Jump to content


อู๋ ฮานามิ

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2553
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: ส่วนตัว
*****

Topics I've Started

ข่าวสังคมบ้าง - ‘การขายบริการทางเพศของนักศึกษาบนสื่อออนไลน์’ ปัญหาของสังคมที่กลายเป็นเร...

21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 - 23:08

‘การขายบริการทางเพศของนักศึกษาบนสื่อออนไลน์’ ปัญหาของสังคมที่กลายเป็นเรื่องปกติของสังคม
 
21 พฤษภาคม 2014
 
รายงานโดย นพชนก มันตาวิจักษณ์
 
“การบริโภคนิยม” ทำให้มีการเกิดขึ้นของเซ็กส์ในรูปแบบใหม่ คือ “เซ็กส์เพื่อการบริโภค” และ ร่างกายผู้หญิงถูกทำให้เป็นสินค้า เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองหรือสิ่งของแลกเปลี่ยนเพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้หรือผู้ขาย
 
นอกเหนือจากผู้หญิงขายบริการเป็นอาชีพอยู่แล้ว ได้เพิ่มที่มาของสินค้าแหล่งใหม่ มีคุณภาพ อีกทั้งราคาตลาดยังสูงกว่าหญิงขายบริการทางเพศทั่วไป นั่นคือ “นักเรียน นักศึกษา” ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ
 
ากงานวิจัยของ ดร.สมเดช รุ่งศรีสวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เรื่องการเปิดรับสื่อลามกทางอินเทอร์เน็ตกับการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น พบว่า วัยรุ่นไทยที่เคยมีเพศสัมพันธ์ล้วนแต่เคยเปิดรับสื่อลามกทางอินเทอร์เน็ต ยิ่งเปิดรับสื่อลามกทางอินเทอร์เน็ตมากก็มีความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์มากขึ้นตามโอกาส อีกทั้งอายุในการมีเพศสัมพันธ์ก็จะเร็วขึ้น
 
ความคิดของวัยรุ่นไทยมองการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนเป็นเรื่องปกติ และเริ่มสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงตามความแตกต่างของยุคสมัย จากเรื่องต้องห้ามกลายเป็นสิ่งสร้างสรรค์ของการสนทนากึ่งแฟชั่น คนที่ไร้ประสบการณ์ทางเพศเริ่มจะดูไม่มีความสำคัญ ไม่มีน้ำยา ไม่มีเสน่ห์ เด็กรุ่นใหม่จึงตกเป็นเป้าหมายสำคัญของการสืบทอดแนวคิดและกติกาใหม่ คนรุ่นใหม่ต้องเชื่อมั่น ต้องแรง ต้องเจ๋งแบบสุดขั้ว ตามความหมายของ “ที่สุด (Extreme)”
 
สถานบันเทิงยามค่ำคืนส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยหนุ่มสาวที่พร้อมจะหลับนอนกับใครก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แม้แต่การนอนแบบชั่วคราวเพียงแค่คืนเดียวตื่นแล้วก็จากไปไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน หรือ One Night Stand สอดรับกับแนวคิดภาพยนตร์วัยรุ่นลอกเลียนแบบวัฒนธรรมเกาหลีและตะวันตก จนเกิดเป็นคำทักทายติดปากในหมู่วัยรุ่น “ยินดีที่ไม่รู้จัก” แต่หลับนอนกันไปแล้ว
 
ดร.สมเดชกล่าวว่า จากปรากฏการณ์ทางสังคมไทย และผลการวิจัยข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงและโอกาสที่วัยรุ่นไทยจะมีเพศสัมพันธ์ได้โดยง่าย ขาดการยั้งคิด อันเนื่องมาจากการเสพสื่อลามกทางอินเทอร์เน็ตและอารมณ์ความต้องการทางเพศในวัยของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยรุ่นหญิงเมื่อเสียตัวแล้วก็จะไม่รู้สึกถึงคุณค่าของตนเองพร้อมที่จะปล่อยตัวปล่อยใจจนนำไปสู่การขายบริการทางเพศในที่สุดเพื่อแลกกับเงิน
 
เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีการสื่อสารและสื่อสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการติดต่อซื้อขาย การสนทนาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และการขายบริการทางเพศผ่านทางห้องสนทนา ทำให้ค่านิยมของชายชอบเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะมีความเชื่อที่ว่า “ไม่เสี่ยง ปลอดภัย ได้รู้จักก่อน” แถมยังมีดีกรีเป็นนักเรียนนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาชื่อดังพ่วงท้ายเพื่อเป็นการยืนยันคุณภาพ ในขณะที่วัยรุ่นหญิงที่ขายบริการและเป็นนักเรียนนักศึกษาก็สามารถเลือกลูกค้าและสนนราคาได้ตามความพอใจ
 
จากปัญหาดังกล่าว จึงนำมาสู่งานวิจัยเรื่อง “การขายบริการทางเพศของวัยรุ่นไทยบนสื่ออินเทอร์เน็ต” ของ ดร.สมเดช ซึ่งพบว่ามีหลายสาเหตุของการขายบริการทางเพศของวัยรุ่นบนสื่ออินเทอร์เน็ต และจากการสัมภาษณ์นักศึกษาเหล่านี้ให้ความเห็นว่า
 
“ขายตัวทางอินเทอร์เน็ต หนูว่าก็ OK อ่ะ งานสบายได้เงินง่ายๆ เพียงแค่เอาตัวแลกทั้งเสียวทั้งมัน ไม่มีใครรู้จักด้วย แถมเราก็มีสิทธิเลือกผู้ชาย หน้าจระเข้เราก็ไม่เอาดิพี่”
 
“ความจริงก็ไม่แปลก ใครๆ ก็อยากได้เงินง่ายๆ ไหนไหนก็เคยเสียตัวมาแล้ว ขายตัวผ่านเน็ตรู้กันแค่คนซื้อกันคนขาย”
 
นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งบอกว่ามีเพื่อนสนิทที่ขายบริการเพื่อหาเงินเลี้ยงแฟน รวมไปถึงอาการป่วยทางจิตของตัวผู้ขายเอง ต้องการเรียกร้องความสนใจ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการประชดชีวิตเนื่องจากเสียตัวให้กับแฟนแล้วถูกทอดทิ้ง จึงคิดว่าการขายบริการทางเพศได้ทั้งเงินและความสนุกด้วย สิ่งที่น่าตกใจคือ มีนักเรียนและนักศึกษาบางคนคิดว่าสาเหตุของการขายบริการทางเพศน่าจะเป็นการหารายได้ที่ง่าย สบาย และสนุก
 
ดร.สมเดชกล่าวว่า การติดต่อซื้อ-ขายบริการทางเพศบนอินเทอร์เน็ตจะทำผ่านเว็บไซต์ โดยเข้าไปที่กูเกิลแล้วค้นหาเว็บไซต์ขายบริการทางเพศก็จะมีข้อมูลของเว็บไซต์ต่างๆ มากมายให้เลือกใช้บริการหรือจะฝากข้อความเพื่อขายบริการก็ได้ โดยวิธีสมัครเพื่อโพสต์ข้อความหรือรูปภาพก็ง่าย สะดวก ไม่เสียค่าบริการ ผู้ขายบริการจะมีการนำรูปของตนเองมาโพสต์ลงเว็บไซต์ทำท่าทางที่ยั่วยวน พร้อมบอกสัดส่วน ความสามารถในการบริการ และให้เบอร์โทรหรืออีเมล์ติดต่อกลับ แต่ถ้าผู้ซื้อกลัวโดนหลอกก็สามารถซื้อได้ตามเว็บ Camfrog หรือ Webcam ที่มีการโชว์สรีระให้เห็น เมื่อตกลงจึงมีการนัดแนะสถานที่กัน บางรายอาจมีการโอนเงินให้ก่อนครึ่งหนึ่ง แล้วหลังใช้บริการจึงจะจ่ายส่วนที่เหลือ
 
“นักเรียนหญิงที่ขายบริการ บอกว่าครั้งแรกที่ตัวเองสมัครและโพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพเพียงแค่ 10 นาทีก็มีคนเข้ามาติดต่อซื้อบริการแล้ว แต่ตัวเองจะพิจารณาดูก่อนว่าหน้าตาของคนที่ติดต่อเป็นอย่างไร และโทรศัพท์คุยกันเพื่อนัดพบก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะขายบริการหรือไม่”
 
สถานที่นัดพบกันส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมม่านรูด หอพัก หรือไม่ก็สถานที่ที่ใกล้เคียงกับผู้ขาย โดยผู้ขายจะเป็นคนกำหนดเองว่าจะไปเจอกันที่ไหน เรื่องที่จะมีการใช้บริการต่อหรือไม่ นักศึกษาหญิงอาชีวะคนหนึ่งกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อว่าอยากจะเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ หรือเกิดติดใจก็จะมาใช้บริการอีก บางรายหากถูกใจมาก ก็จะมีการเลี้ยงดูเป็นเมียเก็บ โดยเช่าอพาร์ตเมนต์ให้และจ่ายเป็นรายเดือน โดยส่วนใหญ่มักจะมาใช้บริการอาทิตย์ละครั้ง
 
ดร.สมเดชกล่าวถึงสาเหตุที่ผู้ซื้อบริการนิยมใช้บริการนักศึกษา เพราะว่า ผู้ซื้อมองว่านักศึกษามีความรู้ สะอาด และเป็นการเพิ่มระดับ การซื้อบริการนักศึกษาย่อมดูดีกว่าการซื้อบริการหญิงขายบริการอาชีพที่ขายบริการทุกวัน แต่สำหรับนักศึกษา ผู้ซื้อเชื่อว่าไม่ได้ขายบริการทุกวัน โดยราคาในการบริการถ้าขายบริการไม่มีสังกัด จะสามารถต่อรองราคาได้ โดยจะประมาณ 1,000-5,000 บาทแล้วแต่หน้าตา
 
ทั้งนี้ ยังมีการขายบริการในเว็บไซต์ที่จำกัดคนเข้าชม คือจะต้องสมัครสมาชิกก่อนถึงจะซื้อบริการได้ ซึ่งค่าสมัครประมาณ 800 บาทต่อปี เมื่อสมัครแล้วจะสามารถเลือกคนที่ต้องการจะซื้อได้ โดยจะมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบเหมือนสินค้าแบ่งตามเกรด จะมี 3 โซนให้เลือก คือ วีไอพีเมมเบอร์ และวีไอพีเมมเบอร์ล็อบบี้ ซึ่งสองโซนนี้ราคาค่อนข้างสูง เพราะมีการคัดสรรมาแล้ว ส่วนโซนสุดท้ายคือโซนไซด์ไลน์ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีการบริการแบบเหมาจ่ายเป็นเดือน ซึ่งราคาจะอยู่ที่ 20,000-30,000 บาทต่อเดือน โดยผู้ซื้อสามารถมีเพศสัมพันธ์กับผู้ขายได้ 8-10 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น
 
สำหรับปัจจัยที่ทำให้วัยรุ่นหญิงเลือกขายบริการทางเพศโดยใช้อินเทอร์เน็ต สาเหตุหลักเพราะเชื่อว่าเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา เป็นความลับ ไม่ต้องไปขายบริการตามสถานบริการต่างๆ เป็นวิธีที่ลูกค้าติดต่อโดยตรงไม่ต้องผ่านเอเยนต์และได้ราคาดีกว่าการขายบริการผ่านช่องทางอื่น
 
ดร.สมเดชกล่าวถึงนักศึกษาที่ขายบริการว่า ส่วนมากมาจากครอบครัวที่มีฐานะดีหรือปานกลาง แต่ทำเพราะรายได้ดีและหาเงินได้ง่ายๆ มีคำตอบนึงเขาบอกว่า มันมีความสุขไม่เหมือนกับขายตัวแต่เหมือนมี “กิ๊ก” ไม่มีการผูกมัดแล้วผู้ชายก็สุภาพ สิ่งที่น่าสนใจหลังจากที่ทำวิจัยเรื่องนี้ ผมไปถามเด็กว่าเชื่อไหมว่ามีการขายบริการทางเพศออนไลน์ คำตอบที่ได้คือ มีจริง 100% และในจำนวนนั้นก็มีผู้ชายหลายคนตอบว่าเคยใช้บริการ ส่วนผู้หญิงบางคนบอกว่ามีเพื่อนเคยขายบริการ และสถิติจากที่ผมทำวิจัย คนที่บอกว่ามีเพื่อนเคยขายตัวเองก็มีแนวโน้มที่จะขายด้วย
 
“ถามว่าผิดไหมที่ขายบริการทางเพศออนไลน์ ตอนเก็บข้อมูลทำวิจัย 52% บอกว่าไม่ผิด แล้วผมเอาคำถามนี้มาถามนักศึกษาต่อ ปี 2555 เด็กบอกว่าไม่ผิด 60% ปี 2556 บอกไม่ผิด 70% และปี 2557 บอกไม่ผิด 80% ผมใจหายเลยนะ เกิดอะไรขึ้น”
 
มีเด็กคนนึงตอบผมว่า “ของของหนู หนูจะนอนกับใครก็ไม่ได้ไปนอนบนหัวใคร ทำไมต้องมาเดือดร้อนด้วย หนูก็อุตส่าห์ทำลับๆ ล่อๆ ในอินเทอร์เน็ตแล้ว ทำไมต้องมายุ่งกับหนูอีก หนูไม่ได้ทำอะไรผิด” บางคนก็บอกว่า “ผิดตรงไหน เดือดร้อนใคร หนูว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล เขาขายตัวก็ตัวของเขา” หรือ “ขายบริการทางเพศไม่ได้ก่ออาชญากรรม ไม่ได้ฆ่าใคร ผิดตรงไหนเหรอ” ขนาดผมบอกว่ามันผิดศีลธรรมผิดกฎหมาย เขายังตอบกลับมาว่า “ผิดอะไร หนูเคยเสียตัวแล้วนี่ไม่ได้ขาย ก็แฟนคนนึงเป็นกิ๊กไง รักกันแล้วก็ให้เงินใช้ก็ถือว่าโอเค”
 
ดร.สมเดชกล่าวต่อว่า “ผมเลยสอนนักศึกษาว่า จะเล่าเรื่องนึงให้ฟัง จิ๋มนี้ไม่ใช่จิ๋มหนู คุณว่าจิ๋มนี้ของคุณเหรอ คุณกล้ากลับบ้านไปบอกพ่อแม่ไหม ว่าแม่หนูขายตัวออนไลน์ เนี่ยมีลูกค้า 4-5 คนแล้วที่นอนกับหนู เดือนนึงได้ 20,000 บาท เด็กก็ตอบว่า โอ้ยใครจะไปกล้าบอก พ่อแม่เสียใจหมด เพราะงั้นที่บอกว่า จิ๋มของหนูมันไม่ใช่นะ ของแม่ของพ่อที่สร้างหนูขึ้นมา พ่อแม่จะรู้สึกยังไงถ้ารู้ว่าลูกสาวขายตัว เอาใหม่ ถ้าคุณแต่งงานไปมีสามี จะกล้าบอกสามีไหมว่าก่อนจะแต่งงาน เคยขายตัวออนไลน์มาก่อน คนที่มางานแต่งก็ลูกค้าเราทั้งนั้น เพื่อนเธอก็เคยนอนกับเรามาแล้ว คุณกล้าพูดไหม เพราะงั้น หนูแคร์สามี จิ๋มนี้ก็ไม่ใช่จิ๋มหนู จิ๋มสามีหนูอีกคน”
 
“ถ้าหนูมีลูก กล้าบอกลูกไหม ก่อนที่ลูกจะเกิดแม่เคยขายตัวออนไลน์นอนกับผู้ชายมาเป็นร้อยคน กล้าบอกลูกไหม แล้วลองย้อนกลับกัน ถ้าวันนึงแม่หนูมาสารภาพว่า ก่อนจะมีหนูแม่เคยขายตัวออนไลน์ แม่เคยเป็นโสเภณีมาก่อน หนูในฐานะลูกจะรู้สึกยังไง เพราะฉะนั้น จิ๋มนี้ไม่ใช่จิ๋มหนู จำเอาไว้ว่าเราต้องรักษาศักดิ์ศรี”
 
ดร.สมเดชกล่าวว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของการขายบริการทางเพศ เพราะยังผิดกฎหมายอาญาคดีการค้าประเวณี และผิดศีลธรรม คือความรู้สึกที่มันทำร้ายศักดิ์ศรีของตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วนักศึกษาที่ขายบริการไม่มีใครไปบอกเขาว่าที่ทำอยู่มันเป็นตราบาป เขาแค่คิดว่าได้เงิน สนุก เคยเสียตัวแล้ว แต่แท้จริงแล้วมันคือตราบาปที่จะติดตัวไปตลอดชีวิตเขาจนวันตาย ซึ่งพอผมทำวิจัยแล้วก็ทำให้เข้าใจวัยรุ่น เข้าใจสภาพในสังคมที่เป็นสังคมบริโภคมากขึ้น
 
การที่ค่านิยมในสังคมไทยไม่ได้วัดคุณค่าของคนอยู่ที่คุณงามความดี แต่วัดค่าอยู่ที่คุณรวยไหม เรื่องแบบนี้จะไปโทษเด็กก็ไม่ได้ อยู่ที่สังคมทั้งสังคม ลองคิดดูเราขับรถเบนซ์มาก็จะได้รับการดูแลอย่างดี ถ้านั่งรถเมล์มาก็จะเป็นอีกแบบ เพราะฉะนั้นเด็กวัยรุ่นก็มองว่าค่านิยมในการวัดความสำเร็จคือสิ่งของที่จับต้องได้ คือการที่เขามีเงิน สังคมก็จะยอมรับ เพื่อนก็จะยอมรับ เขาก็มีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเลี้ยงเพื่อน แต่เบื้องหลังเขาไปนอนขายบริการ
 
“ผมก็ได้ทำวิจัยต่อคือเรื่องคุณภาพชีวิตของนักศึกษาขายบริการ ก็ตามติดคุณภาพชีวิตของนักศึกษาที่ขายบริการ 15 คนในเวลาหนึ่งปี ผมพบว่าใน 15 คนไม่มีใครรู้สึกสำนึกผิดเลยซักคน เขาบอกดีมาก มีความสุข มีเงินใช้จ่ายซื้อของแบรนด์เนม มีรถขับ มีคอนโดอยู่ ผมทำเสร็จแล้วนะแต่ไม่เขียน รู้สึกใจหายกับสังคมว่าทำไมเด็กไม่สำนึกในสิ่งที่ทำอยู่”
 
ดร.สมเดชมองว่า ปัญหาของวัยรุ่นไทยกับการขายบริการทางเพศบนสื่ออินเทอร์เน็ตไม่อาจจะแก้ไขได้ด้วยการรับรู้รับทราบเพียงอย่างเดียว เพราะว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้ลดน้อยลงจากการเป็นข่าว ปัญหามันหยั่งลึกเสียจนทุกคนในสังคมต้องกระโดดลงไปหามันเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของเรา เพื่อนำเอาความจริงออกมาตีแผ่ ทุกสถานที่ ทุกเรื่องราว คือภาพเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยวันนี้
 
“ปัญหานี้เป็นเหมือนการสะท้อนให้เห็นถึงสุดยอดของความเหลวแหลกของสังคม และสะท้อนให้เห็นถึงจิตใจของคนในสังคมเดียวกันที่ปล่อยปละละเลยโดยไม่ทำการใดๆ อย่างจริงจังที่จะหยุดยั้งและแก้ไขขจัดสภาวะทางสังคมที่เลวร้ายนี้ให้หมด”
 
ดร.สมเดชกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการขายบริการทางเพศผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม ประกอบด้วย ภาครัฐควรมีกระจายรายได้ให้เป็นธรรม เพราะเมื่อทุกคนรายได้เพียงพอก็คงไม่มีใครอยากขายบริการทางเพศ และควรมีนโยบายชัดเจนในการปราบปรามสื่อลามก มีการควบคุมเว็บไซต์ที่มีการแพร่ภาพลามกหรือช่องทางในการขายบริการทางเพศอย่างจริงจัง รณรงค์ให้ความสำคัญเรื่องครอบครัว ความรัก ความอบอุ่น และวัฒนธรรมประเพณีไทย โดยเฉพาะเรื่องของการรักนวลสงวนตัวของผู้หญิง รณรงค์ลดความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย และค่านิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม
 
ในส่วนของสถาบันครอบครัว พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ให้ความรู้เรื่องเพศอย่างถูกต้อง มอบความรักความอบอุ่น สร้างความไว้วางใจให้กับลูก ผู้ปกครองควรศึกษาหาความรู้เพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ เพื่อสามารถเฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวของบุตรหลานได้ และควรสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าและศักดิ์ศรีในเรื่องนี้ ทางสถาบันการศึกษาควรจัดการเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษาที่เหมาะสมในทุกระดับชั้น สอนให้รู้ถึงปัญหาของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ให้เรียนรู้และเข้าใจว่าการศึกษาเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นวิธีการป้องกัน ไม่ใช่เพื่อการปฏิบัติหรือทดลอง
 
“ละครที่นำเสนอผ่านโทรทัศน์ช่องต่างๆ เรื่องราวประมาณพระเอกข่มขืนนางเอกแล้วตอนหลังก็แต่งงานกัน ที่จริงมันผิดนะ พระเอกที่ข่มขืนนางเอกจะต้องไม่มีทางสมหวัง เพราะคือทำผิด ทำไม่ดีมาข่มขืนผู้หญิง แล้วสื่อก็นำเสนออะไรแบบนี้ เด็กที่ดูเขาก็มองว่าไม่ผิด มองว่าแต่งตัวโป๊ๆ คือดี เขาก็ทำตามสื่อ”
 
ดร.สมเดชกล่าวต่อว่า สถาบันสื่อมวลชนต้องมีจริยธรรม จรรยาบรรณ ในการควบคุมสื่อด้วยกัน เพื่อป้องกันการนำเสนอสื่อลามกอนาจาร ยั่วยุ หรือไม่เหมาะสม เช่น ภาพโป๊เปลือย ภาพความสัมพันธ์ที่ล่อแหลมไม่เหมาะสมกับสังคมไทย รวมทั้งไม่เสนอข่าว เรื่องราว ละคร โฆษณาที่ก่อให้เกิดการยั่วยุหรือเป็นแบบอย่างของการเลียนแบบทางเพศ สำหรับสถาบันสังคมควรเปลี่ยนทัศนคติเรื่องสื่อลามกว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย ต้องปกปิด ควรสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเพศว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ และสอนให้เข้าใจถึงความเหมาะสมถูกต้อง ส่วนสถาบันกฎหมายต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น ปรับปรุงบทลงโทษให้รุนแรงมากขึ้น และทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขั้น
 
 
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

เป็นความผิดของใคร ที่มองความผิดเป็นเรื่องปกติ 

ชอบอะไรง่ายๆ ขอให้ได้เงิน 


ผอ.สำนักพุทธศาสนาเชียงใหม่ รับภาพสมภารวัดดอยสุเทพ นั่งเครื่องเล่นที่อเมริกาจริง

19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 - 22:40

รับภาพสมภารวัดดอยสุเทพ นั่งเครื่องเล่นที่อเมริกาจริง
เรื่องโดย Nation TV |
วันที่ 19 พฤษภาคม 2557 15:37 น.
 
ผอ.สำนักพุทธศาสนาเชียงใหม่ ยอมรับภาพสมภารวัดดอยสุเทพ นั่งเครื่องเล่นที่อเมริกา เกิดขึ้นจริงตั้งแต่ปี 55 เผยพระผู้ใหญ่ได้ตักเตือนไปแล้ว ระบุพระนั่งเครื่องเล่นกับนั่งเครื่องบินไม่ได้ต่างกันมาก ควรจะมองให้เป็นกลาง ด้านพีอาร์วัด อ้างไม่ได้ขึ้นเครื่องเล่นสวนสนุกจริง เป็นฉากจำลองในโรงถ่ายหนังฮอลลีวูด
 
 
กรณีข่าวฮือฮาพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งกำลังเล่นเครื่องเล่นแบบผจญภัยในสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สาขาฮอลลีวูด มลรัฐแคลิฟอเนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และหนึ่งในกลุ่มพระสงฆ์ซึ่งนั่งแถวหน้าสุดคนกลาง มีใบหน้าละม้ายกับพระเทพวรสิทธาจารย์ รองเจ้าคณะภาค 7 และเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารที่เพิ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดพิธีสืบชะตาให้กับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อเร็วๆนี้
 
นายณรงค์ ทรงอารมณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่  กล่าวว่า   เป็นภาพของพระเทพวรสิทธาจารย์ จริงๆ และเป็นภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่น้อยกว่า 1 ปี และที่ผ่านมาได้มีการแก้ข่าวไปเรียบร้อยแล้ว แต่ภาพกลับถูกรื้อฟื้น  เผยแพร่อีกครั้งจากสื่อมวลชน
 
"เรื่องของภาพ แม้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ก็ทราบเรื่องว่าเป็นภาพที่มีมานานแล้ว มีการชี้แจงและตักเตือนจากพระผู้ใหญ่ รวมทั้งเจ้าคณะพระสังฆาธิการ เรียกพระเทพวรสิทธาจารย์ ไปพูดคุย ตักเตือนว่าจะทำอะไรก็ควรระมัดระวัง และรักษาอาการสำรวม อย่าไปกระทำในลักษณะนี้ ญาติโยมมองแล้วจะไม่เหมาะสม  ซึ่งหลังจากวันนั้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก จนกระทั่งมีการขุดภาพมาเผยแพร่อีก "นายณรงค์ กล่าว
 
นายณรงค์ กล่าวว่า ไม่ทราบเจตนาของเรื่องนี้คืออะไร หรือจะเกาะกระแสของกรณีจุดชมวิววัดพระธาตุดอยสุเทพฯที่กำลังเป็นปัญหา ซึ่งตัวละครหลักก็คือ พระคุณเจ้าพระเทพวรสิทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ จึงเอาภาพที่เกี่ยวข้องมาเผยแพร่ ให้เป็นกระแสอีกครั้ง ควรมองด้วยความเป็นธรรม มองถึงผลกระทบที่จะเกิดกับพระพุทธศาสนา อย่านำไปผูกกับการเมือง เพราะจะยิ่งทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย
 
"ไม่มีบุคคลใดในโลกที่ไม่มีข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาด ซึ่งในส่วนตัวคิดว่า ระหว่างพระนั่งเครื่องเล่นกับนั่งเครื่องบินก็ไม่ได้ต่างกันมาก ควรจะมองให้เป็นกลาง หากจะมองว่าผิดมันก็ผิดเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ผิดขั้นรุนแรง เป็นเพียงแต่ความผิดอาบัติที่เป็นโทษทางโลก ที่เรียกว่าโลกวัชชะ ข้อเสียหายที่ชาวโลกติเตียนว่าไม่เหมาะสมกับสมณะ ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงถึงขั้นอาบัติปาราชิกดังเช่นพระฆ่าคนตาย หรือไปนอนกับสีกา"นายณรงค์ กล่าว
 
ด้านนายวัลลภ นามวงศ์พรหม กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร กล่าวว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ถ่ายในปี  2555 โดยเมื่อครั้งนั้นนเจ้าอาวาส ได้ไปเป็นประธานเปิดวัดใหม่ ในพื้นที่มลรัฐแคลิฟอเนียร์กับคณะ ซึ่งเมื่อเสร็จกิจ ญาติโยมก็ได้พาไปชมแหล่งประวัติศาสตร์ และศูนย์เรียนรู้ โดยได้แวะไปเยี่ยมชมโรงถ่ายหนังของฮอลลีวูดและได้มีการถ่ายรูปในฉากต่างๆ ที่เป็นฉากจำลองสำหรับถ่ายภาพยนตร์ เมื่อได้ถ่ายในฉากที่เป็นเครื่องเล่น พระสงฆ์รูปหนึ่งที่ไปด้วยเห็นว่าภาพสวยดี จึงได้เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นก็มีการแชร์ต่อกันไป จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวจนถึงปัจจุบัน 
 
"เป็นเพียงเทคโนโลยี ในโรงถ่ายทำภาพยนตร์ของฮอลลีวูด คณะนักท่องเที่ยวที่ได้ไปเยี่ยมชม ต่างก็ต้องไปถ่ายรูปตามจุดต่างๆ รวมทั้งจุดที่เป็นฉากเครื่องเล่นนี้ด้วย ตามโปรแกรมทัวร์ เป็นแค่ฉากๆหนึ่งที่แสดงให้เห็นขั้นตอนเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างๆ ซึ่งพระเทพวรสิทธาจารย์ และคณะสงฆ์ไม่ได้ขึ้นเครื่องเล่นสวนสนุกจริงแต่อย่างใด ไม่ใช่ที่อโคจรแต่อย่างใดทั้งสิ้น มีการชี้แจงไปแล้วเมื่อปี 2555 และมีพยานยืนยันได้"นายวัลลภ กล่าว
 
 
--------------------------------------------------------------------------------
 
รูปเจ้าปัญหา แนะนำให้ตามลิงค์นั้นนะครับ ไม่อยากเอามาลงในนี้ 
 
กระทู้ท้านรกหรือเปล่าเนี่ย ? ................ บางทีพระก็ประพฤติตนไม่เหมาะ
การเดินทางกับการใช้เครื่องเล่นสนุก คนละอย่าง 

 


ฮือฮาเจอหมู่บ้านศีล 5 นับหมื่นครัว ไม่กินเนื้อสัตว์

9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 - 00:27

ฮือฮาเจอหมู่บ้านศีล 5 นับหมื่นครัว ไม่กินเนื้อสัตว์
 
พบหมู่บ้านถือศีล 5 กินมังสวิรัติทั้งหมู่บ้าน 10,000 หลังคาเรือน อยู่ที่ ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน ทั้งยังยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของ“ในหลวง” ในการใช้ชีวิต คณะสงฆ์ภาค 7 เตรียมเสนอ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ประกาศยกย่องเป็นหมู่บ้านต้นแบบการถือศีล 5
 
วันพุธ 7 พฤษภาคม 2557 เวลา 16:52 น.
 
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. พระธรรมคุณาภรณ์(พิมพ์ ญาณวีโร) เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร รองเจ้าคณะภาค 7 (เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน) กล่าวว่า จากการที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีนโยบายให้คณะสงฆ์ดำเนินการโครงการหมู่บ้านศีล 5 เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้ปฏิบัติศีล 5 อย่างจริงจัง เนื่องจากทุกวันนี้สังคม ประชาชนขาดศีลธรรม และเกิดความแตกแยก นั้น จากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยอบรมประชาชน ประจำตำบล(อ.ป.ต.) ที่จ.ลำพูนและแม่ฮ่องสอน และตรวจเยี่ยมชุมชนร่วมกับพระเทพวรสิทธาจารย์ (ธงชัย สุวณฺณสิริ )เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร รองเจ้าคณะภาค 7 เมื่อช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ได้พบ หมู่บ้านที่น่าสนใจ คือ หมู่บ้านในตำบลนาทราย จำนวน 10 หมู่บ้าน รวมกว่า 10,000 หลังคาเรือน มีการรักษาศีล 5 โดยไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ไม่นำสัตว์มาเลี้ยงในหมู่บ้าน ไม่ดื่มสุรา ไม่เสพสิ่งเสพติดทุกชนิด ประกอบสัมมาอาชีพ และทำสวนทำไร่ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจว่า ยังมีหมู่บ้านเช่นนี้หลงเหลืออยู่ในประเทศไทย เพราะสังคมไทย ได้มีการพัฒนาไปมาก โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุ
 
พระธรรมคุณาภรณ์ กล่าวต่อไปว่า ชาวบ้านในทั้ง 10 หมู่บ้านดังกล่าว ทุกคนจะยึดหลักศีล 5 ในการดำรงชีวิต โดยทุกวันพระจะหยุดทำงาน แล้วพากันไปวัดปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิภาวนา ยังวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน นอกจากนี้ยังมีการจัดรายการท่องเที่ยวทางธรรม โดยมีกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้ขับเคลื่อน ร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หน่วยงานราชการ จนเกิดผลเป็นรูปธรรม
 
พระธรรมคุณาภรณ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้จากการสอบถามข้อมูลจากนายอุดม จันตาใหม่ นายอำเภอลี้ ทราบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าปอเกอญอในจ.ตาก และมาอยู่ที่นี่เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว โดยติดตามมากับครูบาชัยวงศาพัฒนา อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งครูบาชัยวงศาพัฒนา ได้ชวนให้มาอยู่พร้อมกับมอบที่ดินให้ทำกินครอบครัวละ 1 ไร่ โดยมีข้อแม้ว่า จะต้องรักษาศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ ซึ่งตอนแรกมีอยู่ไม่กี่ครัวเรือน จนมาถึงปัจจุบันมีมากถึง 10,000 ครัวเรือน ที่สำคัญชุมชนแห่งนี้ ไม่มีปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด มีแต่ความรัก สามัคคีกัน ดังนั้นตนจะนำเรื่องนี้รายงานยังสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อดำเนินการจะยกย่องให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบ หมู่บ้านศีล 5 เพื่อให้หมู่บ้านอื่นได้มาเรียนรู้วิธีการส่งเสริม ให้ประชาชนเข้าถึงศีล 5 และทำให้สังคมเกิดความสงบสุข
 
ด้านพระครูอุปถัมภ์ สังฆกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ในฐานะเจ้าคณะตำบลนาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน กล่าวว่า ชาวบ้านในพื้นที่ต.นาทรายกลุ่มดังกล่าวทั้ง 10 หมู่บ้าน จะใช้ชื่อรวมกันว่าหมู่บ้านพระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งมีความศรัทธาใน ครูบาชัยวงศาพัฒนา อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้มมาก และยึดถือแนวทางในการปฏิบัติการถือศีล 5 กินอาหารมังสวิรัตตามครูบาชัยวงศาพัฒนามาตั้งแต่ครูบาชัยวงศาพัฒนา ยังไม่มรณภาพ และแม้ว่าครูบาชัยวงศาพัฒนาจะมรณภาพไปแล้วกว่า 10 ปี ชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวก็ยังถือแนวปฏิบัตินี้อยู่ โดยจะมีการคอยว่ากล่าวตักเตือนกันอยู่ตลอด และในหมู่บ้านจะไม่มีการเลี้ยงสัตว์ไว้กินเนื้อ เช่น หมู เป็ด ไก่ ซึ่งในแต่ละวันผู้ใหญ่บ้านทั้ง 10 หมู่บ้านจะมีการออกตรวจพื้นที่ในหมู่บ้านทุกวันด้วย
 
 
--------------------------------------------------------------------
 
แปะมาฝาก เห็นว่าน่าสนใจดี 

ในหลวง เสด็จฯ ออกท้องพระโรงศาลาราชประชาสมาคม วันฉัตรมงคล

5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 - 21:26

image_9.jpg

image_12.jpg

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออกท้องพระโรงศาลาราชประชาสมาคมทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชนพปฎลมหาเศวตฉัตรสิริราชกกุธภัณฑ์ในการพระราชพีธีฉัตรมงคล
 
วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๐.๑๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชนพปฎลมหาเศวตฉัตร สิริราชกกุธภัณฑ์ เนื่องในการพระราชพิธีฉัตรมงคล ณ ท้องพระโรงศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
 
 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 


สมเด็จพระบรมฯ เสด็จแทนพระองค์ ในการพระราชพิธีฉัตรมงคล (4 พ.ค. 57)

4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 - 20:29

VEK_0511.jpg

 

VEK_0517.jpg

 

วันที่ ๔ พฤษภาคม  ๒๕๕๗   เวลา  ๑๕.๓๐ น.
 
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ พร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ในการพระราชพิธีฉัตรมงคล พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณฯ อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล จากนั้นพระสงฆ์๒๐รูป เจริญพระพุทธมนต์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง