ปกติกินโค้กสลับกับเป็ปซี่ครับ ส่วน RJ บิ๊กโคล่านั่นกินไม่ได้เลย ไม่ได้ทำตัวดัดจริตนะครับ แต่มันคุ้นกับสองตัวแรกไปแล้วเลยรู้สึกไม่ผ่านมากๆ เมื่อก่อนรู้สึกจะมีโคล่าของกระทิงแดงอันนั้นผมว่ารสชาติพอสู้ได้นะ แต่ก็ดับ
ส่วน est นี่ยังไม่ได้ลองเพราะแถวบ้านยังไม่มี แต่ฟังๆจากขาเป็ปซี่ว่าไม่ผ่านเท่าไหร่(อาจจะเพราะติดรสเป็ปซี่ไปแล้ว)
ผมเคยไปเป็น nutritionist ให้กับบูท pepsi-co ในงานประชุมโภชนาการเมื่อปี 2009 โปรดักท์ที่ไม่ใช่น้ำอัดลมแล้วยังไม่ขายในไทยเยอะมากพอตัวนะครับ ช่วงนี้คงหากินกับพวกเลย์ไปก่อน แล้วเขาก็มีพวกขนมที่เน้นไปทางสุขภาพหลายตัว อย่างซันไบท์นี่ผมได้กินในงานนั้นแหละครับเป็นของออสเตรเลียก่อนออกวางขายเวอร์ชั่นไทย อร่อยกว่าเวอร์ชั่นไทยนะผมว่า -.-*
ส่วนโค้กนี่หลังๆผมว่ารสเพี้ยนๆไปเหมือนกัน สงสัยเพราะโดนพิษน้ำท่วม โค้กซีโร่นี่ผมกินไม่ได้เลยครับ ใช้แอสปาแตมกับซูคราโลสปรับรสได้เพี้ยนมาก แต่กับเป็ปซี่แมกซ์โฉมปัจจุบันนี่รสใกล้เคียงแบบสูตรน้ำตาลปกติมากกว่าเยอะ
ใช่ค่ะ เคยอ่านในข่าวหรือดูสารคดีนี่แหละ
เค้าบอกว่า pepsico เปลี่ยนเทรนด์ไปเป็นเครื่องดื่มสุขภาพมากขึ้น พวกน้ำส้ม ผลไม้ต่างๆ
แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่เค้าก็มุ่งมั่นตรงนี้ เพราะเมืองนอกเริ่มจะรังเกียจพวกจังค์ฟู๊ดแล้วใช่มั้ยคะ
จึงต้องปรับตัว
ปัจจุบันคนสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นครับ รวมถึงพวกข้อมูลต่างๆมันเข้าถึงได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก ทำให้คนใส่ใจกับร่างกายตนเองมากกว่าเดิม แต่นั่นก็เป็นดาบสองคมด้วยนะครับ ปัจจุบันการเผยแพร่ความรู้ผิดๆตามเว็บบอร์ด อีเมล์ กระทั่งนิตยสารบางฉบับเองก็มีเยอะอยู่นะครับ ขนาดหนังสือสุขภาพบางเล่มยังลงข้อมูลผิดๆเลย ตรงนี้ก็ไม่รู้จะแก้ยังไงเหมือนกันเพราะบางทีคนก็ไปค้นข้อมูลมากจากเน็ตบ้างหนังสือบ้างซึ่งบางเล่มบางอย่างคนที่เขียนมาก็ใช่จะมีความรู้ด้านนั้นๆครับ ด้วยความเคารพนะครับ ดร.สาทิส ที่ล่วงลับไปแล้วก็เขียนข้อมูลบางเรื่องผิดๆอยู่เหมือนกัน บางอย่างที่ ดร. ท่านบอกว่าเรียนจบนั่นท่านอาศัยอ่านเองจากหนังสือครับ อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วท่านก็บอกว่าท่าน expert ด้านนี้ ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้นแน่ๆล่ะครับ อาจารย์ที่สอนผมบางท่านก็ยังเคยจะท้า ดร.สาทิส ดีเบตอยู่เหมือนกัน แต่ท่านล่วงลับไปแล้วก็ให้ความเคารพนะครับ
พูดถึงคนไทยตื่นตัวนะครับ แต่ อย. ยังต้วมเตี้ยมอยู่เลย ผมเคยไปประชุมเรื่องฉลาก ฟัง ดร. เค้าเถียงไปๆมาๆ บางทีวนอยู่เรื่องเดิมไม่จบซะที จนตอนนี้ฝรั่งเค้าถึงจะออกฉลาก UL (upper limit) แปะข้างขวดแล้วนะครับ ปกติเรารู้กันแต่ RDI คือ "กินเท่าไหร่แล้วไม่ขาด" แต่ปัจจุบันต้องมีค่าเพิ่มมาคือ "กินเพื่อรักษาหรือป้องกัน" กับค่า "กินเกินแล้วเป็นพิษ"
บริษัทโค้กผมไม่รู้อะไรนะครับเพราะไม่เคยสัมผัส แต่กับ pepsico หลังๆนี่ดูใส่ใจกับเรื่องสุขภาพมากครับ โปรดักท์ใหม่ๆรวมถึงออกกิจกรรมสนับสนุนเกี่ยวกับสุขภาพอยู่เนืองๆ เป็ปซี่เหมือนเป็นหน้างาน แต่จริงๆแล้วมีอย่างอื่นอีกมากครับ
อย่างพี่แพนก็ดีแล้วนะคะคือตัดได้ แล้วไม่ดื่มเลย
หนูอ้อยอยากทำเหมือนกันเพราะอ่านเจอแบบที่ท่าน Diablo ว่าอ่านแล้วข้อมูล ? ผิดหรือเปล่า
คือเจอว่าถ้าคาเฟอีนมากไปกระดูกจะผุ
เอ้อ ก็หาตังค์ได้ แล้วต้องมาทุกข์ว่า โน่นกินไม่ได้ นี่กินไม่ได้ แล้วไม่รู้จะมีตังค์ไว้ทำไม
ก็เลยใช้วินัยควบคุมว่า ไม่เกินวันละ 2 - 3 ขวดแก้ว ถ้าแม๊กซ์ก็ไม่เกินวันละ 2 ป๋อง
ที่บ้านมีลังเป๊ปซี่ 4 ลังไว้ตุนแม๊กซ์ เพราะก่อนคุณตาเสีย ท่านเป็นเบาหวานขั้นต้องฉีดอินซูลินแล้ว
ก็มีแม๊กซ์ขวดแก้วนี่หละที่เป็นความชุ่มชื่นใจของคนแก่ว่า วันๆชั้นก็ยังได้ดื่มอะไรบ้างนอกจากน้ำเปล่าอย่างเดียว
เรื่องกินน้ำอัดลมแล้วกระดูกผุนี่เหมือนเป็น hoax บอกกันปากต่อปากมามากกว่าครับ มีงานวิจัยอยู่เหมือนกัน ตอนแรกเขาสันนิษฐานว่าฟอสฟอรัส (จากกรดฟอสฟอริค) มันเป็นตัวทำให้มวลกระดูกลดลง (ไปดึงแคลเซียมออก) ซึ่งผลคนที่กินน้ำอัดลมมวลกระดูกลดกว่าคนที่ไม่กินครับ แต่ว่าปริมาณฟอสฟอรัสที่ได้รับของคนที่กินน้ำอัดลมกับไม่กินนั้นไม่ต่างกันเลย พอมาภายหลังมีงานอีกชิ้นทำใหม่ครับ คราวนี้ดูผลของคาเฟอีนด้วย ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่าคาเฟอีนนั้นสามารถจับกับแคลเซียมแล้วขับออกทางปัสสาวะได้ แต่นั่นหมายถึงกินติดต่อกันเยอะมากนะครับ ส่วนกรดฟอสฟอริคเดี่ยวๆนั้นไม่มีผลต่อการขับแคลเซียมเลย แต่ผลงานวิจัยก็สรุปออกมาว่าคาเฟอีนมันเป็นผลชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งถ้าเราไม่ได้กินติดต่อกันขนาดปริมาณมากๆ ก็ไม่มีผลกระทบครับ (จริงๆข้างขวดโคล่าน่าจะบอกว่ามีคาเฟอีนเท่าไหร่เหมือนพวกชานะผมว่า)
เมื่อสักประมาณ 20 กว่าปีก่อนอาจารย์ผมเล่าให้ฟังว่าคนทางอีสานเป็นนิ่วเยอะ หน่วยแพทย์ก็ปวดหัวหาสาเหตุกันไม่ได้ สุดท้ายมีอาจารย์ด้านโภชนาการเข้าไป สรุปว่าขาดฟอสฟอรัสกันครับทำให้แคลเซียมมันไปสะสมกันจนเป็นก้อนนิ่ว อาจารย์ท่านนั้นให้กินโคล่ารักษานิ่วแบบชั่วคราวครับเพราะมันจะไปจับแคลเซียมในก้อนนิ่วให้ละลายออกมากับปัสสาวะ
ส่วนเรื่องกินนี่ผมว่ากินไปเถอะครับ อย่าไปกลัวมาก ร่างกายคนเรามันต้องโดนสารพิษบ้างนิดๆหน่อยๆเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ไม่ใช่สะอาดอนามัยเลย อาจารย์ผมสอนเรื่องมะเร็งแกบอกอาหารโดนความร้อนนานๆมีสารก่อมะเร็ง แต่แกชอบบอกว่าแกชอบกินเนื้อตุ๋นครับ
อยู่ที่การควบคุมมากว่า มีงานวิจัยที่เทียบการกินผักคะน้าปลอดสารกับไม่ปลอดสาร ปรากฏว่าคนที่กินแบบธรรมดามีภูมิคุ้มกันด้านมะเร็งสูงกว่าคนที่กินปกติครับ คือเรากินได้โดนได้บ้าง ไม่ใช่ไม่โดนเลยหรือโดนมากเกินไปครับ
ปล. ผมเรียนปริญญาโทด้านพิษวิทยาทางอาหารที่สถาบันแห่งหนึ่งน่ะครับ