Jump to content


ทัชชี่

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 7 กรกฎาคม 2554
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: ส่วนตัว
-----

#868239 'บิณฑ์'แฉ!!โรงพยาบาลยุคยิ่งลักษณ์.. ไล่สาวท้องคลอดเองเหตุไม่ม...

โดย ทัชชี่ on 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 11:04

 

ประกันสังคมคลอดบุตร มีสิทธิ์คลอดฟรี ทำไมโรงพยาบาลไม่รับ แปลกครับ น่าจะแฉโรงพยาบาลออกมาเลยครับ จะได้รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงใช้ไม่ได้

 

เธออาจไม่ได้เลือกโรงพยาบาลนั้นมังคะ

 

แต่ถึงอย่างไร ภาวะฉุกเฉิน ตามหลักมนุษยธรรม ต้องช่วยเหลือก่อน ก่อนที่จะส่งต่อโรงพยาบาลที่เธอประกันตนต่อไป..

 

 

แต่ คุณบิณฑ์ แกเขียนไว้อย่างนี้ครับ

 

 

เหตุ
เนื่องจากว่าแม่น้องมีอาการปวดท้องคลอด
แล้วไป รพ ตามที่เธอมีประกันสังคมที่ รพ
แหง่นี้ใน กทม (ผมไม่อยากเอ่ยนาม)แต่เธอ
ถูกปฏิเสธในการใช้สิทธิคือไม่ครอบคุมถึง
การคลอดลูก รพ บอกว่าถ้าเธอจะคลอดเธอ
ต้องจ่าย18,0000บาท

 

นั่นแปลว่า เธอมีสิทธิ์ใช้ได้ครับ แต่ รพ. ไม่รับ ด้วยการบอกว่ามันไม่ครอบคลุมถึง แต่มันเป็นกรณีฉุกเฉินไม่ใช่เหรอ ทำไม รพ. ไม่รับ คงต้องไปถามจรรยาบรรณหมอแล้วล่ะ




#862592 พบแท็บเล็ตป.1เจ๊ง2.5แสนเครื่อง

โดย ทัชชี่ on 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 12:37

 

 

 
 
เจ๊งๆ ไปให้หมดเสียก็ดี จะได้หมดทุกข์หมดโศกกันไป
เพราะมีอยู่ก็ไม่เห็นจะให้ประโยชน์อะไรได้
ลำพังแค่ Sound Lab, Computer Lab ที่มีแล้วในโรงเรียน
ยังไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่เลย
คนคุม คนสอนก็ใช้ไม่เป็น
คนเรียน ก็เอาแต่เล่นสนุกไป ไม่ได้สาระ
 
จบเสียที

 

 

ขอนิดนุง ห้อง sound lab นี่รัฐเป็นคนสั่งให้มีทุกโรงเรียนหรือเปล่าครับ ?

 

 

มีเฉพาะโรงเรียนที่มีศักยภาพพอที่จะใช้สอนได้ครับ ต้องขออนุมัติก่อนถึงจะได้ครับ แต่ถ้าอยากได้เร็วๆ ก็ต้องขอสนับสนุนจากผู้ปกครอง นร. ครับ




#862586 เทียบชั้นลูกอดีตนายก..กับลูกนักโทษหนีคดี(ว่าที่นายกฯ)

โดย ทัชชี่ on 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 12:32

 

 

 

 

 

 

... อีกอย่าง...ทางกระทรวงเป็นคนติดต่อไปเอง ไม่ได้มาขอสมัครเข้ามาทำงานนะเฟ้ย

 

 

 

หากเป็นลูกคุณ จะมีบุญขนาดนั้นเหรอครับ? 

 

 

ผมก็เคยโดนกระทรวงพาณิชย์เรียกตัวเข้าไปทำงานให้เหมือนกันนะ (ในสมัยของทักษิณด้วยนะ) ผมก็ไม่ได้มีศักดิ์ศรีเป็นลูกนายกด้วยเอ้า.. เขายังมาเชิญผมไปทำงานได้เลย งั้นอย่างน้องปลื้มมันจะแปลกตรงไหน เขามีความสามารถอยู่แล้ว?

 

 

 

ไหนลองเล่ามาสิครับว่ารัฐบาลทักษิณเชิญคุณไปทำอะไร   :D

 

 

ผมคือหนึ่งในวิทยากรที่ไปอบรมให้กับ ผู้ที่ผ่านเข้ารอบการประกวดฟอนต์ ที่จัดโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลทักษิณ เมื่อปี 48 และฟอนต์ชุดที่ได้จากการประกวดในครั้งนั้นก็ถูกนำมาประกาศใช้เป็นฟอนต์แห่งชาติในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ หรือในปัจจุบันนิยมเรียกว่า "ฟอนต์ราชการ" นั่นเอง

 

นอกจากนี้แล้วผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรให้กับหน่วยราชการอีกหลายหน่วยงาน เช่น สนง.กฤษฎีกา สนง.ตร. กระทรวงแรงงาน เป็นต้น ถ้าแยกเป็นกระทรวง ก็คงไม่ครบทุกกระทรวงหรอกครับ แต่ก็ได้รู้จักอยู่หลายหน่วยงานอยู่

 

แค่นี้พอมั้ย

 

ระวังท่านจะโดนถามหาหลักฐานนะครับ

100 เอาขี้หมากองเดียว

 

 

ผมพอมีหลักฐานเป็นหนังสือเชิญอยู่ครับ ไม่ต้องห่วง หุๆ แต่ถ้าจะเอาจริงๆ ต้องจ่ายตังค์นะ เพราะนี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวผม ไม่ใช่ให้ใครก็ได้มาละลาบละล้วง อีกอย่างหนังสือราชการที่เป็นความลับเฉพาะบุคคล ก็ไม่ควรเอามาเปิดเผยอยู่แล้วครับ




#862564 เทียบชั้นลูกอดีตนายก..กับลูกนักโทษหนีคดี(ว่าที่นายกฯ)

โดย ทัชชี่ on 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 12:04

 

 

 

 

... อีกอย่าง...ทางกระทรวงเป็นคนติดต่อไปเอง ไม่ได้มาขอสมัครเข้ามาทำงานนะเฟ้ย

 

 

 

หากเป็นลูกคุณ จะมีบุญขนาดนั้นเหรอครับ? 

 

 

ผมก็เคยโดนกระทรวงพาณิชย์เรียกตัวเข้าไปทำงานให้เหมือนกันนะ (ในสมัยของทักษิณด้วยนะ) ผมก็ไม่ได้มีศักดิ์ศรีเป็นลูกนายกด้วยเอ้า.. เขายังมาเชิญผมไปทำงานได้เลย งั้นอย่างน้องปลื้มมันจะแปลกตรงไหน เขามีความสามารถอยู่แล้ว?

 

 

 

ไหนลองเล่ามาสิครับว่ารัฐบาลทักษิณเชิญคุณไปทำอะไร   :D

 

 

ผมคือหนึ่งในวิทยากรที่ไปอบรมให้กับ ผู้ที่ผ่านเข้ารอบการประกวดฟอนต์ ที่จัดโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลทักษิณ เมื่อปี 48 และฟอนต์ชุดที่ได้จากการประกวดในครั้งนั้นก็ถูกนำมาประกาศใช้เป็นฟอนต์แห่งชาติในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ หรือในปัจจุบันนิยมเรียกว่า "ฟอนต์ราชการ" นั่นเอง

 

นอกจากนี้แล้วผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรให้กับหน่วยราชการอีกหลายหน่วยงาน เช่น สนง.กฤษฎีกา สนง.ตร. กระทรวงแรงงาน เป็นต้น ถ้าแยกเป็นกระทรวง ก็คงไม่ครบทุกกระทรวงหรอกครับ แต่ก็ได้รู้จักอยู่หลายหน่วยงานอยู่

 

แค่นี้พอมั้ย




#862512 เทียบชั้นลูกอดีตนายก..กับลูกนักโทษหนีคดี(ว่าที่นายกฯ)

โดย ทัชชี่ on 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 10:59

 

 

... อีกอย่าง...ทางกระทรวงเป็นคนติดต่อไปเอง ไม่ได้มาขอสมัครเข้ามาทำงานนะเฟ้ย

 

 

 

หากเป็นลูกคุณ จะมีบุญขนาดนั้นเหรอครับ? 

 

 

ผมก็เคยโดนกระทรวงพาณิชย์เรียกตัวเข้าไปทำงานให้เหมือนกันนะ (ในสมัยของทักษิณด้วยนะ) ผมก็ไม่ได้มีศักดิ์ศรีเป็นลูกนายกด้วยเอ้า.. เขายังมาเชิญผมไปทำงานได้เลย งั้นอย่างน้องปลื้มมันจะแปลกตรงไหน เขามีความสามารถอยู่แล้ว?




#862508 เทียบชั้นลูกอดีตนายก..กับลูกนักโทษหนีคดี(ว่าที่นายกฯ)

โดย ทัชชี่ on 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 10:54

เอาง่ายๆ เลยนะครับหากน้องปลื้มไม่ได้เป็นลูกนายหัวชวน ถามว่าน้องปลื้มที่เป็นจบรัฐศาสตร์รามคำแหง ไม่เคยทำงานทำการอะไรเลยจะได้เป็นผช.โฆษกกระทรวงวัฒนธรรมได้ยังไงครับ?

 

ลองตอบมาหน่อย

 

ถ้าลูกคุณเก่งและฉลาดกว่าน้องปลื้ม อยู่ดีๆ จะสามารถไปเป็นผช.โฆษกกระทรวงวัฒนธรรมได้โดยไม่มีเส้นสายเหรอครับ?

 

หอยหลอดเอ๊ย... เขาทำงานตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่ ไปมุดหัวที่ไหนมา ถึงไม่รู้ ทำงานกับสื่อมาโดยตลอดด้วย จะได้มาเป็นโฆษกก็ไม่แปลกหรอก อีกอย่าง...ทางกระทรวงเป็นคนติดต่อไปเอง ไม่ได้มาขอสมัครเข้ามาทำงานนะเฟ้ย

 

ถ้าคนทำงานเก่งมันก็เป็นหน้าเป็นตาให้กระทรวงฯ  มันไม่เหมือนรัฐบาลนี้หรอก เอาควายที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็น รมต. ทำแต่ละอย่างชาวบ้านเดือดร้อนกันไปหมด




#862485 เทียบชั้นลูกอดีตนายก..กับลูกนักโทษหนีคดี(ว่าที่นายกฯ)

โดย ทัชชี่ on 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 10:34

 

เพิ่งรู้ว่า VRZO บริหารโดย ปลื้ม

 

ห้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

น้องทับทิมเมียเค้าก็น่าร๊ากกกกกก

 

เคยเจอตัวจริงแล้ว
 

น่ารักทั้งคู่ครับ เหมาะสมกันดีครับคู่นี้




#862478 สน.โึคกคราม 191 ไม่มีตำรวจสายตรวจแล้วแน่ๆ!!

โดย ทัชชี่ on 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 10:25

สน.นี้ขึ้นชื่อเรื่องความ***ครับ

 

มีเพื่อนผู้หญิงคนนึ่ง เคยโดนตำรวจ สน.นี้ลวนลามในโรงพักมาแล้วด้วยครับ

 

ปล. สน.นี้อยู่ในซอยบ้านผมเอง




#859450 มาดูควายมันเงิบ...อยากด่าไม่ดูตาม้าตาเรือ โดนตบหัวทิ่ม

โดย ทัชชี่ on 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 00:57

1382087_544678988939307_1431772507_n.jpg

 

ตามไล่ด่าเขาดีนัก โดนตบหัวทิ่มดีมั้ย สมน้ำหน้ามัน :lol: :lol: :lol:




#856759 ชำแหละสาแหรก'สภาผัวเมีย' ตระกูล'ชินวัตร'ยั๊วเยี้ยมากสุด

โดย ทัชชี่ on 29 กันยายน พ.ศ. 2556 - 18:55

ตระกูล ปุณณกันต์ หายไปไหน

 

เสี่ยปุ้ม สุรนันท์ เวชาชาชีวะ หายหัวไปไหน

 

ตระกูล วิลาวัลย์ แห่งปราจีนบุรี ก็ไม่มี

 

ตระกูล อดิเรกสาร แห่ง สระบุรี ก็ไม่มี




#853805 มาดูแดงแถ....แถดๆๆๆ

โดย ทัชชี่ on 25 กันยายน พ.ศ. 2556 - 11:23

เข้าไปดูอัพเดทได้ที่นี่ครับ

https://www.facebook...d_comment_reply

 

25-9-2556 10-56-31.jpg

25-9-2556 11-16-44.jpg

25-9-2556 11-17-31.jpg

 

แหม...พูดยังกะมีความรู้ พอเอาเข้าจริง บอกให้ไปดูโน่นดูนี่ อ้างไม่รู้กฎหมาย แล้วจะพูดถึงทำแมวอะไรครับ

 




#844582 เครื่องดื่มใน กทม. แพงขึ้น ผู้ว่า กทม ทำไรอยู่

โดย ทัชชี่ on 15 กันยายน พ.ศ. 2556 - 02:37

 

 

1379155276-1379134383-o.jpg
 
1379138828-1379131267-o.jpg



ไปยื่นศาลฟ้องผู้ว่าเลยครับ

 

 

เป็นผม ผมฟ้องผู้ว่าแน่นอน

 

ผู้ว่าไร้ความสามารถขนาดนี้ ไม่สามารถคุมลมฝนให้ตกที่อื่นจนน้ำท่วม

 

ครั้งหน้าถ้าใครสมัครเป็นผู้ว่า ต้องเสนอนโยบายย้ายเมฆฝนให้ไปตกที่อื่น ไม่งั้นไม่มีทางได้คะแนนผมแน่นอน :angry:

 

 

งั้น อีกสองสมัยผมจะลงสมัครผู้ว่านะครับ... เพราะผมสั่งย้ายฝนให้ไปตกที่อื่นได้ ใครไม่เชื่อจะลองดูก็ได้ ฮ่าๆ




#842524 ผมว่าผมรู้สาเหตุที่ไข่แพงแล้วล่ะ

โดย ทัชชี่ on 12 กันยายน พ.ศ. 2556 - 20:14

1240241_537678596299092_1271673935_n.jpg

 

ก็นางยกเล่นเอาไก่ไปปล่อยซะทั่วโลกแบบนี้...ไข่จะไม่แพงได้งัย จริงมั้ยพี่น้อง?

:lol: :lol: :lol:




#839464 ตำรวจไทย.....ทำได้ทุกอย่าง

โดย ทัชชี่ on 10 กันยายน พ.ศ. 2556 - 11:06

แสดงว่าแอดมินเพจนี้เป็นเพื่อนผมแหงๆ ผมโพสต์ปุ๊บ...หยิบเอาไปโพสต์ต่อเลย




#839393 เป็นลิเบอรัลแบบไทยๆ นี่...ต้องขยันหาแพะชนแกะให้ได้สินะ

โดย ทัชชี่ on 10 กันยายน พ.ศ. 2556 - 09:55

บทความจากประชาไท

http://prachatai.com...l/2013/09/48652

 

พิธีไหว้ครูอัปยศ

 

Mon, 2013-09-09 22:45

บรรยงค์ รัตนาสน์

 

 

ในนามประเพณีอันดีงาม ความรักและความกตัญญูที่ลูกศิษย์มีต่อผู้มีพระคุณอย่างครูบาอาจารย์ที่ท่าน “ประทาน” ความรู้มาให้ ดูเหมือนจะเป็นธรรมชาติที่ไม่ต้องการตั้งคำถามอะไรอีกแล้ว เมื่อมันแสดงออกผ่าน “พิธีกรรม” การไหว้ครูของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่จัดขึ้นโดยให้นักศึกษาหมอบกราบ คลานเข่า  

สัปดาห์ก่อนผู้เขียนช็อคมาก เมื่อบังเอิญไปเห็นภาพพิธีกรรมการไหว้ครู 240 ภาพ ที่ถูกโพสต์ในเฟสบุ๊คของคณะสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เพื่อประชาสัมพันธ์พิธีกรรมแห่งความภาคภูมิใจของคณะแห่งนี้ หลายภาพเป็นภาพที่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 หลายร้อยคนกำลังเรียงแถวมา “กราบเท้า” คณาจารย์ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ จนหน้าแทบจะซบเท้าอาจารย์ อันหมายถึงการสยบยอมหมอบราบคาบแก้วแล้วทุกอย่าง ห๋า!...มันเป็นไปได้อย่างไรในยุคนี้ พ.ศ. นี้ ซึ่งเป็นยุคที่เราพูดถึงเรื่องการศึกษาที่ทำให้คนคิดเป็น มีเสรีภาพและความเสมอภาค สิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
 
9707943336_143b5f9317.jpg
 
ผู้เขียนมั่นใจว่า 18 ฝน 18 หนาว ส่วนใหญ่ของนักศึกษาหลายร้อยคนที่มากราบเท้าอาจารย์ ไม่เคยกราบเท้าพ่อแม่ผู้เลี้ยงพวกเขามาจนโต แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าพวกเขาและหล่อนกราบเท้าอาจารย์เหล่านั้นเพราะใช้ เหตุผล หรือ เพราะความกลัว หรือเพราะไม่ได้คิดอะไร เพราะความคิดมัน “โดนครอบ” ไปแล้ว ก็เลยทำตามๆ กันไป ไม่มีคำถาม ไม่มีคำเถียง ส่วนคนที่มีคำถาม คำเถียง ก็คงไม่กล้า เพราะกลัวเป็นแกะดำ โดนขึ้นบัญชีดำ พาลจะเรียนไม่จบ  ผู้เขียนเลยถามคนที่เคยผ่านพิธีไหว้ครูมาแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับการหมอบ กราบแบบนี้ เขาว่า “....หนูไม่อยากให้มีการกราบเท้าอาจารย์แบบนี้เลย มันดูไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรีความเป็นคน เป็นนักศึกษามหาลัย ยังไงก็ไม่รู้”  
9707861982_11864fd169.jpg
 
สิ่งที่เราเรียกว่าประเพณีอันดีงาม แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เราเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่า คำว่า “อันดีงาม”  นั้น ดีงาม “ของใคร”  และ “เพื่อใคร” ของและเพื่อลูกศิษย์ผู้ต้องก้มกราบตีน หรือของอาจารย์ผู้มีอำนาจเหนือกว่า??? และถ้าจะตอบว่าเพื่อ “สังคม” จะได้ปกติสุข คำถามคือว่า  ปกติสุข แปลว่าอะไร แล้วใครปกติ ใครสุข???
 
สำหรับอาจารย์ การจะทำให้การ “สั่งและสอน” บรรลุผลอย่างไม่หืดขึ้นคอ (เพราะอาจจะเจอนักศึกษาคิดเชิงวิพากษ์และตั้งคำถามยากๆ) ไม่ต้องใช้หลักธรรมาภิบาลในการให้คะแนนให้เกรด และดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ดูสูงส่ง คือต้องจับวิชาการในความหมายต่างๆ ที่พวกเขาควบคุมและเตรียมการ (สอน) ไว้แล้ว “กรอก” เข้าหัวนักศึกษานั้น จากนั้นก็วัดผลไปว่านักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในวิชาการนั้นเพียงใด มันจึงไม่ต้องการเสรีภาพในการคิดเชิงวิพากษ์และการตั้งคำถามกับวิชาการว่า ความรู้ที่ผลิตมานั้น ผลิตมาเพื่อใคร ชนชั้นใด ภายใต้อุดมการณ์แบบใด ใครได้ประโยชน์จากวิชาการวิชานั้นๆ (ชนชั้นนำ นักธุรกิจ หรือประชาชน คนจน แรงงานต่างด้าว ฯลฯ) รวมทั้งไม่เข้าใจ และรู้ไม่เท่าทันกับเนื้อหาที่ถูกกรอกใส่ ไม่เข้าใจปัญหาสังคมที่ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากโครงสร้างความสัมพันธ์เชิง อำนาจและวาทกรรมต่างๆ ที่ครอบงำ สร้างภาพตัวแทน สร้างความเป็นอื่น เพื่อเบียดขับ เอาเปรียบ และกดขี่ คนจำนวนหนึ่งออกไปหรือเข้าไม่ถึงสิทธิและเงื่อนไขในการดำรงชีพทีดี (เช่น ทำไมคนเราจึงรู้สึกว่ากดขี่แรงงานต่างด้าวเป็นเรื่องธรรมดา ทำไมคนจนขยันทำนาปีละ 3 ครั้งยังจนอยู่ แล้วชาวเขาที่ไม่มีสิทธิทำกินในที่ดิน ไม่มีบัตรประชาชน เขาดำรงชีพอยู่ได้อย่างไร บลา บลา บลา) ซึ่งชนชั้นอาจารย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตวาทกรรมและได้ประโยชน์จาก โครงสร้างนั้นๆ
 
การทำให้นิสิตไม่ต้องตั้งคำถามกับปัญหาสังคม คือการพยายาม “ปกปิด” ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ (ซึ่งมีทุกหย่อมหญ้าในสังคม รวมทั้งทุกตารางนิ้วในมหาวิทยาลัย) แล้วกลบเกลื่อนให้มัน “เนียน” ไปในนามของ “ประเพณีอันดีงาม” ให้ดูเหมือน “เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา” ที่ว่าวิชาการในมหาลัยและอาจารย์มหาลัยนั้น ถูกต้อง เชื่อถือได้ สูงส่ง ดูเหนือกว่าธรรมดา และ ศักดิ์สิทธิ์  พูดได้ว่าเพื่อการกลบเกลื่อน นอกจากอาจารย์จะใช้อำนาจจากกฎระเบียบ (เช่น การให้เกรด) และเชิงชนชั้น แล้ว ครูบาอาจารย์ต้องมีอำนาจเชิงสัญลักษณ์ด้วย 
 
พิธีกรรมไหว้ครูที่เห็นๆ กันในมหาวิทยาลัยทุกวันนี้  จึงต้องถูก “ประดิษฐ์” ขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างอำนาจเชิงสัญลักษณ์ ในยุคสมัยที่ครูหาใช่เทพเทวดาที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังในอดีต  (เช่นการไหว้ครูดนตรี) และก็ไม่ใช่พวกพระที่สั่งสอนในนามพระพุทธเจ้า พวกพราหมณ์ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับเทพ แต่อย่างใดไม่ ทว่ามีฐานะเป็นแค่มนุษย์ขี้เหม็น ที่ไม่ได้สูงส่งวิเศษวิโสกว่าลูกศิษย์แต่อย่างใด ประเพณีไหว้ครูในโรงเรียน/มหาวิทยาลัย ซึ่งถูกเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ใหม่เมื่อประมาณปี 2500 ก็เพื่อรองรับสถานภาพอาจารย์ในยุคสมัยใหม่  จึงหาใช่ประเพณีที่มีมาแต่โบราณแต่อย่างใดไม่
 
เรื่องนี้สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เคยเขียนในเฟสบุ๊คส่วนตัวของเขาเมื่อปีที่แล้วว่า 
“ไหว้ครูเป็นพิธีกรรมที่บรรดาครูปัจจุบัน(ซึ่งเป็น มนุษย์) กับเหล่าลูกศิษย์ ทั้งที่กำลังเรียนอยู่และที่จบไปแล้ว ร่วมกันแสดงคารวะกราบไหว้บูชาครูผี ซึ่งเป็นครูในอดีตที่ตายไปแล้ว อาจอยู่ในฐานะของเจ้า, เทพ, เทวดา เช่น พระอีศวร ฯลฯ ก็ได้ โดยยกย่องครูอาวุโสคนหนึ่ง ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารระหว่างครูผีกับผู้เข้าร่วมพิธีทั้งหมด (ขอย้ำว่าไหว้ครูสมัยก่อนไม่ใช่ลูกศิษย์ไหว้ครูปัจจุบันเหมือนเดี๋ยวนี้)  ครูผี ในที่นี้ อ. นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายนานแล้วว่าเป็นสัญลักษณ์ของหลักการทางนามธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อถือกันสืบมานานนักหนาว่าสิงอยู่ในเครื่องมือทำมาหากิน เช่น ผีครก, ผีสาก, ผีนางด้ง, ฯลฯ รวมทั้งเครื่องมือร้องรำทำเพลง เช่น เทริด, หน้ากาก (พราน), ตะโพน, ฆ้องวง, ฯลฯ  พิธีเลี้ยงผีของคนในชุมชนชาวบ้าน แล้วผีลงหรือผีเข้า ก็เป็นอย่างเดียวกับเข้าทรง, ลงทรง ในพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์และดนตรี เมื่อรับแบบแผนพราหมณ์สมัยหลัง ก็ยกย่องพิธีพราหมณ์เข้ามาประสมประสานให้ศักดิ์สิทธิ์ ดังเห็นในพิธีไหว้ครู, ครอบครูดนตรีและนาฏศิลป์ ซึ่งมีเข้าทรงด้วย สังคมไทยในอดีตไม่เคยมีประเพณีประจำปีให้ลูกศิษย์ลูกหาพากันกราบก้มประนมกร ไหว้ครูปัจจุบัน เพราะคนแต่ก่อนเห็นว่าครูปัจจุบันเป็นมนุษย์ขี้เหม็น ยังมีโลภ-โกรธ-หลง-โกง-กิน ไม่น่าเคารพก็มาก ไม่รู้ว่าคนที่ลูกศิษย์กำลังกราบไหว้อยู่นั้น แท้จริงในกมลสันดานเป็นอย่างไร มีเบื้องหลังมืดดำอย่างไรก็ไม่รู้ ไหว้ครู ทุกวันนี้เป็นประเพณีประดิษฐ์สร้างใหม่(ก่อน/หลัง พ.ศ. 2500) โดยกระทรวงศึกษาธิการให้ลูกศิษย์(ซึ่งอายุน้อย)เป็นรุ่นลูกหลานไหว้ครู ปัจจุบัน ด้วยการคุกเข่าแล้วคลานเข่าถือดอกไม้ธูปเทียนคลานเข้าไปไหว้ครู เหมือนเข้าเฝ้าเจ้านายในรั้ววัง และเหมือนกราบไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ หรือพระสงฆ์ผู้ทรงศีล แต่ในใจลูกศิษย์คิดยังไง? ครูไม่มีวันรู้”
 
การไหว้ครูแบบหมอบกราบและกราบไปตรงๆที่ใบหน้าศิษย์แทบจะแนบเท้าอาจารย์ นั้น เป็นพิธีกรรมของการควบคุมความคิดและพฤติกรรมของผู้ก้มกราบ(นักศึกษา) อย่างรุนแรง และเป็นการผลิตซ้ำความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ที่ชนชั้นนำได้กระทำลงไป เพื่อทำให้นักศึกษาไม่ต้องตระหนักว่ามีโซ่ตรวนที่ตรึงเขาเอาไว้ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องตั้งคำถามกับความรู้ที่อาจารย์สอน ว่าเป็นความรู้ของ/โดย/เพื่อใคร แล้วใครต้องเจ็บปวดกับ “อำนาจของความรู้” เหล่านั้นบ้าง พวกเขาจึงไม่เข้าใจปัญหาสังคมอันเนื่องมาจากโครงสร้าง วัฒนธรรม และวาทกรรมต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และที่สำคัญ เราก็เลยไม่เคยเห็นเคารพกันและกันในฐานะอาจารย์และศิษย์ในระบอบประชาธิปไตย ที่ตระหนักถึงเสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ในหลายๆ ตารางนิ้วของมหาวิทยาลัย 
 
แค่การหมอบคลานที่ขุนนาง/สามัญชนเข้าเฝ้าเจ้า รัชกาลที่ 5 ท่านก็ยังทรงเห็นว่าเป็นการ “กดขี่ แก่กันแข็งแรงนัก ....เป็นต้นแห่งการที่เป็นการกดขี่แก่กันทั้งปวง” ทรงโปรดให้ยกเลิกธรรมเนียมการหมอบคลาน เมื่อปี 2416 หรือเกือบ 100 ปีก่อน ในยุคที่เรายังไม่มีประชาธิปไตย ประชาชนยังไม่รู้จักคำว่าสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคด้วยซ้ำไป 
9704613981_6533f98b13.jpg
แต่นี่มันอะไรกัน ใน พ.ศ. นี้ บรรดาสามัญชน (พวกไพร่ๆ - คำสมัยก่อน) อย่างครูบาอาจารย์ นอกจากจะไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของลูกศิษย์แล้ว ยังผลิตซ้ำโครงสร้างแห่งความรุนแรง (การกดขี่) ที่หนักข้อกว่าแค่การหมอบคลาน โดยบังอาจให้ลูกศิษย์ “กราบเท้า” เยี่ยงนี้ แล้วไซร้...
 
บรรทัดต่อไป เขียนต่อไม่ได้แล้ว มันสุดจะบรรยาย....เพราะมันเหลืออย่างเดียว คือ คำด่า
 
 
 
เป็นลิเบอรัลแบบไทยๆ นอกจากต้องหยิ่งในศักดิ์ศรีแล้ว ต้องขยันจับแพะชนแกะอย่างเมามันส์ด้วย