การขึ้นประกาศขึ้นค่าแรง 300 บาท ทำให้ฝ่ายนายจ้างมีข้ออ้างในการเอารัดเอาเปรียบแรงงานมากขึ้น เจรจากันทีไรก้ขู่ลูกจ้างว่าบริษัทอยู่ไม่ไหวต้องย้ายไปประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าจะให้บริษัทอยู่ได้ ต้องยอมตัดอาหารกลางวัน ลดโอที งดรถรับส่ง ฯลฯ ซึ่งฝ่ายแรงงานพูดไม่ออก ซึ่งเอาเข้าจริงไอ้ค่าใช้จ่ายที่ตัดออกมามันมีมูลค่ามากกว่าค่าแรง 300 ไปเยอะพอสมควร
แล้ว ตอน 150 - 180 บาท มีอะไรห้ามไม่ให้เค้าทำ แบบเดียวกัน หรือครับ...
ถ้าจะบอกว่า 300 เป็นข้ออ้าง.. เค้าต้องอ้างไม่ได้ตอน เป็นที่ ราคาอื่นซิครับ...
ผมละงงกับ ตรรกท่านจริงๆ...
ก็เพราะมันเป้นการปรับขึ้นแบบพรวดพราดทีเดียว 45% - 100% ในชั่วข้ามคืนหวังแต่จะสร้างคะแนนนิยม ไม่เป็นขั้นบันไดให้ทุกภาคส่วนปรับตัวคราวละปี หรือคราวละ 6 เดือน
มันควรจะเป็น 500 บาทมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วแล้วครับ
เชอย่าไปออกตัวแทนเถ้าแก่เขาเลยเช คุณเป็นเพียงลูกจ้าง เถ้าแก่ตัวจริงเขาไม่ได้ลำบากขนาดที่คุณว่าหรอก เขาเพียงต้องการกำไรสูงสุด
มีเพียงบางบริษัทเท่านั้นที่ไม่ได้ปรับตัวเองเลยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่เห็นอยู่แล้วว่าเมืองไทยมันต้องผ่านจุดที่จะเป็นแหล่งผลิตต้นทุนต่ำ แต่เขายังคงผลิตของราคาถูกออกมา แล้วปล่อยให้ประเทศอื่นๆค่าแรงแซงไปทีละประเทศเพื่อไม่ให้ตัวเองมีคู่แข่ง
เป็นการทำธุรกิจที่ตลกนะเช
หลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยเป็นยังไงครับ?
ทำไมถึงคิดว่ามันควรจะเป็น 500 บาทตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ผมไม่ต้องคิดมากมายหรอก คิดง่ายๆ เลย ผมถามตัวเองว่าหากผมเป็นคนหาเช้ากินค่ำ 300 บาทพอเลี้ยงครอบครัวไหม
แน่นอนว่าไม่พอแน่ แล้วแค่ไหนจึงจะพอ ผมประมาณคร่าวๆ ว่าควรอยู่ที่ 500 บาทผมจึงจะหายใจหายคอได้บ้าง เอาแบบกินอยู่อย่างประหยัดนะ ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ เรื่องซื้อบ้านอยู่นั่นเลิกคิดได้เลย 500 บาทก็ยังไม่พอ
ไม่ต้องใช้หลักเกณฑ์อะไรหรอก
ค่าแรงขั้นต่ำมันควรคิดจากความเป็นอยู่ของแรงงานเป็นหลัก ไม่ใช่คิดจากต้นทุนของผู้ประกอบการหรือต้นทุนเทียบกับเพื่อนบ้าน
คราวนี้ผมถามคุณบ้างว่าคุณใช้หลักเกณฑ์อะไรที่บอกว่าควรต่ำกว่า 300 บาท???
ที่ผมเถียงมาทั้งหมดนี้ ตรองดูให้ดี ผมไม่ได้ต่อต้านค่าแง 300 บาท แต่ผมเพียงแต่เน้นว่ามันต้องค่อยเป้นค่อยไป จัดลำดับขั้นคราวละ-ปีละ 20% - 30% ก็ว่าไป ไม่ใช่ทำเหมือนเจ๊กตื่นไฟ พรวดพราดขึ้นค่าแรงทีเดียว 100% ไม่มีประเทศบ้าที่ไหนในโลกเค้าทำกันครับ