สู่ห้องเรียน..ประวัติศาสตร์ชาติไทย
#101
ตอบ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:09
และได้รับพระราชทานรางวัล 1 พันบาท (เทียบปัจจุบันเห็นจะร่วมล้านทีเดียว) หนังสือชื่อว่า
"หลักไทย" เป็นงานค้นคว้าประวัติศาสตร์เกี่ยวกับต้นกำเนิดของคนไทย ซึ่งในช่วงนั้นมีผู้สนใจกันมาก
ขุนวิจิตรฯ ท่านอาศัยหนังสือของหมอดอดด์เป็นหลักในตอนที่กล่าวถึงถิ่นกำเนิดและแนวทางการอพยพของคนไทย แต่ได้เติมจินตนาการหลุดโลกเข้าไปจนกลายเป็นทฤษฎีน่าถกเถียง (ท่านเป็นนักเขียน นักแต่งเพลงและผู้กำกับภาพยนตร์ นอกเหนือจากเป็นท่านขุนชั่งตวงวัดในเวลาราชการ)
หมอดอด์นั้น เขียนหนังสือจากประสบการณ์จริง คือท่านเคยอยู่เชียงรายตั้งสามสิบกว่าปี ได้เดินทางไปตามแนวตะเข๊บชายแดนไทย จีน พม่าหลายครั้ง พบปะกับคนพื้นถิ่นมากมายจนท่านคิดว่า ชนพื้นเมืองเหล่านี้น่าจะเป็นเจ้าของประเทศจีนมาก่อน แล้วถูกคนจีนผลักดันถอยร่นลงมาดินแดนปัจจุบัน
ไอเดียนี้น่าตื่นเต้ลล์มาก แต่จะพิสูจน์ละก้อ ต้องใช้คนเป็นร้อยลงภาคสนาม
ทว่าขุนวิจิตรฯ ท่านไม่ต้องใช้ ท่านเปิดแผนที่อยู่ที่บ้าน เจอคำว่าอัลไต ท่านก็จิ้มเป็นจุดกำเนิดของคนไทยเอาดื้อๆ แล้วท่านก็ลากประวัติชนเผ่าอะไรทั้งหลายมาผูกรวมกัน สร้างนิยายบันลือโลกว่า จากอัลไต ค่อยๆ ถอยร่นลงมา ทิ้งร่องรอยอาณาจักรเก่าแก่ไว้มากมาย
ทั้งหมดนี้ ไม่ต้องก้าวเท้าออกจากบ้านเลย
ลองอ่านข้อมูลจากฝั่งจีนศึกษาดูครับ
http://www.thaichine...not-from-altai/
- bird, ใจหมาอำมหิต` and koong like this
#102
ตอบ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:27
นักปราชญ์ก็เดินตามแนวอพยพใหญ่นี้ต่อ
สมเด็จดำรงฯ ก็ใช้บ้าง อย่างที่ผมเคยเล่าในรีพลายต้นๆ ว่า ท่านเอาประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นประวัติศาสตร์ไทย
ทั้งๆ ที่ประวัติศาสตร์ไทยควรจะเริ่มที่อยุธยา เพราะสุโขทัยเป็นอีกอาณาจักรหนึ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
ท่านใช้สุโขทัยเป็นหลักว่า คงจะมาตั้งตัวเอาหลังจากโดนมองโกลขับไล่ลงมา
เพื่อจะได้สมเหตุผลว่า ทำไมกรุงสุโขทัยจู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาเป็นอาณาจักรใหญ่โต
แสดงว่า ต้องเคยใหญ่ที่อื่นมาก่อน
ทฤษฎีเช่นนี้ คิดเองเออเอง เพราะไม่เคยปรากฏว่า ชาติใดที่ยกครัวอพยพแล้วจะมาสร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่ได้
ถ้าจะมีก็พวกผิวขาว อพยพไปแย่งประเทศอินเดียนแดง หรืออะบอรีจินนั่นแหละ
ในภูมิภาคนี้ การอพยพใหญ่ก็เคยเห็นกันหลายครั้ง ครั้งล่าสุดก็คราวพระยาเจ่งในรัชกาลที่ 2
พาครัวมอญหลายหมื่น เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ก็ได้ตั้งชุมชนอยู่กระจัดกระจายในหลายที่
แต่ก็ไม่มีวันตั้งอาณาจักรในดินแดนที่มีอาณาจักรเจ้าถิ่นเข้มแข็งได้
ปัจจุบัน เราก็ทราบแล้วว่า มองโกลตีดินแดนตอนใต้ของจีนด้วยการเจรจาแบ่งผลประโยชน์
ไม่มีการรบราฆ่าฟันขนานใหญ่ มีแต่การสวามิภักดิ์แล้วยอมเป็นเมืองในอาณัติ
แต่เรื่องอพยพใหญ่นั้น เป็นธีมหลักที่นักปราชญ์ชอบ
อย่างการปลูกฝังพุทธศาสนาจากอินเดียมาสุวรรณภูมิ ท่านก็คิดกันว่าเพราะหนีภัยสงครามมา
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลจอมพลป. กำลังเถลิงอำนาจ ก็เกิดแรงบันดาลใจว่า
ในเมื่อคนไต มีมากมายแผ่กระจายไปตั้งหลายประเทศ ถูกกดขี่ข่มเหง
ต้องละทิ้งความยิ่งใหญ่สมัยก่อน กลายมาเป็นชนกลุ่มน้อย
ถ้าเราประกาศตัวเองเป็นหัวหน้า ชักจูงพี่น้องไตทั้งเอเซียมาผนึกกำลังร่วมกัน
ไทยก็จะเป็นมหาอำนาจ
ดังนั้น ก็เลยเกิดแนวคิดที่ปัญญาอ่นสุดขีดในอารยะธรรมโลกขึ้นมา
คือการเปลี่ยนชื่อประเทศ จาก "สยาม" กลายเป็นไทยแลนด์
โดยหวังว่า จากประชากรยี่สิบกว่าล้าน จะกลายเป็นร่วมร้อยล้าน
แผ่คลุมอินเดีย พม่า จีน ญวน ลาว และไทย.....
บ้าใหมล่ะครับ
#103
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:40
เผอิญผมเปิดชมช่อง ASTV....
รายการ"เจาะข่าว วงใน"
เวลา 21.00-22.00 น.....
ผู้ดำเนินรายการเป็นสตรี
เชิญอาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโกดม
พูดถึงประวัติศาสตร์ไทย
การเมืองไทยใน 80 ปี
การพัฒนาการ"ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุช"
เป็นมุมมองหนึ่งให้รับรู้และศึกษาข้อเท็จจริงได้
ชมรายการแล้วไม่รู้สึกถึงการวิพากษ์วิจารณ์อย่าง"อคติ"....
จึงนำมาบอกเล่าให้ฟัง
อาจจะได้แง่มุมที่น่าสนใจ
ตามหลักกาลามสูตร....ฮา
ผมได้อ่านกระทู้/คคห.ในเวบเสรีไทยดอทเนทก่อนหน้านี้และขณะนี้...
มีความเห็นว่า"ปรีดี"มีเวลา มีอิทธิฤิทธิ์ มีบทบาท
มีอำนาจเหนือผู้มีอำนาจในคณะราษฎร์
ผู้มีอำนาจทางทหารและการเมืองในขณะนั้นมากมาย
ฝ่ายเดียวกันและฝ่ายตรงข้าม จึงทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
เป็น"คนเลวบริสุทธิ์"ของประวัติศาสตร์ไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ
ไม่มีคุณงามความดีใดๆสำหร้บประเทศไทย.....ฮา
ผู้มีบทบาทในวงการไทยอย่าง จอมพล ป. พล อ. ผิน มรว.คึกฤิทธิ์ ฯลฯ
อยู่ที่ไหน มีคุณงามความดี กระทำสิ่งที่เลวร้ายต่อชาติและแผ่นดินอย่างไร.....ฮา
วันนี้คนไทยต้องการให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก้าวหน้าพัฒนาอย่างไร....?
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#104
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:07
ได้เห็นบทความของนาง ส ศิวสักษ์ ที่ชอบยกหางนายปรีดีสุดๆ ทั้งที่แต่ก่อนแกด่าปรีดีเสียสิ้น อะไรทำให้ทัศนะของตา ส เปลี่ยนไปเหรอครับ
แล้วอีกอย่าง ส แกอ้างว่าหลังจากสมเด็จกรมพระยาดำรงฯเสด็จกลัลจากปีนัง ปรีดีได้เข้าเฝ้า คุยกันอยู่นาน แถมอ้างว่าสมเด็จท่านโปรดปรีดีมากและฝากบ้านฝากเมืองไว้เสียดิบดี คุณแอมพอจะทราบข้อเท็จจริงใดบ้างมั้ยครับ
ผมสงสัยสองเรื่องนี้มานานมาก โปรดชี้แนะผมด้วยนะคุณแอมและกูรูทุกท่าน
#105
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:22
ส. เป็นศิษย์เก่าอัสสัมชัญ ตอนเด็กได้รับมอบหมายให้ทำหนังสือของโรงเรียน ก็เลยเข้าหาศิษย์เก่าที่เป็นใหญ่เป็นโต ขอเรื่องมาลงแล้วประจบคนแก่ ทั้งพระยาอนุมาน นายป๋วย หรือภารดาฮีแลร์ เป็นกระดานกระโดดเข้าไปหาสังคมชั้นสูงสำเร็จ
แกบอกว่า เดิมก็เกลียดปรีดี เพราะเชื่อตามคึกฤทธิ์ แต่พอคึกฤทธิ์ปลดแกออกจากนักเขียนสยามรัฐ แกก็เลยเปลี่ยนข้าง เหมือนตอนที่สัญญาเป็นนายก ไม่ยกแกเป็นที่ปรึกษา แกก็เปลี่ยนมาด่าสัญญา ศิษย์พุทธทาสด้วยกันแทน.....ฮา
อ่านที่เจ้าตัวเขียนเองดีกว่าครับ (มาจากประวัติตัวเองที่ส. เขียน หนายังกะสมุดหน้าเหลือง)
http://webcache.goog...9&hl=en&ct=clnk
ส.ศิวรักษ์เขียนถึงท่านปรีดี พนมยงค์กับกรณีสวรรคต
ต่อแต่นี้ไป ข้าพเจ้าจะขอเขียนถึงความคลี่คลายขยายตัวทางความนึกคิดของข้าพเจ้าเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ที่เริ่มจากความดำทมึนมืดที่มีต่อนายปรีดี พนมยงค์ จนกลายเป็นความขาวกระจ่างและบริสุทธิ์ผุดผ่องของท่าน เป็นลำดับไป
ข้าพเจ้ากลับจากอังกฤษปลายปี พ.ศ.๒๕๐๔ ถึงเมืองไทยต้น พ.ศ.๒๕๐๕ ออกสังคมศาสตร์ปริทัศน์ กลางพ.ศ.๒๕๐๖ โดยที่นิตยสารฉบับนี้ไม่มีจุดยืนทางการเมืองแต่อย่างหนึ่งอย่างใด อย่างดีก็อ้างได้ว่าเพื่อช่วยถางทางด้านวิชาการ โดยต้องการแสวงหาสัจจะและความเป็นไทย แต่ออกมาได้เพียงปีเดียว ก็ดูเป็นที่ยอมรับกันในวงการนักอ่านอย่างเกินคาด เพราะในสมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำลายความเป็นไทยและเสรีภาพแห่งการแสดงออกจนแทบหมดสิ้น นักคิดนักเขียนล้วนถูกจับไปอยู่ในลาดยาว หรือหนีเข้าป่าไป หาไม่ก็ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศกันแทบทั้งนั้น เผอิญข้าพเจ้าไม่ได้ลิ้มรสเผด็จการมาโดยตรงทั้งเป็นคนหน้าใหม่ที่มาทำหนังสือในปลายสมัยสฤษดิ์ ประกอบกับความเป็นนักเรียนอังกฤษ ที่ใช้ฉายาของสมาคมวิชาการ ที่มีรองนายกรัฐมนตรีของสฤษดิ์นั่นเองที่เป็นนายกของสมาคมดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงอยู่ในฐานะที่ทำหนังสือได้อย่างเต็มที่พอสมควร
พอ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ขึ้นปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ ในพ.ศ. ๒๕๐๗ ข้าพเจ้าก็ได้รับหนังสือ ชื่อ The Devil’s Discus (An Enquiry to the Death of Ananda,King of Siam) by Rayne Kruger ซึ่งสำนักพิมพ์ Cassell แห่งกรุงลอนดอนส่งมาให้ทางไปรษณีย์อากาศ เพื่อขอให้วิจารณ์ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าสงสัยว่าฝรั่งจะรู้จัก สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ได้อย่างไร ความจริง ฝรั่งที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าที่วิทยุบีบีซี ได้วิจารณ์ให้มาแล้วเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งควรที่ข้าพเจ้าจะแปลลงพิมพ์ในนิตยสารอันตนเป็นบรรณาธิการ ดังได้เคยทำมาก่อน แต่เมื่อเกิดความสงสัยขึ้นและอ่าน ๆ ไป ก็เกิดความหมั่นไส้นายปรีดี ประกอบกับความสงสัยคลางแคลงใจที่มีอยู่เดิม จึงเขียนวิจารณ์หนังสือเล่มนี้อย่างไม่มีชิ้นดีดังได้สรุปบทวิจารณ์นั้นว่า
“ในบรรดาคนหนุ่มในเมืองไทยปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะผู้ที่สำเร็จจากมหาวิทยาลัย ต่างก็พากันรู้สึกอัดอั้นตันใจ ที่ขาดโอกาสทางประชาธิปไตย สำหรับุคคลเหล่านี้ ชื่อนายปรีดียังเป็นประดุจเสียงกังวานอันเรียกร้องเสรีภาพและความยุติธรรมทางสังคม แม้ว่าเขาผู้นั้นจะถูกหาว่าเป็นคอมมูนิสต์ก็ตาม ข้าพเจ้าถือตัวว่าเป็นบุคคลในกลุ่มนี้และก็ยอมรับว่าต้องการ เสรีภาพและความยุติธรรมทางสังคม แต่หาต้องการนายปรีดีไม่ ในกรณีนี้ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าพูดแทนคนรุ่นข้าพเจ้าเกือบทั้งหมด แม้เพียงนี้ ผู้เขียนก็จับจิตใจไทยเราผิดไปเสียแล้ว นับประสาอะไรจะไปพยายามพิสูจน์กรร๊สวรรคตอันลึกลับซับว้อน เว้นไว้แต่จะใครสนับสนุนออกทุนรอนให้แต่งเรื่องอิงพงศาวดารไปในรูปนั้น”
Edited by amplepoor, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:24.
- baboon and ใจหมาอำมหิต` like this
#106
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:30
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจีงเริ่มทำการบ้าน นำเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับสารคดีสวรรคตมาอ่านใหม่ รวมทั้งเอกสารที่ข้าพเจ้าไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน เช่นถ้อยคำของพระยาศรยุทธเสนี ตลอดจนมีหลักฐานใหม่เกิดขึ้นที่นายตี๋ ศรีสุวรรณไปบวชแล้วกลัวบาป สารภาพผิดออกมารวมอยู่ด้วย ใช่แต่เท่านั้นข้าพเจ้ายังซัก ม.ล.ปุ๋ย ชัยนาม และนางเอดวิน สแตนตันภรรยาเอกอัคราชทูตอเมริกันที่แรกเข้ามาถึงพระราชอาณาจักรในช่วงกรณีสวรรคตนั้นด้วย
โดยที่นางสแตนตันได้แนะนำแพทย์อเมริกันที่ชันสูตรพระบรมศพให้ข้าพเจ้ารู้จักอีกด้วย แกเองยืนยันกับข้าพเจ้าว่าจำเลยทั้ง ๓ นั้นบริสุทธิ์ การตายของเขาเป็นการเสียสละชีวิตเพื่อความอยู่รอดของราชบัลลังก์อันนับเป็นชาติพลีอย่างสูง แกว่าประชาชนนอนาคตจะซาบซึ้งในบุญคุณของเขา
นางสแตนตันกับท่านผู้หญิงพูนศุขมีอะไรที่ขัดใจกันอยู่ แต่แกก็ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ยิ่งนัก ส่วนคุณหญิงปุ๋ยเล่าถึงงานพระบรมศพแต่แรก และการที่เจ้านายเปลี่ยนทีท่าจากความเป็นกันเองมาเป็นความเย็นชา ฯลฯ นับว่าน่าสนใจยิ่ง
ใช่แต่เท่านั้น ข้าพเจ้ายังสืบเสาะจนได้ข้อเท็จจริงจากเจ้านายบางองค์อีกด้วย ว่าเมื่อวันเสด็จสวรรคตนั้น กรมขุนชัยนาทนเรนทร เสด็จไปที่สายนัดดาคลีนิค ภายหลังจากการถวายบังคมพระบรมศพ โปรดให้แพทย์ถวายยาฉีด บำรุงพระกำลัง พลางทรงบ่นว่า “เตือนแล้ว อย่าให้เล่นปืนกันทั้ง ๒ องค์ พอเล่นกันเข้า มันก็ต้องพลาดพลั้งอย่างนี้แหละ” หมอคนนั้นทูลเจ้าองค์นี้ โดยที่ทรงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอีกต่อหนึ่ง แม้นี่จะไม่ใช่ประจักษ์พยาน แต่ก็ช่วยคลี่คลายให้ข้าพเจ้าหายข้อกังขาในเรื่องการลอบปลงพระชนม์โดยสิ้นเชิง ทำให้เห็นว่าการวิจารณ์เรื่อง The Devil’s Discus” ของข้าพเจ้านั้นผิดพลาดโดยแท้
นอกไปจากนี้แล้ว ทัศนคติของข้าพเจ้าในเรื่องราชาธิปไหตยและประชาธิปไตย ได้คลี่คลายขยายตัวเรื่อยมา จาก ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าราชาธิปไตยไร้ธรรม ก็ไม่ผิดไปจากราธิปไตย ประชาธิปไตยก็เช่นกัน ต้องมีธรรมะเป็นรากฐาน ราษฎรจะเป็นใหญ่ได้ก็ต้องประกอบไปด้วยความชอบธรรม นี้ฉันใด พระราชาก็ฉันนั้น ข้าพเจ้าเริ่มมีเครื่องหมายปรัศนีย์เกี่ยวกับความชอบธรรมของชนชั้นปกครองที่สูงส่งยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกทีจึงเห็นว่ากรณีสวรรคตนี้ ระบบการเสแสร้งและกลั่นแกล้งคงจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่ทหาร สันติบาล และพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ดีร้ายจะขึ้นไปสูงส่งกว่านั้นเอาเลยทีเดียว โดยที่พฤติกรรมต่อ ๆ มา ส่อว่าทัศนะของข้าพเจ้าถูกต้องยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที
ทางด้านปารีสนั้น แม้นายปรีดีจะไม่เคยมีการติดต่ออะไรกับข้าพเจ้าโดยตรง แต่ก็มีคนมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ว่าลูกท่านบางคนได้ต่อว่าท่าน ว่าการที่ท่านเขียนโจมตีข้าพเจ้านั้น ท่านเป็นฝ่ายผิด เพราะแม้ข้าพเจ้าจะเห็นต่างจากท่าน และปรักปรำท่าน ข้าพเจ้าก็มีสิทธิ์อย่างน้อยข้าพเจ้าเป็นคนรักความยุติธรรม การตั้งตนเป็นศัตรูกับผู้รักความยุติธรรมนั้นไม่ถูกต้อง แม้จะเห็นต่างกัน ก็น่าจะเป็นแนวร่วมกันได้ หาไม่ ท่านจะไม่มีแนวร่วมเลย นอกจากบริษัทบริวารและผู้ที่เห็นพ้องต้องด้วย เพราะฝ่ายราชาธิปไตย (ดังที่นายปรีดีเรียกว่า “ผู้ที่ตั้งตัวเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา”) ก็เกลียดท่าน ฝ่ายเผด็จการทหารก็ไม่ต้องการท่าน ฝ่าย พ.ค.ท.ก็หาทางลบล้างเกียรติคุณของท่าน
ได้ทราบมาว่าท่ายอมรับคำเตือนดังว่านี้ แสดงว่าท่านมีขันติธรรมและมีความชอบธรรมอยู่ในใจ ผิดไปจากผู้ใหญ่เป็นจำนวนมากที่ในประเทศนี้ โดยเฉพาะผู้ที่ข้าพเจ้ามีความจงรักภักดีเป็นอย่างสูง ซึ่งรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ ไม่ได้เลย และข้าพเจ้าไม่พร้อมที่จะเคารพนับถือใครถ้าเขาคนนั้นไม่รับฟังคำคัดค้าน ตักเตือน หรือโจมตีใด ๆ ไม่ว่าเขาจะสูงส่งเพียงใดก็ตาม
ต่อแต่นั้นมา แม้นายปรีดีจะไม่เคยติดต่อกับข้าพเจ้า ท่านผู้หญิงพูนศุขก็มักส่งข้อเขียนของท่าน และเอกสารหลักฐานต่าง ๆ มาให้ได้อ่านอยู่เนือง ๆ บางครั้งท่านส่งมาให้ถึงข้าพเจ้าเป็นคนแรกเสียด้วยซ้ำ
เราเป็นเด็ก จะไปให้ผู้ใหญ่ลดตนลงมาหาเรายิ่งกว่านี้จะได้ละหรือ และมาถึงช่วงนี้ ทัศนคติของข้าพเจ้าเปลี่ยนไปมากแล้ว รับรู้ข้อมูลใหม่ ๆ มามากแล้ว แม้จะช้าแต่ก็ไม่ขืนหลับหูหลับตาอยู่ต่อไปอีก
Edited by amplepoor, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:31.
#107
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:52
ใช่แต่เท่านั้น ข้าพเจ้ายังสืบเสาะจนได้ข้อเท็จจริงจากเจ้านายบางองค์อีกด้วย ว่าเมื่อวันเสด็จสวรรคตนั้น กรมขุนชัยนาทนเรนทร เสด็จไปที่สายนัดดาคลีนิค ภายหลังจากการถวายบังคมพระบรมศพ โปรดให้แพทย์ถวายยาฉีด บำรุงพระกำลัง พลางทรงบ่นว่า “เตือนแล้ว อย่าให้เล่นปืนกันทั้ง ๒ องค์ พอเล่นกันเข้า มันก็ต้องพลาดพลั้งอย่างนี้แหละ” หมอคนนั้นทูลเจ้าองค์นี้ โดยที่ทรงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอีกต่อหนึ่ง แม้นี่จะไม่ใช่ประจักษ์พยาน แต่ก็ช่วยคลี่คลายให้ข้าพเจ้าหายข้อกังขาในเรื่องการลอบปลงพระชนม์โดยสิ้นเชิง ทำให้เห็นว่าการวิจารณ์เรื่อง The Devil’s Discus” ของข้าพเจ้านั้นผิดพลาดโดยแท้
อันนี้ตรงกับทฤษฎีของสมศักดิ์ เจียมฯครับ แต่อย่างที่บอกในความเห็นก่อน มันจะเป็นการเล่นไปได้อย่างไร เพราะผลการชันสูตรปืนจ่อใกล้มากกว่า5 ซ.ม. (และไม่ใช้ตั้งใจดังในความเห็นคุณampในความเห็นก่อนๆ)
อนึ่ง ส.นี่ตลกมากๆ พอได้ยินคำบอกเล่า ทั้งก็ไม่รู้ว่าคนบ่นรับรู้มาถูกหรือไม่ ซ้ำยังได้ยินมา 3 ทอด ส. ดันปักใจเชื่อสนิทใจ
โดยลืมคิดถึงเหตุผลง่ายๆคือ ตอนนั้นท่านนอนป่วยจะมีใจลุกมาเล่นอะไรหรือ?
Edited by ดราม่า, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:18.
#108
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:26
- โปรดเกล้าฯ ให้นายปรีดี พนมยงค์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (ครั้งที่ 2)
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีพระอาการประชวรมากขึ้น เวลาเย็นวันนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระอนุชาธิราชปฏิบัติพระราชกิจแทนพระองค์
9 มิถุนายน 2489 (วันเกิดเหตุ)
พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง (สถานที่เกิดเหตุ)
ประมวลจากหนังสือ กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489[1]
- เวลาประมาณ 5.00 น. สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงปลุกบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เพื่อถวายพระโอสถให้เสวย จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมต่อ
- เวลาประมาณ 6.20 น. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเข้าเวรถวายงานที่พระที่นั่งบรมพิมาน ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้รินน้ำส้มคั้นที่ห้องเสวยเพื่อคอยทูลเกล้าฯ ถวาย
- เวลาประมาณ 7.00 น. พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียรกับนายชิต สิงหเสนี ขึ้นมาที่พระที่นั่งบรมพิมานเพื่อวัดขนาดพระตรา จากนั้นทั้งสองออกจากพระที่นั่งเพื่อไปติดต่อช่างทำหีบพระตราที่ร้านงามพันธ์
- เวลาประมาณ 8.00 น. นายบุศย์เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตื่นพระบรรทมจึงนำน้ำส้มคั้นไปถวาย แต่พระองค์โบกพระหัตถ์ไม่เสวย แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นบรรทมตามเดิม นายบุศย์จึงกลับมาประจำหน้าที่ ที่หน้าห้องพระบรรทมตามเดิม
- เวลาประมาณ 8 นาฬิกาเศษ สมเด็จพระอนุชาธิราช ตื่นพระบรรทม จากนั้น เวลาประมาณ 8.30 น. เสด็จไปเสวยพระกระยาหารเช้าที่หน้ามุขชั้นบนของพระที่นั่งบรมพิมานแต่เพียงพระองค์เดียว
- เวลาเกือบ 9 นาฬิกา นายชิตได้ขึ้นมาที่ชั้นบนของพระที่นั่งบรมพิมาน และนั่งอยู่หน้าห้องพระบรรทมด้วยกันกับนายบุศย์ เพื่อรอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตื่นจากบรรทมเสียก่อน เพื่อขอพระบรมราชานุญาตเข้าไปเอาพระตราไปทำหีบ เนื่องจากทางร้านงามพันธ์ต้องการดูขนาดของพระตราองค์จริง
- เวลา 9.05 น. สมเด็จพระอนุชาธิราชเสวยเสร็จแล้ว เสด็จมาที่หน้าห้องแต่งพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถามพระอาการของพระเจ้าอยู่หัวกับนายชิตและนายบุศย์ จากนั้นพระองค์ก็เสด็จไปที่ห้องเครื่องเล่น ซึ่งอยู่ติดกับห้องบรรทมของพระองค์ ในเวลาเดียวกันนั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีประทับอยู่ที่ห้องบรรทมของพระองค์กับนางสาวจรูญ ตะละภัฏ ข้าหลวงในพระองค์ ส่วนพระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตดุลกำลังเข้าไปเก็บพระที่ (ที่นอน) ในห้องบรรทมของสมเด็จพระอนุชาธิราช
เส้นทางเคลื่อนไหวของบุคคลต่างๆ ในพระที่นั่งบรมพิมานชั้นบน ภายหลังเสียงปืนดังขึ้น เมื่อเช้าวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เวลาประมาณ 9.30 น. (ภาพจากหนังสือกรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489)
- เวลาประมาณ 9.30 น. มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ภายในห้องพระบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นายชิตสะดุ้งอยู่มองหน้านายบุศย์และคิดหาที่มาของเสียงปืนอยู่ประมาณ 2 นาที จึงเข้าไปในห้องพระบรรทม พบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมหลับอยู่เป็นปกติ แต่ปรากฏว่ามีพระโลหิต (เลือด) ไหลเปื้อนพระศอ (คอ) และพระอังสะ (ไหล่) ด้านซ้าย นายชิตจึงวิ่งไปที่ห้องบรรทมของสมเด็จพระบรมราชชนนีแล้วกราบทูลว่า “ในหลวงถูกยิง” สมเด็จพระบรมราชชนนีตกพระทัย ทรงร้องขึ้นได้เพียงคำเดียวและรีบวิ่งไปที่ห้องพระบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทันที นายชิต, พระพี่เลี้ยงเนื่อง, สมเด็จพระอนุชาธิราช, และนางสาวจรูญได้วิ่งตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนนีไปติด ๆ (ดูแผนผังพระที่นั่งบรมพิมานประกอบ)
- เมื่อไปถึงที่ห้องพระบรรทมนั้น ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตเสียแล้ว ในลักษณะของคนที่นอนหลับธรรมดา มีผ้าคลุมพระองค์ตั้งแต่ข้อพระบาทมาจนถึงพระอุระ ที่พระบรมศพมีบาดแผลกลางพระนลาฎ (หน้าผาก) บริเวณระหว่างพระขนง (คิ้ว) ข้างพระศพบริเวณข้อพระกรซ้ายมีปืนพก US Army ขนาดกระสุน 11 มม.วางอยู่ในลักษณะชิดข้อศอก ด้ามปืนหันออกจากตัว ปากกระบอกปืนชี้ไปที่ปลายพระแท่นบรรทม สมเด็จพระบรมราชชนนีได้โถมพระองค์เข้ากอดพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จนสมเด็จพระอนุชาธิราชต้องพยุงสมเด็จพระบรมราชชนนีไปประทับที่พระเก้าอี้ปลายแท่นพระบรรทม
พระแท่นบรรทม (ถ่ายจากเบื้องพระบาท) (ภาพจากหนังสือ : คดีประวัติศาสตร์ ลอบปลงพระชนม์ ร.8 โดย บุญร่วม เทียมจันทร์)http://th.wikipedia....รมหาอานันทมหิดล
- จากนั้นสมเด็จพระบรมราชชนนีจึงมีรับสั่งให้ตาม พ.ต.นายแพทย์หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ แพทย์ประจำพระองค์มาตรวจพระอาการของในหลวง ส่วนพระพี่เลี้ยงเนื่องได้จับพระชีพจรของในหลวงที่ข้อพระหัตถ์ซ้าย พบว่าพระชีพจรเต้นอยู่เล็กน้อยแล้วหยุด พระวรกายยังอุ่นอยู่ จึงเอาผ้าคลุมพระองค์มาซับบริเวณปากแผล และปืนกระบอกที่คาดว่าเป็นเหตุทำให้ในหลวงสวรรคตไปให้นายบุศย์เก็บพระแสงปืนไว้ที่ลิ้นชักพระภูษา เหตุการณ์ช่วงเองนี้ได้ก่อปัญหาในการพิสูจน์หลักฐานในเวลาต่อมาเมื่อมีการจัดตั้ง “ศาลกลางเมือง” เพื่อสอบสวนเกี่ยวกับกรณีสวรรคต
- เวลาประมาณ 10.00 น. หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ได้มาถึงสถานที่เกิดเหตุและตรวจพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พบว่าสวรรคตแน่นอนแล้วจึงกราบทูลให้สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงทราบ สมเด็จพระบรมราชชนนีจึงรับสั่งให้ทำความสะอาดและตกแต่งพระบรมศพ เพื่อเตรียมการถวายน้ำสรงพระบรมศพในช่วงเย็น
- ในช่วงเวลาเดียวกัน พระยาเทวาธิราช (ม.ร.ว.เทวาธิราช ป. มาลากุล)สมุหพระราชพิธีได้เดินทางไปที่ทำเนียบท่าช้าง ที่พักของนายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งข่าวการสวรรคต (ขณะนั้นนายปรีดีประชุมอยู่กับหลวงเชวงศักดิ์สงคราม (รมว.มหาดไทย) พล.ต.อ.พระรามอินทรา (อธิบดีกรมตำรวจ) และหลวงสัมฤทธิ์สุขุมวาท (ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล) ในเรื่องกรรมกรที่มักกะสันหยุดงานประท้วง)
- ประมาณ 11.00 น. นายปรีดีมาถึงพระที่นั่งบรมพิมาน และสั่งให้พระยาชาติเดชอุดมอัญเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และเชิญคณะรัฐมนตรี มาประชุมเกี่ยวกับเรื่องการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ประชุมสรุปว่าให้ออกแถลงการณ์แจ้งให้ประชาชนทราบว่า การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเป็นอุบัติเหตุ แถลงการณ์ของกรมตำรวจที่ออกมาในวันนั้นก็มีเนื้อหาในลักษณะเดียวกัน
- เวลา 21.00 น. รัฐบาลเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการด่วน เพื่อแจ้งให้สภาทราบเรื่องการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และสรรหาผู้สืบราชสมบัติ ที่ประชุมได้ลงมติถวายราชสมบัติให้แก่สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นสืบราชสมบัติ เป็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ต่อไป จากนั้นนายปรีดีได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความรับผิดชอบในกรณีสวรรคต
ขนาดลุกยังลุกไม่ไหว ใครจะมาเล่นปืน อีตา ส.ศิวลึงค์นี่มีอคติอยู่เต็มหัวใจ
Edited by ดราม่า, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:57.
- baboon likes this
#109
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:34
-ถูกลอบปลงพระชนม์ กว่า 70% -ปลงพระชนม์เอง 20% -อุบัติเหตุ 10%
จุดยืนของผม "ต่อต้านระบอบทักษิณ, เสื้อแดง, พวกล้มเจ้า ไม่เอาแป๊ะลิ้ม"
#110
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:53
วันที่เกิดเหตุนั้น มหาดเล็กก็ถวายน้ำมันละหุ่ง เพื่อช่วยการถ่ายหลายครั้ง
คำให้การของพยานในส่วนนี้ ไม่มีอะไรขัดแย้งกัน
แปลว่าทรงอ่อนแรงนอนซม จะเล่นปืนแบบโง่ส. คิดได้อย่างไรกัน
สำหรับห้องบรรทมนั้น มหาดเล็กนอนเฝ้าหน้าประตู มีทางเดินด้านหลัง ทะลุถึงกันกับห้องอื่น มีประตูเข้าออก
ดังนั้น อาจจะแก้ตัวได้ว่าเฝ้าอยู่ทางเดียว ทว่า ห้องนอนพระเจ้าแผ่นดิน มีคนเฝ้าแค่นี้เองหรือ
เรื่องนี้จึงน่าสงสัยว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบเวรยาม
ดูเหมือนจะเคยมีกรณีโจรแอบนอนบนขื่อในวังหลวงตั้ง 2 วันก่อนจะขโมยของไปได้
ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อไร แต่ก็แสดงถึงช่องทางที่จะทำมิดีมิร้ายในสถานที่ได้อย่างชัดเจน
- ดราม่า likes this
#111
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:27
#112
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:46
ยิ่งเขียนก็ยิ่งเห็นถึงความอ่อนหัดในการใช้เหตุผล กรณีของสเตเฟนสันนี่ ยิ่งน่าสมเพช เขาตั้งชื่อบทความว่า
"เรื่องเล่า" จากแวดวงราชสำนัก: ทำไม ในหลวง ไม่ได้ทรงพระราชทานอภัยโทษ จำเลยคดีสวรรคต
แต่เนื้อหานั้น ไม่มีตรงใหนที่เป็นเรื่องน่าเชื่อเลย นอกจากคำว่า "เรื่องเล่า"
1 ฝรั่งคนนี้ ถ้าจะเรียก ต้องใช้ว่า พระสหาย ไม่ใช่จากแวดวงราชสำนัก
2 ไม่มีคำตอบว่า ทำไมจึงไม่ได้ทรงอภัยโทษ อย่างที่จั่วหัว เพราะดันปิดท้ายข้อความว่า ส่วนสาเหตุที่ทรง "โปรดเกล้าฯให้ยกฎีกา" ของ 3 จำเลยคืออะไร ผมไม่สามารถบอกได้แน่ชัด เพราะไม่มีหลักฐานยืนยัน
ที่สำคัญนั้น สมศักดิ์เองก็มีหลักฐานในมือว่า ฝรั่งคนนี้โกหก เมื่อฝรั่งเล่าว่า
The King hurried back for Far-From-Worry when the rumours reached him. He had let the months passed without interfering with the due process of law, thinking he had won his demand for a strong and independent judiciary. In his silent rage, he saw how powerless he really was. He had insisted that every citizen had the right to petition him directly. Now he discovered that attempts to reach him by the scapegoats’ families had been stopped by courtiers subverted by Phao’s police. . . . . On Phao’s desk remained the last written appeals from the dead men for a king’s pardon.
ไม่ทรงเข้าแทรกแซงกับกระบวนการยุติธรรม, เพราะคิดว่าทรงได้รับหลักประกันเรื่องความเป็นอิสระและเข้มแข็งของศาลแล้ว.
ในความกริ้วอย่างเงียบๆของพระองค์, พระองค์ได้ตระหนักว่าพระองค์ทรงอยู่ในฐานะไร้ซึ่งอำนาจเพียงใด
ทรงพบว่าความพยายามที่จะถวายฎีกาถึงพระองค์ของครอบครัวแพะรับบาปทั้งสามถูก หยุดยั้่งโดยบรรดาข้าราชสำนักที่ถูกตำรวจของเผ่าดึงตัวไปเป็นพวก
บนโต๊ะทำงานของเผ่า หนังสือฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสามถูกวางทิ้วไว้
ตัวแดงนี้คือคำแปลของสมศักดิ์
ซึ่งเขาเองได้พิสูจน์ว่าฝรั่งเขียนเรื่องโกหกไว้เอง แต่เพื่อใช้โจมตีสถาบัน ก็เอามาใช้อีกอย่างน่าละอายจริงๆ
Edited by amplepoor, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:48.
#113
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:23
มีความเชื่อซ้ายสุดกู่ ไปสู่คนรุ่นใหม่ที่ขาดสติ โดยอาศัยภาพลักษณ์ของ ส เจียม ในฐานะ
นักวิชาเกิน และคนบางกลุ่มที่เชื่อว่า ทั้งหมดนี้คือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
อีกทั้งยังได้นักวิชาเกินต่างชาติ เพื่อเพิ่มความขลังของข้อมูลให้ดูน่าเชื่อถือ
- อู๋ ฮานามิ and ดราม่า like this
#114
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:23
- ฝ่ายรักปรีดี เช่น ส.ศิวลักษณ์ วัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวคือแก้ต่างว่าปรีดีไม่ได้ทำ
-ฝ่ายซ้าย เช่น สมศักดิ์ เจียมฯ วัตถุประสงค์คือใช้เป็นเครื่องมือโจมตีสถาบัน
ในหนังสือเอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ บทที่22มีหลักฐานที่จะตีข้อสันนิฐานของสมศักดิ์ได้
ผู้เขียนเสนอให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9)พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงใส่พระราชหฤทัยในการชันสูตรพระบรมศพอยู่มาก ทรงเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ที่ได้ออกไปสู่สายตานานาชาติ ดังนั้น จึงทรงมีพระราชดำริให้คณะกรรมการชันสูตรพระบรมศพ มีการตั้งผู้แทนจากต่างประเทศเข้ามาร่วมชันสูตรพระบรมศพด้วย และควรใช้เครื่องมืออุปกรณ์ชันสูตรที่ทันสมัย
และเมื่อเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศอังกฤษทั้ง 3 คนมาร่วมชันสูตรพระบรมศพแล้ว ทั้ง 3 คนได้ออกความคิดเห็นของสาเหตุการสวรรคต
ซึ่งความเห็นของทั้ง 3 คนนี้ ไม่เป็นที่เห็นชอบของรัฐบาลไทย
วิมลพรรณ ปิตธวัชชัย ได้ค้นข้อมูลจากลอนดอน ได้ข้อสรุปว่า ได้มีการโทรเลขจากสถานทูตอังกฤษในไทยไปยังลอนดอน ประเทศอังกฤษ เรื่องการเจรจาขอให้แพทย์อังกฤษงดออกความเห็นการชันสูตรพระบรมศพ
ตรงนี้คือหลักฐานใหม่ที่คนไทยจะได้รู้
ในหน้า 34 บทที่ 23 หัวข้อ "ข้อเท็จจริงในการสวรรคต" ของหนังสือ "เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ" ระบุถึงข้อมูลหนึ่ง ว่า
...คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน พฤติการณ์การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2489 ในการนี้จึงแจ้งพระราชประสงค์ไปยังคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ ว่า เมื่อจำเป็นจะต้องมีการชันสูตรพระบรมศพเช่นนี้แล้ว ก็ให้ทำเสียให้เสร็จสมบูรณ์ในครั้งเดียว
และเพื่อให้ปราศจากข้อขัดข้องใดๆ ควรจะมีเครื่องเอ็กซเรย์หลายๆ เครื่อง เพื่อป้องกันการติดขัด
และมีพระราชประสงค์ให้เชิญพันเอก เจ ไดรเบิร์ก แพทย์ใหญ่ทหารอังกฤษในประเทศไทยเข้าร่วม และควรจะมีผู้เชี่ยวชาญฝรั่งในทางอาวุธปืนเข้าร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของไทย ด้วย
ทั้งนี้ มิใช่จะไม่ไว้ใจแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไทย แต่เรื่องการสวรรคตนี้ระบือไปทั่วโลก การชันสูตรจึงควรกระทำให้สมบูรณ์ครบถ้วนในทุกๆ ทาง ย่อมเป็นหลักฐานดียิ่งขึ้น
คณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ฯ ได้สนองพระราชประสงค์โดยครบถ้วน ได้เชิญ
พันเอก เจ ไดรเบิร์ก
พันโท เอส รีส
และ ร้อยเอก ดี.ซี. คุปตา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เอ็กซเรย์ของกองทหารอังกฤษในประเทศไทย ร่วมด้วย
ส่วนผู้เชี่ยวชาญทางอาวุธปืนนั้น พันเอก เจ ไดรเบิร์ก ได้เอื้อเฟื้อจัดหามาให้
นอกจากนี้ นายแพทย์อี ซี คอร์ต นายแพทย์อเมริกันก็ยังได้เข้าร่วม พร้อมทั้งผู้แทนตำรวจไทย 1 นาย
คือ พันตำรวจโท เอ็จ ณ ป้อมเพชร ผู้เชี่ยวชาญการพิสูจน์หลักฐาน
คณะกรรมการแพทย์ได้เลือกตั้ง พระยาดำรงแพทยาคุณ เป็นประธาน
พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ ประธานกรรมการสอบสวนพฤติการณ์การสวรรคต จึงได้มีหนังสือเชิญไปยัง พันเอก เจ ไดรเบิร์ก ตามพระราชประสงค์นี้
ในหน้า 40 เล่มที่ 2 ของบทเดียวกัน ระบุอีกว่า
...หลังการชันสูตรพระบรมศพแล้ว แพทย์ลงความเห็นว่า สาเหตุใดมีน้ำหนักว่าเป็นไปได้มากที่สุด ปรากฏว่า ประเด็นถูกลอบปลงพระชนม์มีน้ำหนักมากที่สุด คือ
ถูกลอบปลงพระชนม์มีน้ำหนักมากที่สุด 16 เสียง
ปลงพระชนม์เองมีน้ำหนักมากที่สุด 4 เสียง
อุปัทวเหตุมีน้ำหนักมากที่สุด 2 เสียง
ความเห็นของคณะแพทย์และข้อเท็จจริงบางประการในการทดลองในการยิงศพล่วงรู้ไป ถึงหนังสือพิมพ์บางฉบับ เช่น หนังสือพิมพ์เสรี ฉบับวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2489 ลงตีพิมพ์พาดหัวว่า หมอลงความเห็นว่าถูกลอบยิง ไม่ใช่อุบัติเหตุแน่นอน...
ค่ำวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2489 นายแพทย์หลวงนิตย์เวชวิศิษฐ์ ถูก นายปรีดี พนมยงค์ เรียกไปต่อว่าสองเรื่อง คือ เรื่องที่นายแพทย์หลวงนิตย์ฯ แจ้งให้ที่ประชุมแพทย์ทราบว่า นายปรีดีเป็นผู้แนะนำและให้คำปรึกษาในการออกแถลงการณ์ฉบับแรกของสำนัก พระราชวัง ว่า พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเสด็จสวรรคตโดยอุปัทวเหตุ
และเรื่องแพทย์ลงความเห็นถึงสาเหตุแห่งการสวรรคต นายปรีดีมีความเห็นว่าแพทย์ควรรายงานเพียงว่า ถูกอาวุธเข้าข้างไหน ออกทางไหน ถูกส่วนใด และเป็นเหตุให้ตายหรือไม่เท่านั้น ซึ่งนายแพทย์หลวงนิตย์เวชวิศิษฐ์ก็เห็นพ้องด้วย
ในขณะที่ก่อนหน้านี้ นายปรีดี พนมยงค์ ได้เรียก นายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลวงอดุลย์เดชจรัส และ นายดอล ที่ปรึกษาการคลังไปพบ
นายปรีดีบอกนายดิเรก ว่า ได้ทราบว่ามีการยุยงแพทย์ฝรั่งให้เล่นการเมืองนอกเหนือหน้าที่แพทย์
ทั้ง 4 คน คือ นายปรีดี นายดิเรก หลวงอดุลย์เดชจรัส และนายดอล เห็นพ้องต้องกันว่า แพทย์ควรทำหน้าที่ชันสูตรพระบรมศพอย่างเดียว ไม่ควรออกความเห็นเรื่องสาเหตุ นายปรีดีได้ใช้ให้นายดิเรกและนายดอล ไปแจ้งให้เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยทราบ ในที่สุดแพทย์กองทัพอังกฤษจึงได้ขอถอนความเห็น โดยนายแพทย์ไดรเบิร์ก (ซึ่งได้รับเชิญร่วมชันสูตรพระบรมศพ ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน) แจ้งแก่พระยาดำรงแพทยาคุณ ว่า จำต้องถอนความเห็นเพราะเป็นทหารต้องปฏิบัติตามวินัย
ดังรายงานของสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย รายงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษที่ลอนดอน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2489 เรื่องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ไปเจรจาขอให้ทูตอังกฤษประจำประเทศไทยห้ามแพทย์ชาวอังกฤษที่ไปร่วมเป็น กรรมการชันสูตรพระบรมศพ ออกความเห็นสาเหตุแห่งการสวรรคต ดังนี้
โทรเลขฉบับนี้เป็นความลับอย่างที่สุดและควรเก็บไว้โดยผู้รับที่มีอำนาจหน้าที่เท่านั้น ไม่ให้ส่งต่อ
แจกในคณะรัฐมนตรี
F.9488 จากกรุงเทพฯ ถึงกระทรวงการต่างประเทศ
Mr.Thompson วันที่ 26 มิถุนายน 2489
No.851
ด่วน
โทรเลขของผมเลขที่ 834
".........มีการเชื่อกันอย่างกว้างขวาง (ซึ่งก็มีเหตุผล) ว่าคณะกรรมการแพทย์ที่สอบสวนกรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อน กำลังจะรายงานโดยเสียงข้างมากเป็นการถูกปลงพระชนม์ จริงๆ แล้วในการลงคะแนนเสียงวันนี้ เมื่อคณะกรรมการยอมรับถ้อยคำต่างๆ ในรายงานแล้ว 16 เสียงเห็นว่าเป็นการถูกปลงพระชนม์ 4 เสียงเป็นอัตวินิบาตกรรม และ 2 เสียงเป็นอุบัติเหตุ ตัวเลขเหล่านี้ไม่รวมนายทหารอังกฤษ 4 คนผู้ปฏิเสธที่จะออกความเห็นใดๆ
2. คณะกรรมการจะต้องประชุมกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้เพื่อลงลายมือชื่อในรายงาน สมมติว่าระหว่างขณะนี้กับพรุ่งนี้กรรมการจะไม่เปลี่ยนใจ (ตกเป็นเหยื่อของความรวนเร) การเผยแพร่รายงานฉบับนี้จะต้องก่อให้เกิดความตื่นเต้นในระดับสูงสุดทีเดียว ผลจะเป็นอย่างไรนั้น ยากที่จะคาดได้ ผมทราบว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศนั้นกังวลใจมาก เพราะรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศมาพบผม โดยไม่ได้บอกล่างหน้าเมื่อคืนนี้ ด้วยจุดประสงค์ที่จะให้ผมช่วยพูดกับชาวอังกฤษสามคนในคณะกรรมการชุดนี้ ผมบอกท่านว่า ผมไม่ (ย้ำ ไม่) สามารถชักจูง Colonel Driberg หรือเพื่อนร่วมงานสองคนของเขาได้ แต่ผมจะแนะนำให้เขาอยู่ภายในกรอบของเงื่อนไขตั้งแต่ต้นที่เชิญให้เป็น กรรมการ อันที่จริงนี่คือสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติมา
ในเรื่องนี้ผมขอยกข้อความที่ Colonel Driberg ยืนยันว่าจะใส่ไว้ในรายงานของคณะกรรมการ (เริ่มต้น)
Colonel Driberg, Lieutenant - Colonel Rees และ Captain Gupta ไม่ออกความเห็นว่า การสวรรคตสืบเนื่องมาจากการปลงพระชนม์ อัตวินิบาตกรรมหรืออุบัติเหตุ วิธีดำเนินการนี้ เป็นไปตามข้อตกลงในหนังสือเชิญ (ได้แนบสำเนาฉบับแปลมาด้วย) ว่าขอให้มาเป็นกรรมการเพื่อช่วยในการชันสูตรพระบรมศพเท่านั้น
พวกเขารู้สึกว่าสามารถให้ความเห็นด้านการแพทย์จากข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่ ได้มาจากการชันสูตร แต่รู้สึกว่าจะเป็นการไม่เหมาะสมและนอกเหนืออำนาจที่จะให้พวกเขาออกความเห็น มากไปกว่านั้น (จบ)...."
นอกจากนี้ ในหน้า 128 เล่มที่ 2 วิมลพรรณ ปิตธวัชชัย ระบุว่า
มีรายงานที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งที่สถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทยรายงานไปยัง กระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรที่ลอนดอน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2489
ความว่า
ลับเฉพาะ
F 1812/327/40 กรุงเทพฯ
No.305 วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2489
From Mr.Thompson
To Mr.Bevin
12 th December 1946
ผมคิดอยู่บ่อยครั้งถึงถ้อยคำของรัฐบุรุษอาวุโสที่ไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะ กล่าวออกมา ซึ่งนายดอลที่ปรึกษาทางด้านการคลัง ได้ยินคำพูดนี้เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ว่า กษัตริย์ไม่ควรเข้ามายุ่งกับการเมือง สองวันต่อมาพระเจ้าอยู่หัวอานันท์ก็สวรรคตอย่างโหดร้าย และมีการกระซิบกระซาบในประเทศ ว่าเป็นการซ้ำรอยเหตุการณ์ร้าย ณ ขั้นบันไดทางขึ้นโบสถ์แคนเทอร์เบอรีที่ ทอมัส อะ เบ็กเก็ต ถูกสังหาร
ผมจะส่งสำเนารายงานนี้ไปยังกรุงเบิร์น และสิงคโปร์
G.H. Thompson
ผมมิได้มุ่งหวังโจมตีนายปรีดี แต่อยากชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลนายปรีดีประกาศว่าเรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ
ซึ่งถ้าเรื่องจริงเป็นไปตามที่สมศักดิ์ เจียมฯพยายามให้ร้ายในหลวง
แล้วทำไม?พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงใส่พระราชหฤทัยในการชันสูตรพระบรมศพอยู่มาก
สู้ตามน้ำไปตามที่ปรีดีจัดการประกาศว่าเป็นอุบัติเหตุไม่ดีกว่าหรือ
*แก้ชื่อหนังสือตามที่คุณอู ฮานามิทักครับ
Edited by ดราม่า, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:20.
- dtonNA, baboon, อู๋ ฮานามิ and 2 others like this
#116
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:45
เรียน คุณแอม
รบกวนคุณแอม เตรียมข้อมูลที่เกี่ยวกับ ประชาธิปไตยไว้ด้วยน่ะค่ะ
จะเปิดห้องเรียน เสวนาประชาธิปไตย ค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ครูน้อยน้อมรับคำสั่งครูใหญ่
แต่ผมนั้นฝักไฝ่เผด็จการและรักอนาธิปไตย...จะเหมาะเหรอ
ฮา
ปล. ข้อมูลจากคุณดรามา ตบหน้าสมศักดิ์ฉาดใหญ่
ทำยังงัยจะเอาไปแปะในเฟสฝ่ายนั้นได้หนอ
ปล. 2
ผมเล่นเฟสไม่เป็น อยากเปิดเฟส "ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งมั่ว" ตอบโต้สมศักดิ์
คุณดราม่า ลุยกันหน่อยดีปะ
- wewe, dtonNA, overtherainbow and 6 others like this
#117
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:49
ภาพจำลอง ตามโทรเลขข้างบน
The Murder of St. Thomas a Becket, A.D. 1170
#118
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:52
#119
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:05
ลุยเลยค่ะ...ยกมือหนับหนุน เต็มที่
ถ้างั้น ผมเปิดกระทู้ที่นี่ น้องเบิร์ดย่อยไปลงเฟสละกัน
บอกตามตรงว่า ผมไม่มีความสามารถใช้งานสิ่งที่ชักโครกเบิร์กอุตส่าทำออกมาได้เลย
มันวุ่นวายเคออสยังกับตลาดสด.....น้องกัวๆๆๆๆๆ
Edited by amplepoor, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:35.
#121
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:51
แนะนำให้อ่านประวัติศาสตร์ใน link นี้ครับ
http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=15&thispage=6
ผมอ่านแล้วถึงได้เข้าใจว่า กว่าจะมาเป็นประเทศไทยทุกวันนี้ "เลือดตาแทบกระเด็น" จริงๆ ตอนสำคัญๆในสายตาผมคือการกอบกู้บ้านเมืองของพระเจ้าตากสินมหาราช และช่วงตลอดรัชกาลที่ ๑ ที่บรรพชนต้องทั้งกอบกู้บ้านเมืองจากเศษซากของกรุงศรีอยุธยา และต้องปกป้องเอาไว้อย่างสุดฤิทธิ์ เพื่อให้มีประเทศไทยเฉกเช่นทุกวันนี้
ผมอยากให้เรื่องราวเหล่านี้ถูกนำมาสอนในบทเรียนของเด็กไทยให้มากกว่านี้ ผมอ่านแล้วก็ภูมิใจ และรู้ว่าเรื่องการสงครามนั้น ถ้าว่ากันด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญแล้ว ประเทศไทยเราไม่เป็นรองใครในโลกเลยครับ
คนบางพวกนำประวัติศาสตร์มาใช้เป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยก โดยนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียว หรือยกมาแบบไม่ครบถ้วน
เช่นการสงคราม ซึ่งถูกใช้นำไปใช้อ้างว่าสยามหรือประเทศไทยในอดีตไปรุกราน แต่ยามใดที่บ้านเมืองอ่อนแอลงก็จะถูกรุกรานเกือบทุกยุคทุกสมัยที่พอจะสืบค้นข้อมูลได้ ผมสันนิษฐานว่าสงครามระหว่างราชธานีมีมาเกือบทุกยุคสมัย เพียงแต่ไม่มีสามารถสืบค้นกลับไปได้เนื่องจากไม่มีการจดบันทึกครั้งสำคัญไว้หรือถูกเผาทำลายไปครั้งเสียกรุง
#122
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:52
จะไหวมั้ยค่ะเนี้ย...
ตั้งแต่เล่น Face มา Add เพื่อนอยู่ 8 คน
จะยังไง...ก็ลองดูก่อนแล้วกันค่ะ..
จะเข้าไปแจมครับ ผมโดนลบล๊อกอินมาไม่ต่ำกว่า5แล้วมั้ง เพราะไปลุย กับพวกนี้แหละ
ทั้งที่ไม่ใช้คำหยาบนะ แค่เอาข้อมูลไปแย้ง ก็โดนเตะออก แถมยังแจ้งว่าเราก่อกวนอีก
มีคนเดียวที่ไม่เตะผมออกก็อีตา ส. นี่แหละ แต่ก็นะ พอผมถามเรื่องกบฎวังหลวง แก่ก็ลบคำถามออกเลย
#123
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 19:58
หนังสือเล่มนี้ราคาเท่าไรครับ หามานานเเล้ว หาไม่ได้ซักที อยากได้ผมเคยอ่านในหนังสือเอกกษัตริย์ ใต้รัฐธรรมนูญ ก็บอกประมาณว่า ปรีดีพยายามขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่และสื่อในเรื่องกรณีสวรรคต และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการถวายความปลอดภัยที่หละหลวม แม้แต่ทหารเองก็ไม่เข้มงวด ปล่อยให้คนเข้านอกออกในง่ายๆ เพียงแค่แต่งเครื่องแบบ จำได้ประมาณนี้ครับ
#124
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:24
หนังสือเล่มนี้ราคาเท่าไรครับ หามานานเเล้ว หาไม่ได้ซักที อยากได้
ผมเคยอ่านในหนังสือเอกกษัตริย์ ใต้รัฐธรรมนูญ ก็บอกประมาณว่า ปรีดีพยายามขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่และสื่อในเรื่องกรณีสวรรคต และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการถวายความปลอดภัยที่หละหลวม แม้แต่ทหารเองก็ไม่เข้มงวด ปล่อยให้คนเข้านอกออกในง่ายๆ เพียงแค่แต่งเครื่องแบบ จำได้ประมาณนี้ครับ
1 ชุด มี 3 เล่ม
http://www.chulabook...e=9789742253226
ขายดีมาก ก่อนที่จะหมดครับ
ผมเองติดตามทางเดลินิวส์เป็นประจำ
- อู๋ ฮานามิ and ดราม่า like this
จุดยืนของผม "ต่อต้านระบอบทักษิณ, เสื้อแดง, พวกล้มเจ้า ไม่เอาแป๊ะลิ้ม"
#125
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:28
หนังสือเล่มนี้ราคาเท่าไรครับ หามานานเเล้ว หาไม่ได้ซักที อยากได้
ผมเคยอ่านในหนังสือเอกกษัตริย์ ใต้รัฐธรรมนูญ ก็บอกประมาณว่า ปรีดีพยายามขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่และสื่อในเรื่องกรณีสวรรคต และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการถวายความปลอดภัยที่หละหลวม แม้แต่ทหารเองก็ไม่เข้มงวด ปล่อยให้คนเข้านอกออกในง่ายๆ เพียงแค่แต่งเครื่องแบบ จำได้ประมาณนี้ครับ
ชุดละ 1,500 บาทครับ 3 เล่มจบ ปกแข็ง
ผมอาศัยอ่านที่ห้องสมุด ไม่มีตังค์ซื้อ
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#126
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:31
ก่อนอื่นผมว่าเราต้องมาดูจุดยืนแต่ล่ะฝ่ายของคนยุคนี้ที่พยายามใช้กรณีสวรรคตเป็นเครื่องมือทางการเมืองคือ
- ฝ่ายรักปรีดี เช่น ส.ศิวลักษณ์ วัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวคือแก้ต่างว่าปรีดีไม่ได้ทำ
-ฝ่ายซ้าย เช่น สมศักดิ์ เจียมฯ วัตถุประสงค์คือใช้เป็นเครื่องมือโจมตีสถาบัน
ในหนังสือเอกบุรุษภายใต้รัฐธรรมนูญ บทที่22มีหลักฐานที่จะตีข้อสันนิฐานของสมศักดิ์ได้
เอกกษัตริย์ครับ (ตั้งใจเขียนผิดหรือเปล่าเนี่ย.....)
- ดราม่า likes this
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#127
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:44
หนังสือเล่มนี้ราคาเท่าไรครับ หามานานเเล้ว หาไม่ได้ซักที อยากได้
ผมเคยอ่านในหนังสือเอกกษัตริย์ ใต้รัฐธรรมนูญ ก็บอกประมาณว่า ปรีดีพยายามขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่และสื่อในเรื่องกรณีสวรรคต และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการถวายความปลอดภัยที่หละหลวม แม้แต่ทหารเองก็ไม่เข้มงวด ปล่อยให้คนเข้านอกออกในง่ายๆ เพียงแค่แต่งเครื่องแบบ จำได้ประมาณนี้ครับ
1 ชุด มี 3 เล่ม
http://www.chulabook...e=9789742253226
ขายดีมาก ก่อนที่จะหมดครับ
ผมเองติดตามทางเดลินิวส์เป็นประจำ
ขอบคุณครับ เเต่พอจะรู้มั๊ยครับว่าจะไปหาซื้อได้ที่ไหน เคยถามที่ซีเอ็ด เค้าก้ว่าหมดเเล้ว อยากได้อ่ะครับ จำได้ว่าออกมาได้ หลายปีเเล้ว เเต่ตามไม่เคยได้ซะที...
หนังสือเล่มนี้ราคาเท่าไรครับ หามานานเเล้ว หาไม่ได้ซักที อยากได้
ผมเคยอ่านในหนังสือเอกกษัตริย์ ใต้รัฐธรรมนูญ ก็บอกประมาณว่า ปรีดีพยายามขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่และสื่อในเรื่องกรณีสวรรคต และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการถวายความปลอดภัยที่หละหลวม แม้แต่ทหารเองก็ไม่เข้มงวด ปล่อยให้คนเข้านอกออกในง่ายๆ เพียงแค่แต่งเครื่องแบบ จำได้ประมาณนี้ครับ
ชุดละ 1,500 บาทครับ 3 เล่มจบ ปกแข็ง
ผมอาศัยอ่านที่ห้องสมุด ไม่มีตังค์ซื้อ
#128
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:03
#129
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:21
#130
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:54
ขอบคุณครับ เเต่พอจะรู้มั๊ยครับว่าจะไปหาซื้อได้ที่ไหน เคยถามที่ซีเอ็ด เค้าก้ว่าหมดเเล้ว อยากได้อ่ะครับ จำได้ว่าออกมาได้ หลายปีเเล้ว เเต่ตามไม่เคยได้ซะที...
ร้านนายอินทร์ก็มีค่ะ สั่งออนไลน์ก็ได้
#131
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:10
1 กรณีสวรรคต เป็นการลอบปลงพระชนม์ รายงานทางการแพทย์ล้วนแต่ชี้เช่นนั้น
2 เมื่อเป็นอาชญากรรม ก็ต้องมีผู้ได้รับประโยชน์
ร. 8 เพิ่งจะทรงกลับเข้าประเทศ ยังไม่ทรงมีความขัดแย้งอื่นใดได้ กรณีนี้จึงเป็นการมุ่งสังหารทางการเมือง
3 ความมุ่งหวังทางการเมืองนั้น เกิดได้จากเหตุเดียว คือแย่งชิงอำนาจ
4 ในขณะนั้น ผู้มีอำนาจคือปรีดี เพิ่งจะเสร็จภาระกิจหัวหน้าเสรีไทยและผู้สำเร็จ
และเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น.....ปรีดีย่อมเป็นฝ่ายถูกแย่งอำนาจมากกว่าเป็นฝ่ายแย่ง
5 ประเด็นการแย่งชิงราขบัลลังก์นั้น มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด
เพราะอำนาจในการสถาปนา มิได้อยู่ในมือของสถาบัน ไม่สามารถกำหนดตำแหน่งกษัตริย์ล่วงหน้าได้
6 ในวันนั้น ศัตรูของปรีดีคือจอมพลป.
7 ระหว่างเป็นผู้สำเร็จ มีข้อมูลมากมายว่าปรีดีประจบเจ้า นี่เท่ากับทำให้เจ้าไม่เป็นกลางทางการเมือง
8 จอมพลป. ต้องการล้มล้างกษัตริย์อย่างชัดเจน เคยบอกว่าประเทศต้องมีที่ยึดเหนี่ยว
กษัตริย์ก็ยังเด็ก จึงต้องให้เคารพตัวเองแทน การเข้ากับญี่ปุ่น ก็เป็นการเสริมอำนาจตัวเองให้เหนือปรีดี
9 หมายความว่า ในช่วงเวลานั้น มีการแตกแยกเป็นสามฝ่ายอย่างชัดเจน
ปรีดีตั้งเสรีไทยเพื่อต่อต้านศัตรูที่ร่วมมือกับญี่ปุ่น
จอมพลป. ร่วมวงไพบูลย์กับญี่ปุ่นเพื่อให้ตัวเองเข้มแข็งเหนือปรีดี
สถาบันต่อต้านญี่ปุ่นก็เท่ากับเป็นแนวร่วมของปรีดี จึงเป็นศัตรูกับจอมพลป. ไปด้วย
กรณีสวรรคต จึงสรุปได้ง่ายๆ ว่า แปลกสู้กับปรีดี โดยใช้สถาบันเป็นเหยื่อ
- David_GinoLa, overtherainbow, ใจหมาอำมหิต` and 3 others like this
#132
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:23
#133
ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:31
เห็นด้วยกับคุณamplepoorสรุปมาเลยครับ แต่ที่ผมสงสัยคือทำไมในหน้าประวัติศาสตร์ไม่ค่อยได้ยินว่าจะมีคนโทษแปลกว่าเป็นคนทำ?
อ้าว....งั้นผมก็เคลมได้สิ ว่าทฤษฎีแปลกเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต เป็นของผม
อิอิ
ผมคิดว่า เป็นเพราะคนส่วนมากพยายามแก้แทนสถาบัน
และโจมตีสถาบัน อย่างเอาเป็นเอาตาย
ผมไม่แก้แทนใคร ผมมองคดีนี้เป็นอาชญากรรมสะเทือนขวัญคดีหนึ่ง
ไม่ได้คิดว่าผู้ตายเป็นกษัตริย์ คิดแต่ว่า ถ้าตายเพราะฆาตกรรม ก็ต้องมีสาเหตุ
เราก็มองหาสาเหตุให้ได้เท่านั้น
อ้อ แปลกยังมีประเด็นผูกใจเจ็๋บอีกด้วยนะครับ
คึกฤทธิ์เล่าว่า ที่กรมชัยนาทถูกจับ มาจากแปลกระแวงที่ตัวเองเคยถูกลอบฆ่า
แปลว่า แปลกมองสถาบันเป็นศัตรูเอาตรงๆ ทีเดียว
เรื่องนี้น่าจะคุยกันออกไปให้กว้างขวางกว่านี้
ถึงได้เสนอให้เปิดเฟสบุ๊คงัยครับ
- คลำปม likes this
#134
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:12
http://chantrawong.b.../2011/12/2.html
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#135
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:53
1 น้องฆ่าพี่เพราะหวังตำแหน่ง แล้วโยนความผิดให้กับ ชิต-บุศย์-เฉลียว
2 เป็นอุบัติเหตุ แล้วโยนความผิดให้กับ ชิต-บุศย์-เฉลียว
ทั้งสองข้อนั้น มีเหตุผลโต้แย้งท้ั้งสิ้น
ถ้าน้องฆ่าพี่ น้องจะต้องมั่นใจสองข้อว่า จะต้องได้ตำแหน่ง และจะต้องได้แพะรับบาป
เรื่องตำแหน่งนั้น ฝ่ายแดงไม่เคยยกข้อมูลว่า ใครมีสิทธิในการตั้งกษัตริย์ออกมาแสดงเลย
พากันเงียบเป็นเป่าสาก
ข้อเท็จจริงก็คือ ในขณะนั้น ร. 8 ยังมิได้บรมราชาภิเษก จึงยังไม่มีการตั้งพระบรมวงศานุวงศ์
แปลว่าไม่มีผู้สืบทอดเป็นรัชทายาท การฆ่าพี่ ย่อมไม่สามารถรับประกันว่าจะได้เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อไป
ดังนั้น ถ้าน้องฆ่าพี่จริงๆ ก็จะต้องสมคบคิดกับปรีดี ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในขณะนั้น
ว่าปรีดีในฐานะนายก จะต้องเสนอชื่อน้องขึ้นเป็นกษัตริย์ ในฐานะอดีตผู้สำเร็จจะต้องหว่านล้อมท่านอื่นให้คล้อยตาม
และปรีดีจะต้องใช้อำนาจ ทำให้การฆาตรกรรมกลายเป็นอุบัติเหตุ......
ดูเหมือนเรื่องก็จะเดินไปในแนวนี้
อ้าว แต่....คึกฤทธิ์และพรรคปชป. มาแย้งโจมตีปรีดีทำไม มาป่วนคำแถลงที่ว่าสิ้นพระชนม์โดยอุบัติเหตุทำไม
ในเมื่อเป็นอำมาตย์ด้วยกัน อยู้ข้างกษัตริย์ด้วยกัน จะอ้างว่า ตอนแรกไม่รู้ อ้าว...แล้วทำไมไม่บอกให้สงบปากล่ะ
ทำไมสยามรัฐและปชป. จึงประสานเสียงที่จะหาคนผิดจากการปลงพระชนม์ แทนที่จะกลบเกลื่อนให้จบๆ ไป
เพื่อในหลวงองค์ใหม่จะได้ครองราชย์โดยปราศจากข้อครหา นี่กลับทำตรงกันข้ามเสียนี่
เห็นใหมครับว่า การกล่าวหาของพวกล้มเจ้านั้น
มันมั่ว
มันแย้งกันเอง
- David_GinoLa, อู๋ ฮานามิ and ดราม่า like this
#136
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 01:27
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พันตรีควง อภัยวงศ์ ขณะยังมีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงโกวิทอภัยวงศ์ ได้เดินทางไปประชุมสากลไปรษณีย์ ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า พร้อมด้วย ขุนชำนาญ (หลุย อินทุโสภณ) เลขานุการ และเมื่อเดินทางกลับจาก ประเทศอาร์เจนติน่า ได้ไปดูงานโทรศัพท์อัตโนมัติที่ประเทศอังกฤษ
และมีโอกาสเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่เครนไลน์ โดยพระเจ้าอยู่หัวทรงเลี้ยงอาหารค่ำ และได้ทรงตรัสถึงเรื่องต่างๆ ให้พันตรีควงได้รับรู้ และนับแต่ครั้งนั้น ความคิดความเห็นของพันตรีควง ก็เปลี่ยนไปเป็นอันมาก มักบ่นกับคนที่ชอบพอ และญาติใกล้ชิดว่า "เรามันผิดไปเสียแล้ว ควรที่จะถวายพระราชอำนาจคืน" (ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม, 2511)
Edited by ดราม่า, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 01:32.
- David_GinoLa likes this
#137
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 01:50
ประเด็นต่อไปนี้ก็ดูเหมือนจะไม่เคยมีคนวิเคราะห์
คือ คณะราษฎร์เปลี้ยนไป๋.......
ถ้าอุดมการณ์แรกเริ่มของคณะราษฎร์คือ ล้มเจ้า สร้างประชาธิปไตย และสร้างเอกราชที่สมบูรณ์
ผมว่าคณะนี้ทั้งหมด บุลชิต
1 นายปรีดี ภายหลังก็ประจบเจ้า ใช้เจ้า และไม่เคยโอนอำนาจให้ประชาชน
สาวกและสมุนได้ครองอำนาจกันเป็นแถว ตาสีตาสาถูกกดขี่เหมือนเดิม
ฝักไฝ่ความรุนแรงจนสนับสนุนการใช้กำลังเพื่อยึดอำนาจถึง 4 ครั้ง
ที่สำคัญ นำประเทศสยามไปอิงแอบกับคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย
2 นายแปลก จากวีรบุรุษปราบกบฎบวรเดชกลายเป็นจอมเผด็จการ
พาประเทศไปอยู่ใต้อาณัติยี่ปุ่น แต่อาจจะเป็นคนเดียวที่ยังรักษาอุดมการณ์ล้มเจ้าไว้อย่างมั่นคง
3 นายควง ก็อย่างที่ยกมาแหละครับ
คิดได้เมื่อสายเสียแล้ว.....
- ใจหมาอำมหิต` and koong like this
#138
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 07:09
ท่านเคยให้ความเห็นในท้ายๆของหนังสือเล่มนั้นว่า
สายลับญีปุ่น ก็เป็นผู้อยู่ในข่ายความเป็นไปได้ในการลอบปลงพระชนม์ครั้งนี้
แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าคุณหมอท่านนั้นชื่ออะไร และหนังสืออะไร
#139
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:15
ประเด็นปัญหา คือ ประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนเหล่านี้ถูกเผยแพร่ จากคนรุ่นเก่าที่จิตวิปริต
มีความเชื่อซ้ายสุดกู่ ไปสู่คนรุ่นใหม่ที่ขาดสติ โดยอาศัยภาพลักษณ์ของ ส เจียม ในฐานะ
นักวิชาเกิน และคนบางกลุ่มที่เชื่อว่า ทั้งหมดนี้คือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
อีกทั้งยังได้นักวิชาเกินต่างชาติ เพื่อเพิ่มความขลังของข้อมูลให้ดูน่าเชื่อถือ
A half truth
A half truth deceives the recipient by presenting something believable and using those aspects of the statement that can be shown to be true as good reason to believe the statement is true in its entirety, or that the statement represents the whole truth. A person deceived by a half truth considers the proposition to be knowledge and acts accordingly....
http://en.wikipedia....wiki/Half-truth
"สมศักดิ์ เจียม"ใช้ข้อมูลกึ่งจริง กึ่งเท็จผสมกันแล้วเล่าให้ฟังใหม่....
คนที่ตั้งบรรทัดฐานจะเชื่อ ย่อมเชื่อตาม
คนที่ตั้งบรรทัดฐานไม่ยอมเชื่อ ย่อมไม่ยอมเชื่อ
คนที่ไม่ตั้งบรรทัดฐานไว้ อยากรู้ข้อเท็จจริง ย่อมค้นหาความจริงและความเท็จต่อไป....
ไม่เพียงแค่"สมศักดิ์ เจียม"หรอก
คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ"ปรีดี" ก็พยายาม"เล่าให้ฟัง"ทำนองเดียวกัน
ดังนั้นคนที่ต้องการหาความจริง จึงต้องใช้หลักกาลามสูตรพิจารณา คัดกรองข้อเท็จจริงก่อน....ฮา
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#140
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:37
พวกแดงและพวกล้มเจ้า พยายามไส่ไคล้สถาบันเป็น 2 แนว
1 น้องฆ่าพี่เพราะหวังตำแหน่ง แล้วโยนความผิดให้กับ ชิต-บุศย์-เฉลียว
2 เป็นอุบัติเหตุ แล้วโยนความผิดให้กับ ชิต-บุศย์-เฉลียว
ทั้งสองข้อนั้น มีเหตุผลโต้แย้งท้ั้งสิ้น
ถ้าน้องฆ่าพี่ น้องจะต้องมั่นใจสองข้อว่า จะต้องได้ตำแหน่ง และจะต้องได้แพะรับบาป
เรื่องตำแหน่งนั้น ฝ่ายแดงไม่เคยยกข้อมูลว่า ใครมีสิทธิในการตั้งกษัตริย์ออกมาแสดงเลย
พากันเงียบเป็นเป่าสาก
ข้อเท็จจริงก็คือ ในขณะนั้น ร. 8 ยังมิได้บรมราชาภิเษก จึงยังไม่มีการตั้งพระบรมวงศานุวงศ์
แปลว่าไม่มีผู้สืบทอดเป็นรัชทายาท การฆ่าพี่ ย่อมไม่สามารถรับประกันว่าจะได้เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อไป
ดังนั้น ถ้าน้องฆ่าพี่จริงๆ ก็จะต้องสมคบคิดกับปรีดี ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในขณะนั้น
ว่าปรีดีในฐานะนายก จะต้องเสนอชื่อน้องขึ้นเป็นกษัตริย์ ในฐานะอดีตผู้สำเร็จจะต้องหว่านล้อมท่านอื่นให้คล้อยตาม
และปรีดีจะต้องใช้อำนาจ ทำให้การฆาตรกรรมกลายเป็นอุบัติเหตุ......
ดูเหมือนเรื่องก็จะเดินไปในแนวนี้
อ้าว แต่....คึกฤทธิ์และพรรคปชป. มาแย้งโจมตีปรีดีทำไม มาป่วนคำแถลงที่ว่าสิ้นพระชนม์โดยอุบัติเหตุทำไม
ในเมื่อเป็นอำมาตย์ด้วยกัน อยู้ข้างกษัตริย์ด้วยกัน จะอ้างว่า ตอนแรกไม่รู้ อ้าว...แล้วทำไมไม่บอกให้สงบปากล่ะ
ทำไมสยามรัฐและปชป. จึงประสานเสียงที่จะหาคนผิดจากการปลงพระชนม์ แทนที่จะกลบเกลื่อนให้จบๆ ไป
เพื่อในหลวงองค์ใหม่จะได้ครองราชย์โดยปราศจากข้อครหา นี่กลับทำตรงกันข้ามเสียนี่
เห็นใหมครับว่า การกล่าวหาของพวกล้มเจ้านั้น
มันมั่ว
มันแย้งกันเอง
ไม่ได้ขัดแย้งแต่ขอเพิ่มเติมว่า...
อาจจะพิจารณาคัดเลือกตามกฏมณเฑียรบาลสืบราชสมบัติได้....
Edited by ปุถุชน, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:49.
- bird likes this
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#141
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:42
มีคนตะโกนในโรงหนังว่า
"ปรีดีฆ่าในหลวง".....!
ตามแต่ว่าฝ่ายใดต้องการได้ประโยชน์จากวลีนี้.....!
ภายหลังเฉลย(ร่ำลือ)ว่า
"คึกฤิทธิ์"เป็นคนใช้ให้คนไปตะโกนในโรงหนัง...
เวลานั้น"คึกฤิทธิ์"เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์...
ต่อมาได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เพราะไม่ลงรอยกับพี่ชาย....
เวลานี้ฝ่ายตรงข้ามพรรคประชาธิปัตย์
รวมทั้ง"บัตรเติมเงิน"ตอกย้ำทุกครั้งว่า
พรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวข้อง"ปรีดีฆ่าในหลวง"
ในขณะนั้นคึกฤิทธิ์ไม่ได้เป็น"แกนนำ"พรรคประชาธิปัตย์
ไม่ได้ต่อสู้อะไรเพื่อพรรคประชาธิปัตย์
หวังช่วงชิงการนำกับพี่ชายมากกว่า
เมื่อพ้นการเป็นสมาชิกก็ไม่เคยมีท่าทีเป็น"มิตร"กับพรรคฯ....
เป็นที่รู้กันทั่วว่า"คึกฤิทธิ์"เป็น"extra royalist"
และไม่ชอบ"ปรีดี"
มีหลายข้อความที่"คึกฤิทธิ์"พาดพิงถึง"ปรีดี"
เมื่อถูกฟ้องร้องในศาลยุติธรรม
คดีถึงที่สุดต้อง"ขอขมา".....!
Edited by ปุถุชน, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:48.
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#142
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:48
ถ้าจะสรุปกรณีสวรรคตอย่างง่ายๆ ก็อาจจะเป็นไปตามนี้
1 กรณีสวรรคต เป็นการลอบปลงพระชนม์ รายงานทางการแพทย์ล้วนแต่ชี้เช่นนั้น
2 เมื่อเป็นอาชญากรรม ก็ต้องมีผู้ได้รับประโยชน์
ร. 8 เพิ่งจะทรงกลับเข้าประเทศ ยังไม่ทรงมีความขัดแย้งอื่นใดได้ กรณีนี้จึงเป็นการมุ่งสังหารทางการเมือง
3 ความมุ่งหวังทางการเมืองนั้น เกิดได้จากเหตุเดียว คือแย่งชิงอำนาจ
4 ในขณะนั้น ผู้มีอำนาจคือปรีดี เพิ่งจะเสร็จภาระกิจหัวหน้าเสรีไทยและผู้สำเร็จ
และเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น.....ปรีดีย่อมเป็นฝ่ายถูกแย่งอำนาจมากกว่าเป็นฝ่ายแย่ง
5 ประเด็นการแย่งชิงราขบัลลังก์นั้น มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด
เพราะอำนาจในการสถาปนา มิได้อยู่ในมือของสถาบัน ไม่สามารถกำหนดตำแหน่งกษัตริย์ล่วงหน้าได้
6 ในวันนั้น ศัตรูของปรีดีคือจอมพลป.
7 ระหว่างเป็นผู้สำเร็จ มีข้อมูลมากมายว่าปรีดีประจบเจ้า นี่เท่ากับทำให้เจ้าไม่เป็นกลางทางการเมือง
8 จอมพลป. ต้องการล้มล้างกษัตริย์อย่างชัดเจน เคยบอกว่าประเทศต้องมีที่ยึดเหนี่ยว
กษัตริย์ก็ยังเด็ก จึงต้องให้เคารพตัวเองแทน การเข้ากับญี่ปุ่น ก็เป็นการเสริมอำนาจตัวเองให้เหนือปรีดี
9 หมายความว่า ในช่วงเวลานั้น มีการแตกแยกเป็นสามฝ่ายอย่างชัดเจน
ปรีดีตั้งเสรีไทยเพื่อต่อต้านศัตรูที่ร่วมมือกับญี่ปุ่น
จอมพลป. ร่วมวงไพบูลย์กับญี่ปุ่นเพื่อให้ตัวเองเข้มแข็งเหนือปรีดี
สถาบันต่อต้านญี่ปุ่นก็เท่ากับเป็นแนวร่วมของปรีดี จึงเป็นศัตรูกับจอมพลป. ไปด้วย
กรณีสวรรคต จึงสรุปได้ง่ายๆ ว่า แปลกสู้กับปรีดี โดยใช้สถาบันเป็นเหยื่อ
เน้นสีให้ใช้วิจารณญาณพิจารณา
เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวโยงถึงเหตุการณ์อื่นๆ เรื่องอื่นๆด้วย....!
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#143
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:04
2 นายแปลก จากวีรบุรุษปราบกบฎบวรเดชกลายเป็นจอมเผด็จการ
พาประเทศไปอยู่ใต้อาณัติยี่ปุ่น แต่อาจจะเป็นคนเดียวที่ยังรักษาอุดมการณ์ล้มเจ้าไว้อย่างมั่นคง
พูดเรื่อง "แปลก" แล้ว ขอหยิบส่วนหนึ่งจากเว็บเรือนไทย มาเล่าให้ฟังครับ
------
ท่านสรศัลย์ แพ่งสภาผู้ล่วงลับได้เขียนเรื่องตอนนี้ไว้ในหนังสือ “นักเรียนนายร้อยไทยในเยอรมัน ยุคไกเซอร์”
พ.อ. พระยาทรงสุรเดชที่ยอมรับกันว่าปราดเปรื่องเฉียบคมเป็นมันสมองของคณะราษฎร เป็นบุคคลที่หัวหน้าสายทหารกลุ่มหนุ่มไม่ใคร่ชอบ ...
อย่างเรื่องแผนและวิธีปฏิบัติสำหรับวันที่ 24 มิถุนายน
พระยาทรงฯ ถามในที่ประชุมว่า "ถ้าราษฎรรวมตัวเข้าต่อสู้ขัดขวางด้วยความจงรักภักดีในราชบัลลังก์ คณะราษฎรจะทำอย่างไร "
นายทหารหนุ่มเหล่าปืนใหญ่ท่านหนึ่งตอบว่า "ยิง" ตามแบบคนหนุ่มไฟแรงใจร้อน
พระยาทรงสุรเดชสวนทันควัน “ยังงี้บรรลัยหมด กำลังเรามีเท่าไหร่ กำลังราษฎรกับทหารหน่วยอื่นเท่าไหร่ ….ทำไมไม่เตรียมวิธีการประนีประนอมปลอบให้เข้าใจจุดมุ่งหมายของคณะราษฎร”
...
นี่คงเป็นเหตุหนึ่งที่คณะราษฎรรุ่นหนุ่มถือเป็นเรื่องขื่นๆอยู่ ข้ามาจากฝรั่งเศสหนึ่งในตองอูเหมือนกัน อำนาจยศศักดิ์มันไม่เข้าใครออกใคร หากมักใหญ่ใฝ่สูงจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินก็ต้องกำจัด"สี่เสือ" หัวหน้าคณะราษฎรชั้นอาวุโสลงเสียก่อน และก็ "พันเอก พระยาทรงสุรเดช" นี่แหละ เป็นบุคคลแรกที่ต้องกำจัดออกไปโดยเร็ว เพราะฉลาดเกินไป ตรงเกินไป ซื่อเกินไป รู้ทันเกินไป ผู้ใต้บังคับบัญชาลูกศิษย์ลูกหารักใคร่เกินไป พันเอกพระยาทรงสุรเดช ไม่รู้ตัวเลยว่ามีศัตรูในพวกเดียวกัน ที่จ้องจะเชือด
ถึงท่านจะไม่ระบุชื่อ แต่คนที่สนใจประวัติศาสตร์ช่วงนี้ก็ทราบได้โดยไม่ยากว่านายทหารหนุ่มดังกล่าวคือ นายพันตรี หลวงพิบูลสงคราม
----
ไว้จะไปวิเคราะห์เรื่องกบฎบวรเดช มาเล่าอีกที
จุดยืนของผม "ต่อต้านระบอบทักษิณ, เสื้อแดง, พวกล้มเจ้า ไม่เอาแป๊ะลิ้ม"
#144
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:21
ไม่ทราบเคยอ่านสรรพสัตว์แก้รัฐธรรมนูญรึยัง
#145
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:42
ห้องเรียนนี้ขยันจริง กว่าจะมาได้ก็ผ่านไปหลายหน้า
คุณแอมเจ้าขา
มีคำถามเจ้าค่ะ
คืออยากให้คุณแอมสับ แปลก ปรีดี เผ่า พระยาพหลพลพยุหเสนา สฤษดิ์ และคนที่มีชื่อในวงการเมืองหลัง 2475 ว่าเค้าคบกัน ใครจับคู่ใครก่อน ร่วมมือกันเรื่องอะไร เพราะอะไร แตกกันด้วยเรื่องอะไร
จริงๆที่อ่านหนังสือมาปรีดี กับพระยาพหลพลพยุหเสนา เค้าก็ ดู เป็นทีมกันดี จริงๆแล้วเป็นอย่างนั้นมั้ยคะ
คุณแอม เรื่อง fb คุณแอมต้องจัดการข้อมูลเอง ค่ะ ให้ใครทำให้ อารมณ์คงไม่ต่อเนื่องและไม่ทันเหตุการณ์ เพราะ คนอย่างสมสัก เจียม ต้องทันท่วงที สมัยดีเบทกับคุณบวร เคยเก็บหลักฐานไว้ ถ้าได้คุณแอม ออกมาอีกคน น่าจะสั่นสะเทือนใจสมสักได้อีกรอบ อยากให้หนีไปเกิดใหม่เลยทีเดียว
สวัสดีนักเรียนและครูพิเศษทุกคนค่ะ
งานนี้นักเรียนมีแต่ได้กำไร
ปล จากห้องเรียนคาบที่ผ่านมาบ่งบอกว่าคือจอมพลป
อีกซักปล คนที่จบฝรั่งเศส และจบเยอรมันมาในสมัยนั้น เหมือนและต่างกันในแง่ไหนบ้างคะ
ปล ถือว่าห้องเรียนนี้เป็นห้องเรียนทางไกล โรงเรียนศึกษาตลอดชีวิต คงไม่มีค่าหน่วยกิตนะคะ
#147
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:51
#148
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:00
ในหนังสือเอกกษัตริย์ฯ บทที่ ๒ หน้า ๔๖ เขียนว่า
รัฐธรรมนูญฉบับของคณะราษฎรที่ว่ากันว่าร่างโดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรมนั้น น่าจะมีจุดมุ่งหมายให้พระมหากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุด และเป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น พระราชอำนาจต่างๆในด้านการบริหารการปกครองจึงมีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่อำนาจแท้จริงไปตกอยู่ในมือของคณะผู้ยึดอำนาจเสียเป็นส่วนใหญ่
ในเนื้อความนี้มีความจริงปนความเท็จ พระราชอำนาจต่างๆในด้านการบริหารการปกครองของพระมหากษัตริย์ มีอยู่อย่างจำกัด ข้อความนี้เป็นความจริง เพราะเป็นเรื่องปกติของพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญที่ย่อมต้องดำรงพระเกียรติยศไว้เหนือการเมือง แต่ประโยคต่อมาว่า
อำนาจแท้จริงไปตกอยู่ในมือของคณะผู้ยึดอำนาจเสียเป็นส่วนใหญ่ประโยคนี้เป็นความเท็จ เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับแรก
๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ ในมาตราแรก คือ มาตรา ๑ ระบุไว้ชัดเจนว่า อำนาจสูงสุดนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย
และมาตรา ๗ ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังยืนยันถึงอำนาจของราษฎรว่าการกระทำใดๆของกษัตริย์ต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดลงนามด้วย โดยได้รับความยินยอมของคณะกรรมการราษฎร จึงใช้ได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก้าวหน้า และให้อำนาจแก่ราษฎรมากเพียงใด
ในวันที่ ๒๘ มิถุนายน มีการเปิดประชุมสภาฯ ขึ้น และสภาฯมีมติตั้ง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นประธานกรรมการราษฎร และพระยามโนปกรณ์ฯ เป็นผู้เสนอรายนามแต่งตั้งคณะกรรมการราษฎร ๑๔ ท่าน (คณะกรรมการราษฎร ก็คือ คณะรัฐมนตรี กรรมการราษฎร คือ รัฐมนตรี ประธานกรรมการฯ คือนายกรัฐมนตรี)
พระยามโนปกรณ์ฯ เป็นขุนนางเก่า ผู้มีบทบาทสำคัญในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนี้แล้ว ผู้มีใจเป็นธรรมคงมองเห็นชัดเจนว่า คณะราษฎรมีเจตจำนงอันบริสุทธ์เพียงต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อให้เป็นแบบประชาธิปไตยเหมือนนานาอารยประเทศเท่านั้น มิได้มุ่งหวังจะยึดกุมอำนาจมาเป็นของตน
ถ้าจะยึดอำนาจจริงๆแล้วไฉนเลยจะต้องเสนอชื่อ พระยามโนปกรณ์ฯ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
สาระสำคัญของวรรคบนคือตรงตัวหนังสือสีแดง ถ้าอ่านประวัติศาสตร์แล้วจะเห็นว่าสิ่งที่ เขาพูดมันตลกไร้สาร
- เขาบอกว่าอำนาจเป็นของราษฎรทั้งหลายแล้วไหนล่ะตัวแทนจากการเลือกตั้ง? มันก็แต่งตั้งคนทั้งสภาที่ตัวเองคุมได้
- เขาบอกว่าแต่งตั้งพระยามโนปกรณ์ฯเป็นนายยก แสดงว่ามิได้ตั้งใจกุมอำนาจ แต่พอความเห็นขัดแย้ง ก็รัฐประหารนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย!!!
แค่วรรคข้างต้นก็ฉ้อฉลเต็มที เอียนที่จะวิจารณ์ต่อ
- baboon, bird and อู๋ ฮานามิ like this
#149
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:02
มาดูอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่เรามักได้ยินกันเสมอๆว่า คณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เตรียมการที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ปวงชนชาวไทยอยู่แล้ว
เขาบอกว่าคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่ามนั้นไม่จริง...แต่พอได้อำนาจมาก็ไม่สามารถเลือกตั้ง ส.ส. ในสภาได้ ต้องแต่งตั้งเองทั้งหมด
ก็ไหนว่าพร้อมไงวะ
#150
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:10
เลยไม่อาจวิจารณ์ได้ครับ
แต่แค่สงสัยว่าใครโหดว่ากัน...กบฎรศ130ที่วางแผนปลงประชนม์ สุดท้ายในหลวงอภัยโทษให้ทั้งหมด เพราะใจกว้างว่าคนเห็นต่างได้
แต่กบฎบวรเดช คณะราษฎรสู้กันจนตายเป็นร้อย... ใครกันแน่ห่วงอำนาจ บ้าอำนาจ หลงอำนาจ
Edited by ดราม่า, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:24.
- koong likes this
ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน