กล่าวไว้ ก็น่าจะนำไปพิจารณาด้วย

สงสัยว่าเม้นต์นี้่จะโดนถล่มแน่ๆ    

เป็นเรื่องการตั้งแง่..ของคนไม่รักจริง  แค่นั้น...

 

ผมขอสรุปให้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งยากสำหรับประเทศที่มีควายมากกว่าคน

 

เลือกนัง สว ขนเพชร มาเป็น สว ก็บ่งบอกสติปัญญาพวกมันแล้ว สภานิติบัญญัติ เลือกตัวอะไรมาทำหน้าที่ เห็นแล้วอนาถกับพวกมันมาก 

 

เม้นต์อันนี้อาจจะไม่ถูกใจสาวกประชาธิปัตย์ก็ได้(เราก็สาวกปชปนะ) แต่เผชิญ การมีวิวาทะกับเพื่อนสมาชิกในบอร์ดเมื่อครู่ ทำให้ไปกระตุกข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับคุณลักษณะของคนหรือสส.ในพรรคประชาธิปัตย์บางอย่างได้ คือเหตุผลว่าทำไมพรรคนี้จึงแพ้การเลือกตั้งมาตลอด 20 ปีหลังๆ

ประการแรก เราว่านโยบายของพรรคก็ดูดี เพียงแต่ใช้คำที่เข้าใจได้ยาก หรือ เข้าถึงได้ยากในหมู่ชนชั้นแรงงาน เช่น บอกถึงโครงการประกันราคาข้าว แต่ไม่ได้บอกลิมิตว่าได้เท่าไหร่ คือคนเขาต้องการเห็นตัวเลขแบบที่พรรคเพื่อไทยทำ เช่นว่า 15000 บาทต่อตัน  เพื่อที่เขาจะได้ประมาณการรายได้ไว้ เราไม่รู้หรอกว่าทำได้หรือไม่ได้อย่างไร เพียงแต่ถ้าจะทำนโยบายในการหาเสียงใหม่ ต้องพยายามที่จะระบุเป็นตัวเลขออกมาให้เห็นชัดๆไปเลย จะขั้นสูงขั้นต่ำก็ว่ากันไป หรือด้านเงินออมแห่งชาติ ก็บอกตัวเลขไปเลยว่าถ้าเกษียณอายุแล้วจะได้เท่าไหร่ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ชอบอะไรที่เป็นตัวหนังสือยาวๆ เข้าใจยาก

ประการที่สอง ด้านบุคลากรในพรรค

2.1 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับตัวสส. หรือสมาชิกในพรรค มักจะมีลักษณะของบุคคลชนชั้นสูง มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย การศึกษาดี ซึ่งจริงๆสิ่งเหล่านี้ไม่ผิด แต่บังเอิญว่า การทำงานด้านพรรคการเมืองจะเกี่ยวกับการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎร และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง เช่น เลขานุการ ก็จะต้องรับหน้าที่ในรับมือกับประชาชน และบุคคลทางแวดวงการเมืองด้วย เรื่องบุคคลทางแวดวงทางการเมืองนั้นจะละไว้เป็นที่เข้าใจ แต่กับคนที่ต้องรับมือหรือทำงานกับประชาชน ควรจะเป็นบุคคลที่ติดดิน คนเข้าถึงได้ง่าย ไม่ใช่บุคคลที่ใส่แบรนด์เนม รองเท้าคู่ละสี่ห้าหมื่น คือในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนเดินดินธรรมดาคนหนึ่ง ทำให้เรารู้สึกไปว่า บุคคลที่มีบุคลิกเหมือนเป็นบุคคลชั้นสูงนั้นแปลกแยกไปจากพวกเรา แม้ว่าบุคคลคนนั้นจะมีท่าทีที่เป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส เต็มใจช่วยเหลือ แต่เรากลับรู้สึกว่าเมื่อพูดกับเขาเหล่านั้น เหมือนกับเราตัวเล็กกว่าพวกเขามาก และทำให้ไม่ค่อยกล้าที่จะเปิดใจ ทางที่ดีน่าจะมีการปรับลุคใหม่ให้ดูติดดิน ลดการใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมลง ให้มีบุคลิกคล้ายสส.น้องแนนลูกพ่อใหญ่อิสระ นั่นแหละ เหมาะมาก เพราะ มันทำให้ชาวบ้านที่เข้ามาติดต่อรู้สึกสบายใจ และอบอุ่น คุ้นเคย และสนิทใจด้วยง่าย สรุปง่ายก็คือน่าจะมีบุคลากรที่มาจากชนชั้นที่มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่ไปกระจุกตัวอยู่ที่บุคคลชนชั้นสูงฐานะร่ำรวยเพียงอย่างเดียว

2.2 สส. ของพรรค ส่วนใหญ่ สส.ของพรรคนี้ ต้องยอมรับว่ามีคุณภาพดี การศึกษาดี ความประพฤติดี แต่สิ่งที่ขาดมากๆคือความเป็นคนติดดิน และความแปลกแยกกับสังคมชนบทอย่างมาก มีไม่กี่คนในพรรคที่บุคลิกดูเข้ากับคนในท้องถิ่่นได้ เช่นจุมพล จุลใส เทพไท เสนพงศ์ อิสระ สมชัย บางคนอาจจะแย้งว่า สส.แถบไหนก็ต้องทำตัวให้เข้ากับถิ่นนั้น เช่นสส. กรุงเทพ ก็ต้องแต่งตัวเป็นหนุ่มเมืองกรุง ประเภทนี้ทแอนด์คลีน โดยการใส่เสื้อเชิ้ต หรือสแล้ค ที่ว่ามานั่่นก็ถูก แต่เราต้องอย่าลืมว่า สส. ก็คล้ายๆกับเป็นmass product อย่างหนึ่งที่เสนอตัวมาให้คนเลือก โดยคนที่เลือกต้องเป็นคนหมู่มาก ซึ่งเราไม่คิดว่าคนหมู่มากคือคนรวย หรือชนชั้นกลางในประเทศไทยหรอก เพราะฉะนั้น การทำตัวเป็นmass product ก็คือการทำตัวให้บุคคลทุกระดับชั้นสามารถประทับใจในความเป็นกันเอง ไม่แปลกแยกกับคนหมู่มาก เข้าถึงง่าย คือ การจะทำให้ได้รับเลือกคือการทำให้คนส่วนใหญ่พึงใจให้ได้ต่างหากที่สำคัญ ยกตัวอย่างพิธีการสายล่อฟ้าสามคน คือเทพไท ชวนนท์ และศิริโชค ถ้าลงรับสมัครเลือกตั้งนะ คนที่จะได้รับเลือกในสายตาชาวบ้านคนแรกคือเทพไท คนที่สองคือชวนนท์ คนที่สามคือศิริโชค เพราะเทพไทมีความเป็นชาวบ้านอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดจา หรือท่าทาง ส่วนชวนนท์ ท่าทางคือคำพูดอาจจะไม่ดูเหมือนชาวบ้านธรรมดา แต่บุคลิกเขามีความอบอุ่นและมีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก  ส่วนศิริโชค นี่ขอบอกเลย ในฐานะเราเป็นผู้หญิง เขาคือคนที่ไม่มีเสน่ห์เลย ดูเหมือนเป็นคนเย็นชาไม่ว่าจะด้านคำพูดคำจา หรือการวางตัว บางคนอาจจะแย้งว่าไม่รู้จักเขาไปวิจารณ์เขาได้อย่างไร ก็เราเป็นประชาชนธรรมดา เขาเป็นสส. ทำอย่างไรก็ไม่มีทางจะไปรู้จักเขาได้มากจากการดูทีวีหรอก เราก็ต้องตัดสินจากสิ่งที่เห็นจากทีวีนั่นแหละ สิ่งที่เห็นจากทีวีบอกเราว่าศิริโชค ดูเป็นคนไม่อบอุ่น ช่างประชดประชัน เสียดสีเก่งมาก พูดง่ายๆคือปากจัด อันที่จริงสกลธี นี่ก็ปากจัด แต่เขามีอารมณ์ขัน เราดูแล้วไม่รู้สึกสะดุด แต่ของศิริโชคนี่บุคลิกบางอย่างคล้ายสรยวย เรายังคิดเล่นๆเลยว่าถ้าเขาไม่ได้ลงพรรคประชาธิปัตย์นี่เขาจะได้เป็นสส.หรือเปล่า เราก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร แต่น่าจะไปปรึกษามืออาชีพในด้านการปรับลุ้คดู เพื่อให้ดูเป็นคนอบอุ่น เข้าถึงได้ง่าย และปากไม่จัด (อันหลังนี่ไม่ทราบว่าทำได้หรือเปล่า)

คือทั้งหมดนี่ เราได้มาจากการสังเกตสส.พรรคเพื่อไทย ว่าทำไมพวกเขาถึงได้รับเลือกมากในภาคอีสานถึงร้อยกว่าเสียงในขณะที่ปชป ได้ไม่ถึงสิบ ถึงแม้หลายคนจะบอกว่าซื้อเสียงก็ตาม แต่ทำไมคนอย่างจ่าประสิทธิ์ยังได้รับเลือก หรืออย่างเมียขวัญชัย ยังได้รับเลือกเป็นสว ถึงจะขนเพชรก็เหอะ  ก็มันเป็นอย่างที่ว่า ก็คือชาวบ้านเขาก็เลือกจากรูปร่างหน้าตา บุคลิกภาพภายนอก ที่พวกเขารู้สึกคุ้นเคย พูดจาแบบชาวบ้านๆ พวกชาวบ้านเขาไม่จำเป็นต้องรู้ลึกถึงขนาดว่าเป็นคนดีหรือเปล่าหรอก เขาก็เลือกจากสิ่งที่เขาเห็น ก็แค่นั้น ถ้าคุณสมบัติดีด้วยอย่างสส.พรรคปชป. ก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะฉะนั้น ถ้าพรรค ปชป อยากได้สส.เพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า เราคิดว่าที่เราได้กล่าวไว้ ก็น่าจะนำไปพิจารณาด้วย

สงสัยว่าเม้นต์นี้่จะโดนถล่มแน่ๆ    

เป็นเรื่องการตั้งแง่..ของคนไม่รักจริง  แค่นั้น...

 

ผมขอสรุปให้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งยากสำหรับประเทศที่มีควายมากกว่าคน