สู่ห้องเรียน..ประวัติศาสตร์ชาติไทย
#1
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 17:38
POPULAR
สมสาก คนทรง เจ้า "ไม่ได้" เต็มใจสละอำนาจให้กับราษฏร
โดย BlueArmy, 26 มิถุนายน 2555
กระทู้แตกประเด็นครับ
โดย ตะนิ่นตาญี, 26 มิถุนายน 2555
สถานการณ์ในปัจจุบัน พฤติกรรมของคนบางกลุ่มที่อ้างเสียงส่วนใหญ่ในการกระทำการใด ๆ
ผนวกกับกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่อาศัยดีกรีนำหน้า พร้อมเอกสารที่ใช้รับรองความรู้อีกไม่กี่แผ่น
เรียกตัวเองว่า " นักวิชาเกิน " เสนอบทวิเคราะห์ ด้วยจิดใจที่สับสน วิปริต ฝักใฝ่ความเชื่อ
ซ้ายสุดโต่ง อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ขาดสำนึกในบุญคุณของแผ่นดิน...
หลงลืมไปว่า...แผ่นดินพื้นนี้ ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์ทุก ๆ พระองค์ อีกทั้ง
บรรพบุรุษทุก ๆ ท่าน ที่ยอมหลั่งเลือด เสียสละ เพื่อปกป้องรักษาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้มีที่ไว้
ซุกหัวนอน โดยไม่ต้องตกเป็นทาสอยู่ภายใต้อานัติของชาติใด...ท่านเหล่านั้นยอมสละสิ้น
แม้กระทั่งลมหายใจ เพียงเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราช...
แต่..กลุ่ม่บุคคลเพียงไม่กี่คน กลับอ้างสิทธิความเท่าเทียม ความเสมอภาค ภายใต้หน้ากาก
ประชาธิปไตยอันบิดเบี้ยว กระทำการหักหาญฉุดรั้ง เพื่อหวังอำนาจและวาสนา อวดอ้าง
ความรู้ความสามารถ ว่าตัวเองนั้นหนา คือผู้ที่เหมาะสม แปรเปลี่ยนความเท็จ ว่านั้นคือ
ความถูำกต้อง อ้างนั้นอ้างนี่ ให้ดูยุ่งเหยิง แล้วสรุปว่า นั้นคือข้อเท็จจริงที่ซ่อนเร้นไว้
กล่าวคำเท็จได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ปั้นน้ำเป็นตัวอยู่เป็นนิจ เสมือนหนึ่งว่า นั้นคือเรื่องจริง
หลงไหลทรัพย์สิน ฝักใฝ่ในลัทธิ มัวเมาในอำนาจ ประกาศตัวว่า เป็นผู้รอบรู้ ที่ชาญฉลาด
แอบอ้างสรรพคุณ อวดอ้างความสามารถ...สุดท้าย...ผลประโยชน์และการหลอกลวง
ในทุกยุคทุกสมัย บรรพบุรุษของเราต้องรับศึกทั้งภายในและภายนอก ใหญ่บ้างเล็กบ้าง
แต่ไม่มีครั้งใดที่ ผุ้กระทำการจะคิดการใหญ่ได้มากเท่าที่่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
ในอดีตผู้ก่อการเป็นนักสู้ รู้แพ้ รู้ชนะ ต่อสู้กันซึ่ง ๆ หน้าด้วยความกล้าหาญ แต่ในปัจจุบัน
ผู้ก่อการกลับหลบอยู่ในเงามืด...เพราะไม่ใช่นักสู้ แต่เป็นเพียงนักฉวยโอกาส...
ประวัติศาสตร์ชาติ กำลังเลือนหาย. วาทกรรม "คิดนอกกรอบ" เมื่อแม้วครองเมือง ลดทอน
ความสำคัญของประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อรักษาไว้ซึ่งแผ่นดินและเอกราชของบรรพบุรุษ
ได้อย่างไม่น่าเป็นไปได้ กลับปลูกฝังประชาธิปไตยที่บิดเบี้ยว การเอาตัวรอดอย่างเห็นแก่ตัว
ขาดจิตสำนึกความเสียสละเพื่อบ้านเมือง...เมื่่อต่างแก่งแย่งเพื่อตัวเอง...
แล้วประเทศหล่ะ...จะก้าวไปได้อย่างไร....
มิใช่ผู้รอบรู้ในทุกเรื่อง มิใช่ผู้ชำนาญในทุกด้าน...แต่เป็นคนไทยที่ไม่ยอมเป็นทาสใครบางคน
ขออนุญาติเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชาตินับจากกรุงสุโขทัย ถึง ปัจจุบัน เท่าที่ความสามารถ
จะทำได้..เรียนเชิญทุกท่านร่วมกันเผยแพร่ความรู้ได้ตามวิสัยทัศน์...
- sweet chin music, overtherainbow, ตะนิ่นตาญี and 22 others like this
#2
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 17:53
ช่วงนี้ คนเป่านกหวีดเสียงดังกันเยอะ ปีนี้เลยกลายเป็น " ปี แสบ หู "
#3
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 17:57
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ผมพยายามหาหนังสืออ่าน แต่ว่าพอดูคนเขียน+สำนักพิมพ์แล้วก็ไม่
กล้าซื้อ เพราะรู้สึกว่ามันจะเอียงข้างกันมาก ขี้เกียจวิเคราะห์
-----
อนุญาต มิใช่ อนุญาติ (ญาติตัวเล็ก)
- ใจหมาอำมหิต` and V.Junior for Vendetta like this
#4
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 18:37
Now! Restart Thailand
#5
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 18:48
POPULAR
มีผู้นำไว้ นำ ตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการรบ หรือเรื่องอื่นๆ จนกลายเป็นประเพณีสืบทอดมาอย่างนั้น
บางทีได้ผู้นำที่ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง (เลือกไม่ได้นี่๋) แต่ทุกคนก็ยอมรับอย่างนั้น
แล้วโลกก็เปลี่ยนไป จากเดิม รบ ฆ่า ก็เริ่มหมดไป คนไทยบางกลุ่ม (ส่วนน้อยๆในประเทศ) เริ่มมีความรู้ มีความคิด เห็นโลกมากขึ้น
เกิดคำถามขึ้นในใจว่า " ทำไมคนไทยไม่เลือกผู้นำเองล่ะ ทำไมปล่อยให้เป็นไปตามประเพณีล่ะ เลือกคนที่ชอบเองไม่ดีกว่าหรือ "
แล้วคำถามนี้มันเกิดขึ้นในใจของคนไทยทุกคนหรือไม่ ตอบแบบไม่คิดเลยว่า " ไม่อย่างแน่นอน" เป็นเพียงความคิดของ
คนหัวก้าวหน้าบางกลุ่มเท่านั้น คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศยังคงยึดประเพณีเดิมๆอยู่
" เหตุเพราะความรู้ยังไม่ถูกพัฒนาทั่วถึงไปยังคนไทยทุกคน "
หากถามว่าความคิดให้เปลี่ยนประเทศดีมั้ย เราขอบอกเลยว่า มันเป็นความคิดที่ดี ดีมาก แต่ว่า.....
นี่ล่ะคือโลกในอุดมคติ หากถามเราว่าอยากให้เป็นแบบนี้มั้ย ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่าอยากให้เป็น
แต่คำถามนึงที่เกิดขึ้นมาคือ คนไทยทุกคนพร้อมหรือยังล่ะ อะไรคือความพร้อม พัฒนาคนหรือยัง????
ครั้งแรกที่ปฏิวัติประชาธิปไตยสำเร็จ ถามหน่อยว่า อำนาจอธิปไตย เป็นของคนไทยโดยสมบูรณ์มั้ย
ไม่เลย... เกือบทั้งประเทศไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืออะไร
หรืออำนาจยังเป็นของกษัตริย์ ไม่ใช่อีกล่ะ เพราะอำนาจย่อมอยู่ในมือ ผู้ปฏิวัติสำเร็จ แต่จะใช้อำนาจนั้นได้อย่างไร
ในเมื่อไม่ได้เกิดจากความคิดคนทั้งประเทศ
เกิดการเปลี่ยนมือ เปลี่ยนอำนาจ เปลี่ยนผู้นำ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซึ่งผู้นำคนนั้นใช่ว่าจะรู้จัก ( รู้จักคือรู้*** หาใช่ รู้แค่หน้า
ว่าเป็นคนนั้น คนนี้ )
ถึงจะมีการเลือกตั้ง สส. สว. นายก ก็เหอะ จะรู้จักก็ตอนไปหาเสียง และแจกเงิน เท่านั้นล่ะ คนนี้สันดานเป็นอย่างไรใครจะไปรู้
ใครทุนเยอะ หาเสียงมาก อาจได้เลือก พูดง่ายๆก็คือ เลือกเพราะรู้หน้าตอนหาเสียง ไม่ใช่ เลือกเพราะเห็นผลงานมาก่อนเลือก
หนักกว่าบางทีเหมือนเคยเห็นผลงาน แต่ก็ไม่ได้เห็นสันดานที่แท้จริง เห็นแค่เปลือกเท่านั้น.....
เลือกนายกอีก หมื่นครั้ง หากยังเป็นอย่างนี้ เราก็จะได้เพียงการเปลี่ยนผู้นำ ไม่ต่างอะไรจากการที่เลือกเป็นประเพณี 4 ปี เลือกครั้ง
เมื่อไหร่คนไทยทุกคนสามารถตั้งคำถามได้เอง แล้วหาคำตอบด้วยปัญญาได้เอง (ไม่ใช่ให้ผู้อื่นชักจูง)
วิพากย์วิจารณ์ได้ทุกคน เหมือนที่ทำกันขณะนี้
ไม่ได้เลือกว่าเป็นฝ่ายใด ข้างใด เพราะนักการเมือง ยังไงก็ไม่ต่างจาก นักกินเมือง ที่เปลี่ยนได้ตามผลประโยชน์
สืบทอดเป็นประเพณี พ่อ ยัน ลูก หลาน เหลน โหลน
ที่สำคัญเจ็บรู้จักจำ ปีนี้เลือกมาแล้วมาผลาญ คราวหน้าก็ไม่ต้องเลือก จะดีไม่น้อย
แต่ที่เห็นๆ บางคนไม่ได้รับเลือกตั้ง ยังได้เป็นรัฐมนตรี บางคนแค่มีทุน มีบุญคุณ ก็ได้อยู่บัญชีรายชื่อต้นๆ เป็น สส. ก็เท่านั้น
ยาวมากไปแล้ว
สรุปคือ ถ้าให้เลือกระหว่าง กษัตริย์ กับ นักกินเมือง เลือกกษัตริย์ดีกว่า อย่างน้อยๆก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษสืบทอดมา
เพราะส่วนตัวทั้งชีวิตที่เกิดมาไม่ได้คลุกคลีอะไรเลย ไม่ได้มีผลต่อชีวิตประจำวันอะไร ทำมาหากินได้ตามปกติ ไม่ได้รู้สึกว่าการดำรงอยู่จะหนักหัวตรงไหน (เมื่อไหร่มีผลกระทบกับตัวอาจจะคิดต่างจากนี้ได้)
สิ่งที่รู้ๆคือ ภาษีที่นักกินเมืองผลาญไป ถ้านำมาพัฒนาประเทศ ประเทศไทย ส่งยานอวกาศไปนอกโลกได้แล้ว
อีกอย่างสงสัยอยู่ว่า คนที่มาเรียกร้อง และทำตัวเป็นเดือดเป็นร้อน กับเรื่องการดำรงอยู่ของระบบกษัตริย์ นั้น
ตัวเองได้รับผลกระทบ หรือความเสียหายจากระบบนี้หรือ หรือแค่มีความคิดว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ หรือแค่มีความคิดว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่่คนอื่นพูด คนอื่นวิจารณ์แล้วก็ทำตัวเป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วยแค่นั้น....
มีเวลามากนักทำไมไม่ไปทำมาหากินซะ จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
แล้วอีกอย่างพากันมาเรียกร้องแทนคนที่มันมีเงินเป็นหมื่นๆล้านน่ะ ทำไปทำไมหรือ???
ถึงมันจะถูกยึดเงินไปขนาดนั้น มันก็อยู่เยี่ยงราชา มีเครื่องบินส่วนตัว มีเงินซื้อได้ทุกอย่าง
ตัวคุณล่ะ คนที่มาเรียกร้องแทนมัน เย้วๆๆ อยู่นั่นน่ะ
สุขสบายเท่ามันหรือเปล่า หรือไม่มีจะกิน???
ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หันไปทำมาหากินซะดีกว่ามั้ย
- isa, overtherainbow, พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน and 10 others like this
#6
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:05
จริงๆ ต้องเป็น
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ผมพยายามหาหนังสืออ่าน แต่ว่าพอดูคนเขียน+สำนักพิมพ์แล้วก็ไม่
กล้าซื้อ เพราะรู้สึกว่ามันจะเอียงข้างกันมาก ขี้เกียจวิเคราะห์
-----
อนุญาต มิใช่ อนุญาติ (ญาติตัวเล็ก)
ตามนั้นครับ ต้องเป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ไลค์หมด ขอโควทแล้วกัน
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#7
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 20:39
ถูกใจความคิดเห็นของคุณ ดินสอ มาก มากจริง ๆ คาดว่าน่าจะตรงใจหลาย ๆ ท่าน
นี่หล่ะค่ะ คือจุดเริ่มต้นที่ดี
จริงๆ ต้องเป็น
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ผมพยายามหาหนังสืออ่าน แต่ว่าพอดูคนเขียน+สำนักพิมพ์แล้วก็ไม่
กล้าซื้อ เพราะรู้สึกว่ามันจะเอียงข้างกันมาก ขี้เกียจวิเคราะห์
-----
อนุญาต มิใช่ อนุญาติ (ญาติตัวเล็ก)
ขอตอบจากใจว่า...ตั้งใจให้เป็น ประวัติศาสตร์ชาติไทย จริง ๆ
เพราะตั้งใจอยากให้เห็นในหลาย ๆ แง่มุม มิได้เฉพาะเจาะจงว่า
เฉพาะการเมืองเท่านั้น
อยากให้เห็น ความเสียสละ ความยากลำบากในการรักษาแผ่นดิน
รักษาเอกราชอธิปไตยของบรรพบุรุษในแต่ละยุคแต่ละสมัย อยาก
ให้รู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต ความสัมพันธ์ ความเอื้ออาทร
เพราะสภาพแวดล้อมจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเมืองในแต่ละช่วง
แต่ละสมัย...
แต่สำคัญ..ถ้าจำไม่ผิด..ตอนนี้เริ่มจะมีคนลามปามไปถึงคำแปลของ
" ศิลาจารึก "...
อยากให้เห็นและเปรียบเทียบ จิตใจและสำนึกที่มีต่อแผ่นดิน ความ
เสียสละเพื่อปกป้องอธิปไตย รักษาแผ่นดินไว้ให้คนรุ่นหลังอย่าง
เรา ๆ ท่าน ๆ นั้นเป็นอย่างไร มิใช่มุ่งหวังแต่ประโยชน์ส่วนตัวอย่าง
ในปัจจุบัน เหมือนใครบางคน ที่ยอมทำทุกอย่าง แม้กระทั้งจุดไฟ
เผาบ้านเมืองตัวเอง....
ที่บ้านมีหนังสือวิวัฒนาการการเมืองเยอะมาก จากหลาย ๆ สำนักพิมพ์
จากหลาย ๆ ท่าน อ่านแล้วนำมาเปรียบเทียบก็จะเห็นจุดเหมือนในมุม
ที่ต่างกันออกไป...แต่บางเล่มเปิดอ่านได้เล็กน้อย ต้องเลิกอ่าน
เพราะรับไม่ได้กับตรรกะที่บิดเบี้ยว...
เช่น ฟ้าเดียวกัน...เล่มที่มีบทวิเคราะห์ของ หงอกหัวโต ขอเรียนว่า
เป็นตรรกะ เป็นแนวคิดที่บิดเบี้ยวอย่างสุดขั้ว..นั้นเพราะมีหนังสือที่
เำี่กี่ยวกับกรณีนี้ฉบับสมบูรณ์ในการเปรียบเทียบ บทวิเคราะห์ของ
หงอกหัวโต...ซึ่งบางเรื่องไปกันคนละิิเรื่องเดียวกัน...อ่านได้ประมาณ
หน้ากว่า ๆ สุดท้ายต้องเลิกอ่าน...
ขอเรียนชี้แจงไว้ ณ โอกาสนี้...
ด้วยความเคารพค่ะ
สำหรับข้อมูลจะพยายามเรียบเรียงจากหนังสือ จากเอกสารที่มีอยู่
เท่าที่ความสามารถจะอำนวย และทยอยมานำเสนอค่ะ
ขอเรียนเชิญท่านผู้อาวุโส ทุกท่านแบ่งปันความรู้เป็นวิทยาทาน
ด้วยน่ะค่ะ...
- Gop likes this
#8
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 20:41
╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Hello, I'm a Kyubey /人◕ ‿‿ ◕人\
╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Please Make a contract with me and become a Magical girl! /人◕ ‿‿ <人\
ข้าพเจ้าขอสนับสนุนท่านผู้นำที่น่ารักที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ!!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!!
#9
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 20:54
#10
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 20:59
POPULAR
ขอกำหนดจุดตั้งต้นก่อน จะได้คุยแบบแลกเปลี่ยนกันได้
ก่อนอื่นผมคิดว่าต้องตั้งหลักเกี่ยวกับหลักคิดก่อน
1 ความรักชาติเป็นของใหม่
ตอนที่อังกฤษเข้ามาประจบไทยสมัยรัชกาลที่สาม เพราะพวกมันกำลังจะตีพม่า
อังกฤษเคยไปหาคนไทยที่ถูกกวาดต้อนไปครั้งกรุงแตก บอกว่าจะพามาส่งประเทศสยาม
คนไทยพวกนั้นปฎิเสธ บอกว่ากลับทำไม อยู่ที่พม่าดีกว่ากันแยะ ไม่ถูกรีดนาทาเร้น
ทำมาหากินได้สะดวก กลับไปก็ไปหาความลำบากเหมือนเดิม
นี่ขนาดเพิ่งผ่านไป หกเจ็ดสิบปีเท่านั้นเอง
คนในยุคนั้น ไม่เคยมีสำนึกว่าตัวเองต้องรักชาติ ต้องเสียสละเพื่อแผ่นดินเกิด
แนวคิดเช่นนี้เป็นของใหม่
2 Country ไม่ใช่ Nation
คนโบราณยึดติดกับภูมิศาสตร์ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์
ใครถูกกวาดต้อนมา ก็ไม่อาลัยบ้านเดิม มาที่ใหม่ก็ปรับตัวอยู่ต่อไป ทำมาหากินไปตามอาชีพ
เวลามีสงคราม ก็ใช้คำว่าป้องกันพระราชอาณาเขต ไม่ได้ใช้คำว่าปกป้องประเทศชาติ
สำนึกเกี่ยวกับชาตินั้น เป็นของใหม่ เท่าที่สอบกลับไปได้ ก็ประมาณรัชกาลที่ 5 นี่เอง
ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ลงมา สงครามชนิดเทครัว ไม่มีอีกแล้ว
ยิ่งชนิดที่บุกยึดเมืองหลวงจับกษัตริย์ฝ่ายตรงข้ามเป็นขี้ข้า ยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่
มีก็แต่การกระทบกระทั่งกันตามชายแดน ซึ่งหมายความว่า แนวคิดเรื่องประเทศต้องมีเส้นเขตแดนเริ่มเป็นที่เข้าใจ
3 เขตแดนทำให้เกิดชาติ
ก่อนมีสำนึกเกี่ยวกับชาติ เราไม่เคยสนใจเขตประเทศ ราษฎรนั้นก็ไม่ได้สนใจว่าตนอยู่ประเทศใหน
เพราะไม่มีอะไรยึดโยงเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
คนลาวที่สระบุรีก็ยึดถือแต่หัวหน้าตัวเอง ส่วนหัวหน้าตัวเองต้องไปขึ้นกับใครก็ช่างหัวหน้า
คนญวนที่สามเสนก็ขึ้นกับพระยาวิเศษ และบาดหลวงที่ตนเองสังกัด
พ้นจากนี้ ก็ไม่สนใจแล้ว
ต้องรอจนเศษฝรั่งมันเข้ามาประสงค์ร้าย โดยอ้างว่าประเทศเขมรเคยเป็นของญวน ญวนตกเป็นของมันแล้ว
มันก็ต้องได้เขมรด้วย ตอนนั้นแหละครับ เราจึงต้องสนใจว่า
เรากับเขมรแยกกันออกมาด้วยอะไร นี่คือ ร.4 ตอนปลายแล้ว
หลังจากนั้น เราก็ต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดขนานใหญ่ ทำให้เกิดการปฎิรูปประเทศในทุกมิติ
และทำให้เราต้องสร้างแนวคิดเรื่องชาติขึ้นมาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว
คำว่า ชาติ - ศาสน์ - กษัตริย์ จึงกำเนิดพร้อมธงไตรรงค์
จากนั้น คอมมิวนิสต์ก็ฉวยคำว่าชาติไปใช้เป็นอาวุธทิ่มแทงความเป็นหนึ่งเดียวของไทย
แล้วนายปรีดีจึงนำคำว่าชาติ - ราษฎร มาทำลายสถาบันอีกที
4 ราษฎรไม่ใช่ไพร่
สองคำนี้ไม่เหมือนกัน ไพร่เป็นชนชั้นทางสังคม แต่ราษฎรเป็นสถานะ
หมายความว่า ไพร่ทุกคนเป็นราษฎร แต่ราษฎรทุกคนไม่ใช่ไพร่
ยังมีแนวคิดสำคัญอีกหลายข้อที่ต้องทำความเข้าใจเสียก่อน
มิเช่นนั้นจะเรียนประวัติศาสตร์ไม่สนุกครับ
#11
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:57
#12
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 22:41
POPULAR
เรื่องสุโขทัยนี่ ที่จริงก็เหมือนเรื่องปัตตานีหรือเชียงใหม่ ...คือเป็นคนละวัฒนธรรมกับเรา
ผมใช้คำว่าเรานี่ โดยยึดถือตามภาษาและวรรณกรรม ซึ่งจะกินยาวรวมไปถึงวัฒนธรรมและความเป็นมาด้วย
คือจะบอกว่า อาณาจักรสุโขทัยไม่ใช่ต้นกำเนิดแห่งความเป็นไทยเสียทีเดียวนะครับ
สุโขทัยเขาอยู่ในกลุ่มเมืองตอนเหนือ ค่อนข้างไกล้ชิดกับเชียงใหม่โน่น
เราก็รู้กันอยู่แพร่หลายว่าเชียงใหม่กับอยุธยานั้น ต่างคนต่างอยู่
มีความสัมพันธ์กันก็คือ รบกัน...ว่าไปแล้วก็เป็นคนละประเทศเหมือนอยุธยากับอังวะหรือหงสาวดี
คือมีกษัตริย์ของตน มีพงศาวดารของตน เชียงใหม่ก็เริ่มที่ปู่เจ้าลาวจก สุโขทัยก็เริ่มที่พระร่วง
อยุธยาก็เริ่มที่พระเจ้าอู่ทอง....ต่างก็มีลำดับรัชกาลเอกเทศแก่กัน
อยุธยานั้น เป็นกลุ่มเมืองที่ราบลุ่ม ทำนาเป็นหลัก เรียกค่าต๋งเป็นรอง เพราะครองปากแม่น้ำ
ส่วนสุโขทัยนั่น ที่ดินมีน้อยก็เลยตัดไม้ทำลายป่า...เอ้ยหาของป่า พวกหนังสัตว์ พืช และวัตถุดิบส่งออก
มาเจอกับอยุธยาก็ต่างคนต่างอยู่ ทำมาหากินร่วมกัน ต่างคนต่างส่งฑูตไปจิ้มก้อง
ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เขียนประวัติศาสตร์ไทยให้เริ่มที่สุโขทัย
จึงเป็นความเข้าใจผิดสำคัญครั้งหนึ่ง....และทำให้เราคลำเป้าตัวเองไม่เจอมานาน
ถ้าเราถือว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นศูนย์รวมทางด้านประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของชาติ
ชาติเราก็ต้องไล่ย้อนกลับไปทางราชวงศ์อยุธยา ไม่ใช่ราชวงศ์สุโขทัย
และถ้าจะใส่ใจในกรุงสุโขทัย ก็ต้องทำผ่านเนื้อหาของประวัติศาสตร์อยุธยา
มิเช่นนั้นก็จะเหมือนเราศึกษาความเป็นชาติไทยผ่านทางเชียงใหม่ หรือนครศรีธรรมราช หรือปัตตานี
ก็จะเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัว เหมือนเราเคยไปตู่เอาประวัติศาสตร์น่านเจ้าเป็นประวัติศาสตร์ไทย
ศึกษาให้ตายก็ไม่เจอแม่น้ำเจ้าพระยาเสียที....ฮา
อันนี้ผมคิดว่าคงจะอ่านแล้วงง เหมือนผมบอกให้เผาประวัติศาตร์ทำนองนั้น
หามิได้ครับ ผมแค่บอกให้เผาตำราที่ผิดๆ ทิ้งไป หาจุดเริ่มต้นที่โยงกับเราจริงๆ ให้เจอ
หาผ่านราชวงศ์สุโขทัย ก็คงไปจบที่ขุนนางเล็กๆ ชื่อพระยาพระราม
ซึ่งราชสำนักอยุธยาเอาชื่อกษัตริย์ที่พ่ายแพ้มาใช้เป็นชื่อขุนนาง...มิได้เป็นแก่นของอาณาจักรศรีอยุธยา
เราต้องหาผ่านอาณาจักรของพระเจ้าอู่ทอง
เพราะรัชกาลที่ 1 ทรงเป็นพลเมืองและข้าราชการของที่นี่
และกรุงเทพ คืออยุธยาที่เกิดใหม่
ไม่ใช่สุโขทัยที่เกิดใหม่
- overtherainbow, กรกช, bird and 10 others like this
#13
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:03
จากนั้น คอมมิวนิสต์ก็ฉวยคำว่าชาติไปใช้เป็นอาวุธทิ่มแทงความเป็นหนึ่งเดียวของไทย
แล้วนายปรีดีจึงนำคำว่าชาติ - ราษฎร มาทำลายสถาบันอีกที
อยากทราบว่านายปรีดีใช้สองคำนี้ทำลายชาติยังไงครับ
คำว่าราษฎร นี่ผมเดาว่านายปรีดีอ้างราษฎรทั้งๆที่คณะราษฎร์ทั้งคณะมันก็อำมาตย์ทั้งนั้น
ปรีดีหาเรื่องยึดทรัพย์ร.7(ข้ออ้างดูในคำประกาศคณะราษฎร์ฉบับที่1) หาว่าเจ้าเอาเปรียบจึงต้องยึดทรัพย์เจ้า
แต่ไม่ยักไปยึดทรัพย์พวกคณะราษฎร์ด้วยกันที่ได้ทรัพย์สินจำนวนมากจากกษัตริย์?
Edited by ดราม่า, 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:05.
#14
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:22
POPULAR
จากนั้น คอมมิวนิสต์ก็ฉวยคำว่าชาติไปใช้เป็นอาวุธทิ่มแทงความเป็นหนึ่งเดียวของไทย
แล้วนายปรีดีจึงนำคำว่าชาติ - ราษฎร มาทำลายสถาบันอีกที
อยากทราบว่านายปรีดีใช้สองคำนี้ทำลายชาติยังไงครับ
ตามคตินิยมเดิม เรานับถือพระเจ้าแผ่นดินในหลายสถานะ
ทำให้เรามีคำเรียกประชาชนหลายคำ ล้วนแต่สะท้อนรากเง่าทางวัฒนธรรม
ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน อาณาประชาราษฎร์ หรือข้าราชบริพาร....เป็นต้น
ปรีดีตั้งใจใช้คำที่ตัดสัมพันธภาพทางวัฒนธรรมอย่างคำว่า ราษฎร มาใช้
เพื่อแยก "เจ้า" ออกจาก "ข้า" เพื่อตอกลิ่มเข้าไปว่า ฝ่ายหนึ่งกดขี่ ฝ่ายหนึ่งถูกกดขี่
จริงอยู่ที่การกดขี่นั้น มีจริง มีหลักฐานตำตาชนิดไม่ต้องเสียเวลาค้น
แต่นั่นเป็นการกระทำของระบบ หรือเป็นความผิดของเอกชน ปรีดีไม่ยอมบอก
ปรีดีใช้การกดขี่ส่วนตัวไปอ้างว่าเป็นการกระทำโดยระบบ
ใช้ความผิดของเอกชนอ้างเป็นความผิดของรัฐ
แล้วในที่สุด ปรีดีก็กดขี่ราษฎรเสียเอง....เริ่มตั้งแต่การรัฐประหารพระยามโนฯ จนไม่ได้ตายในแผ่นดินไทย
ยึดอำนาจจากเจ้า โดยอ้างประชาชน แต่ไม่ส่งอำนาจนั้นให้ประชาชน
เราจะเห็นว่า ปรีดีไม่กล้าใช้ถ้อยคำที่รุนแรงกว่า"ทำนาบนหลังราษฎร"
เพราะที่จริงแล้วเจ้านั่นแหละ ปลดปล่อยประชาชน ยิ่งกว่าที่ปรีดีทำ
ปรีดีไม่กล้าใช้คำว่าทาส เพราะคำนี้คือการยกย่องเจ้า
ปรีดีไม่พูดถึงการเล่าเรียน เพราะเจ้านั่นเองที่ให้โอกาสไพร่อย่างปรีดี ได้เรียนถึงเมืองนอก
ระบบยุติธรรมในขณะนั้น ก็เต็มไปด้วยสามัญชน ...ฯลฯ
ปรีดีใช้คำว่า "ราษฎร" เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าตัวเองเป็นชนชั้นใหม่
คล้ายกับที่พวกแกนนำใช้คำว่า "ไพร่" เพื่อตอกลิ่มอันใหม่ให้ประเทศแตกแยก
ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย
- wewe, baboon, overtherainbow and 12 others like this
#15
ตอบ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:59
ทุกวันนี้สาวกปรีดีก็ยังทำงานนั้นอยู่อย่างแข็งขัน ยอมแม้กระทั้งสร้างข่าวลือประหลาดๆ ลองอ่านดูครับ เอามาจาก วิกีของนายปาล พนมยงค์ (เรื่องเล่านี้มาจากหนังสือ"ประวัติศาสตร์การเมืองไทย" ที่คุณeATด่าว่ามันเอียงนั่นแหละครับ)
นายปาลและแม่ ถูกจับในคดีกบฎสันติภาพ นายปาลถูกติดคุกอยู่ 5 ปี(2495-2500) บวชก่อนไปฝรั่งเศษปี2500 พูดง่ายๆพึ่งออกจากคุกมาก็วิ่งไปหาคนสั่งให้จับซะงั้น
ผมว่าฝ่ายสาวกปรีดีนี่ถนัดงานสร้างเรื่องเท็จจริงๆ
ส่วนการยึดอำนาจพระยามโนฯ สายปรีดีอ้างว่าพระยามโนเป็นพวกนิยมเจ้า?
แต่พอโดนถามกลับเรื่องกบฎวังหลวง กลับมาด่าพล.ต.สฤษดิ์ที่สั่งยิงประตูวังหลวงซะงั้น
สาวกแกล้งลืมไปว่าปรีดีนำกองกำลังจากจีน-ลาวมาช่วยด้วย
กรณีกบฎวังหลวง ผมได้ยินมาว่าปรีดียึดสถาณีวิทยุแล้วอ้างว่ามีพระบรมราชโองการปลดจอมพล ป. นี่เรื่องจริงหรือไม่ครับ ถ้าจริงแสดงว่าปรีดีก็อ้างเบื้องสูงเช่นกัน???
Edited by ดราม่า, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 01:53.
- baboon likes this
#16
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 00:58
ดังเรื่องแต่งที่บอกว่า"จอมพล ป. บ่นว่าสู้กับศักดิ์นาไม่ไหว" แล้วตอนนั้นบังเอิญจอมพล ป. โดน สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจ
ซึ่งจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็บังเอิญสร้างภาพไว้ว่าตัวเองเป็นพวก Conservative Royalist แล้วเขาก็ปล่อยข่าวว่าสถาบันอยู่เบื้องหลังสฤษดิ์อีกที
พวกนี้ชอบอ้างว่าประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ(มันหมายถึงสถาบันชนะ) แต่มันคงลืมไปว่า 2475 เป็นต้นมาฝ่ายคณะราษฎร์นั่นแหละชนะมาตลอด สฤษดิ์ เองก็ทายาดจอมพล ป. ชัดๆ
......... ผมขอยกพระราชดำรัสมาสู้กับคนพวกนี้ครับ..........
วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๙ อันเป็นวันกองทัพไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่บรรดาทหารทั้งหลายของพระองค์ตอนหนึ่งว่า
"...เมื่อทหารมีไว้สำหรับประเทศชาติ ทหารต้องเป็นของประเทศชาติ หาใช่ของบุคคลหรือคณะบุคคลใด ๆ โดยเฉพาะไม่ ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ต้องปกครองทหารในทางที่ชอบที่ควร โดยระลึกถึงความเที่ยงธรรม และหน้าที่อันมีเกียรติของทหาร ทั้งนี้ เพราะทหารได้รับเกียรติและเอกสิทธิ์เป็นผู้กุมอาวุธและกำลังรบของประเทศ เป็นที่เคารพเกรงขามในหมู่ชนทั่วไป ทหารจึงต้องปฏิบัติให้สมกับที่ตนได้ รับความไว้วางใจ ไม่ควรไปทำหรือเกี่ยวข้องในกิจการที่มิใช่อยู่ในหน้าที่โดยเฉพาะของตน เช่น ไปเล่นการเมือง ดังนี้เป็นต้น การกระทำเช่นนั้นจะทำให้บุคคลเสื่อมความเชื่อถือในทหารโดยเข้าใจว่าเอา อิทธิพลไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวเวลานี้สภาพการณ์ทั่วโลกยัง ไม่อยู่ในระดับปกติ ความจำเป็นและสำคัญของทหารย่อมมีมากขึ้น ทหารจึงควรรักษาวินัยโดยเคร่งครัด ประพฤติตนให้เที่ยงธรรม ปฏิบัติหน้าที่ให้อยู่ภายในขอบเขตของตนโดยเฉพาะ เพื่อเป็นที่พึ่งที่เคารพของประชาชนโดยทั่วไป"
ส่วนกรณีที่ฝ่ายนั้นชอบอ้างเรื่อง ส.ส.ประเภท2 ที่ในหลวงไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งแปลว่ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ผมกลับเห็นว่าถ้าพระองค์ทรงยอมตาม จอมพลป. เท่ากับว่าทรงขัดรัฐธรรมนูญเพราะจำนวน ส.ส.แบบที่2จะมีจำนวนเกินกว่าที่ รัฐธรรมนูญกำหนด (เนื่องจาก จอมพล.ปแพ้เลือกตั้ง เลยจะเอา ส.ส.แต่งตั้งมาคานส.ส.เลือกตั้ง)
แสดงว่าพระองค์ทรงปฎิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
(เรื่องนี้หาอ่านได้ในหนังสือ "พระผู้ทรงปกเกล้าฯ ประชาธิปไตย : ๖๐ ปีสิริราชสมบัติกับการเมืองการปกครองไทย", เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ ดร. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณบดี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยะรรมศาสตร์)
Edited by ดราม่า, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 01:55.
- คลำปม likes this
#17
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 09:13
สงสัยต้องขออนุญาตเป็นผู้เสพความรู้มากกว่าเป็นผู้นำเสนอซะแล้ว..
ขอบคุณ คุณดราม่าด้วยค่ะ ที่นำเรื่องเล่าสนุก ๆ มาให้อ่านค่ะ..
#18
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 09:30
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#19
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 09:36
#20
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 10:46
เอาเรื่องนี้ด้วยดีไหม
https://www.facebook...210086625681776
ตามไปอ่านแล้ว เรื่องที่เจียมฯ กล่าวหาเรื่อง"ไม่มีผู้รับสนอง" ผมว่าไม่ต้องอธิบายยืดยาวแบบคุณเจ้าพระยาหรอก สั้นๆคือก็คณะรัฐประหารเขาประหารรัฐธรรมนูญไปแล้ว จะเอาใครมารับสนอง?
แต่ตามไปอ่านบทความเจียมฯสาวกนายผีแล้วขำดี
(ส่วนหนึ่งของบทความ สมศักดิ์ เจียมฯ )
ผมอยากจะเล่าเกร็ดอีกนิดหนึ่ง ผมไม่อยากจะยกราชประสงค์ ยก 6 ตุลาขึ้นมาแล้ว ผมเล่านิดหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ผมเขียนบทความอันหนึ่ง เป็นช่วงครบรอบ 50 ปีของกรณีที่คุณชิต (สิงหเสนี) คุณบุศย์ (ปัทมศริน) ถูกประหารชีวิต คือปี 2498 ตอนผมเขียนบทความ ผมโกรธมาก โกรธจนตัวสั่น
.
.
.
เลย แล้วไม่รู้อิโหน่อิเหน่แท้ๆ เลย คือใครก็ตาม ทำให้ในหลวงอานันท์สวรรคต แล้วไม่มีความกล้าที่จะรับผิดชอบ เรื่องมันง่ายๆ แค่นี้
ที่ผมอยากบอกไปถึงนักวิชาการว่า ถ้าเวลาคุณเห็นเรื่องแบบนี้ แล้วคุณไม่รู้สึกว่าคุณต้องพูด คุณเห็นอะไรที่มันไม่ถูก แล้วไม่พูด ผมก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไง นี่พูดจริงๆ นะครับ ไม่รู้จะเป็นไปทำไมนักวิชาการ เป็นไปทำไมปัญญาชน ตำแหน่งศาสตราจารย์ ตำแหน่งดอกเตอร์ ไม่รู้มีไปทำไม ถ้าไม่ใช้
แล้วลองอ่านลิงค์นี้ดูแล้วจะรู้ว่า สมศักดิ์ เจียมฯ สาวกนายผี มันพยายามจินตนากรว่าเป็นใคร http://www.prachacho...hp?topic=9599.0
แต่ผมมีเรื่องโง่ๆเรียนบอกไอ้เจียม2ข้อ
1. ตอนตัดสินคดี นายปรีดีและจอมพล.ป ยังมีอำนาจเต็ม ถ้าเห็นว่ามีปัญหาเขาก็สามารถเปลี่ยนสายที่จะขึ้นเป็นประมุขได้
2. หลังจากผ่านไปหลายปี ตอนช่วงท้ายๆสมัยจอมพล.ป ถ้ามีข้อมูลอะไรในมือจริง ทำไมจอมพล.ป ไม่เอามาใช้
#21
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 11:26
1 ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องแต่งเพื่อหาข้อสรุป หรือหาชุดเหตุการณ์ที่สัมพันธ์กัน เอามาทำความเข้าใจ
2 ประวัติศาสตร์ไม่ใช่การค้นหาความจริง แต่เป็นการค้นหาการโกหก
อย่างกรณี 24 มิย. 2475
24 ชั่วโมงของวันนั้น มีหลากหลายเรื่องราวเกิดขึ้น อาจจะมีหมาสักตัวลอบกัดผู้มีพระคุณ
อาจจะมีคนกินบนเรือนขี้บนหลังคา อาจจะมีคนชิงสุกก่อนห่าม.....บล่าๆๆๆๆๆ
มากมายเป็นหลายหมื่นเรื่อง เรากลับไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น
ดันมาสนใจที่คณะทหารกลุ่มหนึ่ง ลากอาวุธออกมาจี้จับตัวผู้คนเป็นตัวประกัน
ล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช หมายจะเปลี่ยนประเทศไปสู่สิ่งที่ตัวเองฝัน
หรือเรียกง่ายๆ ว่า เป็นกบฎ
เมื่อกษัตริย์ยอมรับข้อเสนอของคนกลุ่มนี้ การกบฏก็สำเร็จ
แม้กระนั้นผ่านมาหลายสิบปี พวกนี้ก็ยังเถียงกันว่าที่ตัวเองทำไปเรียกว่าอะไร
คนส่วนมากเรียกว่าเปลี่ยนแปลงการปกครอง บ้างก็เรียกการปฎิวัติ
หรือคนส่วนน้อยเรียกว่าอภิวัฒน์....
จะเห็นว่า ประวัติศาสตร์คือการเลือกดึงบางอย่างเข้าสู่การบันทึก
ประวัติศาสตร์จึงเป็นเพียงบางอย่างในอดีตที่เราคิดว่าสำคัญ ซึ่งที่เราคิดกับที่เกิดจริง
อาจจะเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว
ส่วนที่สนุกที่สุดของประวัติศาสตร์จึงมาตกที่ข้อ 2 การจับโกหก
ประวัติศาสตร์โกหกไม่ได้ เพราะไม่ใช่คน คนเขียนสิครับ โกหกได้
อย่างนายสมศักดิ์ที่ยกมานั่นก็นักโกหกอันดับหนึ่ง
เขาจะมีอาการ.... ผมโกรธมาก โกรธจนตัวสั่น เสมอ เมื่อจะเขียนเรื่องให้ร้ายสถาบัน
อันนี้โกหกอย่างขัดเจนเพราะเขาใช้สำนวนนี้บ่อยจนเราเห็นเป็นเรื่องตลก
เมื่อใดที่เราเห็นเรื่องใหนเป็นเรื่องตลก ถ้านั่นไม่ใช่เรื่องขำขัน เราก็ขำที่มันโกหก
เหมือนเราขำสมาชิกหลายคนเวลาที่พวกเขาแสดงความเห็น
เรามักจะไม่ตลก เมื่อเผชิญกับเรื่องที่เราเชื่อว่าเป็นความจริง
- baboon, overtherainbow, ตะนิ่นตาญี and 6 others like this
#22
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 11:41
หนึ่งในนักโกหกระดับแนวหน้า คือปรีดีและคณะ
ที่คุณดรามายกตัวอย่างมาเกี่ยวกับลูกนายปรีดี ก็เห็นชัดว่ามันไม่สมเหตุผล
ผมจะยกอีกตัวอย่าง ที่คณะนายปรีดีโกหกตอแหลทิ้งไว้เพื่อสร้างความเลวแก่แผ่นดิน
เรื่องคนตะโกนในโรงหนัง
มีคนเล่ายังกับทำเองว่า คนตะโกนถูกจ้าง บอกชื่อคนจ้างด้วย
และเสริมความเท็จว่า
คุณศุขปรีดา พนมยงค์ ลูกชายท่านปรีดี พนมยงค์ เคยให้สัมภาษณ์ตอนมีคนจะเขียนหนังสือเกี่ยวกัยท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ไว้ตอนหนึ่งว่า "หลังจากมีคนตะโกนในโรงภาพยนต์ศาลาเฉลิมกรุงว่า ปรีดีฆ่าในหลวง ในเวลาต่อมาผู้ตะโกนถูกจับได้ และนายเลียง ไชยกาล สส.จังหวัดอุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ สารภาพว่าเป็นผู้วางแผน ต่อมานายเลียง ไชยกาล ร่วมกับ มรว.เสนีย์,มรว.คึกฤทธิ์,และนายควง อภัยวงศ์ ได้มาขอขมาต่อนายปรีดีในที่สุด"
ถามง่ายๆว่า 4 คนนี้ ไปขอโทษนายปรีดีได้อย่างไร
หลังก่อการกบฏ 2492 ล้มเหลว นายปรีดีก็ไม่ได้กลับเข้าประเทศอีก
ไปอยู่จีนแดง แล้วไปอยู่ฝรั่งเศส
โอกาสที่ทั้งสี่คนจะไปหา ก็ต้องเป็นสมัยที่อยู่ฝรั่งเศส
แต่โอกาสที่ทั้งสี่คน จะรวมตัวกันไปหานั้น....เป็นไปไม่ได้
นี่คือนิสัยของฝ่ายนายปรีดี ที่ชอบกุเรื่องขึ้นเพื่อทำลายคนอื่น
เรื่องใหญ่ขนาดสี่ชื่อนี้ออกไปพบปรีดี ไม่เคยปรากฏในปากคำคนอื่น
แม้แต่นายปรีดีก็ไม่เคยกล่าวถึงไว้เอง แต่ทำเรื่องเป็นว่าได้ยินมาหลายชั้น
คือนายปรีดีเล่าให้นายศุขปรีดา นายศุขปรีดาเล่าให้นักเขียนอีกคน...อ้าว แล้วใหนล่ะข้อเขียนที่ว่า
ใครเขียน หนังสือชื่ออะไร พิมพ์เมื่อไหร่.....ล้วนแต่ไม่มีตัวตน
มีแต่เรื่องโกหกว่า นักการเมืองใหญ่ 4 คน เป็นอดีตนายก 2 คน ต่างเคยเป็นหัวหน้าพรรคใหญ่
พากันเดินทางไปขอโทษนายปรีดีถึงต่างประเทศ
โกหกมาได้ น่าสังเวชเสียเต็มประดา
- baboon, overtherainbow, กรกช and 5 others like this
#23
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 14:51
สมศักดิ์ เจียมฯ อ้างว่าตัวเองเป็นนักประวัติศาสตร์ แต่ลองดูวิธีเขียนประวัติศาสตร์ของมัน
ข้อมูลอย่างหนึ่งที่ผมได้จากการสัมภาษณ์หลายคนคือ ปรีดีเอง จะไม่ยอมพูดถึงกรณีสวรรคตโดยเด็ดขาด ไม่ว่ากับใคร (เรื่องนี้ ปราโมทย์ นาครทรรพ ซึ่งไม่ใช่ "ลูกศิษย์ปรีดี" เคยเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยแวะไปเยี่ยมปรีดีที่ปารีส ระหว่างที่เดินเล่นคุยกันไป เขาเอ่ยปากถามปรีดีขึ้นมาถึงกรณีสวรรคต ปรากฏว่า ปรีดีหยุดพูดทันที และนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น จนเขาต้องเปลี่ยนเรื่องคุยเอง)
แต่อีกอย่างหนึ่งที่ผมได้รับการบอกเล่าเสมอ โดยเฉพาะจาก "ลูกศิษย์อาจารย์" คือ "อาจารย์ปรีดี เป็นผู้ปกป้องราชบัลลังก์ และยอมเสียสละตัวเองอย่างสูง" นัยยะของข้อความที่มีลักษณะเชิง "รหัส" (coded message) แบบนี้คือ ปรีดีรู้ความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต แต่ไม่ยอมเปิดเผยออกไป เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ ทั้งๆที่ตัวเองต้องได้รับผลร้ายจากการไม่พูดนี้
http://www.prachacho...hp?topic=9599.0
มันแทบจะไม่เป็นตรรกะกันเลยกับ ปรีดีไม่ยอมพูด กับ ปรีดีปกป้องสถาบัน แต่ไอ้เจียมฯอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ มธ. ก็เอามาโยงได้? (ทุกท่านคงพอฟังออกนะครับว่าไอ้นรก เจียมฯมันพยายามโทษใคร)
คนที่โดนกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังอย่างปรีดี ถ้าจะต้องตอบคำถามไม่รู้จบ การเลือกไม่พูดน่าจะดีที่สุด พูดไปก็มีคนเชื่อและไม่เชื่ออีก เผลอๆตัวปรีดีเองก็ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร!
ส่วนที่บอกว่าปรีดีปกป้องสถาบัน มันก็มาจากปากลูกศิษย์ แต่คนอื่นเขาไม่เชื่อ!
ส่วนเรื่องเสียสละตัวเองอย่างสูงนั้น มันไม่ใช้เสียสละมั้งแต่สู้แพ้แล้วเผ่น กรณีกบฎวังหลวงนั่นก็ชัดเจนว่าปรีดีต่อสู้เพื่ออำนาจการเมือง
ผู้เสียสละอย่างสูงคือ ร.7 ที่ครั้งแรกยอมสละอำนาจให้พวกคณะอำมาตย์(ผมขอเรียกแทนคณะราษฎร์แล้วกัน) ครั้งที่สองเมื่อพบว่าคณะอำมาตย์ยึดอำนาจเพื่อตัวเองก็ทรงประทวงอย่างสงบด้วยการสละราชสมบัติ นี่จีงเป็นผู้เสียสละเพื่อชาติของจริง
Edited by ดราม่า, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 15:00.
#24
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 15:17
#25
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 15:20
ยิ่งอ่านก็ยิ่งเกลียด คนอะไรคิดชั่วไปขนาดนี้ ทนอ่านจนจบ ก็ไม่เห็นว่า
จะมีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ว่าเป็นอย่างที่ หงอกหัวโต กล่าวอ้าง
มีเพียงจดหมายเก่า ๆ 3-4 ฉบับที่ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันว่าข้อความ
ในจดหมายนั้นเป็นเรื่องจริง..เป็นเพียงปลายปากกาของใครบางคนที่
บรรยายไปตามแต่ใจคิด..
บังเอิญว่า เคยเห็นเอกสารที หงอกหัวโต กล่าวอ้างฉบับเต็ม ๆ
ก็ไม่มีอะไร เหมือนจดหมายธรรมดา ๆ ฉบับหนึ่ง ที่นึกอยากจะเขียน
อะไรก็เขียนลงไป ไม่มีอะไรที่อ้างอิงคำกล่าวอ้างเหล่านั้นไปเลย
แต่ในหนังสือฉบับสมบูรณ์ มีเนื้อหา มีคำให้การ มีคำวินิจฉัย มีแผนที่
จำลองที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้น ซึ่งทุกอย่างสามารถอ้างอิงได้ อาจจะไม่
100% เพราะทุกอย่างในช่วงเวลานั้นโกลาหล แต่เมื่อนำมารวมกัน
ก็สามารถมองภาพเหตุการณ์ได้ค่อนข้างสมบูรณ์
ยิ่งได้อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับปรีดี ยิ่งทำให้มองพฤติกรรมและวัตถุประสงค์
ของบุคคลนี้ได้มากยิ่งขึ้น...ว่า...เค้าไม่ได้เป็นอย่างที่เค้ากล่าวอ้าง
แต่เค้าทำทุกอย่างเพื่ออำนาจที่เค้าอยากจะได้...
- overtherainbow and ดราม่า like this
#26
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 15:37
ผมว่าแค่มันขึ้นต้นด้วย ผมโกรธ จนตัวสั่น ก็รู้แล้วว่าหัวใจมันเต็มไปด้วยอคติ
อนึ่งทฤษฎี ปรีดีไม่พูด และปรีดีปกป้อง.... แสดงว่า .... ผิด ผมได้ยินมานานแล้วแต่พึ่งรู้ไม่นานมานี้เองว่าต้นตอมาจาก สมศักดิ์ เจียมฯ
#27
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 15:46
อยุธยานั้น เป็นกลุ่มเมืองที่ราบลุ่ม ทำนาเป็นหลัก เรียกค่าต๋งเป็นรอง เพราะครองปากแม่น้ำ
ส่วนสุโขทัยนั่น ที่ดินมีน้อยก็เลยตัดไม้ทำลายป่า...เอ้ยหาของป่า พวกหนังสัตว์ พืช และวัตถุดิบส่งออก
มาเจอกับอยุธยาก็ต่างคนต่างอยู่ ทำมาหากินร่วมกัน ต่างคนต่างส่งฑูตไปจิ้มก้อง
ขออภัยท่าน amplepoor ครับ ได้ความรู้่ดีมากมาย แต่ว่า "จิ้มก้อง" นี่คืออะไรครับ....
"เพื่อชาติ เพื่อศาสน์ เพื่อกษัตริย์"
#28
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 15:49
จดหมายฉบับที่สมศักดิ์อ้างถึง ถ้าจำไม่ผิด มีการพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกในปี 2517 แต่จำชื่อหนังสือไม่ได้
(เป็นหนังสือเก่าที่ได้มาโดยบังเอิญ)
จะลองค้นดู น่าจะยังเก็บไว้...
#29
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 18:17
แต่เท่าที่เรียนมานั้นก็พบว่ามีทั้งกษัตริย์ที่ดีและไม่ดี
เมื่อกษัตริย์ดีและเก่ง บ้านเมืองก็สงบสุข ประเทศเพื่อนบ้านก็เข้ามาสร้างความเดือดร้อนไม่ได้ คนไม่ดีในประเทศก็สแดงอำนาจไมได้
เมื่อกษัตริย์ไม่ดี อ่อนแอ บ้านเมืองก็ระส่ำระส่าย ประเทศเพื่อนบ้านก็มักจะยกทัพโจมตีเข้ามา คนไม่ดีในประเทศก็มักจะมีอำนาจบาตรใหญ่
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง หากเราได้ผู้นำประเทศดี บ้านเมืองก็พัฒนาเร็ว หากได้ผู้นำไม่ดี บ้านเมืองก็พัฒนาช้า
ส่วนสถาบันกษัตริย์นั้นโดยเฉพาะร.9 ผมเห็นแต่สิ่งดีๆที่พระองค์ทรงทำไว้
จะมีก็แต่นักการเมืองชั่วๆ นายทุนชั่วๆ ผู้มีอิทธิพลชั่วๆเท่านั้น ที่ผมเห็นว่าเป็นผู้ที่ทำให้ชาติเราไม่พัฒนา
#30
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 18:53
ยิ่งกว่านั้น ผมจะอธิบายให้เห็นว่า กรณีสวรรคตสามารถอธิบายได้ โดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลอันมหาศาลที่มีอยู่ โดยไม่จำเป็นต้องไปพะวังถึงประเด็นปลีกย่อยนับไม่ถ้วน นั่นคือ ผมจะเสนอว่า
กรณีนี้สามารถอธิบายได้โดยการคิดเชิงตรรกะ โดยอาศัยเพียงข้อมูลพื้นฐานจำนวนหนึ่ง ที่ทุกฝ่ายเห็นด้วยร่วมกันเท่านั้น(ยกตัวอย่างเช่น ผมจะแสดงให้เห็นว่า รายละเอียดบางเรื่อง เช่นปัญหาข้อกล่าวหาที่ว่า ปืนของกลางที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่ใช่ปืนทีใช้ยิงจริง ปลอกกระสุนที่คุณชิตบอกว่าเก็บได้จากที่เกิดเหตุไม่ใช่ปลอกกระสุนสังหาร เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องนำมาประกอบการพิจารณาเลย แต่สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้)
อากะธ่า คริสตี้ กับกรณีสวรรคตผมมักจะคิดว่า กรณีสวรรคตคล้ายกับนิยายฆาตกรรมสืบสวนของอากะธ่า คริสตี้ โดยเฉพาะชุดนักสืบแอร์กูล ปัวโรต์ และสักวัน น่าจะมีนักเขียนสักคนอาศัยกรณีสวรรคตเป็นพล็อตนิยายทำนองเดียวกันได้ ใครที่เป็นแฟนนิยายชุดนี้อย่างผม คงทราบว่า ลักษณะเด่นของนิยายชุดปัวโรต์ มี 2-3 ประการคือ การฆาตกรรมเกิดขึ้นในสถานที่จำกัด คือไม่ใช่สถานที่สาธารณะที่ใครไปใครมาได้ตลอดเวลา อันที่จริง เรื่องที่ดังมากๆของชุดที่ได้รับการสร้างเป็นหนัง เช่น
Murder on the Orient Expressและ
Death on the Nileนั้น สถานที่ฆาตกรรมอยู่ในประเภท “คนในไม่ได้ออก คนนอกไม่ได้เข้า” (รถไฟที่จอดติดหิมะอยู่กลางป่า และ เรือโดยสารที่ลอยอยู่กลางน้ำ) สิ่งที่ตามมา – และนี่เป็นลักษณะเด่นประการที่สองของนิยายชุดนี้ – คือตัวละคอนจะมีจำกัดจำนวนแน่นอน และความเป็นไปได้ว่าใครจะเป็นฆาตกร ก็จะจำกัดอยู่เพียงหนึ่งในไม่กี่คนนั้น ประการต่อมา ต่างจากนิยายฆาตกรรมสืบสวนสมัยใหม่ นิยายชุดปัวโรต์จะไม่เน้นที่แอ็คชั่น หรือการสืบสวนเชิง “นิติวิทยาศาสตร์” (มีบ้างแต่ไม่มาก) แต่เน้นที่การสอบปากคำ คือให้แต่ละคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุอันจำกัดนั้น เล่าว่าตัวเองกำลังทำอะไรเมื่อเกิดฆาตกรรม มีความเกี่ยวข้องกับผู้ตายอย่างไรบ้าง แล้วใช้การคิดเชิงตรรกะ มาหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เพราะในนิยายชุดปัวโรต์ บรรดาผู้อยู่ในสถานที่ฆาตกรรม จะให้การโดยไม่ตรงความจริงมากบ้างน้อยบ้างแทบทุกคน บางคนก็โกหก บางคนก็ละเว้นไม่พูดความจริงบางอย่าง ปัวโรต์จะอาศัยการวิเคราะห์ความขัดแย้งกันเองในคำให้การเหล่านั้น บวกกับข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการฆาตกรรม มาระบุว่าใครเป็นฆาตกร
เรียกตัวเองว่านักประวัติศาสตร์ แต่สมศักดิ์ เจียมฯ เขียนประวัติศาสตร์จากตรรกะ(มั่วๆของมัน) กับอ้างอิงนิยายของอากะธ่า ToT
-ขอร้องไห้เป็นสายเลือดทีเหอะ มิน่าคนเขาถึงด่าการศึกษาไทย ทำไมมันตกต่ำกันจัง นี่ขนาดอาจารย์มหาลัยรัฐชื่อดังนะ
- มันพูดมาได้ยังไงว่า ไม่ต้องสนใจหลักฐานที่มีอยู่ แต่ใช้ตรรกะ หรือมันจะมองข้ามห่อข้าวบนขื่อครับ(ขื่นเพดานขนาดใหญ่ที่คนไปซ่อนตัวได้)
Edited by ดราม่า, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 18:55.
- Pasitnat likes this
#31
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 18:58
ขอฉีกสมศักดิ์อีกทีครับ ในบทความปริศนากรณีสวรรณคต ตอนที่1
ยิ่งกว่านั้น ผมจะอธิบายให้เห็นว่า กรณีสวรรคตสามารถอธิบายได้ โดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลอันมหาศาลที่มีอยู่ โดยไม่จำเป็นต้องไปพะวังถึงประเด็นปลีกย่อยนับไม่ถ้วน นั่นคือ ผมจะเสนอว่า
กรณีนี้สามารถอธิบายได้โดยการคิดเชิงตรรกะ โดยอาศัยเพียงข้อมูลพื้นฐานจำนวนหนึ่ง ที่ทุกฝ่ายเห็นด้วยร่วมกันเท่านั้น(ยกตัวอย่างเช่น ผมจะแสดงให้เห็นว่า รายละเอียดบางเรื่อง เช่นปัญหาข้อกล่าวหาที่ว่า ปืนของกลางที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่ใช่ปืนทีใช้ยิงจริง ปลอกกระสุนที่คุณชิตบอกว่าเก็บได้จากที่เกิดเหตุไม่ใช่ปลอกกระสุนสังหาร เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องนำมาประกอบการพิจารณาเลย แต่สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้)
อากะธ่า คริสตี้ กับกรณีสวรรคตผมมักจะคิดว่า กรณีสวรรคตคล้ายกับนิยายฆาตกรรมสืบสวนของอากะธ่า คริสตี้ โดยเฉพาะชุดนักสืบแอร์กูล ปัวโรต์ และสักวัน น่าจะมีนักเขียนสักคนอาศัยกรณีสวรรคตเป็นพล็อตนิยายทำนองเดียวกันได้ ใครที่เป็นแฟนนิยายชุดนี้อย่างผม คงทราบว่า ลักษณะเด่นของนิยายชุดปัวโรต์ มี 2-3 ประการคือ การฆาตกรรมเกิดขึ้นในสถานที่จำกัด คือไม่ใช่สถานที่สาธารณะที่ใครไปใครมาได้ตลอดเวลา อันที่จริง เรื่องที่ดังมากๆของชุดที่ได้รับการสร้างเป็นหนัง เช่น
Murder on the Orient Expressและ
Death on the Nileนั้น สถานที่ฆาตกรรมอยู่ในประเภท “คนในไม่ได้ออก คนนอกไม่ได้เข้า” (รถไฟที่จอดติดหิมะอยู่กลางป่า และ เรือโดยสารที่ลอยอยู่กลางน้ำ) สิ่งที่ตามมา – และนี่เป็นลักษณะเด่นประการที่สองของนิยายชุดนี้ – คือตัวละคอนจะมีจำกัดจำนวนแน่นอน และความเป็นไปได้ว่าใครจะเป็นฆาตกร ก็จะจำกัดอยู่เพียงหนึ่งในไม่กี่คนนั้น ประการต่อมา ต่างจากนิยายฆาตกรรมสืบสวนสมัยใหม่ นิยายชุดปัวโรต์จะไม่เน้นที่แอ็คชั่น หรือการสืบสวนเชิง “นิติวิทยาศาสตร์” (มีบ้างแต่ไม่มาก) แต่เน้นที่การสอบปากคำ คือให้แต่ละคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุอันจำกัดนั้น เล่าว่าตัวเองกำลังทำอะไรเมื่อเกิดฆาตกรรม มีความเกี่ยวข้องกับผู้ตายอย่างไรบ้าง แล้วใช้การคิดเชิงตรรกะ มาหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เพราะในนิยายชุดปัวโรต์ บรรดาผู้อยู่ในสถานที่ฆาตกรรม จะให้การโดยไม่ตรงความจริงมากบ้างน้อยบ้างแทบทุกคน บางคนก็โกหก บางคนก็ละเว้นไม่พูดความจริงบางอย่าง ปัวโรต์จะอาศัยการวิเคราะห์ความขัดแย้งกันเองในคำให้การเหล่านั้น บวกกับข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการฆาตกรรม มาระบุว่าใครเป็นฆาตกร
เรียกตัวเองว่านักประวัติศาสตร์ แต่สมศักดิ์ เจียมฯ เขียนประวัติศาสตร์จากตรรกะ(มั่วๆของมัน) กับอ้างอิงนิยายของอากะธ่า ToT
-ขอร้องไห้เป็นสายเลือดทีเหอะ มิน่าคนเขาถึงด่าการศึกษาไทย ทำไมมันตกต่ำกันจัง นี่ขนาดอาจารย์มหาลัยรัฐชื่อดังนะ
- มันพูดมาได้ยังไงว่า ไม่ต้องสนใจหลักฐานที่มีอยู่ แต่ใช้ตรรกะ หรือมันจะมองข้ามห่อข้าวบนขื่อครับ(ขื่นเพดานขนาดใหญ่ที่คนไปซ่อนตัวได้)
แกคงไม่มีเวลาอ่านเอกสารสำคัญสองสามฉบับที่พูดถึงกรณีสวรรคตนี้
เพราะมัวแต่ไปอ่านนิยายนั่นเอง...ฮา
Edited by Pasitnat, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:00.
#32
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:03
"จิ้มก้อง" นี่คืออะไรครับ....
ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่า แม้แต่ราชบัณฑิต ก็ยังอธิบายคำนี้ไม่ถูก
จิ้มก้อง หมายความว่า มอบบรรณาการให้เพื่อผูกไมตรี. จิ้มก้อง เป็นคำจากภาษาจีน จิ้ม แปลว่า ให้, ก้อง แปลว่า ของกำนัล.
ในการทำการค้ากับจีนในสมัยโบราณ พ่อค้ามักจะนำของกำนัลไปให้เพื่อขอความสะดวกในการทำมาค้าขาย แต่จีนมักถือว่า ผู้ที่มาจิ้มก้อง เป็นผู้ที่มาสามิภักดิ์ขอเป็นเมืองขึ้น. เมื่อมีของกำนัลมาให้ นอกจากจีนจะให้ความสะดวกในการค้าแล้ว พระเจ้ากรุงจีนยังตอบแทนด้วยของกำนัลอย่างมากมายด้วย พ่อค้าไทยจึงนิยมไปจิ้มก้อง. นี่เป็นตัวอย่างของความไม่เข้าใจภาษากัน.
ปัจจุบัน คำว่า จิ้มก้อง เป็นคำที่ใช้ในภาษาพูดเท่านั้น หมายความว่า ให้ของกำนัล เช่น เขาเอาของอะไรมาจิ้มก้องหัวหน้าหรือคะ.
ผู้เขียน ศ. ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต ประเภทวรรณศิลป์ สาขาวิชาภาษาไทย สำนักศิลปกรรม
ที่บอกว่าท่านผิด ก็ตรงที่ท่านบอกว่า"พ่อค้า" มักจะเอาของกำนัลไปให้จนจีนคิดว่าเป็นการมาสวามิภักดิ์
ข้อความตรงนี้ น่าผิดหวังมากว่าคนระดับนักปราชญ์ยังอธิบายเรื่องง่ายๆ ให้เกิดความผิดเพี้ยนได้ถึงเพียงนี้
การจิ้มก้อง ไม่เกี่ยวกับพ่อค้า และจีนก็คงไม่โง่ขนาดแค่มีพ่อค้ามาประจบก็คิดว่าประเทศนั้นมาสวามิภักดิ์
ที่จริงแล้ว การจิ้มก้องเป็นรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่จีนบังคับใช้กับทุกประเทศ
โดยถือว่าตนเองรับบัญชามาปกครองโลก เป็นที่พึ่งแก่ทุกชาติ ดังนั้นจึงเป็นผู้อยู่เหนือกว่า
ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาหา ก็ต้องนอบน้อม
ตอนที่คิสซิงเจอร์จะเปลี่ยนนโยบายมาคบกับจีน ที่เรียกว่าการฑูตปิงปอง
เขาไปปรึกษาศาสตราจารย์แฟรแบ้งค์ที่โคลัมเบียยู ได้รับคำแนะนำว่า
"เราต้องไปหาเขา" เพราะจีนถือว่าตนเองเป็นศูนย์กลางโลก ย่อมไม่มีวันออกจากที่ตั้ง
จะคบเขา ก็ต้องไปหาเขา
นั่นน่ะมัน 1972 ที่นิกสันไปพบเหมาเจ๋อตง
แล้วถ้าเป็น 1200 1300 หรือ 1400.....ล่ะ แบบธรรมเนียมไม่ยิ่งเคร่งครัดหรือ
(เดี๋ยวมาต่อครับ)
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, ดราม่า and 4 others like this
#33
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:16
เอาเป็นว่าขอบคุณ เจ้าของกระทู้
และคุณแอม คุณดราม่า และผู้สนับสนุนห้องเรียนปวศ ชาติไทยในมิตินี้
คุณแอม ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย
#34
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:17
อีกเรื่องที่ผมสงสัยคือ ในเว็บปรีดี http://www.pridi-pho...of-king-ananda/ พยายามเขียนว่าปรีดีพยายามปกป้องพระเกียรติ ผมสงสัยแค่ว่าเป็นการปกป้องพระเกียรติหรือเป็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างปรีดีและจอมพลป.? รบกวนช่วยวิเคราะห์ให้ดวยครับ
- overtherainbow likes this
#35
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:33
"จิ้มก้อง" นี่คืออะไรครับ....
ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่า แม้แต่ราชบัณฑิต ก็ยังอธิบายคำนี้ไม่ถูก
จิ้มก้อง หมายความว่า มอบบรรณาการให้เพื่อผูกไมตรี. จิ้มก้อง เป็นคำจากภาษาจีน จิ้ม แปลว่า ให้, ก้อง แปลว่า ของกำนัล.
ในการทำการค้ากับจีนในสมัยโบราณ พ่อค้ามักจะนำของกำนัลไปให้เพื่อขอความสะดวกในการทำมาค้าขาย แต่จีนมักถือว่า ผู้ที่มาจิ้มก้อง เป็นผู้ที่มาสามิภักดิ์ขอเป็นเมืองขึ้น. เมื่อมีของกำนัลมาให้ นอกจากจีนจะให้ความสะดวกในการค้าแล้ว พระเจ้ากรุงจีนยังตอบแทนด้วยของกำนัลอย่างมากมายด้วย พ่อค้าไทยจึงนิยมไปจิ้มก้อง. นี่เป็นตัวอย่างของความไม่เข้าใจภาษากัน.
ปัจจุบัน คำว่า จิ้มก้อง เป็นคำที่ใช้ในภาษาพูดเท่านั้น หมายความว่า ให้ของกำนัล เช่น เขาเอาของอะไรมาจิ้มก้องหัวหน้าหรือคะ.
ผู้เขียน ศ. ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต ประเภทวรรณศิลป์ สาขาวิชาภาษาไทย สำนักศิลปกรรม
ที่บอกว่าท่านผิด ก็ตรงที่ท่านบอกว่า"พ่อค้า" มักจะเอาของกำนัลไปให้จนจีนคิดว่าเป็นการมาสวามิภักดิ์
ข้อความตรงนี้ น่าผิดหวังมากว่าคนระดับนักปราชญ์ยังอธิบายเรื่องง่ายๆ ให้เกิดความผิดเพี้ยนได้ถึงเพียงนี้
การจิ้มก้อง ไม่เกี่ยวกับพ่อค้า และจีนก็คงไม่โง่ขนาดแค่มีพ่อค้ามาประจบก็คิดว่าประเทศนั้นมาสวามิภักดิ์
ที่จริงแล้ว การจิ้มก้องเป็นรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่จีนบังคับใช้กับทุกประเทศ
โดยถือว่าตนเองรับบัญชามาปกครองโลก เป็นที่พึ่งแก่ทุกชาติ ดังนั้นจึงเป็นผู้อยู่เหนือกว่า
ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาหา ก็ต้องนอบน้อม
ตอนที่คิสซิงเจอร์จะเปลี่ยนนโยบายมาคบกับจีน ที่เรียกว่าการฑูตปิงปอง
เขาไปปรึกษาศาสตราจารย์แฟรแบ้งค์ที่โคลัมเบียยู ได้รับคำแนะนำว่า
"เราต้องไปหาเขา" เพราะจีนถือว่าตนเองเป็นศูนย์กลางโลก ย่อมไม่มีวันออกจากที่ตั้ง
จะคบเขา ก็ต้องไปหาเขา
นั่นน่ะมัน 1972 ที่นิกสันไปพบเหมาเจ๋อตง
แล้วถ้าเป็น 1200 1300 หรือ 1400.....ล่ะ แบบธรรมเนียมไม่ยิ่งเคร่งครัดหรือ
(เดี๋ยวมาต่อครับ)
น่าสนใจครับ ตะนิ่นตาญี เองยังเข้าใจอยู่ว่า.....
การ จิ้มก้อง นั้นให้ความหมายถึง การที่ เมืองขึ้น ได้ส่ง เครื่องราชบรรณาการ
มาถวายให้แก่ เจ้าเมือง ที่ตนได้ตกเป็นเมืองขึ้น ยกตัวอย่างเช่นที่ เชียงใหม่ เวียงจันทร์ ฯลฯ
เคยได้ปฏิบัติมาแก่ อยุธยา เป็นประจำทุกทุกปี และด้วยนัยยะกลับกัน หากปีไหนขาดไป
นั่นก็หมายความว่า ได้มีการแข็งข้อ เกิดขึ้นแล้ว ผิดถูกประการใดต้องขออภัยด้วยครับ
ตะนิ่นตาญี
วันศุกร์ที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕
เวลา ๑๙.๓๓ นาฬิกา
- voodoo likes this
#36
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:38
http://www.dmgbooks....p?cat=1&paged=5
Edited by อู๋ ฮานามิ, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:41.
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#37
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:39
#38
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:55
มาต่อเรื่องจิ้มก้อง
อาจารย์กาญจนาคงจะอ่านแต่หลักภาษา ท่านจึงตกประวัติศาสตร์ไทยอย่างรุนแรง
บอกไว้เพื่อพวกเราจะไม่โทษตัวเอง
ท่านบอกว่า
เมื่อมีของกำนัลมาให้ นอกจากจีนจะให้ความสะดวกในการค้าแล้ว พระเจ้ากรุงจีนยังตอบแทนด้วยของกำนัลอย่างมากมายด้วย พ่อค้าไทยจึงนิยมไปจิ้มก้อง. นี่เป็นตัวอย่างของความไม่เข้าใจภาษากัน.
ตรงนี้ผิดหลายข้อทีเดียว
การจิ้มก้องไม่ใช่การขออำนวยความสะดวก พระเจ้ากรุงจีนก็ไม่ได้ตอบแทนด้วยของกำนัลมากมาย
และพ่อค้าไทยก็ไม่มีสิทธิไปจิ้มก้อง
ขออธิบายอย่างรวบรัดอย่างนี้ละกัน
ราชสำนักจีน เขาจะจดประวัติทุกประเทศที่เขารู้จักไว้อย่างเป็นระบบ
เมื่อประเทศเหล่านี้เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี เขาก็พิจารณาว่า สมควรตอบรับระดับใหน
ถ้าเป็นแค่ชนเผ่าหรือประเทศเล็ก ก็ไม่ได้เข้าเฝ้า อย่างมากก็เจอกับเจ้าพนักงานตามความเหมาะสม
อย่างประเทศหนึ่งชื่อ สนมแปดร้อย ก็ไม่เคยมีประวัติว่าได้ไปจิ้มก้อง ประเทศนี้คือเชียงใหม่
สำหรับประเทศที่มีระดับ จีนจะให้ตราตั้งออกไป พวกนี้สามารถมาเข้าเฝ้าได้ตามประเพณี
เช่นกำหนดสามปีครั้ง...อันนี้เป็นธรรมเนียมทั่วไป ครบสามปีก็เข้ามาหนหนึ่ง
อาจจะมีครั้งพิเศษ เช่นผลัดแผ่นดิน ก็จะเข้ามาเพื่อขอรับตราตั้งใหม่
หรือมีพระราชพิธีสำคัญของฮ่องเต้ ก็ถือโอกาสเข้ามาได้เหมือนกัน
ทำไมต้องเข้ามาจิ้มก้อง ตอบว่า ที่จริงมันคือระบบการค้าแบบบรรณาการ
คือเมื่อมาเข้าเฝ้า ก็จะขนของกำนัลมามากมาย กรมวังทำบัญชีแล้วก็ถวายฮ่องเต้
ฮ่องเต้ชอบอะไรก็เลือกไว้ ที่เหลืออนุญาตให้ขายเอาทุนกลับประเทศ
ของที่ทรงเลือกไว้ ก็พระราชทานเงินทองตอบแทน มากกว่าค่าของๆ นั้นเสียอีก
ทั้งนี้เพราะฮ่องเต้จีนถือตนว่า เป็นโอรสสวรรค์ มีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมแก่มนุษย์
และเป็นโรลโมเดลในเรื่องคุณธรรม ...จะเอาของเขาฟรีๆ ได้งัย
บรรณาการที่สยามถวาย ก็เป็นของแปลกประหลาด เช่นเต่าหกขาเป็นต้น
ดังนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องของพ่อค้า แต่เป็นเรื่องของกษัตริย์ที่สร้างผลประโยชน์ระหว่างกัน
ถ้าจะมีพ่อค้า ก็คือพวกขุนนางที่รับภาระกิจเข้ามานั่นเอง บางทีก็มาบ่อยจนผิดสังเกต
แต่ก็มากันอยู่นั่นแหละ เพราะจีนเป็นตลาดใหญ่ มีทั้งกำลังซื้อและสินค้าสารพัด
เอาข้าวสารเข้ามาที ก็แลกเป็นผ้าแพรออกไป
เอาการบูน กำยาน ขมิ้น สินค้าป่าเข้ามา ก็แลกถ้วยชามออกไป กำไรเละเทะ
Edited by amplepoor, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:22.
- ตะนิ่นตาญี, อู๋ ฮานามิ, ดราม่า and 1 other like this
#39
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 20:10
อีกเรื่องที่ผมสงสัยคือ ในเว็บปรีดี http://www.pridi-pho...of-king-ananda/ พยายามเขียนว่าปรีดีพยายามปกป้องพระเกียรติ ผมสงสัยแค่ว่าเป็นการปกป้องพระเกียรติหรือเป็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างปรีดีและจอมพลป.? รบกวนช่วยวิเคราะห์ให้ดวยครับ
ผมไม่ชอบอ่านหนังสือของนายปรีดี เพราะเยิ่นเย้อพล่ามแต่น้ำ หาสาระได้น้อย
กรุณาโคทข้อความมาด้วย เห็นใจคนแพ้ปรีดีอิสม์ด้วยครับ
ส่วนเรื่องขัดแย้งระหว่างปรีดีกับนายแปลกนั้น ก็เป็นเรื่องสุนัขแย่งชามข้าวธรรมดา
ปรีดีนั้นเคยใหญ่โตกว่า เพราะบารมีพระยาพหล พอเหลือตัวคนเดียวก็เสียเปรียบนายแปลก
แล้วมาหมดสภาพเมื่อกองทัพเรือที่เข้าข้างปรีดี พ่ายแพ้กองทัพบกยับเยินในกรณีกบฎแมนฮัตตั้น
แต่สาวกเอามาบิดเบือนว่าโดนอำมาตย์จัดการ
ที่จริงแล้วเป็นผลงานของพวกอำนาจนิยม ปรีดีต้องการกลับสู่อำนาจด้วยกระบอกปืน
ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองที่ร้ายแรงกว่าศึกราชประสงค์
เรือรบหลวงศรีอยุธยาถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดจมกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นพฤติกรรมอำมหิตที่แก้งค์ปรีดีกระทำกับบ้านเมือง
คนที่***มขนาดนี้ ไม่มีทางจะปกป้องพระเกียรติดอกครับ
#40
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 20:16
กบฏแมนฮัตตัน ตอนที่ ๑
..เป็นกองทัพที่ไม่มีเกียรติ เป็นกองทัพที่ก่อกวน
นำแต่ความล่มจม มาสู่ชาติหลายครั้ง หลายคราวมาแล้ว..
ในประวัติศาสตร์ชาติไทยราวๆปี พ.ศ.๒๔๙๐ กองทัพเรือนั้นนับได้ว่าเป็นกองทัพที่สามัคคีมีอำนาจเข้มแข็ง และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก เรามี พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็น นายกรัฐมนตรี และมี พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน เป็น ผบ.ทร. กองทัพเรือมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเป็นระบบแบบแผน ถือได้ว่าเป็นช่วงที่กองทัพเรือมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่แพ้ชาติใด ๆในเอเชียกองทัพเรือของเราต้องสะดุดล้มลง ถูกจำกัด และถูกตัดขาดจากการเมืองการปกครองเป็นเหตุให้ การพัฒนาที่กำลังก้าวหน้า ต้องกลายเป็นก้าวกระโดดถอยหลังเหตุการณ์ที่กล่าวมานี้เป็นผลจากการทำรัฐประหารที่ล้มเหลว........“กบฏแมนฮัตตัน”
ในยุคที่กองทัพเรือมีอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองสูงสุด รัฐบาลของ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี (๒๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙ - ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๐) ถูกคณะรัฐประหาร พ.ศ.๒๔๙๐ ที่นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัน ใช้อิทธิพลแทรกแซงทางการเมือง ทำให้ต้องลี้ภัยหนีไปต่างประเทศ เมื่อทำการรัฐประหารสำเร็จแล้วก็จัดฉากโดยให้นาย ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ประมาณ ๕ เดือน ก่อนที่จะบีบบังคับให้ลาออก แล้วจึงตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ โดยแต่งตั้ง จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
การกระทำของกลุ่มรัฐประหารซึ่งประกอบด้วย กำลังของทหารบก ทหารอากาศ และตำรวจ นั้นได้สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มทหารเรือเป็นอย่างมาก (การที่กองทัพอากาศร่วมมือกับกองทัพบก ก็เนื่องจากว่าแต่เดิมนั้นยังไม่มีโรงเรียนนายเรืออากาศ ผู้ที่เป็นทหารอากาศจึงมาจากการโอนย้ายทหารบก เข้ามาประจำการในกองทัพอากาศ) และเมื่อเกิดกรณี กบฏวังหลวงซึ่งเป็นกรณีที่นายปรีดี พนมยงค์ และทหารเรือบางส่วน ทำการปฏิวัติคณะรัฐบาล จอมพล ป.แต่ไม่สำเร็จ จึงเป็นเหตุที่ทำให้นายทหารคนสำคัญของกองทัพเรือ อย่าง พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หลวงสังวรณ์ สุวรรณชีพ และ พล.ร.ต.ทหาร ขำหิรัญ ถูกปลดจากประจำการนั้น ได้สร้างความแตกแยก ระหว่างกองทัพบก กับ กองทัพเรือขึ้น โดยฝ่ายทหารเรือถือว่าเป็นการคุกคาม และต้องการกอบกู้ “เกียรติยศศักดิ์ศรี” ของทหารเรือให้กลับคืนมา
http://siamnavy.blog...og-post_31.html
Edited by amplepoor, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 20:16.
#41
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:31
อีกเรื่องที่ผมสงสัยคือ ในเว็บปรีดี http://www.pridi-pho...of-king-ananda/ พยายามเขียนว่าปรีดีพยายามปกป้องพระเกียรติ ผมสงสัยแค่ว่าเป็นการปกป้องพระเกียรติหรือเป็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างปรีดีและจอมพลป.? รบกวนช่วยวิเคราะห์ให้ดวยครับ
ผมไม่ชอบอ่านหนังสือของนายปรีดี เพราะเยิ่นเย้อพล่ามแต่น้ำ หาสาระได้น้อย
กรุณาโคทข้อความมาด้วย เห็นใจคนแพ้ปรีดีอิสม์ด้วยครับ
ส่วนเรื่องขัดแย้งระหว่างปรีดีกับนายแปลกนั้น ก็เป็นเรื่องสุนัขแย่งชามข้าวธรรมดา
ปรีดีนั้นเคยใหญ่โตกว่า เพราะบารมีพระยาพหล พอเหลือตัวคนเดียวก็เสียเปรียบนายแปลก
แล้วมาหมดสภาพเมื่อกองทัพเรือที่เข้าข้างปรีดี พ่ายแพ้กองทัพบกยับเยินในกรณีกบฎแมนฮัตตั้น
แต่สาวกเอามาบิดเบือนว่าโดนอำมาตย์จัดการ
ที่จริงแล้วเป็นผลงานของพวกอำนาจนิยม ปรีดีต้องการกลับสู่อำนาจด้วยกระบอกปืน
ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองที่ร้ายแรงกว่าศึกราชประสงค์
เรือรบหลวงศรีอยุธยาถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดจมกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นพฤติกรรมอำมหิตที่แก้งค์ปรีดีกระทำกับบ้านเมือง
คนที่***มขนาดนี้ ไม่มีทางจะปกป้องพระเกียรติดอกครับ
ต้องขออภัยจริงๆครับ ไม่ทราบจริงๆว่าเป็นภูมิแพ้ปรีดี
คุณampก็ได้ตอบคำถามไปแล้วว่า การกระทำของปรีดีก็เป็นแค่การเล่นการเมืองโดยเอาสถาบันมาเป็นโลห์ ตัวอย่างพฤติกรรมดูจากโพสคุณอู๋ ฮานา มิ ที่ปรีดียึดสถานีวิทยุกระจายเสียง แล้วอ้างว่ามีพระบรมราชโองการปลดจอมพลป. พฤติกรรมนี้ไม่เคยเห็นในกลุ่มนักรัฐประหารกลุ่มอื่น
ส่วนlinkที่สถาบันปรีดีแพร่อยู่ ก็สรุปได้แค่ปรีดีอัญเชิญขึ้นครองราช ปรีดีปกป้องพระเกียรติ ปรีดีเสียสละ วนอยู่แค่นี้แหละ
แต่ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ เขาผู้เขียนที่สถาบันปรีดีพยายามชี้ว่าคดีสวรรคตมีปริศนา และที่จอมพลป.โดนปฎิวัติเพราะพยายามรื้อคดี?
แต่ความดำริของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องล้มเหลว เมื่อข่าวจะออกกฎหมายให้รื้อฟื้นคดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้นำขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ (ถ้าหากโจทก์หรือจำเลย มีเอกสารหลักฐานที่เพิ่งค้นพบใหม่) ได้แพร่ออกไปถึงบุคคลบางจำพวก และคนพวกนั้นได้สนับสนุนจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารโค่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม เช่นเดียวกับที่เคยสนับสนุนคณะรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลหลวงธำรงฯ (ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกันคือกลัวว่ามือปืนตัวจริงจะถูกเปิดเผย)
รวมทั้งอ้างจดหมายปรีดี (ซึ่งตลกไหนสมศักดิ์ บอกว่าปรีดีจะเงียบถ้ามีคนถามเรื่องนี้???)
แม้ศาลฎีกาซึ่งมีผู้พิพากษาคณะเดียว โดยมิได้มีการประชุมใหญ่ของผู้พิพากษาศาลฎีกา ได้ตัดสินประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน ไปแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ส่งตัวแทนไปพบผมในประเทศจีน (หลังจากที่คุณสังข์ได้รับจดหมายขอบคุณจากท่านปรีดีแล้ว) แจ้งว่า ได้หลักฐานใหม่ที่แสดงว่าผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสามคนและผมเป็นผู้บริสุทธิ์
ฉะนั้นจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ออกกฎหมายให้มีการพิจารณาคดีใหม่ด้วยความเป็นธรรม
ครั้นแล้วก็มีผู้ยุยงให้จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับพวกทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 โค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ในระหว่างที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปลี้ภัยอยู่ใน ส.ร.อ. ชั่วคราว ก็ได้กล่าวต่อหน้าคนไทยไม่น้อยกว่าสองคนถึงหลักฐานที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ได้มานั้น
อีกทั้งในระหว่างที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ย้ายจาก ส.ร.อ. มาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ก็ได้แจ้งแก่บุคคลไม่น้อยกว่าสองคนถึงหลักฐานใหม่นั้น พร้อมทั้งมีจดหมายถึงผมสองฉบับ ขอให้ผมอโหสิกรรมแก่การที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำผิดพลาดไปในหลายกรณี
ผมได้ถือคติของพระพุทธองค์ว่า เมื่อมีผู้รู้สึกตนผิดพลาดได้ขออโหสิกรรม ผมก็ได้อโหสิกรรมและขออนุโมทนาในการที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ไปอุปสมบทที่วัดพุทธยา…
ท่านปรีดีกล่าวให้สัมภาษณ์ในที่สุดว่าพวกฝรั่งก็สนใจกันมาก เพราะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ที่ไม่มีอายุความ ความจริงอาจปรากฏขึ้น แม้จะล่วงเลยมาหลายร้อยปีก็ตาม
ทุกวันนี้ก็มีคนพูดซุบซิบกัน ถึงกับนักเรียนหลายคนถามผม ผมก็ขอตัวว่าเป็นเรื่องที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้ในขณะนี้ จึงขอฝากอนุชนรุ่นหลังและประวัติศาสตร์ตอบแทนด้วย
ผมสงสัยมากว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ นั้น? เพราะดูๆแล้วในเว็บสถาบันปรีดีก็หมายให้คนอ่านคิดเอาเอง เหมือนๆกับที่สมศักดิ์ เจียมฯพยายามชักจูง สมศักดิ์ พยายามชักจูงว่า มีการนำปืนมาเล่นแล้วทำปืนลั่น และปกป้องคนทำตัวจริง!
แต่ผมไม่เห็นด้วยเพราะข้อเท็จจริงครับ ลองอ่านรายงานนี้ดู
นายแพทย์สุด แสงวิเชียร นั้น คณะกรรมการศาลกลางเมืองได้มีความเห็นไว้ในรายงานดังกล่าวข้างต้นอีกตอนหนึ่งว่าดังนี้
…แผลนี้เกิดจากการยิงในระยะติดผิวหนังหรือห่างไม่เกิน 5 ซม. ลักษณะของบาดแผลเป็นดังนี้ คณะกรรมการเห็นพ้องด้วยความเห็นของแพทย์ส่วนมากในข้อที่ว่า โดยลักษณะของบาดแผลนั้นเอง แสดงให้เห็นว่าบาดแผลเกิดจากความตั้งใจของผู้กระทำ แต่ความตั้งใจนี้มิได้หมายความเฉพาะตั้งใจกระทำให้ตาย ย่อมหมายความรวมถึงความตั้งใจที่ยกปืนนี้ขึ้นไปจ่อติดหน้าผาก ซึ่งปืนอาจลั่นขึ้นโดยอุบัติเหตุก็ได้ด้วย
ปืนห่างจากผิวหนังไม่เกิน 5 ซ.ม. นั่นไม่ได้เรียกเอามาเล่นแล้วครับ ต้องเป็นการจงใจจ่อใกล้ๆเพื่อจะยิง เป็นอันล้างข้อสงสัยของสมศักดิ์ เจียมฯ ไปอย่างง่ายดาย
Edited by ดราม่า, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:38.
#42
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:41
“หลวงธำรงฯ” ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อมา และได้พิจารณารายงานของคณะกรรมการศาลกลางเมือง (ตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลท่านปรีดี) ที่เสนอต่อรัฐบาลเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2489 ซึ่งมีสาระสรุปไว้ตอนปลายของรายงานฉบับนั้น ดังนี้
…คณะกรรมการได้ประมวลสอบสวนเข้าทั้งหมด ทั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนไว้เดิมและที่สอบสวนโดยเปิดเผยต่อหน้าประชาชนและเมื่อได้พิจารณาถึงคำพยานบุคคล วัตถุพยานและเหตุผลแวดล้อมกรณีต่าง ๆ ทุกแง่ทุกมุมโดยรอบด้านดังกล่าวมาแต่ต้นแล้ว คณะกรรมการเห็นว่า ในกรณีอันจะพึงเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตได้นั้น สำหรับกรณีอุบัติเหตุ คณะกรรมการมองไม่เห็นทางว่าจะเป็นไปได้เลย ส่วนอีกสองกรณีคือถูกลอบปลงพระชนม์และทรงปลงพระชนม์เองนั้น การถูกลอบปลงพระชนม์ไม่มีหลักฐานและเหตุผลที่แน่นอนแสดงว่าจะเป็นไปได้ แต่ไม่สามารถที่จะตัดออกเสียโดยสิ้นเชิง เพราะว่ายังมีท่าทางของพระบรมศพค้านอยู่ ส่วนในกรณีปลงพระชนม์เองนั้น ลักษณะของบาดแผลแสดงว่าเป็นไปได้ แต่ไม่ปรากฏเหตุผลหรือหลักฐานอย่างใดว่าได้เป็นไปเช่นนั้นโดยแน่ชัด คณะกรรมการจึงไม่สามารถที่จะชี้ขาดว่าเป็นกรณีหนึ่งกรณีใดในสองกรณี ทั้งนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการสืบสวน และปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป”
ต่อความเห็นของคณะกรรมการศาลกลางเมืองที่ว่ากรณีสวรรคตเกิดจากกรณีหนึ่งกรณีใดในสองกรณี คือปลงพระชนม์เองและถูกลอบปลงพระชนม์นั้น สอดคล้องกับความเห็นของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร ศาสตราจารย์หัวหน้าแผนกวิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ที่ได้ให้รายละเอียดในกรณีนี้ไว้กับคณะกรรมการแพทย์ ดังนี้
ข้าพเจ้าได้หนังบาดแผลมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้ตัดออกจากพระนลาฏของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ขณะที่ทำการชันสูตรพลิกพระบรมศพ บาดแผลเป็นเสมือนกากบาท มีหนังแยกเป็นสี่แฉก แฉกบน แฉกล่าง แฉกขวาและซ้าย เมื่อได้ใช้กล้องจุลทัศน์ชนิด 2 ตาส่องดู บนหนังนั้นมีรอยกดเป็นรอยโค้ง เห็นได้ชัดบนแฉกขวาและซ้าย แฉกบนไม่เห็นถนัดนัก และแฉกล่างไม่เห็นเลย ถ้าเอาส่วนโค้งเหล่านั้นมาต่อกันเข้าก็จะเป็นรูปวงกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 11 มม. เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าปลายแฉกเหล่านั้นเป็นรอยโค้ง และเส้นโค้งบนผิวหนังไม่ต่อกันเป็นรูปวงกลม นอกจากนั้นยังมีเนื้อที่เล็ก ๆ ไหม้อยู่ที่แฉกล่าง และมีสีแสดงว่าเป็นดินปืนติดอยู่ด้านในของหนังชั้นนั้นด้วย
แล้วหมอสุดก็สันนิษฐานจากลักษณะบาดแผลดังกล่าวข้างต้นนั้นว่า
รอยกดในหนังนั้นอาจเป็นไปโดยกดปากกระบอกปืนกระชับแน่นลงที่พระนลาฏก่อนยิง ถ้าหากเป็นการอุบัติเหตุแล้วปากกระบอกปืนคงไม่กดลงไปที่พระนลาฏกระชับแน่น ตามความเห็นของข้าพเจ้ามีทางอธิบายที่เป็นไปได้ 2 ประการเท่านั้น คือ ปลงพระชนม์เองหรือถูกปลงพระชนม์ทั้งสองประการเท่า ๆ กัน
ต่อลักษณะบาดแผลเป็นรอยกดปากกระบอกปืนวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 11 มม. ตามคำของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร นั้น คณะกรรมการศาลกลางเมืองได้มีความเห็นไว้ในรายงานดังกล่าวข้างต้นอีกตอนหนึ่งว่าดังนี้
…แผลนี้เกิดจากการยิงในระยะติดผิวหนังหรือห่างไม่เกิน 5 ซม. ลักษณะของบาดแผลเป็นดังนี้ คณะกรรมการเห็นพ้องด้วยความเห็นของแพทย์ส่วนมากในข้อที่ว่า โดยลักษณะของบาดแผลนั้นเอง แสดงให้เห็นว่าบาดแผลเกิดจากความตั้งใจของผู้กระทำ แต่ความตั้งใจนี้มิได้หมายความเฉพาะตั้งใจกระทำให้ตาย ย่อมหมายความรวมถึงความตั้งใจที่ยกปืนนี้ขึ้นไปจ่อติดหน้าผาก ซึ่งปืนอาจลั่นขึ้นโดยอุบัติเหตุก็ได้ด้วย
#43
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 22:21
1 ขณะเกิดเหตุ นายกคือปรีดี จึงมีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องแถลงความจริงออกมาให้ประชาชนทราบ
ถ้าปรีดีจะเชื่อว่า ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินจริงๆ
2 ปรากฏว่า รัฐบาลปรีดี ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงในการนำความจริงสู่ประชาชน
เสียงปืนดังเมื่อ 9.30น.
11.00น. นายปรีดีจึงมาถึงสถานที่เกิดเหตุ ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
3 หลังจากนั้นจึงมีแถลงการณ์ว่าเป็นอุบัติเหตุ
4 21.00 น. วันนั้น ปรีดีแถลงต่อสภาและขอลาออก
แต่อีกสองวัน ก็กลับเป็นนายกอีก
5 วันรุ่งขึ้นหลังการชัณสูตรพระบรมศพอย่างละเอียด ก็พบว่าที่รัฐบาลแถลงนั้นไม่จริง
เกิดกระแสข่าวไปในทางลบ รัฐบาลจึงเปลี่ยนวินิจฉัยใหม่ว่า อาจจะสวรรคตด้วย 3 สาเหตุ
จะเห็นว่า รัฐบาลเองที่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อ
และนายปรีดี ที่ทำทีว่าลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบก็กลับมารับตำแหน่งใหม่
ทำอย่างนี้คนก็คิดว่าจะกลับมาปกปิดคดีสิ
หลังจากนั้น กระแสความเห็นก็เทไปในทางที่ไม่ไว้ใจรัฐบาล แม้รัฐบาลจะตั้งกรรมการสอบใหญ่
นายปรีดีทนแรงกดดันไม่ได้ ลาออกอีกครั้ง หลวงธำรงเข้ามาแทน ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
แม้แต่จะใช้วิธีปิดปากสื่อและไล่ล่าคนที่เห็นต่าง
เมื่อถูกยึดอำนาจ นายปรีดีและพวกก็โยนความผิดให้ผู้อื่น
ทั้งๆ ที่ ตั้งแต่ 9 มิถุนายน 2489 มาถึงวันที่หมดอำนาจ 8 พฤศจิกายน 2490
เป็น 16 เดือนที่ปราศจากผลสำเร็จทางคดีอย่างน่าผิดหวัง
แต่ไม่มีใครในสายปรีดีที่จะออกมายอมรับความไร้ประสิทธิภาพของตน
ไพล่ไปอ้างเรื่องคนตะโกนในโรงหนัง
พิโธ่ มหาบุรุษอย่างปรีดี แค่คนเดียวตะโกนก็พังละหรือ
ดัดจริตไปหน่อยใหม ห่วยไปหน่อยใหม.......
ในทางการเมือง จึงถือว่าปรีดีเอง
ที่ฆ่าตัวตายด้วยความอ่อนด้อยของตัวเอง
Edited by amplepoor, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:29.
#44
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 22:59
แต่ผมยังไม่แน่ใจบรรยากาศทางการเมืองสมัยนั้นว่า คนทั่วๆมองปรีดีว่าปกป้องสถาบันหรือไม่
#45
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:01
#46
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:02
อีกเรื่องที่ผมสงสัยคือ ในเว็บปรีดี http://www.pridi-pho...of-king-ananda/ พยายามเขียนว่าปรีดีพยายามปกป้องพระเกียรติ ผมสงสัยแค่ว่าเป็นการปกป้องพระเกียรติหรือเป็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างปรีดีและจอมพลป.? รบกวนช่วยวิเคราะห์ให้ดวยครับ
ผมไม่ชอบอ่านหนังสือของนายปรีดี เพราะเยิ่นเย้อพล่ามแต่น้ำ หาสาระได้น้อย
กรุณาโคทข้อความมาด้วย เห็นใจคนแพ้ปรีดีอิสม์ด้วยครับ
ส่วนเรื่องขัดแย้งระหว่างปรีดีกับนายแปลกนั้น ก็เป็นเรื่องสุนัขแย่งชามข้าวธรรมดา
ปรีดีนั้นเคยใหญ่โตกว่า เพราะบารมีพระยาพหล พอเหลือตัวคนเดียวก็เสียเปรียบนายแปลก
แล้วมาหมดสภาพเมื่อกองทัพเรือที่เข้าข้างปรีดี พ่ายแพ้กองทัพบกยับเยินในกรณีกบฎแมนฮัตตั้น
แต่สาวกเอามาบิดเบือนว่าโดนอำมาตย์จัดการ
ที่จริงแล้วเป็นผลงานของพวกอำนาจนิยม ปรีดีต้องการกลับสู่อำนาจด้วยกระบอกปืน
ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองที่ร้ายแรงกว่าศึกราชประสงค์
เรือรบหลวงศรีอยุธยาถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดจมกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นพฤติกรรมอำมหิตที่แก้งค์ปรีดีกระทำกับบ้านเมือง
คนที่***มขนาดนี้ ไม่มีทางจะปกป้องพระเกียรติดอกครับ
ต้องขออภัยจริงๆครับ ไม่ทราบจริงๆว่าเป็นภูมิแพ้ปรีดี
คุณampก็ได้ตอบคำถามไปแล้วว่า การกระทำของปรีดีก็เป็นแค่การเล่นการเมืองโดยเอาสถาบันมาเป็นโลห์ ตัวอย่างพฤติกรรมดูจากโพสคุณอู๋ ฮานา มิ ที่ปรีดียึดสถานีวิทยุกระจายเสียง แล้วอ้างว่ามีพระบรมราชโองการปลดจอมพลป. พฤติกรรมนี้ไม่เคยเห็นในกลุ่มนักรัฐประหารกลุ่มอื่น
ส่วนlinkที่สถาบันปรีดีแพร่อยู่ ก็สรุปได้แค่ปรีดีอัญเชิญขึ้นครองราช ปรีดีปกป้องพระเกียรติ ปรีดีเสียสละ วนอยู่แค่นี้แหละ
แต่ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ เขาผู้เขียนที่สถาบันปรีดีพยายามชี้ว่าคดีสวรรคตมีปริศนา และที่จอมพลป.โดนปฎิวัติเพราะพยายามรื้อคดี?แต่ความดำริของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องล้มเหลว เมื่อข่าวจะออกกฎหมายให้รื้อฟื้นคดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้นำขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ (ถ้าหากโจทก์หรือจำเลย มีเอกสารหลักฐานที่เพิ่งค้นพบใหม่) ได้แพร่ออกไปถึงบุคคลบางจำพวก และคนพวกนั้นได้สนับสนุนจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารโค่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม เช่นเดียวกับที่เคยสนับสนุนคณะรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลหลวงธำรงฯ (ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกันคือกลัวว่ามือปืนตัวจริงจะถูกเปิดเผย)
รวมทั้งอ้างจดหมายปรีดี (ซึ่งตลกไหนสมศักดิ์ บอกว่าปรีดีจะเงียบถ้ามีคนถามเรื่องนี้???)แม้ศาลฎีกาซึ่งมีผู้พิพากษาคณะเดียว โดยมิได้มีการประชุมใหญ่ของผู้พิพากษาศาลฎีกา ได้ตัดสินประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน ไปแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ส่งตัวแทนไปพบผมในประเทศจีน (หลังจากที่คุณสังข์ได้รับจดหมายขอบคุณจากท่านปรีดีแล้ว) แจ้งว่า ได้หลักฐานใหม่ที่แสดงว่าผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสามคนและผมเป็นผู้บริสุทธิ์
ฉะนั้นจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้ออกกฎหมายให้มีการพิจารณาคดีใหม่ด้วยความเป็นธรรม
ครั้นแล้วก็มีผู้ยุยงให้จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับพวกทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 โค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ในระหว่างที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปลี้ภัยอยู่ใน ส.ร.อ. ชั่วคราว ก็ได้กล่าวต่อหน้าคนไทยไม่น้อยกว่าสองคนถึงหลักฐานที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ได้มานั้น
อีกทั้งในระหว่างที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ย้ายจาก ส.ร.อ. มาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ก็ได้แจ้งแก่บุคคลไม่น้อยกว่าสองคนถึงหลักฐานใหม่นั้น พร้อมทั้งมีจดหมายถึงผมสองฉบับ ขอให้ผมอโหสิกรรมแก่การที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำผิดพลาดไปในหลายกรณี
ผมได้ถือคติของพระพุทธองค์ว่า เมื่อมีผู้รู้สึกตนผิดพลาดได้ขออโหสิกรรม ผมก็ได้อโหสิกรรมและขออนุโมทนาในการที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ไปอุปสมบทที่วัดพุทธยา…
ท่านปรีดีกล่าวให้สัมภาษณ์ในที่สุดว่าพวกฝรั่งก็สนใจกันมาก เพราะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ที่ไม่มีอายุความ ความจริงอาจปรากฏขึ้น แม้จะล่วงเลยมาหลายร้อยปีก็ตาม
ทุกวันนี้ก็มีคนพูดซุบซิบกัน ถึงกับนักเรียนหลายคนถามผม ผมก็ขอตัวว่าเป็นเรื่องที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้ในขณะนี้ จึงขอฝากอนุชนรุ่นหลังและประวัติศาสตร์ตอบแทนด้วย
ผมสงสัยมากว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ นั้น? เพราะดูๆแล้วในเว็บสถาบันปรีดีก็หมายให้คนอ่านคิดเอาเอง เหมือนๆกับที่สมศักดิ์ เจียมฯพยายามชักจูง สมศักดิ์ พยายามชักจูงว่า มีการนำปืนมาเล่นแล้วทำปืนลั่น และปกป้องคนทำตัวจริง!
แต่ผมไม่เห็นด้วยเพราะข้อเท็จจริงครับ ลองอ่านรายงานนี้ดูนายแพทย์สุด แสงวิเชียร นั้น คณะกรรมการศาลกลางเมืองได้มีความเห็นไว้ในรายงานดังกล่าวข้างต้นอีกตอนหนึ่งว่าดังนี้
…แผลนี้เกิดจากการยิงในระยะติดผิวหนังหรือห่างไม่เกิน 5 ซม. ลักษณะของบาดแผลเป็นดังนี้ คณะกรรมการเห็นพ้องด้วยความเห็นของแพทย์ส่วนมากในข้อที่ว่า โดยลักษณะของบาดแผลนั้นเอง แสดงให้เห็นว่าบาดแผลเกิดจากความตั้งใจของผู้กระทำ แต่ความตั้งใจนี้มิได้หมายความเฉพาะตั้งใจกระทำให้ตาย ย่อมหมายความรวมถึงความตั้งใจที่ยกปืนนี้ขึ้นไปจ่อติดหน้าผาก ซึ่งปืนอาจลั่นขึ้นโดยอุบัติเหตุก็ได้ด้วย
ปืนห่างจากผิวหนังไม่เกิน 5 ซ.ม. นั่นไม่ได้เรียกเอามาเล่นแล้วครับ ต้องเป็นการจงใจจ่อใกล้ๆเพื่อจะยิง เป็นอันล้างข้อสงสัยของสมศักดิ์ เจียมฯ ไปอย่างง่ายดาย
ยุคนั้นศาลยังเชื่อถือไม่ได้ แพทย์จะเชื่อถือได้ไหมครับ
ยุคนั้นแม่งเถื่อน
#47
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:04
ยุคนั้นศาลยังเชื่อถือไม่ได้ แพทย์จะเชื่อถือได้ไหมครับ
ยุคนั้นแม่งเถื่อน
อันนี้ตอบแทนสมศักดิ์ใช้ปะ
#48
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:11
การคุกคามศาล หรือ แพทย์ จะไปเหลือหรือครับ
ผมว่าต้องเผื่อๆ ไว้บ้างว่ามีข้อมูล หรือ หลักฐานเท็จ
- ตะนิ่นตาญี likes this
#49
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:12
#50
ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:13
Edited by อู๋ ฮานามิ, 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:14.
- ดราม่า likes this
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
ผู้ใช้ 2 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 2 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน