โดยไทยทน
จากนี้ไป สภากาแฟต่างๆ ก็ยังอาจจะพูดคุยกันอีกมากมายเรื่อง คดียึดทรัพย์ทักษิณ หวังว่า คนไทยจะเห็นข้อมูลกระจ่าง และครบด้านมากขึ้น และมีข้อมูลที่ใกล้เคียงเท่าเทียมกัน คนไทยเรารักสงบ รู้รักสามัคคีเสมอมา จึงหวังว่า เราจะคุยกันอย่างเปิดใจต่อกันมากขึ้น ใคร่ครวญทุกเรื่องด้วยหัวใจไทยร่วมกัน และ เติม ความรัก ความเข้าใจ ให้กลับมาเป็น ขวานไทย ใจหนึ่งเดียว ที่สงบสุขและเข้มแข็งต่อไป
ต่อไปนี้ เป็นบทสนทนาเพื่อทำความเข้าใจต่อคดียึดทรัพย์ทักษิณ ระหว่าง พี่แดง (หมายถึง ประชาชน) และ ขาว (หมายถึง คุณธรรม ความชอบธรรม) ดังนี้
พี่แดง : ขาวว่าไม๊ ? ท่านทักษิณนี่ เขาร่ำรวยมาด้วยอาชีพสุจริตตั้งแต่ก่อนเป็นนายกฯ ไปยึดของเขาทำไม ?
ขาว : พี่แดงลองนึกดูนะ พี่เป็นเจ้าของบริษัทค้าขาย จ้างผู้บริหารระดับซีอีโอเข้ามาบริหารกิจการให้พี่ เขากลับตั้งบริษัทส่วนตัวของเขา ซื้อของจากบริษัทพี่ก็ซื้อถูกๆ รับจ้างทำงานให้พี่ก็คิดแพงๆ ทำธุรกิจกับพี่แบบแบ่งรายได้ ก็มากดส่วนแบ่งที่พี่ได้ แล้วไปเพิ่มส่วนของเขา พี่จะยังไว้ใจเขาไม๊ ? แล้วอย่างนี้ถือว่าเขาโกงไม๊ ?
พี่แดง : แต่ขาว เขาก็โอนหุ้นไปให้ญาติๆแล้วนี่นา ... กรณีนี้ ทักษิณเขาถูกกลั่นแกล้งหรือเปล่า ? ท่านบอกท่านเจอกับ กระบวนการ ยุติความเป็นธรรม ไม่ได้รับความเป็นธรรมมาหลายปี
ขาว : พี่แดงรู้หรือเปล่า กรณีนี้ มีการรับฟังผู้ฟ้องยึดทรัพย์ให้การต่อศาล ประมาณ 9 ครั้ง และผู้คัดค้านคือ ครอบครัวชินวัตรให้การถึง 24 ครั้ง ข้อมูลที่ศาลรวบรวมก็ครบถ้วนจากทั้ง 2 ฝ่าย การตัดสินก็มีเหตุผลอย่างที่ได้ยินกัน มันก็เป็นธรรมอยู่นะพี่แดง
พี่แดง : แต่เขาถูกเอาผิด เริ่มตั้งแต่การปฏิวัติ แล้วจะเป็นธรรมได้ยังไง ?
ขาว : แต่พี่แดง...ช่วงปฏิวัตินี่มันแค่ปีเดียวนะพี่ แล้วหลักฐานก็ตรงกับที่ครอบครัวชินวัตรเขายอมรับนะพี่ ครอบครัวเขาไม่กล้าบอกเลยนะว่า เป็นการปลอมข้อมูลมากลั่นแกล้ง เพราะครอบครัวเขาก็ยอมรับว่าข้อมูลทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
พี่แดง : แต่เขาบอกว่า ก็เขาโอนหุ้นในครอบครัวเขาธรรมดา พ่อแม่โอนให้ลูก จะโอนให้ถูกๆในราคาทุน จะไปอิจฉาเขาทำไม ?
ขาว : พี่แดงได้ติดตามดูข่าวหรือเปล่า มีหลักฐานว่า 1 วันก่อนโอนหุ้นชินฯให้ลูกต่ำกว่าราคาตลาดในวันที่ 1 กันยายนน่ะ พานทองแท้ต้องทำหนังสือใช้หนี้แม่อีก 4,500 ล้านบาท ทักษิณ หญิงอ้อ และลูก ก็ให้การตรงกันว่าเป็นค่าหุ้นทหารไทย 150 ล้านหุ้น และค่าใบสำคัญแสดงสิทธิฯ 300 ล้านหน่วย แต่มันเป็นเท็จ..พี่แดง ทุนที่ว่าของหุ้นมัน 1,500 ล้านบาทจริง แต่ใบสำคัญฯนี่มันแถมมาฟรีนะพี่ ของ 1,500 ล้านบาท ขายให้ลูก 4,500 ล้านบาท จะบอกว่าแม่ขายให้ลูกธรรมดาๆได้ยังไง ? มันมีหนี้ปลอมตั้ง 3,000 ล้านบาท จากหนี้ทั้งหมดประมาณ 5,056 ล้านบาท มันตั้ง 60% เป็นหนี้ปลอม...
พี่แดง : มันอาจไม่ปลอมนะ มันเป็น หนี้บุญคุณ ไงล่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ
ขาว : คือประเด็นมันอยู่ที่ว่า ที่อ้างว่าโอนให้ลูกนี่ มันจริงหรือเปล่า ? เขายังมีข้อมูลอีกนะว่าหุ้น TMB มีราคาแค่หุ้นละ 5.70 บาท และ ใบสำคัญ TMB-C1 มีราคาหน่วยละ 1.30 บาท รวมกันก็ 1,245 ล้านบาท แต่ต้องซื้อแม่ 4,500 ล้านบาท พี่แดงว่าพานทองแท้ซื้ออย่างคนบรรลุนิติภาวะแล้วจริงๆหรือเปล่า ? แล้วเจ้าหนี้ปลอมนี่แหละ เป็นเครื่องมือให้ลูกคืนปันผลให้แม่ตลอดเวลา เขาก็เลยไม่เชื่อไงว่าเป็นการโอนหุ้นกันจริงๆ
พี่แดง : พี่ก็ว่า เรื่องพานทองแท้ ดูท่าจะเป็นเรื่องอำพรางจริงๆ แต่พินทองทาล่ะ แม่เขาก็ให้ของขวัญวันเกิดลูก 370 ล้านบาท ธรรมดาๆ ไปเอาเรื่องเขาทำไม ?
ขาว : แล้วพี่ว่ามันจริงเหรอ ถ้าเป็นธรรมเนียมปรกติที่ว่าจริง ทำไมพี่ครบรอบวันเกิดมาก่อนแล้วตั้งหลายปี ก็ไม่มีขนาดนี้ พูดกันเป็นหลักสิบล้านบาทเท่านั้น แพทองธารก็ไม่มี ดูมันจะเป็นเรื่องปลอมๆมากกว่า เพราะเป็นขั้นที่ จะแบ่งรับโอนหุ้นจากพี่ชาย 367 ล้านบาท ซึ่งทำให้ พินทองทาถือหุ้น 367 ล้านหุ้น และ พานทองแท้ถือหุ้น 366.95 ล้านหุ้น เท่าๆกัน พอดีๆ จึงเป็นการปรับจำนวนหุ้นที่ต้องการใช้ชื่อถือแทนมากกว่า
พี่คิดดู พานทองแท้ต้องแบกหนี้ปลอมตั้ง 3,000 ล้านบาท แต่พี่กลับต้องโอนหุ้นชินคอร์ปฯ ให้น้องพินทองทาในราคาถูกๆ คือที่ราคาพาร์ โดยไม่ได้แบ่งหนี้ปลอมไปด้วย ครั้งแรก วันที่ 9 กันยายน 2545 ก็ 367 ล้านหุ้น และครั้งที่ 2 สัก 9 เดือนต่อมาอีก 73 ล้านหุ้น ทำให้ น.ส. พินทองทา ถือหุ้น จำนวน 440 ล้านหุ้น มากกว่าพี่ชายซึ่งเหลือหุ้นเพียง 293.95 ล้านหุ้นเสียอีก พี่ชายต้องแบกภาระมหาศาล แต่ให้น้องมีหุ้นมากกว่า จะทำให้เชื่อว่าเป็นการโอนกันเยี่ยงผู้บรรลุนิติภาวะที่เป็นอิสระแท้จริงได้ อย่างไรล่ะพี่ ?
พี่แดง : แกนี่ละเอียดดีจัง แต่เขาแบ่งสมบัติเท่าๆกันที่ว่า แล้วไปยุ่งอะไรเขา ?
ขาว : ถ้าบอกว่า เป็นการแบ่งทรัพย์สินระหว่างลูกๆให้เท่าๆกัน พี่รู้ไหมว่า หลังขายหุ้นแล้ว เป็นเงินสดหมดแล้ว จะแบ่งให้น้องคนเล็ก คือ พินทองทา ก็ไม่ผิดกฎหมายอะไรแล้วนะ เพราะไม่ใช่หุ้นสัมปทานแล้ว แต่ก็กลับไม่ได้แบ่งให้ ดูแล้ว มันก็เพราะภารกิจต้องใช้ชื่อถือหุ้นแทนมันหมดแล้วนั่นเอง ถึงไม่ต้องแบ่งให้น้องแล้ว และจะบอกว่าเป็นการแบ่งสมบัติในครอบครัวจึงไม่น่าเชื่อถือ
พี่แดง : แต่พ่อแม่เขาจะโอนให้ลูก ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ใครๆก็โอนให้ลูกทั้งนั้น
ขาว : พี่เห็นท่านทักษิณกับสโมสรฟุตบอลแมนฯซิตี้หรือเปล่า ? นี่ไง เอาค่าขายในครอบครัวโอนไปซื้อ มันก็เป็นหลักฐานว่า ที่คนใกล้ชิดถือก็ถือให้แบบปลอมๆ ตอนหลังก็โอนกลับไปเป็นของพ่อแม่อยู่ดี พี่ลองไปดูใน internet ก็ได้นะ ลองหา Thaksin Manchester City ดู พี่แทบจะไม่เห็นเรื่องของลูกๆเลย ทักษิณเองก็บอกด้วยซ้ำว่า I bought เป็นต้น ไม่ใช่ลูกๆซื้อ แต่ลูกๆก็สารภาพกับศาลว่า ใช้เงินที่ได้จากการขายนี่แหละ จ่ายเงินซื้อสโมสรฟุตบอล และเหมืองเพชรให้พ่อ ก็เท่ากับให้ใช้ชื่อถือแทนใช่ไหมล่ะ พอพ้นตำแหน่งก็เอากลับไป แต่ป่านนั้น ก็เอาอำนาจรัฐไปเอื้อประโยชน์เพิ่มมูลค่าหุ้นมหาศาลแล้ว
พี่แดง : แล้วกรณีบรรณพจน์ล่ะ เขาเป็นถึงหุ้นส่วน ประธานกลุ่มชินฯ ได้รับโอนหุ้นไปก็ไม่แปลก
ขาว : แต่เขาพบว่า มีตัวอย่างหนี้จำนวน 102,135,225 บาท เพื่อชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนหุ้น SHIN เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2542 เป็นเงินที่คุณหญิง พจมาน เป็นผู้ออกเงินชำระทุกบาททุกสตางค์ พี่คิดดูนะ นายบรรณพจน์มีเงินเข้าบัญชีหลายสิบล้านบาท ก็ไม่ได้คืนเงินเลย แม้เศษๆ 135,225 บาทก็ไม่ได้คืนนานถึง 3-4 ปีด้วยเงินของตนเอง
บางช่วงนี่ นาย บรรณพจน์ เป็นผู้ถือหุ้นที่มีหุ้นมากที่สุดของครอบครัวชินวัตรแล้ว คือมีหุ้น 404,430,300 หุ้นตามทะเบียนหุ้นวันที่ 9 เมษายน 2546 มีหุ้นมูลค่ากว่า 5,500 ล้านบาท หุ้น SHIN ในตลาดฯมีราคาหุ้นละ 13-14 บาทในช่วงนั้น ก็ยังไม่คืนเงินคุณหญิงพจมานแม้แต่บาทเดียว รอจนรับปันผลหุ้น SHIN จึงนำมาชำระคืน
แล้วในช่วงท้าย เขาก็ยังมีการเปิดบัญชีแยกเงินรับปันผลและค่าขายหุ้นจากบัญชีสำหรับชีวิตปรกติของตัวด้วย
พี่แดง : แล้วน้องสาวล่ะ ยิ่งลักษณ์ได้หุ้นแค่ 20 ล้านบาท จะไปยุ่งอะไรกับเขา ?
ขาว : กรณีนี้แหละชัดมากเลยพี่ ก็คล้ายๆบรรณพจน์ น้องสาวแท้ๆ เป็นผู้บริหารระดับสูง มีเงินเยอะแยะ แต่ก็ไม่จ่ายค่าหุ้น 20 ล้านบาทเลย อ้างเป็นการค้างหนี้
เพียงแค่ 20 ล้านบาท และก็ไม่ได้คืนเงินเลย เป็นเวลา 3-4 ปี ทั้งที่ก็มีเงินไม่น้อย แล้วจึงทยอยชำระด้วยปันผลที่ได้รับจากหุ้นที่ได้รับโอนนั้น โดยไม่ใช้เงินของตนเองเลยเช่นกัน โดยชำระคืนหนี้ค่าหุ้นดังกล่าว จากปันผลที่ได้รับ 2 ครั้งแรก 9 ล้านบาท และ 11 ล้านบาท โดยครั้งที่ 2 นั้น ได้รับปันผลมา 13.5 ล้านบาท ก็สั่งจ่ายเต็มจำนวน หลังจากนั้นจึงขีดฆ่า...คงรู้ตัวว่า จ่ายเกินหนี้แล้ว... และแก้ไขเป็น 11 ล้านบาท นับว่าเป็นการจ่ายด้วยสัญชาติญาณโนมินีจริงๆ เลยนะพี่
แล้วส่วนที่เหลือจากเข้าบัญชี พินทองทา ซึ่งต่อมาบอกว่าเป็นค่านาฬิกาหรูหลายเรือน ก็คงแล้วแต่ว่าใครจะเต็มใจเชื่อว่า หลานเป็นคนซื้อนาฬิกาหลักล้านบาทหลายเรือน แล้วขายต่อให้หรืออย่างไร ... แหม แต่มันช่างเป็นเวลาที่พอดีๆกับการคืนปันผล...ในจำนวนที่เพิ่งขีดฆ่าบนเช็ค เพื่อแก้ไขจำนวนไปอย่างเหลือเชื่อ จริงไหมพี่ ?
พี่แดง : แกนี่ตามละเอียดดีนะ
ขาว : ยังมีอีกนะพี่แดง หลังจากนั้น คุณยิ่งลักษณ์ ก็จ่ายเช็คตั้ง 42 ใบ เป็นเงินสด อ้างว่า ตบแต่งบ้านบ้าง ซื้อทรัพย์สินบ้าง ลงทุนบ้าง แต่ศาลก็เห็นว่ารับฟังไม่ได้ ไม่น่าเชื่อถือได้ว่าเป็นความจริง ก็จริงนะพี่แดง...ปรกติก็จ่ายเงินค่าพวกนี้ ก็ไม่น่าจะเป็นเงินสด น่าจะจ่ายผู้ขายของหรือผู้รับเหมาไป จะได้เป็นหลักฐานไว้ และก็ไม่น่าจะเป็นเลขกลมๆอย่างนี้
พี่แดง : แล้วไอ้วินมาร์คนี่ เขาก็ว่าเป็นของนาย มามุส โมฮัมหมัด อัล อัลซาลี มหาเศรษฐี ชาวตะวันออกกลาง เห็นหญิงอ้อก็ให้การว่า เป็นเพื่อนของท่านทักษิณมากตั้งเป็น 10 ปีก่อนขายหุ้นให้ มีทรัพย์สินมากกว่าทักษิณอีก
ขาว : พี่รู้เปล่า เรื่องนี้ ทักษิณปกปิดมาตลอด โดยในวันที่ 11 กันยายน 2543 ประชาชาติธุรกิจ ได้พาดหัวข่าวใหญ่โดยคุณ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ว่า ตะลึง ! ทักษิณ โอนหุ้น 900 ลบ. เข้าบริษัทบนเกาะฟอกเงิน ในวันที่ 12 กันยายน 2543 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ ที่สภาหอการค้าฯ เรื่องการขายหุ้น 5-6 บริษัทให้แก่กองทุนวินมาร์คนั้นว่า เป็นการขายหุ้นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศธรรมดา ไม่มีอะไรที่พิสดาร ... ขายไปในราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท .. ตอนนั้นกำลังเข้ารับตำแหน่ง หากบอกว่าเป็น นายมาห์มูด โมฮัมหมัดฯ เศรษฐีจากตะวันออกกลางอย่างที่ คุณหญิง พจมานให้การนั้น ก็จะไม่ง่ายกว่าเหรอพี่
นอกจากนั้น น.ส. ยิ่งลักษณ์ ทำหนังสือถึง กลต. ในวันที่ 24 มีนาคม 2549 ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนบริษัท SC พบชื่อ วินมาร์ค แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับครอบครัว ก็แสดงว่า ไม่ได้ทราบอยู่แล้วว่าเป็นเพื่อนกันกว่าสิบปี มิเช่นนั้น ทำไมต้องไปสำรวจทะเบียนผู้ถือหุ้นจึงได้ พบชื่อ และ น.ส. ยิ่งลักษณ์ยังยืนยันว่า ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับครอบครัว ชินวัตร อีกด้วย ทั้งๆที่เป็นช่วงวิกฤต และถูกประท้วงมากมาย ก็ยังไม่เปิดเผยให้กระจ่าง ก็ค่อนข้างสะท้อนว่าเป็นความเท็จ
ที่สำคัญคือ กลต. ตรวจสอบพบว่า ในยอดรวม 1,500 ล้านบาทค่าหุ้น 5-6 บริษัทที่วินมาร์คซื้อจากทั้งคู่นั้น เงินประมาณ 1,200 ล้านบาทมาจากบัญชีที่ใช้ชื่อวินมาร์ค แต่ประมาณ 300 ล้านมาจากบัญชีของตนเอง แต่กลับอ้างชื่อวินมาร์ค !!
โดย ดีเอสไอ และ กลต. พบหลักฐานชัดแล้วตรงกันว่า วินมาร์คและแอมเพิลริชเป็นของ พ.ต.ท. ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน ผ่านกองทุน ซิเนตร้าทรัสต์ และ บลูไดมอนด์ และพบตรงกับ คตส. อีกประการ คือ วินมาร์ค มี รหัสบัญชี 121751 ที่ ธ. ยูบีเอส สิงคโปร์ เคยถือหุ้น SHIN ประมาณ 54 ล้านหุ้น อีกด้วย !!
พี่แดง : เขาก็บอกว่าเขาโอนแอมเพิลริชไปให้ลูกแล้วไม่ใช่เหรอ ?
ขาว : เขาพบหลักฐานว่า แอมเพิลริช เป็นของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงปี 2548 ตามหนังสือรับรองบริษัท มีเงื่อนไขว่า Any withdrawal is to be authorised by Dr. T. SHINAWATRA solely. แสดงว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามแต่เพียงผู้เดียวในช่วงเวลาดังกล่าว จนถึงปี 2548 จึงได้มีชื่อบุตรทั้งสองปรากฏเป็นผู้มีอำนาจลงนาม ไม่ตรงกับที่ได้อ้างว่าโอนหุ้น ARI ให้นาย พานทองแท้ ชินวัตร ในวันที่ 1 ธันวาคม 2543
ทักษิณก็แถลงเองนะว่า ไม่เคยทำนิติกรรมอะไร ก็แสดงว่า ที่อ้างว่าโอนหุ้นให้ลูกตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2543 นั้น ก็กลับไม่ได้โอนอำนาจการถอนทรัพย์สินเลย จะเชื่อว่า มีเจตนาโอนจริงได้ยังไงล่ะพี่
นอกจากนั้นนะพี่ ในวันที่ 24 สิงหาคม 2544 UBS ทำรายงาน 246-2 ต่อสำนักงาน กลต. โดยนับหุ้น SHIN จำนวน 10,000,000 หุ้น ของแอมเพิลริช รวมกับหุ้นอีกจำนวนอีก 5,405,913 หุ้น ทั้งนี้ มีหลักฐานว่าเป็นหุ้นของวินมาร์ค รวมเป็น15,405,913 หุ้น ตอนนั้นพาร์ 10 บาท คิดเป็นร้อยละ 5.24 ก็เป็นหลักฐานยืนยันการนับหุ้น 10 ล้านหุ้นของ แอมเพิลริช และอีกกว่า 5 ล้านหุ้นของวินมาร์คเป็นของเจ้าของเดียวกันตามมาตรา 258 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ
พี่แดง : เอ้อ...เขาบอกว่าไอ้ รายงาน 246-2 ที่ ธ.ยูบิเอสทำนี้ เป็นฐานะคัสโตเดียนซึ่ง ไม่มีหน้าที่ต้องรายงานนี้ จะเอาเอกสารนี้มาอ้างอีกทำไม
ขาว : พี่แดง มันเหมือน ยอมคนหนึ่งออกนอกกะแล้ว ไม่มีหน้าที่แล้ว มาถ่ายรูปโจรปล้นทรัพย์ได้ จะบอกว่า ยามที่ถ่ายภาพโจรปล้นทรัพย์ได้นอกกะทำงาน ไม่มีหน้าที่ต้องส่งภาพนั้น ก็ไม่เป็นเหตุให้ไม่เอาภาพถ่ายนั้นมาใช้เป็นหลักฐานเอาผิดโจรในภาพเหรอพี่
การอ้างว่าไม่มีหน้าที่ไม่ได้แก้ความจริงบนรายงานนี้เลย โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 คือประมาณ 5 ปีต่อมา UBS ก็ยังยืนยันว่า เอกสารนี้มีที่ผิดเล็กน้อย คือ ไม่ใช่เป็นการขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาหุ้นละ 179 บาทแต่อย่างใด แสดงว่าการนับรวมหุ้นเป็นของบุคคลเดียวกันเกิน 5% (triggered) ไม่ผิดด้วยพี่ พี่เข้าใจไหม triggered นี่เขาเติม ed ด้วยนะ แสดงว่ารวมกันแล้วผ่านเกณฑ์ตามกฎหมายแล้วพี่
แสดงว่า หุ้นวินมาร์คกับแอมเพิลริชเป็นของคนเดียวกันตามกฎหมาย ต้องเป็นของครอบครัวชินวัตร ไม่ใช่ของนาย มามุส ที่เอามาโม้หรอกพี่ และในเมื่อนายพานทองแท้ ยอมจ่ายค่าปรับ ก.ล.ต. เมื่อต้นปี 2549 แต่ไม่ได้พูดถึงวินมาร์คเลย ก็เพราะวินมาร์คเป็นของทักษิณและภรรยามาตั้งแต่ปี 2537 และก็แสดงว่า ธ.ยูบีเอสน่าจะเห็นว่าเจ้าของที่แท้จริงคือทักษิณเหมือนกันทั้งแอมเพิลริ ชและวินมาร์คนั่นเอง
พี่แดง : เอาล่ะ .. เอาล่ะ ซุกหุ้นก็ซุกหุ้น แต่ที่เขาบริหารบ้านเมืองแล้วหุ้นขึ้นกันเยอะแยะ กลุ่ม ปตท. ก็ขึ้น กลุ่มปูนซิเมนต์ฯก็ขึ้น ธนาคารหลายแห่งก็ขึ้น ก็ทำไมมาเอาผิดแต่เขาล่ะ ?
ขาว : มันไม่ได้ขึ้นกันทุกบริษัทนะพี่ หลังวิกฤตที่เจ๊งๆกันไปก็เยอะแยะ ที่รอดและฟื้นขึ้นมาก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป กลุ่ม ปตท. กลุ่มปูนฯ ขึ้นก็เพราะราคาปิโตรเคมีฟื้นตัว ราคาปูนฟื้นตัว กลุ่มธนาคารบางธนาคารก็ทรุดไป บางธนาคารที่ขึ้นได้ ก็เพราะเพิ่มทุนสำเร็จ เศรษฐกิจฟื้นตัว นี่ถ้ามีกลุ่มอื่นที่เอาอำนาจรัฐเอื้อพวกพ้องเหมือนๆของท่านทักษิณ ก็ต้องเอาผิดเหมือนกันแหละ มันไม่ใช่หุ้นขึ้นก็เอาผิด แต่เพราะใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์หุ้นของตัวที่ซ่อนไว้ ทั้งเรื่อง ลดส่วนแบ่งรายได้ระบบพรีเพด การแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต และให้ภาครัฐรับภาระ การแก้ไขสัญญา ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม ( Roaming )
กรณีอนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์ บ.ชินคอร์ป ฯ และ บ.ชินแซท เทิลไลท์ จำกัด และ กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่า กู้เงินธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ เอ็กซิมแบงค์ เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่า จาก บ.ชินแซท ฯ มันก็ใช้อำนาจรัฐเบียดบังประโยชน์ของรัฐไปเป็นของตัวตั้งมากมาย
พี่แดง : ก็ดูเหมือนพลิกแพลงมากนะ เอาหุ้นไปซ่อนแล้วก็ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์หุ้นตัวเอง แต่เขาว่าการตัดสินนี่ มีธงอยู่แล้วหรือเปล่าว่า ต้องยึดให้หมด เพราะเป็นเรื่องการเมืองของพวกที่ไม่ชอบท่านทักษิณ
ขาว : พี่แดงคิดดูว่า คณะศาลฎีกามีมติ 7:2 ให้ยึดทรัพย์บางส่วน โดยเสียงส่วนน้อยมีความเห็นว่า สมควรยึดทั้งหมด และเสียงส่วนใหญ่ 7 เสียง ก็เห็นว่าน่าจะคิดเฉพาะส่วนที่ร่ำรวยขึ้นโดยมิชอบ เนื่องจากเข้ามาเป็นนายกฯแต่กลับยังถือหุ้นสัมปทานผูกขาดอย่างซุกซ่อนผิด กฎหมายและรัฐธรรมนูญ แล้วคืนส่วนที่มีมาก่อนเป็นนายกฯให้ ก็เป็นไปตามนั้น ไม่มีการตั้งธง ไม่เป็นการกลั่นแกล้งอย่างที่ว่ากัน
พี่แดง : จะว่าไป ก็ถือว่า การตัดสินครั้งนี้ โปร่งใส ข้อมูลครบด้านจากทั้งฝ่ายทนายแผ่นดิน และฝ่ายคัดค้าน มีทั้งความเป็นธรรม ความเที่ยงธรรม ความยุติธรรม และ เมตตาธรรมด้วยนะ ก็ถือว่า โชคดีที่เป็นคนไทย มีระบบยุติธรรมที่คนไทยวางใจได้จริงนะ แต่รัฐบาลยังต้องให้หน่วยงานต่างๆไปฟ้องร้องเรียกค่าความเสียหายอีกเหรอ
ขาว : พี่แดงลองนึกดูนะ สมมุตินายดำ ทำอาชีพสุจริต จนมีรถบรรทุกยักษ์ของตัว ธุรกิจก็ดีขึ้นเรื่อยๆจนฐานะร่ำรวย มีรถบรรทุกเป็นสิบล้านบาท ต่อมาเขาอยากรวย ก็เอาเงินที่บอกว่าได้มาอย่างสุจริต มาลงทุนซื้อรถขนไม้ แล้วเข้าไปตัดไม้ ทำลายป่า แล้วขนออกมา เมื่อถูกจับได้ เขาบอกว่า ก่อนเขามาทำทุจริตตัดไม้นี่ เขามีทรัพย์สินมากมายอยู่แล้วที่ได้มาอย่างสุจริต ต้องคืนรถเขาด้วย พี่แดงว่าน่าจะคืนไม๊ ?
อย่าลืมนะพี่ ประเทศเสียหายตั้งเท่าไร ป่าเสียหาย ชาวบ้านเสียหายไปอีกเท่าไร ? ก็ต้องให้ชดใช้ความเสียหายของชาติด้วย ถามพี่จริงๆเหอะ ถ้าใครจะลงทุนทำทุจริต แล้วถูกจับได้ อย่างมาก สิ่งที่ทุจริตมา โกงมาก็จะโดนยึดไป ต้นทุนเดิมต้องคืนให้นี่ คนจะเลิกทุจริตไม๊พี่ ? มีแต่ได้ หรือไม่ก็เสมอตัว แล้วที่ชาติเสียหายมากกว่านั้น จะให้ใครชดใช้ล่ะพี่แดง
พี่แดง : จริงแฮะ ไม่อย่างนั้น ป่าหมดแน่ โกงกันหมดแน่ แต่มันเทียบกันได้เหรอ ? อย่างกรณีนี้ ประเทศเสียหายสักแค่ไหน ?
ขาว : อย่างที่เขาคำนวณคร่าวๆแค่กรณีเดียวนะพี่ ผมขอใช้เลขกลมๆนะพี่ อย่างลดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์มือถือระบบพรีเพดจาก 25-30% เป็น 20% นี่ ภาครัฐเสียประโยชน์ประมาณ 72,000 ล้านบาท ชินคอร์ปฯ ถือหุ้นประมาณครึ่งหนึ่งในบริษัทนั้นอาจได้ประมาณ 36,000 ล้านบาท ครอบครัวถือหุ้น ครอบครัวชินวัตรถือหุ้นประมาณครึ่งหนึ่งในชินคอร์ปฯ ก็มีมูลค่าเพิ่มแค่ 18,000 ล้านบาท พี่ว่าประเทศควรทวงคืน 18,000 ล้านบาท ที่ครอบครัวได้ไป หรือ 8 หมื่นบาทที่ภาครัฐเสียหายล่ะพี่
ประมาณว่า กรณีเดียวก็ใกล้เคียงประเทศก็เสียหายมากอยู่แล้วนะ ยังมีการเอื้อประโยชน์ในการเชื่อมต่อสัญญาณโรมมิ่ง การกำหนดภาษีสรรพสามิตและให้ภาครัฐรับภาระ ให้ Exim Bank ปล่อยกู้พม่า ฯลฯ อีกด้วย ทั้งหมดนี้ ก็ว่ากันไปตามที่คำนวณได้ตามข้อเท็จจริง ก็เป็นธรรมกับประเทศดีนะ จริงไม๊พี่แดง
พี่คิดดูนะ ถ้าพี่ขายคอมพิวเตอร์ มีคนมีเงินปลอมตัวมาดูลาดเลา แล้วมาทุบกระจก ขโมยเครื่องพี่ไป พอจับได้ พี่จะเอาแค่เครื่องคืน หรือจะต้องคิดค่าตู้กระจกด้วยล่ะพี่แดง
พี่แดง : เออ..จริง ถ้าเป็นของพี่ พี่ก็ต้องเอาทั้งหมดที่มันทำให้พี่เสียหายนั่นแหละ นี่มันก็ราวๆปล้นชาติเลยนะเนี่ย นี่ก็แสดงว่า กระบวนการทุกอย่างนี่ก็ถือว่านอกจากจะยุติธรรม เป็นธรรม เที่ยงธรรม และยุติธรรมแล้ว ยังมีเมตตาธรรมด้วยจริงๆนะ
ขอบใจนะขาวที่อธิบายให้ฟัง ถึงแม้พี่อาจจะยังเห็นไม่เหมือนขาวทุกอย่าง แต่เราก็รักกันเหมือนเดิมนะ
ขาว : แน่นอนอยู่แล้วพี่ เอาความจริงมาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล รักกันเหมือนเดิม บ้านเมืองจะได้สงบร่มเย็น และเจริญก้าวหน้าต่อไปสักทีนะครับ
จากนี้ไป ก็เป็นเวลาแห่งการทำความเข้าใจให้ตรงกัน และส่งเสริมเติมความรักต่อกันให้รู้รักสามัคคี เพื่อพ่อหลวงศูนย์รวมดวงใจของเราทุกคน และแผ่นดินไทยที่เรารักกันทุกคนครับ