-----------------------------------------
และหาเราจะนิยามสถาบันพระมหากษัตริย์เพียงแค่ราชสำนัก อันนี้ก็ดูจะใจคอคับแคบเกินไป เพราะหากเราเป็นราชอาณาจักร พสกนิกรน้อยใหญ่ล้วนเป็นหน่วยย่อยๆ ที่สำคัญในการพลักดันให้สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นดำรงอยู่ได้ เปรียบเสมือนน้ำกับเรือ หากน้ำเน่าเสีย เรือย่อมไม่สามารถล่องในธาราได้ และหากเปรียบประชาชนเป็นพื้นฟ้าที่พญาครุฑต้องอาศัย ปัจจุบันพื้นฟ้าก็เต็มไปด้วยความแปรปร่วนจนยากที่จะอาศัยได้แล้วเช่นกัน
------------------------------------------
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาในเรื่องมาตรา 112 ก็ควรเข้าใจด้วยว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะในมาตรา 112 มิได้ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ห้ามการอาฆาตมาตร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงษานุวงศ์ ซึ่งหากเราสามารถวิพากษ์วิจารณ์การทรงงานของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ ก็ยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สามารถปรับตัวเข้ากับประชาชนได้อย่างดี
--------------------------------------
แก้ไขมาตรา 112 อย่างไรให้ได้ดี ผมว่า ต้องแก้โดยสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้จริง มิใช่ใส่ร้ายป้ายสี อันนี้ต้องมีคณะทำงานในเรื่องนี้ มิใช่ใช้ข่าวลือป้ายสีให้สถาบันเสื่อมเสีย โดยเฉพาะหน่วยงานราชการไม่ควรถูกครอบงำจากอำนาจมืด อำนาจพวกอำมาตย์ที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ และการร่างกฏหมาย พร้อมลงมติในรัฐสภา
----------------------------
แก้มาตรา 112 อย่างไรให้ไม่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องแก้ไขไปในทิศทางป้องกันพฤติกรรม "ลิงหลอกเจ้า" และต้องมีการติดตามประเมินผลโครงการของราชสำนักในกรณีที่มีหน่วยงานอื่น หรือภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เช่น โครงการหนึ่ง มีการต่อต้านยาเสพติด แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นการสร้างเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ และสร้างภาพให้กับหน่วยงานราชการ เอกชน หรือชุมชน
จนกลายเป็นโครงการกลบปัญหายาเสพติดไปเลย ซึ่งอันนี้ก็น่าจะมีหน่วยงานเฉพาะของราชสำนักติดตามและทูลถวายรายงานต่อคณะมนตรีของราชสำนัก เพื่อไม่ให้สถาบันพระมหากษัิตรย์ถูกหน่วยงาน กลุ่มคน คณะบุคคล หรือประชาชน ที่ไม่หวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หลอกใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์บ้าง การบิดเบือนเจตนารมณ์ของโครงการต่างๆ บ้างเป็นต้น