แหม...พูดเหมือนน้อยใจ พี่น่ะเพิ่งจะได้ใกล้สุดก็นี่แหละ อาจจะนะ..บางทีเพราะคุณยังมีอะไรๆที่ต้องทำอีกหลายอย่าง เมื่อเวลามาถึง วันนั้นมาถึง มันก็จะใช่เองแหละ แค่คิดเป็นกุศลก็ยังดีกว่าคนที่คิดแต่อกุศลแหละ
ตอนทำงานใหม่ๆ มีคนเดินผ่านมองหน้าพี่แล้วพูดว่า คุณเป็นคนใจบุญนะ แต่ไม่ค่อยทำการบุญเลย พี่เลยงง ไรฟระ เอาความจริงมาพูด สมัยก่อนตอนทำงานก็ได้แต่บริจาคให้มูลนิธิทั้งหลาย แต่ไม่ค่อยทำบุญตักบาตร
ส่วนคุณจักร์เองก็ทำบุญอยู่แล้ว เวลาไปเยี่ยมคุณแม่ไง นั่นละพระในบ้านเลยนะ
ก็อย่างที่บอกครับ ผม พยายามเข้าใจให้ได้ในขั้น ปริยัติ ก่อนครับ
ก็ค่อยค่อย สะสม ความเห็นถูก ในชั้นแรกก่อน ค่อยเป็นค่อยไป
ตามลำดับ ตามปัญญาที่มี แม้แต่พระอริยะเจ้ายังเป็นไปตามลำดับ
คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและ พระอรหันต์
สำหรับ พระโสดาบัน และ พระสกทาคามี ท่านละกิเลสได้บางส่วน
คือ ความเห็นผิด ความลังเลสงสัย และ ข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด เป้นต้น แต่ยังมีโลภะที่พอใจ
ในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ที่ยังละไม่ได้อยู่ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจความจริงว่า
เมื่อยังมีกิเลส ยังมีโลภะ ก็ยังเป็นผู้อยู่ครองเรือน มีครอบครัว มี บุตร ภรรยาได้เป็น ธรรมดา
ส่วน พระอนาคามี และ พระอรหันต์ ละ ความยินดีพอใจ ในรูป เสียง เป็นต้น
ได้แล้ว จึงไม่เป็นผู้ครองเรือน ไม่มีครอบครัว นี่แสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า กิเลส
จะต้องละเป็นลำดับ และ ปัญญาก็มีหลายระดับ พระอริยบุคคลก็จะต้องมีหลายระดับ
ชีวิต ความประพฤติเป็นไปก็ย่อมจะแตกต่างตาม กิเลสที่ละได้ และปัญญาที่แตกต่าง
กันด้วย ครับ
จริงๆแล้วการเปรียบบิดามารดาเป็นพระอรหันต์ในบ้านนั่น... ไม่น่าจะถูกนักขอรับ... หากบิดามารดาท่านยังไม่ได้บำเพ็ญเพียรภาวนาจนได้ความเป็นอริยดังที่พระตถาคตได้บัญญัติไว้... ที่มาเรื่องนี้ สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากการนำเอาโทษจากการกระทำอนันตริยกรรม ที่ว่าฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ มีโทษเท่าฆ่าพระอรหันต์... ซึ่งถ้าใช่... ก็คนละเรื่องกันขอรับ นำมาใช้เป็นมาตรฐานคงไม่ได้...
... พระตถาคตกล่าวไว้ถึงการตอบแทนบุญคุณบิดา มารดา... อย่างสูงสุด... ตามพระสูตรนี้ขอรับ...
... "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้ง ๒ ท่าน ทั้ง ๒ คือใคร คือ มารดา ๑ บิดา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่งเขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้ง ๒ นั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย...
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย...
... ข้อนั้นเพราะเหตุไร... เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา...
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้วและทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา ฯ"
1 ให้บิดามารดามีความศรัทธาในธรรมของพระตถาคต (สัมมาทิฐฐิ ตามมรรค 8... คือมีความรู้แจ้งใน "อริยสัจ 4")
2 ให้บิดามารดาผู้ทุศีล ให้มีศีล (ให้เห็นโทษภัยเวรจากการกระทำ 5 ประการ และรักษาตนให้พ้นจากภัยเวรนั้น... นั่นคือ "ศีล 5")
3 ให้บิดามารดาละความตระหนี่ โดยการให้ทาน (ให้ทานแก่ผู้ที่สมควรรับทาน... อันนี้หากมีสัมมาทิฐฐิแล้ว เข้าใจแล้วจะทราบเองขอรับ... ผู้ที่ควรรับทานเป็นอย่างไร)
4 ให้บิดามารดามีปัญญาในธรรม (ง่ายๆก็คือ "อานาปานสติ" นั่นแหละขอรับ)
คือการตอบแทนบุญคุณ พ่อ-แม่ ที่แท้จริง ตามพระตถาคตขอรับ
Edited by wat, 29 May 2013 - 15:38.