Jump to content


Photo
- - - - -

ปชป ต้องประกาศ หากกลับมาเป็นรัฐบาล จะทำ รถไฟความเร็วสูง โดย..ยกเลิกเงินกู้


  • Please log in to reply
61 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 sigree

sigree

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,883 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 11:24

*
POPULAR

  ผมมองสถานการณ์ปัจจุบัน  คงยากและยากจริงๆจะหยุดกรณีเงินกู้เพื่อทำรถไฟความเลว(ไม่ได้พิมพ์ผิด)สูง

 

  ผมมองการอภิปายและอื่นๆเชื่อว่าหลายๆคนก็เห็นด้วยว่ามันไม่จำเป็นที่ลูกหลานต้องแบกรับภาระหนี้ไปถึง 50 ปี

 

  อย่างไรก็ดี  พรบ นี้กำหนดกู้ไว้ 7 ปี ไม่ได้เอามาในคราวเดียว  จึงเกิดคำถามน่าสนใจว่า  ปชป ควรประกาศไหมว่า

 

  หากกลับมาเป็นรัฐบาล จะทำ รถไฟความเร็วสูง โดย..ยกเลิก พรบ เงินกู้ ฉบับ 2.2 ล้านล้าน เสีย

 

  ผมจำได้ว่าเมื่อเพื่อไทยมีคำท้าให้ ปชป ยกเลิกจำนำข้าว  ตอนนั้นเยาะทำนอง  ปชป มาก็ทำต่ออยู่ดี

 

  ปชป ก็ประกาศ ตบหน้าทันทีว่าไม่เอาอยู่แล้ว  ปชป จะเอาประกันราคา

 

  ถึงเวลาแล้วไหม  ที่ ปชป จะประกาศโมเดล ทำรถไฟฟ้าแบบไม่กู้เงิน  ประกาศไปเลย



#2 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 11:42

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

 

 

การจ่ายเงินแผ่นดินจึงจะกระทำได้แต่เฉพาะตามกฎหมาย 4 ฉบับเท่านั้น คือ กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี, กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ, กฎหมายเกี่ยวกับการโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง เพราะกฎหมายทั้งสี่มีกฎเกณฑ์ควบคุมการใช้จ่ายเงินที่เข้มงวดมีการตรวจสอบทั้งโดยระบบราชการประจำและระบบการเมือง

 

ไม่เข้าใจที่ว่า เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน ไม่ใช่เงินของแผ่นดิน

เขาพยายามจะบอกว่า เงินไม่ได้ดูแลรักษาโดยปธท. แต่ดูแลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ จึงไม่ได้เป็นเงินของแผ่นดิน :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol: 

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ

http://th.wikipedia....ิหารหนี้สาธารณะ

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะโดยการวางแผน กำกับ และดำเนินการก่อหนี้ค้ำประกัน และปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรวมทั้งการชำระหนี้ ของรัฐบาล และการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความยั่งยืนทางการคลังและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ ถนนพระราม 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400

 

การจัดตั้งสำนักบริหารหนี้สาธารณะ ได้มีการเสนอแนวความคิดต่อคณะรัฐมนตรี และมีมติให้จัดตั้งเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2542 เป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง มีภารกิจในการกำหนดนโยบายและวางแผนการก่อหนี้ในภาพรวม การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของประเทศ การบริหารความเสี่ยง การบริหารเงินสด และ การจัดทำระบบฐานข้อมูลหนี้ของประเทศ โดยให้โอนอัตรากำลังและงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองนโยบายเงินกู้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มวิเคราะห์หนี้สาธารณะและเงินคงคลัง และส่วนหนี้สาธารณะและเงินคงคลัง ยกเว้นสายบริหารเงินคงคลัง สำนักการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง มาไว้ที่สำนักบริหารหนี้สาธารณะ

ต่อมาได้มีการยกฐานะขึ้นเป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 [2]

 

หน่วยงานในสังกัด[แก้]

  • สำนักจัดการหนี้ 1
  • สำนักจัดการหนี้ 2
  • สำนักบริหารการระดมทุนโครงการลงทุนภาครัฐ
  • สำนักบริหารการระดมทุนระบบบริหารจัดการน้ำ
  • สำนักนโยบายและแผน
  • สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้
  • สำนักบริหารการชำระหนี้
  • สำนักงานเลขานุการกรม
  • ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ
  • กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
  • กลุ่มตรวจสอบภายใน
  •  กลุ่มกฎหมาย

 

การกู้เงินในงบประมาณ และ การกู้เงินนอกงบฯ แตกต่างกันอีกประการหนึ่งคือ เงินกู้ในงบฯดูแลรักษาโดยธปท. แต่เงินกู้นอกงบประมาณดูแลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ  การกำกับดูแลจึงแตกต่างกัน การกู้เงินนอกงบฯ มีการใช้จ่ายเงินได้โดยไม่ผ่านธปท. และกฏหมายควบคุมทั้งสี่ฉบับ การอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินก็ต่างกัน


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#3 เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง

เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,247 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 11:44

วันเสาร์ฟังวิทยุคลื่นอะไรไม่ทราบค่ะที่ สร้อยฟ้า เป็นผู้ดำเนินรายการเชิญ ชัชชาติมาพูดฝ่ายเดียว นี่ถ้าไม่ได้ตามข่าวนี้มาตลอดนี่เชื่อมันเลยนะคะ :D  :P


ทักษิณเป็นเทพเจ้าจริงๆนะ ไม่เชื่อถาม เสื้อแดง ดูสิ

#4 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 11:50

ปชป.เสนอทางออกให้พรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้านไม่ขัดรัฐธรรมนูญแต่ถูกเมินเฉยจากรัฐบาล

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอทางออกดังกล่าวในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมาย และเสนออีกครั้งในการประชุมวาระ2ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 20 ก.ย. 2556 ที่ผ่านมาแต่ถูกรัฐบาลปฏิเสธไมตรีนี้มาตลอด


ประเด็นการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา169 ที่นักวิชาการหลายคนให้ความเห็นไว้คือ เงินกู้ดังกล่าวเข้าข่ายเป็น “เงินแผ่นดิน” ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแล้วจะจ่ายเงินแผ่นดินได้ด้วยกฎหมาย 4ฉบับเท่านั้นคือ กฎหมายงบประมาณ กฎหมายวิธีการงบประมาณ กฎหมายโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง ดังนั้นการที่รัฐบาลออกกฎหมายเป็นพระราชบัญญัติกู้เงินโดยมีทั้ง2ขา คือขากู้และขาจ่ายเงินด้วยในฉบับเดียวกันจึงเกิดปัญหา ซึ่ง “ขากู้” ไม่มีปัญหาแต่ปัญหาขัดรัฐธรรมนูญมาตรา169 อยู่ที่ “ขาจ่าย” เพราะพระราชบัญญัติกู้เงิน ไม่ใช่กฎหมาย4ฉบับที่จะจ่ายเงินแผ่นดินได้

ข้อเสนอของปชป. คือ “ขากู้” ก็ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติกู้เงิน2ล้านล้านได้ แต่ “เงินกู้ต้องนำส่งคลัง” โดย “ขาจ่าย” ให้ใช้พระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีปกติเบิกจ่าย เพียงแค่นี้ก็จะไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ข้อดีคือแผนการลงทุนไม่ต้องเสี่ยงขัดกฎหมาย การจัดซื้อจัดจ้างจะเป็นไปตามวิธีปกติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งง่ายต่อการตรวจสอบ โปร่งใส และนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพราะรัฐบาลมีเงินกู้ในคลังพร้อมทำโครงการและพร้อมจ่ายจริงตามงวดงานเมื่อมีการออกพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีตามปกติ
แต่เนื่องจากรัฐบาลปฏิเสธแนวทางข้างต้น ก็จะทำให้เกิดจุดเสี่ยงในการตีความจากศาลรัฐธรรมนูญว่าเงินกู้เป็นเงินแผ่นดินหรือไม่ โดยคำว่า “เงินแผ่นดิน” ไม่ได้มีนิยามชัดแจ้งในกฎหมายใดเป็นการเฉพาะการที่รัฐบาลกำหนดในร่างพรบ.ว่า เงินกู้ไม่ต้องนำส่งคลังนั้นยังไม่พอจะสรุปได้ว่า เงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยให้พระบรมราโชวาทแก่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อ 25 ส.ค. 2542 โดยมีความตอนหนึ่งว่า “เงินแผ่นดินนั้นคือเงินของประชาชนทั้งชาติ” 
 
ประการต่อมาเงินกู้ครั้งนี้บางส่วนจะกลายเป็นโครงการเล็กๆเป็นเส้นเลือดฝอยแทนที่จะเป็นโครงการใหญ่สำคัญๆ ตามที่รัฐบาลอ้างเพราะรายการในบัญชีแนบท้ายที่มีผลบังคับตามกฎหมายนั้นระบุยอดเงินรวมๆเป็นก้อนใหญ่ตาม “แผน” แต่ไม่ได้ระบุย่อยเป็นชื่อและจำนวนเงินตาม “โครงการ” การที่สภาผ่านกฎหมายเงินกู้ฉบับนี้ก็เหมือนให้ “เช็คเปล่า”
 
 รัฐบาลไปนั่นเองเพราะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงการได้ และสุดท้ายเมื่อรัฐบาลกล้าเสี่ยงขัดกฎหมายจะส่งผลให้ประมาณการทางเศรษฐกิจจากหลายสำนักคลาดเคลื่อนเพราะ “รายจ่ายภาครัฐ” ที่เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้ตัวเลขการเจริญเติบโตเป็นไปตามเป้านั้นไม่สามารถเบิกจ่ายทันในปลายปีนี้แน่นอน

Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#5 butadad

butadad

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,119 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 11:53

เชียร์ ปชป  แต่มั่นใจว่า ปชป เป็นฝ่ายค้านอีกนานครับงานนี้ 



#6 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 11:56

:D สมมุติว่า สมมุติว่านะครับ ฟลุ๊คๆ ส้มหล่น ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก แล้วเดินหน้าสร้างรถไฟความเร็วสูง... คงไม่มีดัดจริตชน พรรคดัดจริต มาค้านอีกเหมือนที่เคยทำนะครับ


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#7 Bourne

Bourne

    สายลับ ๆ ล่อ ๆ หัดเกรียน

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,471 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:02

 

ปชป กล้าประกาศอยู่แล้วครับ เพราะ

 

1) โอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง แทบไม่มีอยู่แล้ว ประกาศอะไรออกไปก็ได้ ไม่ต้องทำอยู่แล้ว

 

2) สมมุติว่า สมมุติว่านะครับ ฟลุ๊คๆ ส้มหล่น ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก (สังเกตุว่าผมไม่ได้บอกว่าชนะเลือกตั้งได้กลับมาเป็นรัฐบาล) กว่า ปชป จะประกาศสร้างรถไฟความเร็วสูง ก็ประมาณชาติหน้าอ่ะครับ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางได้กู้มาสร้างรถไฟแน่นอน เพราะฉะนั้น ปลอดภัย 100% ครับที่จะพูดว่า ปชป จะไม่กู้เงินมาสร้างรถไฟความเร็วสูง   :D 

 

กรุว่า เค้ากล้าประกาศแต่เรื่องที่คิดว่า ทำแล้วไม่ชั่ว ว่ะ

ส่วน เรื่องชั่ว เรื่อง เห้ พวกมืงประกาศไปตามสันดานเหอะ

เรื่องจังรายอะไรแบบนี้ ในโลกนี้ไม่มีใครกล้าแข่งกับพวกมืงหรอก


ภาระกิจหลักของผมบนบอร์ดเสรีไทย คือ ด่าควายครับ เรื่องคิดต่างผมรับได้ แต่เรื่องคิดชั่วผมรับไม่ไหวครัช

#8 เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง

เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,247 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:04

:D สมมุติว่า สมมุติว่านะครับ ฟลุ๊คๆ ส้มหล่น ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก แล้วเดินหน้าสร้างรถไฟความเร็วสูง... คงไม่มีดัดจริตชน พรรคดัดจริต มาค้านอีกเหมือนที่เคยทำนะครับ

 

ขิงกลัวมันไม่ค้านเฉยๆ จะเผารอบสองน่ะสิคะ :o


ทักษิณเป็นเทพเจ้าจริงๆนะ ไม่เชื่อถาม เสื้อแดง ดูสิ

#9 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:13

ปชป.เสนอทางออกให้พรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้านไม่ขัดรัฐธรรมนูญแต่ถูกเมินเฉยจากรัฐบาล

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอทางออกดังกล่าวในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมาย และเสนออีกครั้งในการประชุมวาระ2ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 20 ก.ย. 2556 ที่ผ่านมาแต่ถูกรัฐบาลปฏิเสธไมตรีนี้มาตลอด


ประเด็นการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา169 ที่นักวิชาการหลายคนให้ความเห็นไว้คือ เงินกู้ดังกล่าวเข้าข่ายเป็น “เงินแผ่นดิน” ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแล้วจะจ่ายเงินแผ่นดินได้ด้วยกฎหมาย 4ฉบับเท่านั้นคือ กฎหมายงบประมาณ กฎหมายวิธีการงบประมาณ กฎหมายโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง ดังนั้นการที่รัฐบาลออกกฎหมายเป็นพระราชบัญญัติกู้เงินโดยมีทั้ง2ขา คือขากู้และขาจ่ายเงินด้วยในฉบับเดียวกันจึงเกิดปัญหา ซึ่ง “ขากู้” ไม่มีปัญหาแต่ปัญหาขัดรัฐธรรมนูญมาตรา169 อยู่ที่ “ขาจ่าย” เพราะพระราชบัญญัติกู้เงิน ไม่ใช่กฎหมาย4ฉบับที่จะจ่ายเงินแผ่นดินได้

ข้อเสนอของปชป. คือ “ขากู้” ก็ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติกู้เงิน2ล้านล้านได้ แต่ “เงินกู้ต้องนำส่งคลัง” โดย “ขาจ่าย” ให้ใช้พระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีปกติเบิกจ่าย เพียงแค่นี้ก็จะไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ข้อดีคือแผนการลงทุนไม่ต้องเสี่ยงขัดกฎหมาย การจัดซื้อจัดจ้างจะเป็นไปตามวิธีปกติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งง่ายต่อการตรวจสอบ โปร่งใส และนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพราะรัฐบาลมีเงินกู้ในคลังพร้อมทำโครงการและพร้อมจ่ายจริงตามงวดงานเมื่อมีการออกพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีตามปกติ
แต่เนื่องจากรัฐบาลปฏิเสธแนวทางข้างต้น ก็จะทำให้เกิดจุดเสี่ยงในการตีความจากศาลรัฐธรรมนูญว่าเงินกู้เป็นเงินแผ่นดินหรือไม่ โดยคำว่า “เงินแผ่นดิน” ไม่ได้มีนิยามชัดแจ้งในกฎหมายใดเป็นการเฉพาะการที่รัฐบาลกำหนดในร่างพรบ.ว่า เงินกู้ไม่ต้องนำส่งคลังนั้นยังไม่พอจะสรุปได้ว่า เงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยให้พระบรมราโชวาทแก่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อ 25 ส.ค. 2542 โดยมีความตอนหนึ่งว่า “เงินแผ่นดินนั้นคือเงินของประชาชนทั้งชาติ” 
 
ประการต่อมาเงินกู้ครั้งนี้บางส่วนจะกลายเป็นโครงการเล็กๆเป็นเส้นเลือดฝอยแทนที่จะเป็นโครงการใหญ่สำคัญๆ ตามที่รัฐบาลอ้างเพราะรายการในบัญชีแนบท้ายที่มีผลบังคับตามกฎหมายนั้นระบุยอดเงินรวมๆเป็นก้อนใหญ่ตาม “แผน” แต่ไม่ได้ระบุย่อยเป็นชื่อและจำนวนเงินตาม “โครงการ” การที่สภาผ่านกฎหมายเงินกู้ฉบับนี้ก็เหมือนให้ “เช็คเปล่า”
 
 รัฐบาลไปนั่นเองเพราะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงการได้ และสุดท้ายเมื่อรัฐบาลกล้าเสี่ยงขัดกฎหมายจะส่งผลให้ประมาณการทางเศรษฐกิจจากหลายสำนักคลาดเคลื่อนเพราะ “รายจ่ายภาครัฐ” ที่เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้ตัวเลขการเจริญเติบโตเป็นไปตามเป้านั้นไม่สามารถเบิกจ่ายทันในปลายปีนี้แน่นอน

 

 

 

  ผมมองสถานการณ์ปัจจุบัน  คงยากและยากจริงๆจะหยุดกรณีเงินกู้เพื่อทำรถไฟความเลว(ไม่ได้พิมพ์ผิด)สูง

 

  ผมมองการอภิปายและอื่นๆเชื่อว่าหลายๆคนก็เห็นด้วยว่ามันไม่จำเป็นที่ลูกหลานต้องแบกรับภาระหนี้ไปถึง 50 ปี

 

  อย่างไรก็ดี  พรบ นี้กำหนดกู้ไว้ 7 ปี ไม่ได้เอามาในคราวเดียว  จึงเกิดคำถามน่าสนใจว่า  ปชป ควรประกาศไหมว่า

 

  หากกลับมาเป็นรัฐบาล จะทำ รถไฟความเร็วสูง โดย..ยกเลิก พรบ เงินกู้ ฉบับ 2.2 ล้านล้าน เสีย

 

  ผมจำได้ว่าเมื่อเพื่อไทยมีคำท้าให้ ปชป ยกเลิกจำนำข้าว  ตอนนั้นเยาะทำนอง  ปชป มาก็ทำต่ออยู่ดี

 

  ปชป ก็ประกาศ ตบหน้าทันทีว่าไม่เอาอยู่แล้ว  ปชป จะเอาประกันราคา

 

  ถึงเวลาแล้วไหม  ที่ ปชป จะประกาศโมเดล ทำรถไฟฟ้าแบบไม่กู้เงิน  ประกาศไปเลย

 

 

ปชป กล้าประกาศอยู่แล้วครับ เพราะ

 

1) โอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง แทบไม่มีอยู่แล้ว ประกาศอะไรออกไปก็ได้ ไม่ต้องทำอยู่แล้ว

 

2) สมมุติว่า สมมุติว่านะครับ ฟลุ๊คๆ ส้มหล่น ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก (สังเกตุว่าผมไม่ได้บอกว่าชนะเลือกตั้งได้กลับมาเป็นรัฐบาล) กว่า ปชป จะประกาศสร้างรถไฟความเร็วสูง ก็ประมาณชาติหน้าอ่ะครับ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางได้กู้มาสร้างรถไฟแน่นอน เพราะฉะนั้น ปลอดภัย 100% ครับที่จะพูดว่า ปชป จะไม่กู้เงินมาสร้างรถไฟความเร็วสูง   :D 

 

 

ประเด็นอยู่ที่ ปชป.ใช้เงินจีนสร้าง พท.ใช้เงินกู้ หากรัฐบาลให้จีนสร้าง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน  เรื่องเวลาในการก่อสร้างคงไม่ต่างกันนัก

 

ทีนี้ ก็ต้องประเมินดูว่า รายได้จากที่ดินที่จีนขอไปบริหาร กับ เงินที่ได้จากค่าโดยสารและการบริหารที่ดินของรถไฟ หักด้วยเงินลงทุน อันไหนสูงกว่ากัน  ถ้าเงินอันหลังสูงกว่า เราก็ทำเอง


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#10 ดอน

ดอน

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 2,872 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:16

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้


จงกล้าที่จะใช้ปัญญาญาณของตนเอง  โดยปราศจากการชี้นำจากผู้อื่น(คานท์)


#11 JSN

JSN

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,004 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:16

:D สมมุติว่า สมมุติว่านะครับ ฟลุ๊คๆ ส้มหล่น ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก แล้วเดินหน้าสร้างรถไฟความเร็วสูง... คงไม่มีดัดจริตชน พรรคดัดจริต มาค้านอีกเหมือนที่เคยทำนะครับ


ดัดจริตชนมักคู่กับพรรคเพื่อคนดัดจริตครับ

#12 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:19

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

 

เช่นอะไรมั่ง

 

:D 



#13 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:20

 

 

ปชป.เสนอทางออกให้พรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้านไม่ขัดรัฐธรรมนูญแต่ถูกเมินเฉยจากรัฐบาล

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอทางออกดังกล่าวในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมาย และเสนออีกครั้งในการประชุมวาระ2ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 20 ก.ย. 2556 ที่ผ่านมาแต่ถูกรัฐบาลปฏิเสธไมตรีนี้มาตลอด


ประเด็นการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา169 ที่นักวิชาการหลายคนให้ความเห็นไว้คือ เงินกู้ดังกล่าวเข้าข่ายเป็น “เงินแผ่นดิน” ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแล้วจะจ่ายเงินแผ่นดินได้ด้วยกฎหมาย 4ฉบับเท่านั้นคือ กฎหมายงบประมาณ กฎหมายวิธีการงบประมาณ กฎหมายโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง ดังนั้นการที่รัฐบาลออกกฎหมายเป็นพระราชบัญญัติกู้เงินโดยมีทั้ง2ขา คือขากู้และขาจ่ายเงินด้วยในฉบับเดียวกันจึงเกิดปัญหา ซึ่ง “ขากู้” ไม่มีปัญหาแต่ปัญหาขัดรัฐธรรมนูญมาตรา169 อยู่ที่ “ขาจ่าย” เพราะพระราชบัญญัติกู้เงิน ไม่ใช่กฎหมาย4ฉบับที่จะจ่ายเงินแผ่นดินได้

ข้อเสนอของปชป. คือ “ขากู้” ก็ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติกู้เงิน2ล้านล้านได้ แต่ “เงินกู้ต้องนำส่งคลัง” โดย “ขาจ่าย” ให้ใช้พระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีปกติเบิกจ่าย เพียงแค่นี้ก็จะไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ข้อดีคือแผนการลงทุนไม่ต้องเสี่ยงขัดกฎหมาย การจัดซื้อจัดจ้างจะเป็นไปตามวิธีปกติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งง่ายต่อการตรวจสอบ โปร่งใส และนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพราะรัฐบาลมีเงินกู้ในคลังพร้อมทำโครงการและพร้อมจ่ายจริงตามงวดงานเมื่อมีการออกพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีตามปกติ
แต่เนื่องจากรัฐบาลปฏิเสธแนวทางข้างต้น ก็จะทำให้เกิดจุดเสี่ยงในการตีความจากศาลรัฐธรรมนูญว่าเงินกู้เป็นเงินแผ่นดินหรือไม่ โดยคำว่า “เงินแผ่นดิน” ไม่ได้มีนิยามชัดแจ้งในกฎหมายใดเป็นการเฉพาะการที่รัฐบาลกำหนดในร่างพรบ.ว่า เงินกู้ไม่ต้องนำส่งคลังนั้นยังไม่พอจะสรุปได้ว่า เงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยให้พระบรมราโชวาทแก่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อ 25 ส.ค. 2542 โดยมีความตอนหนึ่งว่า “เงินแผ่นดินนั้นคือเงินของประชาชนทั้งชาติ” 
 
ประการต่อมาเงินกู้ครั้งนี้บางส่วนจะกลายเป็นโครงการเล็กๆเป็นเส้นเลือดฝอยแทนที่จะเป็นโครงการใหญ่สำคัญๆ ตามที่รัฐบาลอ้างเพราะรายการในบัญชีแนบท้ายที่มีผลบังคับตามกฎหมายนั้นระบุยอดเงินรวมๆเป็นก้อนใหญ่ตาม “แผน” แต่ไม่ได้ระบุย่อยเป็นชื่อและจำนวนเงินตาม “โครงการ” การที่สภาผ่านกฎหมายเงินกู้ฉบับนี้ก็เหมือนให้ “เช็คเปล่า”
 
 รัฐบาลไปนั่นเองเพราะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงการได้ และสุดท้ายเมื่อรัฐบาลกล้าเสี่ยงขัดกฎหมายจะส่งผลให้ประมาณการทางเศรษฐกิจจากหลายสำนักคลาดเคลื่อนเพราะ “รายจ่ายภาครัฐ” ที่เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้ตัวเลขการเจริญเติบโตเป็นไปตามเป้านั้นไม่สามารถเบิกจ่ายทันในปลายปีนี้แน่นอน

 

 

 

  ผมมองสถานการณ์ปัจจุบัน  คงยากและยากจริงๆจะหยุดกรณีเงินกู้เพื่อทำรถไฟความเลว(ไม่ได้พิมพ์ผิด)สูง

 

  ผมมองการอภิปายและอื่นๆเชื่อว่าหลายๆคนก็เห็นด้วยว่ามันไม่จำเป็นที่ลูกหลานต้องแบกรับภาระหนี้ไปถึง 50 ปี

 

  อย่างไรก็ดี  พรบ นี้กำหนดกู้ไว้ 7 ปี ไม่ได้เอามาในคราวเดียว  จึงเกิดคำถามน่าสนใจว่า  ปชป ควรประกาศไหมว่า

 

  หากกลับมาเป็นรัฐบาล จะทำ รถไฟความเร็วสูง โดย..ยกเลิก พรบ เงินกู้ ฉบับ 2.2 ล้านล้าน เสีย

 

  ผมจำได้ว่าเมื่อเพื่อไทยมีคำท้าให้ ปชป ยกเลิกจำนำข้าว  ตอนนั้นเยาะทำนอง  ปชป มาก็ทำต่ออยู่ดี

 

  ปชป ก็ประกาศ ตบหน้าทันทีว่าไม่เอาอยู่แล้ว  ปชป จะเอาประกันราคา

 

  ถึงเวลาแล้วไหม  ที่ ปชป จะประกาศโมเดล ทำรถไฟฟ้าแบบไม่กู้เงิน  ประกาศไปเลย

 

 

ปชป กล้าประกาศอยู่แล้วครับ เพราะ

 

1) โอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง แทบไม่มีอยู่แล้ว ประกาศอะไรออกไปก็ได้ ไม่ต้องทำอยู่แล้ว

 

2) สมมุติว่า สมมุติว่านะครับ ฟลุ๊คๆ ส้มหล่น ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก (สังเกตุว่าผมไม่ได้บอกว่าชนะเลือกตั้งได้กลับมาเป็นรัฐบาล) กว่า ปชป จะประกาศสร้างรถไฟความเร็วสูง ก็ประมาณชาติหน้าอ่ะครับ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางได้กู้มาสร้างรถไฟแน่นอน เพราะฉะนั้น ปลอดภัย 100% ครับที่จะพูดว่า ปชป จะไม่กู้เงินมาสร้างรถไฟความเร็วสูง   :D 

 

 

ประเด็นอยู่ที่ ปชป.ใช้เงินจีนสร้าง พท.ใช้เงินกู้ หากรัฐบาลให้จีนสร้าง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน  เรื่องเวลาในการก่อสร้างคงไม่ต่างกันนัก

 

ทีนี้ ก็ต้องประเมินดูว่า รายได้จากที่ดินที่จีนขอไปบริหาร กับ เงินที่ได้จากค่าโดยสารและการบริหารที่ดินของรถไฟ หักด้วยเงินลงทุน อันไหนสูงกว่ากัน  ถ้าเงินอันหลังสูงกว่า เราก็ทำเอง

 

 

 

ถามว่าหากจีนเขาไม่ได้ประโยชน์มหาศาลจากที่ดินของประเทศไทย และประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เขาจะมาลงทุนทำในโครงการที่มันจะขาดทุนแน่ๆ เหรอ?

ลองถามตัวเองดูครับ

 

 

ก็เองลองคำนวณดูซิว่ะไอ่หนูนักข่าว ว่าใครจะบริหารได้ดีกว่ากัน ตามสูตรคำนวณข้างบน ว่าเกินกึ่งหนึ่งหรือปล่า  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:


Edited by Stargate-1, 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:21.

Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#14 ดอน

ดอน

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 2,872 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:29

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

 

เช่นอะไรมั่ง

 

:D 

 

หาเองมั่งซีวะหวี่เอ้ย..ต้องให้ป้อนกันเป็นเด็กๆไปได้ :D

เอางี้  ลองพิมพ์คำว่า "โกงไทยเข็มแข็ง" ลงในกูเกิลดูแล้วจะเจอ :lol:


จงกล้าที่จะใช้ปัญญาญาณของตนเอง  โดยปราศจากการชี้นำจากผู้อื่น(คานท์)


#15 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:31

 

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

 

เช่นอะไรมั่ง

 

:D 

 

หาเองมั่งซีวะหวี่เอ้ย..ต้องให้ป้อนกันเป็นเด็กๆไปได้ :D

เอางี้  ลองพิมพ์คำว่า "โกงไทยเข็มแข็ง" ลงในกูเกิลดูแล้วจะเจอ :lol:

 

 

 

 

ไปหาแล้วหาหลักฐานไม่เจอ  เจอแต่พวกนักป้ายสีอะดิถึงกลับมาเขียนแบบนี้

 

อย่ามั่วนักเลยดอนยอ ยอมรับเหอะว่าโง่

 

แล้วตกลงรู้ยังอ่ะ ว่า ไทยเข้มแข็งเค้ากู้เงินมาเท่าไหร่

 

ยอดเท่ากับกู้มาผลาญจำนำข้าวม่ะ

 

:lol: 


Edited by 55555, 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:32.


#16 เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง

เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,247 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:35

 

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

 

เช่นอะไรมั่ง

 

:D 

 

หาเองมั่งซีวะหวี่เอ้ย..ต้องให้ป้อนกันเป็นเด็กๆไปได้ :D

เอางี้  ลองพิมพ์คำว่า "โกงไทยเข็มแข็ง" ลงในกูเกิลดูแล้วจะเจอ :lol:

 

 

หลักฐาน กับคำกล่าวหา มันไม่เหมือนกันนะคะดอนยอ :D  :lol:


ทักษิณเป็นเทพเจ้าจริงๆนะ ไม่เชื่อถาม เสื้อแดง ดูสิ

#17 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:35

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

พ.ร.ก.มีระยะการใช้เงินเร็วกว่า พ.ร.บ. มีระยะการใช้จ่ายเงินที่แน่นอน

แล้วการกู้ครั้งนี้ของรัฐบาล คุณรู้ไหมว่าเงินอยู่ที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ไม่ใช่ธปท.


Edited by Stargate-1, 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:41.

Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#18 ดอน

ดอน

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 2,872 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:36

 

 

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

 

เช่นอะไรมั่ง

 

:D 

 

หาเองมั่งซีวะหวี่เอ้ย..ต้องให้ป้อนกันเป็นเด็กๆไปได้ :D

เอางี้  ลองพิมพ์คำว่า "โกงไทยเข็มแข็ง" ลงในกูเกิลดูแล้วจะเจอ :lol:

 

 

 

 

ไปหาแล้วหาหลักฐานไม่เจอ  เจอแต่พวกนักป้ายสีอะดิถึงกลับมาเขียนแบบนี้

 

อย่ามั่วนักเลยดอนยอ ยอมรับเหอะว่าโง่

 

แล้วตกลงรู้ยังอ่ะ ว่า ไทยเข้มแข็งเค้ากู้เงินมาเท่าไหร่

 

ยอดเท่ากับกู้มาผลาญจำนำข้าวม่ะ

 

:lol: 

 

เจอแต่โกงอะดิ  ที่ไม่โกงไม่มี


จงกล้าที่จะใช้ปัญญาญาณของตนเอง  โดยปราศจากการชี้นำจากผู้อื่น(คานท์)


#19 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:39

 

 

 

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

 

เช่นอะไรมั่ง

 

:D 

 

หาเองมั่งซีวะหวี่เอ้ย..ต้องให้ป้อนกันเป็นเด็กๆไปได้ :D

เอางี้  ลองพิมพ์คำว่า "โกงไทยเข็มแข็ง" ลงในกูเกิลดูแล้วจะเจอ :lol:

 

 

 

 

ไปหาแล้วหาหลักฐานไม่เจอ  เจอแต่พวกนักป้ายสีอะดิถึงกลับมาเขียนแบบนี้

 

อย่ามั่วนักเลยดอนยอ ยอมรับเหอะว่าโง่

 

แล้วตกลงรู้ยังอ่ะ ว่า ไทยเข้มแข็งเค้ากู้เงินมาเท่าไหร่

 

ยอดเท่ากับกู้มาผลาญจำนำข้าวม่ะ

 

:lol: 

 

เจอแต่โกงอะดิ  ที่ไม่โกงไม่มี

 

 

 

555  ก็เขียนมั่วแบบนี้แหละ ไม่ต้องหลักฐานก็เอามาอ้าง นี่คงกำลังหาใหญ่เลยดิ

 

ถ้าจะเอาแบบนี้ รัฐบาลอีโง่ เท่าไหร่ก็ไม่พอให้เขียนหรอก..

 

มั่วโง่ ๆก็ยอมรับไปเหอะ ดอนยอ

 

แล่้วตกลงรู้ยังว่าไทยเข้มแข็งกู้ไปเท่าไหร่

 

:lol: 


Edited by 55555, 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:39.


#20 ดอน

ดอน

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 2,872 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:39

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

พ.ร.ก.มีระยะการใช้เงินเร็วกว่า พ.ร.บ. มีระยะการใช้จ่ายเงินที่แน่นอน

 

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่แปะไว้

พรบ.ก็กำหนดระยะเวลาจ่ายเงินที่แน่นอนได้


จงกล้าที่จะใช้ปัญญาญาณของตนเอง  โดยปราศจากการชี้นำจากผู้อื่น(คานท์)


#21 nnnn43

nnnn43

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,771 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:43

 

 

ประกาศอะไรออกไปก็ได้ ไม่ต้องทำอยู่แล้ว

:lol: ขอให้หลอกพวกควายได้ก็พอ 

2290.JPG


ผู้ที่ขาดคุณธรรม ย่อมไม่มีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ ผู้ที่ขาดความรู้ ย่อมไม่มีสายตาอันกว้างไกล พูดคนฉลาดหนี่งคำ พูดคนโง่ร้อยคำ

#22 ดอน

ดอน

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 2,872 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:48

 

 

 

 

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

 

เช่นอะไรมั่ง

 

:D 

 

หาเองมั่งซีวะหวี่เอ้ย..ต้องให้ป้อนกันเป็นเด็กๆไปได้ :D

เอางี้  ลองพิมพ์คำว่า "โกงไทยเข็มแข็ง" ลงในกูเกิลดูแล้วจะเจอ :lol:

 

 

 

 

ไปหาแล้วหาหลักฐานไม่เจอ  เจอแต่พวกนักป้ายสีอะดิถึงกลับมาเขียนแบบนี้

 

อย่ามั่วนักเลยดอนยอ ยอมรับเหอะว่าโง่

 

แล้วตกลงรู้ยังอ่ะ ว่า ไทยเข้มแข็งเค้ากู้เงินมาเท่าไหร่

 

ยอดเท่ากับกู้มาผลาญจำนำข้าวม่ะ

 

:lol: 

 

เจอแต่โกงอะดิ  ที่ไม่โกงไม่มี

 

 

 

555  ก็เขียนมั่วแบบนี้แหละ ไม่ต้องหลักฐานก็เอามาอ้าง นี่คงกำลังหาใหญ่เลยดิ

 

ถ้าจะเอาแบบนี้ รัฐบาลอีโง่ เท่าไหร่ก็ไม่พอให้เขียนหรอก..

 

มั่วโง่ ๆก็ยอมรับไปเหอะ ดอนยอ

 

แล่้วตกลงรู้ยังว่าไทยเข้มแข็งกู้ไปเท่าไหร่

 

:lol: 

 

ไม่รู้ว่ะ  สองร้อยมั้ง :lol:


จงกล้าที่จะใช้ปัญญาญาณของตนเอง  โดยปราศจากการชี้นำจากผู้อื่น(คานท์)


#23 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:53

 

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

พ.ร.ก.มีระยะการใช้เงินเร็วกว่า พ.ร.บ. มีระยะการใช้จ่ายเงินที่แน่นอน

 

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่แปะไว้

พรบ.ก็กำหนดระยะเวลาจ่ายเงินที่แน่นอนได้

 

 

เกี่ยวตรงที่ พ.ท.กู้เป็นพ.ร.บ.  แตเงินกู้อยู่นอกงบประมาณแบบ พ.ร.ก. ซึ่งเงินจะไปอยู่ที่สำนักงานบริหารหนี้ แทนที่จะไปที่ธปท.ตามงบประมาณปรกติ

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

 

 

การจ่ายเงินแผ่นดินจึงจะกระทำได้แต่เฉพาะตามกฎหมาย 4 ฉบับเท่านั้น คือ กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี, กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ, กฎหมายเกี่ยวกับการโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง เพราะกฎหมายทั้งสี่มีกฎเกณฑ์ควบคุมการใช้จ่ายเงินที่เข้มงวดมีการตรวจสอบทั้งโดยระบบราชการประจำและระบบการเมือง

 

ไม่เข้าใจที่ว่า เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน ไม่ใช่เงินของแผ่นดิน

เขาพยายามจะบอกว่า เงินไม่ได้ดูแลรักษาโดยปธท. แต่ดูแลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ จึงไม่ได้เป็นเงินของแผ่นดิน :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol: 

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ

http://th.wikipedia....ิหารหนี้สาธารณะ

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะโดยการวางแผน กำกับ และดำเนินการก่อหนี้ค้ำประกัน และปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรวมทั้งการชำระหนี้ ของรัฐบาล และการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความยั่งยืนทางการคลังและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ ถนนพระราม 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400

 

การจัดตั้งสำนักบริหารหนี้สาธารณะ ได้มีการเสนอแนวความคิดต่อคณะรัฐมนตรี และมีมติให้จัดตั้งเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2542 เป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง มีภารกิจในการกำหนดนโยบายและวางแผนการก่อหนี้ในภาพรวม การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของประเทศ การบริหารความเสี่ยง การบริหารเงินสด และ การจัดทำระบบฐานข้อมูลหนี้ของประเทศ โดยให้โอนอัตรากำลังและงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองนโยบายเงินกู้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มวิเคราะห์หนี้สาธารณะและเงินคงคลัง และส่วนหนี้สาธารณะและเงินคงคลัง ยกเว้นสายบริหารเงินคงคลัง สำนักการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง มาไว้ที่สำนักบริหารหนี้สาธารณะ

ต่อมาได้มีการยกฐานะขึ้นเป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 [2]

 

หน่วยงานในสังกัด[แก้]

  • สำนักจัดการหนี้ 1
  • สำนักจัดการหนี้ 2
  • สำนักบริหารการระดมทุนโครงการลงทุนภาครัฐ
  • สำนักบริหารการระดมทุนระบบบริหารจัดการน้ำ
  • สำนักนโยบายและแผน
  • สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้
  • สำนักบริหารการชำระหนี้
  • สำนักงานเลขานุการกรม
  • ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ
  • กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
  • กลุ่มตรวจสอบภายใน
  •  กลุ่มกฎหมาย

 

การกู้เงินในงบประมาณ และ การกู้เงินนอกงบฯ แตกต่างกันอีกประการหนึ่งคือ เงินกู้ในงบฯดูแลรักษาโดยธปท. แต่เงินกู้นอกงบประมาณดูแลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ  การกำกับดูแลจึงแตกต่างกัน การกู้เงินนอกงบฯ มีการใช้จ่ายเงินได้โดยไม่ผ่านธปท. และกฏหมายควบคุมทั้งสี่ฉบับ การอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินก็ต่างกัน

 


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#24 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:58

 

 

 

 

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

 

เช่นอะไรมั่ง

 

:D 

 

หาเองมั่งซีวะหวี่เอ้ย..ต้องให้ป้อนกันเป็นเด็กๆไปได้ :D

เอางี้  ลองพิมพ์คำว่า "โกงไทยเข็มแข็ง" ลงในกูเกิลดูแล้วจะเจอ :lol:

 

 

 

 

ไปหาแล้วหาหลักฐานไม่เจอ  เจอแต่พวกนักป้ายสีอะดิถึงกลับมาเขียนแบบนี้

 

อย่ามั่วนักเลยดอนยอ ยอมรับเหอะว่าโง่

 

แล้วตกลงรู้ยังอ่ะ ว่า ไทยเข้มแข็งเค้ากู้เงินมาเท่าไหร่

 

ยอดเท่ากับกู้มาผลาญจำนำข้าวม่ะ

 

:lol: 

 

เจอแต่โกงอะดิ  ที่ไม่โกงไม่มี

 

 

 

ช่วยหามาให้ครับ

 

 

103566-attachment.jpg 103565-attachment.jpg 103564-attachment.jpg 103563-attachment.jpg

 

 

  สำหรับตำรวจทั่วประเทศคงได้มีโอกาสสัมผัสความเลวทรามของนักการเมืองกันถ้วนทั่ว ในการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานี 396 แห่ง และแฟลตตำรวจ 163 หลัง ด้วยงบ "ไทยเข้มแข็ง" ซึ่งเริ่มต้นอย่างแปลกประหลาดด้วยการ รวมซื้อ รวมจ้าง บริษัทเดียวให้รับงานทั่วประเทศ  ในสมัยของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ รองนายกฯ คุมตำรวจ          และผ่านมากว่า 2 ปี  เกือบทั้งหมด  ไม่เสร็จตามกำหนด  และไม่ใช่แค่ไม่เสร็จ  แต่เกิดผู้รับเหมาทิ้งงานกันมากมาย  จนเห็นแต่โครงอาคาร แท่งเสา ทิ้งร้างอยู่มากมาย  โดยโรงพักที่ว่านี้ส่วนใหญ่ได้รื้ออาคารที่ทำการหลังเดิมไปแล้ว  และต้องใช้บ้านพัก โรงอาหาร หอประชุม เป็นที่ทำการชั่วคราว  สร้างความลำบากทั้งกับผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนที่มาติดต่อราชการ          การประมูลโครงการทั่วประเทศ ในกรอบวงเงิน 5,800 ล้านบาท โดยให้ผู้รับเหมารายเดียว  เป็นเรื่องที่ปัญญาอ่อนตั้งแต่คิดแล้ว  แต่ก็ยังดันโครงการออกมาจนได้  ถ้าไม่โครตโง่ ก็คือการเจตนาโกง  เพราะจะมีบริษัทไหน สามารถก่อสร้างอาคารพร้อมกันได้ทั่วประเทศ  สุดท้ายก็ต้องรับเหมาต่อกันเป็นช่วง ๆ กินหัวคิวกันไปเรื่อย  จนท้ายที่สุด ผู้รับเหมาท้องถิ่นไม่สามารถแบกรับค่าใช่จ่ายได้ และต้องทิ้งงานในที่สุด          การตรวจงานก็เป็นปัญหา เพราะเจ้าของสถานที่ คือทางสถานีตำรวจ ไม่ใช่คนตรวจงาน  จึงไม่สามารถสั่งการใด ๆ กับผู้รับเหมาได้  ไม่ว่าจะเป็นการกำชับในขั้นตอนการก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน  หรือตรวจสอบคุณภาพวัสดุ คุณภาพงาน          นี่ยังไม่นับรวมถึงการที่ไม่ได้สำรวจว่าทางสถานีนั้นต้องการที่ทำการใหม่ หรือ แฟลตใหม่ หรือไม่ อาทิ สถานีตำรวจหนึ่งมีสภาพเก่า(แปลนไม้) ต้องการอาคารใหม่  แต่ดันได้แฟลตตำรวจ ทั้ง ๆ ที่แฟลตที่มีอยู่ ก็ยังว่างอยู่ เนื่องจากตำรวจส่วนมากมีบ้านพักอยู่ในพื้นที่ เป็นต้น          หวังว่าทาง สตช. จะได้รีบแก่ไขปัญหานี้โดยเร็ว เพราะหากยิ่งปล่อยเนิ่นนานไป โครงสร้าง และเหล็กที่ตากแดด ตากฝน อาจจะไม่เหมาะสมต่อการสร้างต่อ  เพราะอาจเกิดอันตราย  ซึ่งนั่นจะทำให้เสียงบประมาณไปโดยใช่เหตุ

 

 

หามาได้แค่เนี้ยห้าพันกว่าบ้าน จากหลายแสนล้านเนี่ยน๊ะ เรียกว่าโกงเป็นว่าเล่น อีลุยฉุยแฉก

 

ถ้าเรื่องป้ายสีแบบนี้มีเยอะเลยเรื่องโครงการของอีโง่

 

หาแดกตอนหาเสียงให้ อีจูลี่ แข่งผู้ว่า กทม.  ตอนนี้เงียบแดกไปหมดแล้ว

 

ยังจะหน้าด้านเอามาแปะอีกรึ แถมใครเขียนก็ไม่รู้อีก..

 

แบบนี้ เอาความเห็นไอ้ขี้แพ้มาเป็นหลักฐานก็ได้

 

:lol:

..


Edited by 55555, 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:59.


#25 ดอน

ดอน

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 2,872 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 12:59

 

 

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

พ.ร.ก.มีระยะการใช้เงินเร็วกว่า พ.ร.บ. มีระยะการใช้จ่ายเงินที่แน่นอน

 

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่แปะไว้

พรบ.ก็กำหนดระยะเวลาจ่ายเงินที่แน่นอนได้

 

 

เกี่ยวตรงที่ พ.ท.กู้เป็นพ.ร.บ.  แตเงินกู้อยู่นอกงบประมาณแบบ พ.ร.ก. ซึ่งเงินจะไปอยู่ที่สำนักงานบริหารหนี้ แทนที่จะไปที่ธปท.ตามงบประมาณปรกติ


 

ไม่เป็นไปตามงบปกติ  มันก็ไม่ใช่เงินแผ่นดินตาม  169  ก็ถูกต้องอยู่แล้ว


จงกล้าที่จะใช้ปัญญาญาณของตนเอง  โดยปราศจากการชี้นำจากผู้อื่น(คานท์)


#26 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:00

กู้เงินมาเพื่อสร้างอนาคตผมไม่กลัวครับ

 

ที่กลัวคือไอ้พวกขี้โม้มันจะเข้ามาสร้างแล้วออกมาเป็นแบบนี้อ่ะครับ

 

 

13613452951361345431l.jpg

 

 

งบตำรวจขอมา...แบบนี้ กรมตำรวจก็โค-ตร เลวชาติ เลยอะดิ

 

:lol: 



#27 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:03

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ปชป.ยันพ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทไม่เหมือนพ.ร.ก."ไทยเข้มแข็ง"

 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (โครงการไทยเข้มแข็ง) ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้  เพราะศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 ระบุในตอนท้ายว่าการตราพ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ และเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2  ดังนั้น พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจึงเป็นคนละประเด็นกับพ.ร.ก.ดังกล่าว เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถยกเรื่องนี้มาเทียบเคียงกันได้ว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์ทำได้สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าแปะข้อความข้างบนเพื่ออะไร  เห็นแปะบ่อยมาก

ในข้อกฎหมายมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว    ไทยเข็มแข้ง  ออกเป็น  พรก.  ส่วน  2 ล้านล้าน  เป็น  พรบ.

อย่าไปอ้างว่าศาลบอกว่าไทยเข็มแข็งทำได้  เพราะที่นั่นมันก็แค่คำวินิจฉัยของศาล  หลังจากที่มีผู้

ไปยื่นร้องคัดค้านว่าไม่เป็นไปตาม  รธน. ม 184  วรรค  2  เหมือนกับที่  ศาลวินิจฉัยว่า  การกู้เงิน 3.5แสนล้าน

เพื่อจัดการระบบน้ำทำได้นั่นแหละ   ยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร

       ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

 

เช่นอะไรมั่ง

 

:D 

 

หาเองมั่งซีวะหวี่เอ้ย..ต้องให้ป้อนกันเป็นเด็กๆไปได้ :D

เอางี้  ลองพิมพ์คำว่า "โกงไทยเข็มแข็ง" ลงในกูเกิลดูแล้วจะเจอ :lol:

 

 

 

 

ไปหาแล้วหาหลักฐานไม่เจอ  เจอแต่พวกนักป้ายสีอะดิถึงกลับมาเขียนแบบนี้

 

อย่ามั่วนักเลยดอนยอ ยอมรับเหอะว่าโง่

 

แล้วตกลงรู้ยังอ่ะ ว่า ไทยเข้มแข็งเค้ากู้เงินมาเท่าไหร่

 

ยอดเท่ากับกู้มาผลาญจำนำข้าวม่ะ

 

:lol: 

 

เจอแต่โกงอะดิ  ที่ไม่โกงไม่มี

 

 

 

ช่วยหามาให้ครับ

 

 

103566-attachment.jpg 103565-attachment.jpg 103564-attachment.jpg 103563-attachment.jpg

 

 

  สำหรับตำรวจทั่วประเทศคงได้มีโอกาสสัมผัสความเลวทรามของนักการเมืองกันถ้วนทั่ว ในการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานี 396 แห่ง และแฟลตตำรวจ 163 หลัง ด้วยงบ "ไทยเข้มแข็ง" ซึ่งเริ่มต้นอย่างแปลกประหลาดด้วยการ รวมซื้อ รวมจ้าง บริษัทเดียวให้รับงานทั่วประเทศ  ในสมัยของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ รองนายกฯ คุมตำรวจ          และผ่านมากว่า 2 ปี  เกือบทั้งหมด  ไม่เสร็จตามกำหนด  และไม่ใช่แค่ไม่เสร็จ  แต่เกิดผู้รับเหมาทิ้งงานกันมากมาย  จนเห็นแต่โครงอาคาร แท่งเสา ทิ้งร้างอยู่มากมาย  โดยโรงพักที่ว่านี้ส่วนใหญ่ได้รื้ออาคารที่ทำการหลังเดิมไปแล้ว  และต้องใช้บ้านพัก โรงอาหาร หอประชุม เป็นที่ทำการชั่วคราว  สร้างความลำบากทั้งกับผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนที่มาติดต่อราชการ          การประมูลโครงการทั่วประเทศ ในกรอบวงเงิน 5,800 ล้านบาท โดยให้ผู้รับเหมารายเดียว  เป็นเรื่องที่ปัญญาอ่อนตั้งแต่คิดแล้ว  แต่ก็ยังดันโครงการออกมาจนได้  ถ้าไม่โครตโง่ ก็คือการเจตนาโกง  เพราะจะมีบริษัทไหน สามารถก่อสร้างอาคารพร้อมกันได้ทั่วประเทศ  สุดท้ายก็ต้องรับเหมาต่อกันเป็นช่วง ๆ กินหัวคิวกันไปเรื่อย  จนท้ายที่สุด ผู้รับเหมาท้องถิ่นไม่สามารถแบกรับค่าใช่จ่ายได้ และต้องทิ้งงานในที่สุด          การตรวจงานก็เป็นปัญหา เพราะเจ้าของสถานที่ คือทางสถานีตำรวจ ไม่ใช่คนตรวจงาน  จึงไม่สามารถสั่งการใด ๆ กับผู้รับเหมาได้  ไม่ว่าจะเป็นการกำชับในขั้นตอนการก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน  หรือตรวจสอบคุณภาพวัสดุ คุณภาพงาน          นี่ยังไม่นับรวมถึงการที่ไม่ได้สำรวจว่าทางสถานีนั้นต้องการที่ทำการใหม่ หรือ แฟลตใหม่ หรือไม่ อาทิ สถานีตำรวจหนึ่งมีสภาพเก่า(แปลนไม้) ต้องการอาคารใหม่  แต่ดันได้แฟลตตำรวจ ทั้ง ๆ ที่แฟลตที่มีอยู่ ก็ยังว่างอยู่ เนื่องจากตำรวจส่วนมากมีบ้านพักอยู่ในพื้นที่ เป็นต้น          หวังว่าทาง สตช. จะได้รีบแก่ไขปัญหานี้โดยเร็ว เพราะหากยิ่งปล่อยเนิ่นนานไป โครงสร้าง และเหล็กที่ตากแดด ตากฝน อาจจะไม่เหมาะสมต่อการสร้างต่อ  เพราะอาจเกิดอันตราย  ซึ่งนั่นจะทำให้เสียงบประมาณไปโดยใช่เหตุ

 

 

หามาได้แค่เนี้ยห้าพันกว่าบ้าน จากหลายแสนล้านเนี่ยน๊ะ เรียกว่าโกงเป็นว่าเล่น อีลุยฉุยแฉก

 

ถ้าเรื่องป้ายสีแบบนี้มีเยอะเลยเรื่องโครงการของอีโง่

 

หาแดกตอนหาเสียงให้ อีจูลี่ แข่งผู้ว่า กทม.  ตอนนี้เงียบแดกไปหมดแล้ว

 

ยังจะหน้าด้านเอามาแปะอีกรึ

 

:lol:

..

 

 

 

โกงคือโกงครับ 

จับติดมากน้อยแค่ไหนมันก็อีกเรื่องหนึ่ง

แต่โกงมันมีแน่ๆ

หรือคุณว่าไม่มี

 

 

 

ถ้าเอาใครก็ไม่รู้มาเขียนแล้วบอกว่าโกง...

 

แบบนี้ ทักษิณ กับ ยิ่งลักษณ์ มันโ-คต-รมหาโกง

 

โรงพักตำรวจ มันเรื่อง ไว้ป้ายสีทางการเมือง

 

ตำรวจต้องชั่วมากเลย ถึงโกงได้ขนาดนี้

 

:lol:  :lol:  :lol: 



#28 kabokaboh

kabokaboh

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 588 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:04

เล่นเรื่องโรงพักกันจังเลยนะ

 

ตอนนี้ เป็นใหญ่ในจักรวาล ทำไมไม่เล่น ปชป ต่อ

 

เอาให้จมกองขี้เลยหล่ะ

 

หรือว่า กลัว เหมือน ประชา

 

หาแผ่นดินยืนไม่ได้ กลายเป็นแม้ว สอง สาม สี่

 

แค่ให้ลิ่วล้อ มาเห่าอยู่ได้ กัดสักทีสิ

 

จะรอดูข่าวดี



#29 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:05

เล่นเรื่องโรงพักกันจังเลยนะ

 

ตอนนี้ เป็นใหญ่ในจักรวาล ทำไมไม่เล่น ปชป ต่อ

 

เอาให้จมกองขี้เลยหล่ะ

 

หรือว่า กลัว เหมือน ประชา

 

หาแผ่นดินยืนไม่ได้ กลายเป็นแม้ว สอง สาม สี่

 

แค่ให้ลิ่วล้อ มาเห่าอยู่ได้ กัดสักทีสิ

 

จะรอดูข่าวดี

 

 

หามาเกือบชั่วโมงแล้วได้มาแค่นั้นแหละ

 

แถมยังไปเอาความเห็นใครก็ไม่รู้อีกมาเป็นหลักฐาน

 

แบบนี้แหละที่เค้าเรียกโง่ขึ้นควาย เลเวล 7

 

:lol: :lol:  :lol:  



#30 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:08

5555

 

มันไปเอาไอ้ลิเกพร้อมพงศ์ มาเลยวุัย

 

:lol: 



#31 kabokaboh

kabokaboh

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 588 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:10

 

เล่นเรื่องโรงพักกันจังเลยนะ

 

ตอนนี้ เป็นใหญ่ในจักรวาล ทำไมไม่เล่น ปชป ต่อ

 

เอาให้จมกองขี้เลยหล่ะ

 

หรือว่า กลัว เหมือน ประชา

 

หาแผ่นดินยืนไม่ได้ กลายเป็นแม้ว สอง สาม สี่

 

แค่ให้ลิ่วล้อ มาเห่าอยู่ได้ กัดสักทีสิ

 

จะรอดูข่าวดี

 

 

หามาเกือบชั่วโมงแล้วได้มาแค่นั้นแหละ

 

แถมยังไปเอาความเห็นใครก็ไม่รู้อีกมาเป็นหลักฐาน

 

แบบนี้แหละที่เค้าเรียกโง่ขึ้นควาย เลเวล 7

 

:lol: :lol:  :lol:  

 

 

 

หุ หุ ผมยังไม่เคยได้โต้เถียงอะไรกับคุณเลย คุณ 5555555

 

จะว่าใครก็ไม่ได้ดู้เล้ยยย

 

ระวังจะเข้าตัวนะ เรื่องที่ว่า "โง่" เนี่ย



#32 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:12

 

 

เล่นเรื่องโรงพักกันจังเลยนะ

 

ตอนนี้ เป็นใหญ่ในจักรวาล ทำไมไม่เล่น ปชป ต่อ

 

เอาให้จมกองขี้เลยหล่ะ

 

หรือว่า กลัว เหมือน ประชา

 

หาแผ่นดินยืนไม่ได้ กลายเป็นแม้ว สอง สาม สี่

 

แค่ให้ลิ่วล้อ มาเห่าอยู่ได้ กัดสักทีสิ

 

จะรอดูข่าวดี

 

 

หามาเกือบชั่วโมงแล้วได้มาแค่นั้นแหละ

 

แถมยังไปเอาความเห็นใครก็ไม่รู้อีกมาเป็นหลักฐาน

 

แบบนี้แหละที่เค้าเรียกโง่ขึ้นควาย เลเวล 7

 

:lol: :lol:  :lol:  

 

 

 

หุ หุ ผมยังไม่เคยได้โต้เถียงอะไรกับคุณเลย คุณ 5555555

 

จะว่าใครก็ไม่ได้ดู้เล้ยยย

 

ระวังจะเข้าตัวนะ เรื่องที่ว่า "โง่" เนี่ย

 

 

 

5555

 

 

จริงผมว่าใครโง่..ผมไม่เคยกลัวว่าเข้าตัวหรอก เพราะผมเชื่อว่ามันแกล้งโง่

 

 

แต่อ่านใหม่ผมด่าใคร เดี๋ยวไอ้ลีโหน

 

 

 

:lol: 



#33 Robin

Robin

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,097 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:14

วันเสาร์ฟังวิทยุคลื่นอะไรไม่ทราบค่ะที่ สร้อยฟ้า เป็นผู้ดำเนินรายการเชิญ ชัชชาติมาพูดฝ่ายเดียว นี่ถ้าไม่ได้ตามข่าวนี้มาตลอดนี่เชื่อมันเลยนะคะ :D  :P

แปลกนะ อยากจะโชว์ผลงาน แต่เวลาเขาเชิญไปออกรายการพร้อมกันกับฝ่ายค้านแกไ่ม่ไป ชอบพูดคนเดียว เหมือนไอ้เหลี่ยม อีโง่ 



#34 nnnn43

nnnn43

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,771 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:15

แปะทำมั้ยเอาเป็นรูปคดีมาเลยดีกว่ากล่าวหาลอยๆ  :lol:


ผู้ที่ขาดคุณธรรม ย่อมไม่มีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ ผู้ที่ขาดความรู้ ย่อมไม่มีสายตาอันกว้างไกล พูดคนฉลาดหนี่งคำ พูดคนโง่ร้อยคำ

#35 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:19

 

  ทุจริตครุภัณฑ์อาชีวศึกษา อีกกรณีข่าวสารที่ขาดหายไป

 

 

ข่าวการทุจริตที่สำคัญอีกข่าวหนึ่งที่ผมพยายามค้นหาในบล็อกเนชั่น แต่ก็ไม่เจออีกเช่นกันในบล็อกเนชั่น คือ กรณีทุจริตครุภัณฑ์อาชีวศึกษาจากงบประมาณเงินกู้ไทยเข้มแข็ง ก็เลยอยากจะนำเสนอเรื่องนี้อีกเรื่องในบล็อกเนชั่นเพื่อความครบถ้วนรอบด้านของข้อมูลข่าวสารนะครับ

ดีเอสไอ แถลงผลสรุปเบื้องต้นคดีทุจริตโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา (เอสพี2) ภายใต้โครงการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ในวงเงินงบประมาณ 5,300 ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ว่า ผลสอบสวนพบมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตจำนวน4 รายประกอบด้วยนายชินวรณ์บุญยเกียรติอดีตรมว.ศึกษาธิการน.ส.นริศราชวาลตันพิพัทธ์อดีตรมช.ศึกษาธิการนายเจี่ยงวงศ์สวัสดิ์สุริยะผอ.สำนักนโยบายและแผนการอาชีวศึกษาและนายบำรุงอร่ามเรืองผอ.วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยาซึ่งทั้งหมดร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตทำให้สอศ.กระทรวงศึกษาธิการได้รับความเสียหาย
       
       ทั้งนี้ พบมี 5 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1.การแต่งตั้งบุคคลใกล้ชิด หรือพวกพ้องของรัฐมนตรีเป็นคณะกรรมการชุดต่างๆ ในการจัดหาครุภัณฑ์ ให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง โดยเฉพาะ นายบำรุง อร่ามศรี 2.การจัดซื้อครุภัณฑ์ ที่มีราคาแพงเกินความจริง เช่น ครุภัณฑ์ห้องปฏิบัติการไฟฟ้าพื้นฐาน ราคาประมาณเพียงชุดละ 1 ล้านบาท แต่ตั้งราคาสูงถึง 3 ล้านบาท และจัดซื้อ 19 ชุด เป็นเงินกว่า 57 ล้านบาท ผู้ขายมีกำไรกว่า 38 ล้านบาท ซึ่งครุภัณฑ์ที่จัดสรรให้วิทยาลัยไม่มีคุณภาพ และไม่เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอน 3.การจัดซื้อก็ไม่ได้สำรวจความต้องการครุภัณฑ์ของสถานศึกษาที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการเรียนการสอน แต่กลับจัดครุภัณฑ์ให้กับสถานศึกษาโดยที่สถานศึกษาไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดสเปก และไม่ตรงกับวิชาการเรียนการสอน อีกทั้งยังไม่มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับครุภัณฑ์นั้น 4.ผู้ประกอบการหรือผู้ขายสินค้าครุภัณฑ์ให้กับ สอศ.อยู่ที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนเป็นผู้กำหนดเท่านั้น อันเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์แก่คู่สัญญารายใดรายหนึ่ง โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และ 5.การตรวจรับครุภัณฑ์ ไม่ตรงตามสเปกหรือสัญญาซื้อขาย เช่น จุดเชื่อมวงจรไฟฟ้า ตามสเปก หรือสัญญากำหนดไว้เป็นทองคำแท้ เพื่อให้ครุภัณฑ์มีราคาสูงแต่จากการตรวจสอบพบว่าเป็นทองชุบเท่านั้น เหตุเกิดที่วิทยาลัยการอาชีพบ้านผือ จ.อุดรธานี และที่วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี
       
จากการสอบสวนปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวข้างต้น เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ที่เกี่ยวข้อง แต่จงใจฝ่าฝืนกฎหมายตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ และ กระทำผิดทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 รวมทั้งผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ และไม่ยึดหลักธรรมาภิบาลในการจัดซื้อจัดจ้าง ดีเอสไอจึงต้องส่งสำนวนคดีนี้ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนต่อไป ทั้งนี้ ดีเอสไอส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.แล้ว แต่ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฉบับแก้ไขเพิ่มเติมได้กำหนดให้ดีเอสไอยังสามารถสอบสวนต่อไปอีกได้ จนกว่า ป.ป.ช.จะมีมติอย่างอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องสอบขยายผลไปยังบุคคลอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เบื้องต้นพบว่า 4 คน ที่ปรากฏรายชื่อถือเป็นหัวขบวนสำคัญ จึงต้องเชิญตัวให้ปากคำในฐานะผู้ถูกกล่าวหาในวันที่ 15 พ.ย.นี้ โดยดีเอสไอทำหนังสือแจ้งเจ้าตัวให้รับทราบแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบว่าจะมาหรือไม่” นายธาริต กล่าว

ถามถึงกรณีความเชื่อมโยงถึงน.ส.ศศิธาราพิชัยชาญรณรงค์เลขาธิการสภาการศึกษา ในฐานะอดีตเลขาธิการ สอศ.หรือไม่นั้นเบื้องต้นดีเอสไอยังกันไว้พยานเนื่องจากก่อนหน้านี้น.ส.ศศิธาราได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมพร้อมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนซึ่งดีเอสไอยังไม่ได้ตัดประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของผู้ใดรวมถึงไม่ตัดสิทธิ์ที่ป.ป.ช.จะไต่สวนขยายผลไปยังบุคคลอื่นเพิ่มเติมด้วย
 

ด้าน นายชินวรณ์บุณยเกียรติ ส.ส.ประชาธิปัตย์ และอดีต รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับหนังสือจาก ดีเอสไอ แต่ยืนยันว่า พร้อมไปชี้แจงเพราะตนไม่ได้มีส่วนกับการทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา จริงอยู่ว่าตนเป็น รมว.ศึกษาธิการ ในช่วงที่มีการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา แต่ได้มอบให้ น.ส.นริศรา เป็นผู้กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) การจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์อาชีวศึกษานั้น ตามกระบวนการถือเป็นเรื่องของ สอศ.มี เลขาธิการ สอศ.เป็นคนดูแลและขึ้นตรงกับ รมช.ศึกษาธิการ ตนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะถือว่า รมช.ศึกษาธิการ เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกัน แค่ติดตามการดำเนินการเป็นระยะๆ เท่ากัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่นั้น การร้องเรียนยังไม่มีเข้ามา เพราะการจัดซื้อจัดยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น ทั้งนี้ ตนยืนยัน ว่าพร้อมไปชี้แจ้ง และมั่นใจว่า ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย” นายชินวรณ์ กล่าว

ล่าสุด พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีทุจริตโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา (SP 2) ของ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ภายใต้โครงการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง วงเงินงบประมาณ 5,300 ล้านบาท เปิดเผยความคืบหน้าคดีดังกล่าว ว่า ภายหลังจากพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ทำการสอบสวนแล้วเสร็จ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ มอบหมายให้ พนักงานสอบสวน ส่งสำนวนคดีทั้งหมดให้อัยการแล้ว ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.เพื่อชี้มูลความผิดแล้ว โดยมีการรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายกว่า 27 แฟ้ม และหากแม้ ป.ป.ช. ยังไม่มีมติใดออกมา ทางพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ก็มีอำนาจในการสอบสวนเพิ่ม ซึ่งถ้าหากพบว่า มีเอกชนรายใดเกี่ยวข้อง ก็สามารถดำเนินคดีและส่งอัยการได้ เบื้องต้นขณะนี้ ยังไม่พบเอกชนรายใดที่เกี่ยวข้อง

เช่นเดิมครับ ไม่ทราบว่าบรรดาบล็อกเกอร์ของเนชั่นมีความเห็นว่าสมควรลากไส้และแฉออกมา  ตลอดจนเอาเรื่องให้ถึงที่สุดต่อทุก ๆ คนและทุก ๆ ฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้าด้วยหรือเปล่า  ขอให้ช่วยกันระดมความคิดเห็นแบบจัดหนักกันเลยนะครับ

 

 

จิ้งจกมันไปสอบทำไม มีหน้าทีอะไรไปสอบ แล้วมากล่าวหาเค้า

 

กลัวเลียไม่ถึงใจรึ

 

http://www.krobkruak...อครุภัณฑ์ฯ.html

 


 

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าชี้แจง ดีเอสไอ. กรณีทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ยืนยันความบริสุทธิ์

นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถูกกล่าวหา ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ภายใต้โครงการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ระยะที่ 2 ในวงเงินงบประมาณ 5,300 ล้านบาท และยังพบว่ามีการแต่งตั้งคนใกล้ชิดเป็นคณะกรรมการจัดซื้อ ราคาแพงเกินจริง ไม่ตรงตามสัญญา

นายชินวรณ์ กล่าวว่า โครงการนี้ได้มอบหมายให้นางสาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้รับผิดชอบ หลังพบการทุจริตได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่มีการยุบสภาก่อน ทำให้ตรวจสอบยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตดังกล่าว และวันนี้ได้นำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อครุภัณฑ์มามอบให้กับพนักงานสอบสวนด้วย

ด้านพันตำรวจโทถวัลย์ มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ กล่าวว่า ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับนายชินวรณ์ เนื่องจากเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ในการชี้มูลความผิด ส่วนนางสาวนริศรา และข้าราชการอีก 2 ท่าน ได้ให้ตัวแทนนำเอกสารมามอบให้แล้ว ซึ่งดีเอสไอ.จะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานและคำให้การทั้งหมดส่งให้กับ ป.ป.ช.ในวันจันทร์ที่ 3 ธันวาคมนี้

 

 

:lol:



#36 หงส์เฒ่าเสาร์ธรรม

หงส์เฒ่าเสาร์ธรรม

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,408 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:20

ผมเชื่อว่า ชาวเสรีไทยฯ สามารถดำเนินชีวิตในภาวะที่บ้านเมืองย่ำแย่อย่างนี้ได้ด้วยสติ ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นก็เพื่อความหวังดีแก่บ้านเมือง ให้ข้อคิดแด่คนไทยด้วยกัน

การที่เราหวังว่า ปชป จะชนะเลือกตั้งเข้ามาบริหารบ้านเมือง (อาจจะเข้ามาฟื้นฟูบ้านเมือง เหมือนที่เคยเป็นในอดีต) ก็ขึ้นอยู่กับคะแนนเสียงของประชาชน ที่เลือก ปชป ณ เวลานั้นๆ

บางจังหวัด บางเขตใน กทม คะแนนเสียงของ ปชป ก็มีขึ้นๆลงๆ เนื่องด้วย ฐานเสียงที่เคยเลือก ปชป ส่วนใหญ่ ตัดสินใจได้เอง คิดเอง อยู่ที่ ปชป. เองที่ดูแลผู้สมัคร ดูแล สส ได้ดีอย่างไร ส่งใครมาลงเป็นตัวแทน คิดดีแล้วหรือ จะดูถูกประชาชนหรือเปล่า คิดว่าส่งเสาไฟฟ้า แล้วประชาชนจะเลือกหรือ

ถ้ายังไม่ตาย ไม่เกินสิบปีนี้คงได้เห็น ปชป เป็นรัฐบาลอีกแน่นอน ..... หวังว่าคนไทยจะฉลาดมากขึ้นด้วย ไม่งั้นต้องรอไปหลายสิบปีแน่ๆ ถ้าคนยังไร้ปัญญา มีเยอะกว่า ลงคะแนนอย่างไรก็แพ้

จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ... ศีลธรรม เป็นกรอบรักษาจินตนาการให้ดำรงอยู่ด้วยความดีงาม... -_- 


#37 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:20

 

 

เกี่ยวตรงที่ พ.ท.กู้เป็นพ.ร.บ.  แตเงินกู้อยู่นอกงบประมาณแบบ พ.ร.ก. ซึ่งเงินจะไปอยู่ที่สำนักงานบริหารหนี้ แทนที่จะไปที่ธปท.ตามงบประมาณปรกติ

ไม่เป็นไปตามงบปกติ  มันก็ไม่ใช่เงินแผ่นดินตาม  169  ก็ถูกต้องอยู่แล้ว

 

 

ที่พ.ท.ไม่กู้เป็นพ.ร.ก.เพราะไม่มีเหตุอันควรที่จะกู้โดยเร่งด่วน แต่แทนที่จะไปกู้ในงบประมาณ เพื่อให้เงินอยู่ในคลัง (ธปท.) กลับเอาเงินมาอยู่นอกคลัง การเบิกจ่ายจึงไม่ต้องใช้กฏหมายสี่ฉบับ ตามมาตรา 169

 

 

 

การจ่ายเงินแผ่นดินจึงจะกระทำได้แต่เฉพาะตามกฎหมาย 4 ฉบับเท่านั้น คือ กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี, กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ, กฎหมายเกี่ยวกับการโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง เพราะกฎหมายทั้งสี่มีกฎเกณฑ์ควบคุมการใช้จ่ายเงินที่เข้มงวดมีการตรวจสอบทั้งโดยระบบราชการประจำและระบบการเมือง

 

ไม่เข้าใจที่ว่า เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน ไม่ใช่เงินของแผ่นดิน

เขาพยายามจะบอกว่า เงินไม่ได้ดูแลรักษาโดยปธท. แต่ดูแลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ จึงไม่ได้เป็นเงินของแผ่นดิน :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol: 

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ

http://th.wikipedia....ิหารหนี้สาธารณะ

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะโดยการวางแผน กำกับ และดำเนินการก่อหนี้ค้ำประกัน และปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรวมทั้งการชำระหนี้ ของรัฐบาล และการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความยั่งยืนทางการคลังและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ ถนนพระราม 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400

 

การจัดตั้งสำนักบริหารหนี้สาธารณะ ได้มีการเสนอแนวความคิดต่อคณะรัฐมนตรี และมีมติให้จัดตั้งเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2542 เป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง มีภารกิจในการกำหนดนโยบายและวางแผนการก่อหนี้ในภาพรวม การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของประเทศ การบริหารความเสี่ยง การบริหารเงินสด และ การจัดทำระบบฐานข้อมูลหนี้ของประเทศ โดยให้โอนอัตรากำลังและงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองนโยบายเงินกู้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มวิเคราะห์หนี้สาธารณะและเงินคงคลัง และส่วนหนี้สาธารณะและเงินคงคลัง ยกเว้นสายบริหารเงินคงคลัง สำนักการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง มาไว้ที่สำนักบริหารหนี้สาธารณะ

ต่อมาได้มีการยกฐานะขึ้นเป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 [2]

 

หน่วยงานในสังกัด[แก้]

  • สำนักจัดการหนี้ 1
  • สำนักจัดการหนี้ 2
  • สำนักบริหารการระดมทุนโครงการลงทุนภาครัฐ
  • สำนักบริหารการระดมทุนระบบบริหารจัดการน้ำ
  • สำนักนโยบายและแผน
  • สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้
  • สำนักบริหารการชำระหนี้
  • สำนักงานเลขานุการกรม
  • ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ
  • กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
  • กลุ่มตรวจสอบภายใน
  •  กลุ่มกฎหมาย

 

การกู้เงินในงบประมาณ และ การกู้เงินนอกงบฯ แตกต่างกันอีกประการหนึ่งคือ เงินกู้ในงบฯดูแลรักษาโดยธปท. แต่เงินกู้นอกงบประมาณดูแลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ  การกำกับดูแลจึงแตกต่างกัน การกู้เงินนอกงบฯ มีการใช้จ่ายเงินได้โดยไม่ผ่านธปท. และกฏหมายควบคุมทั้งสี่ฉบับ การอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินก็ต่างกัน

 

 

“เงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน...”
       
        ประโยคนี้คนของรัฐบาลพูดกันเป็นนกแก้วนกขุนทองตลอดสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อยืนยันว่าร่างพ.ร.บ.ให้กระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทที่กำลังพิจารณาอยู่ในชั้นกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้คาดว่าจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 ในช่วงเดือนสิงหาคม 2556 เมื่อเปิดสมัยประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป เพื่อยืนยันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
       
        เป็นการพูดเพื่อตอบโต้ความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ชุดอาจารย์คณิต ณ นคร ที่เสนอมายังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาว่าร่างกฎหมายกู้เงินมหาศาลนี้ขัดรัฐธรรมนูญหลายมาตรา โดยมาตราสำคัญที่พูดกันมาโดยตลอดคือมาตรา 169 ผมเองก็พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556 แล้ว
       
        ขอยกมาตรา 169 วรรคหนึ่งมาให้อ่านกัน
       
        “การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง เว้นแต่ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนรัฐบาลจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีเช่นว่านี้ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในพระราชบัญญัติโอนเงินงบประมาณรายจ่าย พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป ทั้งนี้ ให้กำหนดแหล่งที่มาของรายได้เพื่อชดใช้รายจ่ายที่ได้ใช้เงินคงคลังจ่ายไปก่อนแล้วด้วย”
       
       ระบอบประชาธิปไตยคือการควบคุมตรวจสอบอำนาจรัฐ
       
       สำคัญสุดคือการใช้เงิน
       
       การจ่ายเงินแผ่นดินจึงจะกระทำได้แต่เฉพาะตามกฎหมาย 4 ฉบับเท่านั้น คือ กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี, กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ, กฎหมายเกี่ยวกับการโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง เพราะกฎหมายทั้งสี่มีกฎเกณฑ์ควบคุมการใช้จ่ายเงินที่เข้มงวดมีการตรวจสอบทั้งโดยระบบราชการประจำและระบบการเมือง
       
       ไม่ใช่การออกกฎหมายพิเศษกู้เงินมาทำโครงการเฉพาะที่เริ่มมาจากโครงการไทยเข้มแข็งยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ปี 2552
       
       มาตรา 169 มี keyword สำคัญคือคำว่า...
       
        “เงินแผ่นดิน”
       
       วิธีการแบบศรีธนญชัยง่าย ๆ ที่จะบอกว่าการออกกฎหมายพิเศษกู้เงินมาใช้มาทำเฉพาะโครงการสามารถทำได้โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ก็คือการพูดประโยคที่ผมนำมาเป็นหัวเรื่องวันนี้แหละ
       
        “เงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน”
       
       เป็นการนำความเห็นจากคณะกฤษฎีกาคณะ 12 มาพูดต่อ โดยเมื่อปี 2552 หลังจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อกพระราชกำหนดไทยเข้มแข็งแล้วเกิดเกรงขึ้นมาว่าการใช้เงินจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็เลยถามไปที่คณะกรรม การกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกาตอบมาในเอกสารเรื่องเสร็จที่ 888/2552 ธันวาคม 2552 ว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 เพราะเงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน เพราะไม่มีกฎหมายใดเขียนไว้
       
       เป็นการตอบแบบอวยรัฐบาลในขณะนั้นอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิและครูบาอาจารย์ด้านการเงินการคลังของประเทศที่อยู่ในคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 12
       
       แต่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาในขณะนั้นก็คงอายอยู่ จึงมีความในย่อหน้าสุดท้ายทำนองว่านี่เป็นเพียงการตอบข้อหารือที่ทำให้รัฐบาลทำงานได้ ซึ่งก็คือสามารถใช้เงินกู้ในโครงการไทยเข้มแข็งได้ แต่ไม่ใช่การวินิจฉัยชี้ขาด เพราะไม่ใช่อำนาจหน้าที่
       
       การวินิจฉัยชี้ขาดเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
       
       เงินกู้จะถือเป็นเงินแผ่นดินตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 169 หรือไม่มีมุมมองทางกฎหมายต่างกันได้ครับ เรื่องนี้ยังไม่เคยผ่านการชี้ขาดจากศาลรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นที่สุด ผูกพันทุกองค์กร แม้แต่เงินกู้ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เป็นต้นแบบให้รัฐบาลนี้ลอกมาใช้ในโครงการ 3.5 แสนล้านบาทและ 2 ล้านล้านบาท ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่เคยชี้ในประเด็นนี้ ที่เคยชี้ว่าพระราชกำหนดถูกต้องตามรัฐธรรมนูญก็เป็นเพียงประเด็นทั่วไปตามมาตรา 184 เท่านั้น ที่รัฐบาลเอามาพูด ๆ กันวันนี้ว่าเงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดินดังนั้นจึงออกกฎหมายพิเศษได้ไม่ต้องทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ก็เป็นเพียงการจำขี้ปากคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 12 มาพูดซ้ำเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ในขี้ปากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับใช้รัฐบาลหน่วยงานนี้ครั้งนั้นเขาก็มีหมายเหตุไว้ในย่อหน้าสุดท้ายว่าไม่ใช่การชี้ขาด เพราะนั่นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
       
       เสียดายที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ยุคนั้นพอกฤษฎีกาคณะ 12 ให้ความเห็นเข้าทางตนก็ใช้เงินเลย ไม่พยายามนำเรื่องไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญก่อน
       
       เรื่องนี้ผมพูดมาหลายเดือนทั้งต่อสาธารณะและต่อเพื่อนส.ว.ขอจองกฐินแล้วว่าจะยกร่างสำนวนและขอความร่วมมือพี่น้องส.ว.ร่วมลงชื่อให้ครบ 65 คนเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยแน่ แต่ต้องเป็นขั้นตอนหลังรัฐสภาผ่านร่างกฎหมายนี้หมดแล้ว
       
       ซึ่งก็ไม่เร็วไปกว่าเดือนตุลาคม 2556 แน่นอน
       
       ทำงานอยู่ตลอด ยื่นแน่ เปิดสภาสิงหาคม 2556 นี้ก็จะเริ่มขอแรงพี่น้องส.ว.ร่วมทยอยลงชื่อให้ครบ 65 คนตามเงื่อนไข แต่ตัวคำร้องคงต้องรอปรับแก้หลังร่างกฎหมายผ่านวาระ 3 วุฒิสภาก่อน
       
       ตอนนี้ก็กำลังนำคำวินิจฉัยศาลปกครองกลาง 27 มิถุนายน 2556 กรณีโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทมาเทียบเคียงว่าควรจะเพิ่มประเด็นมาตรา 57 กับ 67 เข้าไปด้วยเลยดีไหม ซึ่งก็ต้องรอเห็นตัวร่างกฎหมายสุดท้ายก่อนอยู่ดี
       
       แต่วันนี้จะลองคิดดัง ๆ ง่าย ๆ ให้อ่านกันทิ้งท้ายนะ...
       
       ตามหลักพื้นฐานการทำงบดุล หรืองบแสดงฐานะการเงินของกิจการ หรือภาษาอังกฤษว่า 'Balance Sheet ที่มีอยู่ 2 หน้าหรือ 2 ฝั่งคือทรัพย์สินกับหนี้สินนั้น ชื่อก็บอกนะว่ามันต้อง balance คือต้องลงรายละเอียดทั้ง 2 ฝั่ง สมมติว่าประเทศหรือแผ่นดินเป็นกิจการ ในกรณีเงินกู้ เวลากู้ได้มาหรือเบิกมาใช้ก็ต้องลงงบดุลทั้งฝั่งทรัพย์สิน และฝั่งหนี้สิน เพราะเวลาใช้คืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยก็เอาจากเงินของประเทศหรือของแผ่นดิน แล้วก็นับรวมในเพดานตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ
       
       วันนี้รัฐบาลจะมาแกล้งโง่ตามคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 12 ทำไมว่าไม่ใช่เงินแผ่นดิน เพราะเท่ากับบอกว่าไม่ต้องลงบัญชีในฝั่งทรัพย์สินงั้นซิ มันจะเป็นไปได้ยังไง
       
       การลงบัญชีแต่ฝั่งหนี้สินไม่ลงฝั่งทรัพย์สิน ภาษาบัญชีเขาว่าอะไรรู้มั้ย
       
        “ไซฟ่อนเงิน” 
       
      
ที่มา : เงินกู้ ไม่ใช่เงินแผ่นดิน

 

 

"ไม่ใช่เงินแผ่นดิน แล้วเงินพ่อเงินแม่เมิ่งเหรอ" นาทีที่ 9:12


Edited by Stargate-1, 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:41.

Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#38 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:21

'เด็จพี่'จ่อยื่นดีเอสไอสอบ'มาร์ค' หวั่นแฟลตตำรวจซ้ำรอยโรงพัก

 

 

 

 

ตกลงมีปัญญามาแค่ไอ้เด็ดพี่นี่ใช่ม่ะ

 

ผมจะได้สรุปเลยว่ามั่ว

 

:lol: 



#39 Czarcasm

Czarcasm

    น้องเก่า

  • Banned
  • PipPip
  • 64 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:21

โครงการไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข ส่อเค้าการทุจริตจริง
 
นายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช ประธานคณะกรรมการสอบสวนโครงการทุจริตไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข รายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการร้องเรียนการทุจริตทั้งปวงในโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงสาธารณสุข ให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ
 
วันนี้ เวลา 13.00 น. ณ ห้องรับรองนายกรัฐมนตรี ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล  นายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช  ประธานคณะกรรมการสอบสวนโครงการทุจริตไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข  พร้อมด้วยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ที่ได้รับการแต่งตั้งตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 227/2552  จำนวน 12 คน เข้าพบ นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการร้องเรียนการทุจริตทั้งปวงในโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุข         
 
ภายหลังรายงานผลการสอบสวนฯ ต่อนายกรัฐมนตรีเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์ บรรลุ ศิริพานิช ประธานคณะกรรมการฯ ได้แถลงผลการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ แก่สื่อมวลชน ณ ห้องประชุม 201 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ       
 
รองประธานกรรมการฯ และคณะกรรมการฯ  รวม 7 คน เข้าร่วมชี้แจงด้วย นายแพทย์ บรรลุ ศิริพานิช ได้แถลงข่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้ร่วมกันนำหลักฐานการทุจริตของผลการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ (จำนวน 4,733 แผ่น)  มอบให้นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งภาพรวมของการสอบสวนสรุปสาระสำคัญดังนี้
 
1. การดำเนินการจัดตั้งงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขตามข้อร้องเรียน ส่อไปในทางที่จะทำให้เกิดการทุจริตจริง เพราะการจัดทำงบประมาณไม่เป็นไปตามหลักการและวัตถุประสงค์ของโครงการฯ  ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552   ที่มุ่งให้มี  “การลงทุนของภาครัฐในโครงการที่จะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในอนาคต” และไม่ “เป็นไปอย่างรัดกุม มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า”
 
2.  การขอตั้งงบประมาณทั้งสิ่งก่อสร้าง ครุภัณฑ์การแพทย์ และรถพยาบาล มีความผิดพลาดมากมาย การกระจายตัวไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม และราคาที่ตั้งไว้สูงเกินสมควร และมีพฤติกรรมบางอย่างที่ส่อเจตนาในการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ หากไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้อง แทนที่จะทำให้ไทยเข้มแข็งสมเจตนารมณ์ จะกลับทำให้ประเทศชาติอ่านแอลง ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญดังนี้                  
 
     2.1 งบประมาณสิ่งก่อสร้าง มุ่งเน้นการสร้างความเจริญในตัวจังหวัด แทนที่จะกระจายสู่อำเภอรอบนอก ทำให้เกิดช่องว่างของคุณภาพบริการสาธารณสุขระหว่างตัวจังหวัด  และอำเภอรอบนอก จึงทำให้ประชาชนต้องหลั่งไหลเข้าไปรับบริการในตัวจังหวัดมากขึ้น สร้างทั้งภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มความเสี่ยงระหว่างเดินทาง โดยเฉพาะกรณีของผู้ป่วยที่มีอาการหนัก                  
 
      2.2 งบประมาณสิ่งก่อสร้าง มีความกระจุกตัวในบางจังหวัด เช่น จังหวัดราชบุรี ทั้ง ๆ ที่มีโรงพยาบาลระดับจังหวัดถึง 3 แห่ง และมีโรงพยาบาลศูนย์อีก 1 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่จังหวัดหนึ่งมีโรงพยาบาลระดับจังหวัดเพียงแห่งเดียว ขณะที่บางจังหวัดซึ่งขาดแคลนกลับได้รับการจัดสรรน้อย                  
 
     2.3 งบประมาณคุรภัณฑ์การแพทย์ มีการจัดซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น และราคาแพงจำนวนมาก นอกจากเป็นการสิ้นเปลืองแล้ว ยังเป็นภาระในการบำรุงรักษา ครุภัณฑ์บางอย่างหน่วยงานไม่ได้ต้องการหรือขอมา กลับจัดสรรให้โดยส่อเจตนาแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่ง ครุภัณฑ์การแพทย์เหล่านี้ล้วนต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น                  
 
     2.4 งบประมาณส่วนใหญ่ มุ่งเน้นที่สิ่งก่อสร้างและครุภัณฑ์การแพทย์ แต่งบประมาณสำหรับการสร้างและพัฒนาบุคลากรกลับไม่ได้สัดส่วน ทำให้สิ่งก่อสร้างและเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เงินจำนวนมาก  การจัดซื้อจัดจ้างไว้ใช้ประโยชน์จึงได้ไม่คุ้มค่า         
 
3. เหตุของความบกพร่องผิดพลาด ส่อไปในทางที่จะนำให้เกิดการทุจริต สรุปสาระ ใหญ่ ๆ ได้ 3 ประการ ได้แก่                   
 
     3.1 ข้าราชการประจำอ่อนแอ ปลัดกระทรวงและรองปลัดกระทรวงที่ได้รับมอบหมายขาดความรับผิดชอบ ไม่ให้ความสำคัญกับโครงการนี้เท่าที่ควร และควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการ รวมทั้งควรมีการกำหนดนโยบาย และหลักเกณฑ์การพิจารณา ทั้งในเรื่องการกระจายงบประมาณอย่างเหมาะสม และการพิจารณากำหนดราคาที่สมควร                   
 
      การที่ผู้บริหารระดับสูงไม่เป็นผู้รับผิดชอบต่อหน้าที่ด้วยตนเอง ประกอบกับการไม่มีคณะกรรมการมาร่วมพิจารณา และไม่มีหลักเกณฑ์วางไว้ งานจึงไม่มีระบบมักเปลี่ยนแปลงตามใจของผู้มีอำนาจ                   
 
นายแพทย์บรรลุฯ  ได้แถลงย้ำในเรื่องนี้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะต้องรับผิดชอบในความบกพร่องครั้งนี้ เพราะส่อเจตนาไม่สุจริต เอื้อให้มีการกระทำตามใจชอบ และเปิดทางให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการไทยเข้มแข็ง และไม่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข แต่กลับมีพฤติกรรมก้าวก่าย ล้วงลูก กดดัน ให้มีการจัดสรรงบประมาณเกินความจำเป็นเพื่อไปลงในพื้นที่ของตนเอง และส่อเค้าว่าอาจจะมีส่วนพัวพันกับเรื่องการจัดซื้อรถพยาบาลด้วย             
 
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วจึงมีข้อเสนอสรุปสาระดังนี้
 
        (1) ควรมีการทบทวนการพิจารณาโครงการใหม่ทั้งหมด ทั้งรายการสิ่งก่อสร้าง รายการครุภัณฑ์การแพทย์ และรายการรถถพยาบาล ทั้งในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมอื่น ๆ โดยเฉพาะกรมการแพทย์  รวมทั้งโครงการพัฒนาบุคลากร ซึ่งจะต้องได้งบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม  และควรที่จะดำเนินการโดยมุ่งคุณภาพ เพื่อให้เกิดการสร้างความเข้มแข็งของประเทศอย่างแท้จริง  ไม่ใช่ทำให้ประเทศชาติอ่อนแอลงและสร้างปัญหาในระยะยาว โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มาดูแลและเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง  ควบคู่กับการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการอย่างสมเหตุสมผล โปร่งใส เลือกใช้บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขที่มีคุณภาพมาช่วยกัน ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นาน
 
        (2)  ควรมีการสอบสวนข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ยังรับราชการและที่เกษียณอายุไปแล้ว ในกรณีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่เข้าข่ายว่าเป็นความผิดที่ได้ทำมา เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
 
        (3)  ควรพิจารณาดำเนินการกับนักการเมืองที่เกี่ยวข้องตาม “กฎเห็น 9 ข้อ” ของนายกรัฐมนตรี ที่แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก (23 ธ.ค.51) โดยเฉพาะในข้อ 2 ที่  “เน้นให้ยึดถือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด” และข้อ 9 ที่ระบุว่า “ความรับผิดชอบทางการเมืองนั้นมีมาตรฐานที่สูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย”         
 
ในตอนท้ายของการแถลงข่าวฯ นายแพทย์บรรลุฯ ได้กล่าวว่า ผลการสอบสวนการทุจริตในโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขในครั้งนี้  นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง  โดยได้มีการซักถามถึงความเป็นมาและรายละเอียดของหลักฐานต่าง ๆ  ที่ส่อไปในทางทุจริตด้วยความสนใจเป็นเวลานาน  ซึ่งคาดว่าจะสามารถเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและคาดว่า เมื่อรัฐบาลได้รับทราบข้อมูลแล้ว จะมีการปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการให้คุ้มประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด สมตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในประเทศชาติต่อไป        


#40 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:23

 

โครงการไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข ส่อเค้าการทุจริตจริง
 
นายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช ประธานคณะกรรมการสอบสวนโครงการทุจริตไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข รายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการร้องเรียนการทุจริตทั้งปวงในโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงสาธารณสุข ให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ
 
วันนี้ เวลา 13.00 น. ณ ห้องรับรองนายกรัฐมนตรี ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล  นายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช  ประธานคณะกรรมการสอบสวนโครงการทุจริตไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข  พร้อมด้วยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ที่ได้รับการแต่งตั้งตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 227/2552  จำนวน 12 คน เข้าพบ นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการร้องเรียนการทุจริตทั้งปวงในโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุข         
 
ภายหลังรายงานผลการสอบสวนฯ ต่อนายกรัฐมนตรีเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์ บรรลุ ศิริพานิช ประธานคณะกรรมการฯ ได้แถลงผลการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ แก่สื่อมวลชน ณ ห้องประชุม 201 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ       
 
รองประธานกรรมการฯ และคณะกรรมการฯ  รวม 7 คน เข้าร่วมชี้แจงด้วย นายแพทย์ บรรลุ ศิริพานิช ได้แถลงข่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้ร่วมกันนำหลักฐานการทุจริตของผลการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ (จำนวน 4,733 แผ่น)  มอบให้นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งภาพรวมของการสอบสวนสรุปสาระสำคัญดังนี้
 
1. การดำเนินการจัดตั้งงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขตามข้อร้องเรียน ส่อไปในทางที่จะทำให้เกิดการทุจริตจริง เพราะการจัดทำงบประมาณไม่เป็นไปตามหลักการและวัตถุประสงค์ของโครงการฯ  ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552   ที่มุ่งให้มี  “การลงทุนของภาครัฐในโครงการที่จะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในอนาคต” และไม่ “เป็นไปอย่างรัดกุม มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า”
 
2.  การขอตั้งงบประมาณทั้งสิ่งก่อสร้าง ครุภัณฑ์การแพทย์ และรถพยาบาล มีความผิดพลาดมากมาย การกระจายตัวไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม และราคาที่ตั้งไว้สูงเกินสมควร และมีพฤติกรรมบางอย่างที่ส่อเจตนาในการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ หากไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้อง แทนที่จะทำให้ไทยเข้มแข็งสมเจตนารมณ์ จะกลับทำให้ประเทศชาติอ่านแอลง ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญดังนี้                  
 
     2.1 งบประมาณสิ่งก่อสร้าง มุ่งเน้นการสร้างความเจริญในตัวจังหวัด แทนที่จะกระจายสู่อำเภอรอบนอก ทำให้เกิดช่องว่างของคุณภาพบริการสาธารณสุขระหว่างตัวจังหวัด  และอำเภอรอบนอก จึงทำให้ประชาชนต้องหลั่งไหลเข้าไปรับบริการในตัวจังหวัดมากขึ้น สร้างทั้งภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มความเสี่ยงระหว่างเดินทาง โดยเฉพาะกรณีของผู้ป่วยที่มีอาการหนัก                  
 
      2.2 งบประมาณสิ่งก่อสร้าง มีความกระจุกตัวในบางจังหวัด เช่น จังหวัดราชบุรี ทั้ง ๆ ที่มีโรงพยาบาลระดับจังหวัดถึง 3 แห่ง และมีโรงพยาบาลศูนย์อีก 1 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่จังหวัดหนึ่งมีโรงพยาบาลระดับจังหวัดเพียงแห่งเดียว ขณะที่บางจังหวัดซึ่งขาดแคลนกลับได้รับการจัดสรรน้อย                  
 
     2.3 งบประมาณคุรภัณฑ์การแพทย์ มีการจัดซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น และราคาแพงจำนวนมาก นอกจากเป็นการสิ้นเปลืองแล้ว ยังเป็นภาระในการบำรุงรักษา ครุภัณฑ์บางอย่างหน่วยงานไม่ได้ต้องการหรือขอมา กลับจัดสรรให้โดยส่อเจตนาแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่ง ครุภัณฑ์การแพทย์เหล่านี้ล้วนต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น                  
 
     2.4 งบประมาณส่วนใหญ่ มุ่งเน้นที่สิ่งก่อสร้างและครุภัณฑ์การแพทย์ แต่งบประมาณสำหรับการสร้างและพัฒนาบุคลากรกลับไม่ได้สัดส่วน ทำให้สิ่งก่อสร้างและเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เงินจำนวนมาก  การจัดซื้อจัดจ้างไว้ใช้ประโยชน์จึงได้ไม่คุ้มค่า         
 
3. เหตุของความบกพร่องผิดพลาด ส่อไปในทางที่จะนำให้เกิดการทุจริต สรุปสาระ ใหญ่ ๆ ได้ 3 ประการ ได้แก่                   
 
     3.1 ข้าราชการประจำอ่อนแอ ปลัดกระทรวงและรองปลัดกระทรวงที่ได้รับมอบหมายขาดความรับผิดชอบ ไม่ให้ความสำคัญกับโครงการนี้เท่าที่ควร และควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการ รวมทั้งควรมีการกำหนดนโยบาย และหลักเกณฑ์การพิจารณา ทั้งในเรื่องการกระจายงบประมาณอย่างเหมาะสม และการพิจารณากำหนดราคาที่สมควร                   
 
      การที่ผู้บริหารระดับสูงไม่เป็นผู้รับผิดชอบต่อหน้าที่ด้วยตนเอง ประกอบกับการไม่มีคณะกรรมการมาร่วมพิจารณา และไม่มีหลักเกณฑ์วางไว้ งานจึงไม่มีระบบมักเปลี่ยนแปลงตามใจของผู้มีอำนาจ                   
 
นายแพทย์บรรลุฯ  ได้แถลงย้ำในเรื่องนี้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะต้องรับผิดชอบในความบกพร่องครั้งนี้ เพราะส่อเจตนาไม่สุจริต เอื้อให้มีการกระทำตามใจชอบ และเปิดทางให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการไทยเข้มแข็ง และไม่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข แต่กลับมีพฤติกรรมก้าวก่าย ล้วงลูก กดดัน ให้มีการจัดสรรงบประมาณเกินความจำเป็นเพื่อไปลงในพื้นที่ของตนเอง และส่อเค้าว่าอาจจะมีส่วนพัวพันกับเรื่องการจัดซื้อรถพยาบาลด้วย             
 
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วจึงมีข้อเสนอสรุปสาระดังนี้
 
        (1) ควรมีการทบทวนการพิจารณาโครงการใหม่ทั้งหมด ทั้งรายการสิ่งก่อสร้าง รายการครุภัณฑ์การแพทย์ และรายการรถถพยาบาล ทั้งในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมอื่น ๆ โดยเฉพาะกรมการแพทย์  รวมทั้งโครงการพัฒนาบุคลากร ซึ่งจะต้องได้งบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม  และควรที่จะดำเนินการโดยมุ่งคุณภาพ เพื่อให้เกิดการสร้างความเข้มแข็งของประเทศอย่างแท้จริง  ไม่ใช่ทำให้ประเทศชาติอ่อนแอลงและสร้างปัญหาในระยะยาว โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มาดูแลและเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง  ควบคู่กับการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการอย่างสมเหตุสมผล โปร่งใส เลือกใช้บุคลากรกระทรวงสาธารณสุขที่มีคุณภาพมาช่วยกัน ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นาน
 
        (2)  ควรมีการสอบสวนข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ยังรับราชการและที่เกษียณอายุไปแล้ว ในกรณีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่เข้าข่ายว่าเป็นความผิดที่ได้ทำมา เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
 
        (3)  ควรพิจารณาดำเนินการกับนักการเมืองที่เกี่ยวข้องตาม “กฎเห็น 9 ข้อ” ของนายกรัฐมนตรี ที่แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก (23 ธ.ค.51) โดยเฉพาะในข้อ 2 ที่  “เน้นให้ยึดถือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด” และข้อ 9 ที่ระบุว่า “ความรับผิดชอบทางการเมืองนั้นมีมาตรฐานที่สูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย”         
 
ในตอนท้ายของการแถลงข่าวฯ นายแพทย์บรรลุฯ ได้กล่าวว่า ผลการสอบสวนการทุจริตในโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขในครั้งนี้  นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง  โดยได้มีการซักถามถึงความเป็นมาและรายละเอียดของหลักฐานต่าง ๆ  ที่ส่อไปในทางทุจริตด้วยความสนใจเป็นเวลานาน  ซึ่งคาดว่าจะสามารถเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและคาดว่า เมื่อรัฐบาลได้รับทราบข้อมูลแล้ว จะมีการปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการให้คุ้มประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด สมตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในประเทศชาติต่อไป        

 

 

 

อ่านแล้วสรุปว่าเค้าโกงไปยัง

 

:lol: 



#41 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:25

 

แตะไปกระทรวงไหน ก็เจอทุกกระทรวง

 

ฉาว! โกงสร้างถนน 4 โครงการไทยเข้มแข็ง
 
 
         

 

 

 

หมดกู้เกิ้ลยัง

 

:lol: 



#42 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:26

 

 

 

แตะไปกระทรวงไหน ก็เจอทุกกระทรวง

 

ฉาว! โกงสร้างถนน 4 โครงการไทยเข้มแข็ง
 
 
         

 

 

 

หมดกู้เกิ้ลยัง

 

:lol: 

 

 

 

 

มีอีกเยอะครับ   :D  :D  :D 

 

 

 

แล้วอันนี้ เอาเป็นว่าทุกอันเลยดีกว่า อีโง่เป็นรัฐบาลมา 3 ปี สรุปตอนนี้เค้าฟ้องไปถึงไหน..

 

:lol: 


Edited by 55555, 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:27.


#43 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:29

 

 

 

 

แตะไปกระทรวงไหน ก็เจอทุกกระทรวง

 

ฉาว! โกงสร้างถนน 4 โครงการไทยเข้มแข็ง
 
 
         

 

 

 

หมดกู้เกิ้ลยัง

 

:lol: 

 

 

 

 

มีอีกเยอะครับ   :D  :D  :D 

 

 

 

แล้วอันนี้ เอาเป็นว่าทุกอันเลยดีกว่า อีโง่เป็นรัฐบาลมา 3 ปี สรุปตอนนี้เค้าฟ้องไปถึงไหน..

 

:lol: 

 

 

หรือกล่าวหาลอย ๆ

 

:lol: 


Edited by 55555, 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:30.


#44 เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง

เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,247 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:30

 

ปชป.สไตล์ กินง่ายไทยเข้มแข็ง..แยกรับประทาน กระจายโครงการ-งบฯ-ความเสี่ยง เลี่ยงตรวจสอบ

 

“แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสอง ในระยะเวลา 3 ปี ภายใต้วงเงินงบประมาณจาก พ.ร.ก.และพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน “8 แสนล้านบาท”(แปดแสนล้านบาท) 


แต่ไม่กี่เดือนที่เริ่มโครงการ “วิทยา แก้วภราดรัย” รมว.สาธารณสุข และ “มานิตย์ นพอมรบดี” รมช.สาธารณสุข ก็กลายเป็น 2 รัฐมนตรีแรกๆ ที่ถูก “คณะกรรมการสอบสวนโครงการไทยเข้มแข็งกระทรวงสาธารณสุข” 86,000 ล้านบาท (แปดหมื่นหกพันล้านบาท) ชี้ว่า “เจตนาไม่สุจริต” จนต้องออกจากตำแหน่ง 


ในช่วงใกล้เคียงกันกับที่ “กอร์ปศักดิ์ สภาวะสุ” รองนายกรัฐมนตรี “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็คืออีกคนหนึ่งที่ต้องตกเก้าอี้ “รองนายกรัฐมนตรี” จาก “โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน” หรือ “ชุมชนพอเพียง” ที่มีงบประมาณสูงถึง 20,000 ล้านบาท (สองหมื่นล้านบาท) ภายหลังจากข้อมูลการทุจริตพรั่งพรูออกมาราวเขื่อนแตก !!!

 

ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดตาม “แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ในรายละเอียดตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ จะพบว่า “กระทรวง”ภายใต้การกำกับดูแลของ “พรรคประชาธิปัตย์” ในฐานะ “แกนนำจัดตั้งรัฐบาล” จะได้รับการจัดสรรสูงสุดอย่างน่าประหลาดแล้วงบประมาณส่วนที่เหลือก็จะค่อยๆ ผ่องถ่ายไปยัง “พรรคร่วมรัฐบาล” อื่น อย่าง “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” ที่อิ่มหมีพลีมันเป็นอันดับต่อมาโดย “พรรคประชาธิปัตย์” หลังจากได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็ได้ตั้งงบกลางมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจยกแรก “1.167 แสนล้านบาท” ในงบประมาณปี 2552

ซึ่งงบก้อนนี้อยู่ในการบริหารจัดการของพรรคประชาธิปัตย์เป็นส่วนใหญ่ คือ 7.4 หมื่นล้านบาท อาทิ “โครงการช่วยเหลือบุคลากรภาครัฐ” ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน โดยช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ 2,000 บาท ใช้งบ 2,652 ล้านบาท
โครงการค่าใช้จ่ายเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน 6,900 ล้านบาท
โครงการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาทต่อผู้ประกันตน จำนวน 8,138,815 คน
โครงการเรียนฟรี 15 ปี ใช้งบประมาณ 2.46 หมื่นล้านบาท
โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน 15,200 ล้านบาท
โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจชั้นประทวน 1,808 ล้านบาท
โครงการปรับปรุงสถานีอนามัย 1,095 ล้านบาท

ส่วน “พรรคภูมิใจไทย” ที่ดูแลกระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์นั้น ในงบกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งแรก ได้รับงบประมาณไปกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท โดยโครงการสำคัญได้แก่
โครงการจัดสร้างทางในหมู่บ้านของกรมทางหลวงชนบท 490 กิโลเมตร 1,500 ล้านบาท
กระทรวงมหาดไทยได้รับงบ 12,552 ล้านบาท เป็นโครงการสร้างหลักประกันรายได้ 9,000 ล้านบาท เบี้ยผู้สูงอายุคนละ 500 บาท
โครงการสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี ได้รับงบ 552ล้านบาทให้กับโรงเรียนในกำกับของอปท. 1,036 แห่ง
โครงการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)และประชาชนในท้องถิ่น 3,000 ล้านบาท และกรมการค้าภายในได้รับจัดสรร 1,000 ล้านบาททำกิจกรรมธงฟ้า
เมื่อมาถึง โครงการไทยเข้มแข็งนี้มีระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (2553-2555) โดยจะใช้งบมาจาก 3 ส่วนได้แก่ งบประมาณปี 2553 จำนวน 613,855 ล้านบาท เงินกู้จากพ.ร.ก.และพ.ร.บ. 8 แสนล้าน จำนวน 692,244 ล้านบาทและรายได้อื่นๆ 260,768 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2554-2555 จะมีการใช้งบประมาณประจำปี 2554 และ 2555 มารวมด้วย จึงทำให้งบก้อนนี้เป็นงบก้อนใหญ่มหึมาและผูกพันเป็นระยะเวลาถึง 3 ปี
ปรากฏว่าตลอดยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มีการใช้งบประมาณจำนวนมาก ในระยะเวลาไม่กี่ปี กลับถูกครหาเรื่องการทุจริตมากมาย ตามที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น
เพราะโครงการต่างๆ ตาม “แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง” นั้นมีรูปแบบเฉพาะ คือโครงการส่วนใหญ่ จะเป็นโครงการ “ขนาดกลาง” และ “ขนาดเล็ก” แล้ว “กระจายตัว” เป็น “โครงการยิบย่อย” ลงไปในแต่ละที่ ซึ่งทำให้ “ยากต่อการติดตามตรวจสอบ”
แต่กลับปรากฏว่า “โครงการยิบย่อย” ที่กระจายตัวเป็นโครงการเล็กโครงการน้อย ไปในพื้นที่ต่างๆเหล่านั้น กลับถูกตรวจสอบโดยประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างมาก จนพบว่าทั้งในวงเสวนาของประชาชนและนักวิชาการ ในช่วงนั้นกลับมีการนำเสนอข้อมูลที่น่าตกใจคือ หลายโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งมีตัวเลขทุจริตสูงถึง 20-30% ของงบประมาณ 
โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างขนาดเล็กในพื้นที่ต่างๆ กลับยิ่งพบว่า สามารถทุจริตได้มากถึง 50-100% เนื่องจากในบางโครงการ เช่นโครงการขุดลอกคลอง ที่มีการตั้งงบประมาณเอาไว้ระดับ 5 แสน – 1 ล้านบาท บางโครงการกลับไม่พบว่ามีการขุดลอกคลองจริงตามที่ได้มีการกำหนดเอาไว้ในการเสนอโครงการ
ซึ่งครั้งหนึ่ง หนังสือพิมพ์โพสท์ทูเดย์ เคยประเมินเอาไว้ว่า การทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง 230 โครงการ ภายใต้วงเงินงบประมาณ 199,960 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของโครงการทั้งหมดนั้น อาจจะมีการทุจริตสสูงถึง 49,990 ล้านบาท 
โดยถ้าทุจริต 20 % จะทำให้เกิดความเสียหาย 39,999 ล้านบาท และถ้าทุจริต 25% จะมีความเสียหายเกิดขึ้นถึง 49,990 ล้านบาท

 

 

22724.jpg?resize=400%2C366

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ดังนั้นจุดนี้จึงกลายเป็น “จุดบอด” ของ “แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า งบประมาณจากโครงการที่กระจายตัวไปยังองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 25% ของงบประมาณทั้งหมดนั้นได้มีการดำเนินการจริงหรือไม่ หรือหากมีการดำเนินการจริง จนถึงวันนี้แต่ละโครงการมีความคืบหน้าหรือประสบความสำเร็จตามแผนที่กำหนดเอาไว้หรือไม่ 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งบประมาณในส่วนของกระทรวงคมนาคม อาทิ “งบบำรุงรักษาทางหลวง” ที่กระทรวงคมนาคมได้งบในส่วนนี้ไปถึง 44,865 ล้านบาท หรืองานพัฒนาทางหลวง 9,100 ล้านบาท หรืองานอำนวยความปลอดภัย 12,870 ล้านบาท เพราะเป็นงบในลักษณะเดียวกัน คือมีรายละเอียดยิบย่อยจำนวนมาก ตรวจสอบยาก
รวมไปถึง “โครงการถนนไร้ฝุ่น” ที่สามารถทุจริตได้ง่าย ตั้งแต่รูปแบบการประมูล และผลประโยชน์จะตกไปอยู่กับ ส.ส.ที่เป็นนายทุนพรรค และผู้รับเหมาขนาดกลาง ซึ่งทำให้ ตรวจสอบยาก…แต่กินง่าย !!!

 

 

อ่า...อย่าลืมให้รัฐบาลนี้ฟ้องร้องเอาผิดด้วยนะคะ เอาให้หนีคุกเหมือนไอ้แม้วเลย :D  :P


ทักษิณเป็นเทพเจ้าจริงๆนะ ไม่เชื่อถาม เสื้อแดง ดูสิ

#45 nnnn43

nnnn43

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,771 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:30

 

“แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสอง ในระยะเวลา 3 ปี ภายใต้วงเงินงบประมาณจาก พ.ร.ก.และพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน “8 แสนล้านบาท”(แปดแสนล้านบาท) 

 

กู้ 8 แสนล้านมีหลักฐานมั้ย :lol:  :lol:


ผู้ที่ขาดคุณธรรม ย่อมไม่มีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ ผู้ที่ขาดความรู้ ย่อมไม่มีสายตาอันกว้างไกล พูดคนฉลาดหนี่งคำ พูดคนโง่ร้อยคำ

#46 เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง

เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,247 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:41

 

อ่า...อย่าลืมให้รัฐบาลนี้ฟ้องร้องเอาผิดด้วยนะคะ เอาให้หนีคุกเหมือนไอ้แม้วเลย :D  :P

 

 

 

ใจเย็นๆ ครับ เขาเล่นแน่ อย่าไปว่าเขากลันแกล้งก็แล้วกันครับ  :D  :D 

 

 

ช้าจัง รอร้อรอ รอมาตั้งแต่สมัยเผาไทยเป็นฝ่ายค้านจนเป็นรัฐบาลอีกสองปีกว่ายังไม่กล้าฟ้องศาล  ไม่เห็นเหมือน ปชป เลย บอกจะฟ้องอย่างช้าอาทิตย์เดียวเรื่องถึงศาลแล้ว  ไปเชกดูสิ อิปูเจอไปกี่คดีแล้ว :D


ทักษิณเป็นเทพเจ้าจริงๆนะ ไม่เชื่อถาม เสื้อแดง ดูสิ

#47 sigree

sigree

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,883 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:42

555555555555

 

ไม่น่าเชื่อ  เวลาเสนออะไรเพื่อความก้าวหน้า ปชป นี้ แดงจะยิ่งกว่าไส้เดือนโดนขี้เถ้า

 

ดิ้นกันเป็นแถว  บอกไม่กลัวเชาชนะเลือกตั้ง แต่ค้านกันจัง

 

ปชป คือ ปชป 

 

หนทางไปสู้เรื่องเดียวกัน  ไม่จำเป็นต้องใช่วิธีเดียวกัน

 

ปชป มีหนทางตัวเอง  หนทางดันดีกว่าจนแดงพลานวิ่งว่านู่ ว่านี้  ไม่สามารถแงะเนื้อหาดีๆมาเทียบได้ว่า

 

การกู้ของพวกตัว  ดีกว่าการไม่กู้ยังไง

 

สาระไม่ตอบ  หลุดไปมั่วเรื่องนู่นี้ไปหมด



#48 ดอน

ดอน

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 2,872 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:42

 

 

 

เกี่ยวตรงที่ พ.ท.กู้เป็นพ.ร.บ.  แตเงินกู้อยู่นอกงบประมาณแบบ พ.ร.ก. ซึ่งเงินจะไปอยู่ที่สำนักงานบริหารหนี้ แทนที่จะไปที่ธปท.ตามงบประมาณปรกติ

ไม่เป็นไปตามงบปกติ  มันก็ไม่ใช่เงินแผ่นดินตาม  169  ก็ถูกต้องอยู่แล้ว

 

 

ที่พ.ท.ไม่กู้เป็นพ.ร.ก.เพราะไม่มีเหตุอันควรที่จะกู้โดยเร่งด่วน แต่แทนที่จะไปกู้ในงบประมาณ เพื่อให้เงินอยู่ในคลัง (ธปท.) กลับเอาเงินมาอยู่นอกคลัง การเบิกจ่ายจึงไม่ต้องใช้กฏหมายสี่ฉบับ แม้แต่ มาตรา 169

 

 

 

การจ่ายเงินแผ่นดินจึงจะกระทำได้แต่เฉพาะตามกฎหมาย 4 ฉบับเท่านั้น คือ กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี, กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ, กฎหมายเกี่ยวกับการโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง เพราะกฎหมายทั้งสี่มีกฎเกณฑ์ควบคุมการใช้จ่ายเงินที่เข้มงวดมีการตรวจสอบทั้งโดยระบบราชการประจำและระบบการเมือง

 

ไม่เข้าใจที่ว่า เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน ไม่ใช่เงินของแผ่นดิน

เขาพยายามจะบอกว่า เงินไม่ได้ดูแลรักษาโดยปธท. แต่ดูแลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ จึงไม่ได้เป็นเงินของแผ่นดิน :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol: 

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ

http://th.wikipedia....ิหารหนี้สาธารณะ

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะโดยการวางแผน กำกับ และดำเนินการก่อหนี้ค้ำประกัน และปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรวมทั้งการชำระหนี้ ของรัฐบาล และการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความยั่งยืนทางการคลังและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ ถนนพระราม 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400

 

การจัดตั้งสำนักบริหารหนี้สาธารณะ ได้มีการเสนอแนวความคิดต่อคณะรัฐมนตรี และมีมติให้จัดตั้งเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2542 เป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง มีภารกิจในการกำหนดนโยบายและวางแผนการก่อหนี้ในภาพรวม การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของประเทศ การบริหารความเสี่ยง การบริหารเงินสด และ การจัดทำระบบฐานข้อมูลหนี้ของประเทศ โดยให้โอนอัตรากำลังและงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองนโยบายเงินกู้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มวิเคราะห์หนี้สาธารณะและเงินคงคลัง และส่วนหนี้สาธารณะและเงินคงคลัง ยกเว้นสายบริหารเงินคงคลัง สำนักการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง มาไว้ที่สำนักบริหารหนี้สาธารณะ

ต่อมาได้มีการยกฐานะขึ้นเป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 [2]

 

หน่วยงานในสังกัด[แก้]

  • สำนักจัดการหนี้ 1
  • สำนักจัดการหนี้ 2
  • สำนักบริหารการระดมทุนโครงการลงทุนภาครัฐ
  • สำนักบริหารการระดมทุนระบบบริหารจัดการน้ำ
  • สำนักนโยบายและแผน
  • สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้
  • สำนักบริหารการชำระหนี้
  • สำนักงานเลขานุการกรม
  • ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ
  • กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
  • กลุ่มตรวจสอบภายใน
  •  กลุ่มกฎหมาย

 

การกู้เงินในงบประมาณ และ การกู้เงินนอกงบฯ แตกต่างกันอีกประการหนึ่งคือ เงินกู้ในงบฯดูแลรักษาโดยธปท. แต่เงินกู้นอกงบประมาณดูแลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ  การกำกับดูแลจึงแตกต่างกัน การกู้เงินนอกงบฯ มีการใช้จ่ายเงินได้โดยไม่ผ่านธปท. และกฏหมายควบคุมทั้งสี่ฉบับ การอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินก็ต่างกัน

 

 

“เงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน...”
       
        ประโยคนี้คนของรัฐบาลพูดกันเป็นนกแก้วนกขุนทองตลอดสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อยืนยันว่าร่างพ.ร.บ.ให้กระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทที่กำลังพิจารณาอยู่ในชั้นกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้คาดว่าจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 ในช่วงเดือนสิงหาคม 2556 เมื่อเปิดสมัยประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป เพื่อยืนยันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
       
        เป็นการพูดเพื่อตอบโต้ความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ชุดอาจารย์คณิต ณ นคร ที่เสนอมายังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาว่าร่างกฎหมายกู้เงินมหาศาลนี้ขัดรัฐธรรมนูญหลายมาตรา โดยมาตราสำคัญที่พูดกันมาโดยตลอดคือมาตรา 169 ผมเองก็พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556 แล้ว
       
        ขอยกมาตรา 169 วรรคหนึ่งมาให้อ่านกัน
       
        “การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง เว้นแต่ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนรัฐบาลจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีเช่นว่านี้ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในพระราชบัญญัติโอนเงินงบประมาณรายจ่าย พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป ทั้งนี้ ให้กำหนดแหล่งที่มาของรายได้เพื่อชดใช้รายจ่ายที่ได้ใช้เงินคงคลังจ่ายไปก่อนแล้วด้วย”
       
       ระบอบประชาธิปไตยคือการควบคุมตรวจสอบอำนาจรัฐ
       
       สำคัญสุดคือการใช้เงิน
       
       การจ่ายเงินแผ่นดินจึงจะกระทำได้แต่เฉพาะตามกฎหมาย 4 ฉบับเท่านั้น คือ กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี, กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ, กฎหมายเกี่ยวกับการโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง เพราะกฎหมายทั้งสี่มีกฎเกณฑ์ควบคุมการใช้จ่ายเงินที่เข้มงวดมีการตรวจสอบทั้งโดยระบบราชการประจำและระบบการเมือง
       
       ไม่ใช่การออกกฎหมายพิเศษกู้เงินมาทำโครงการเฉพาะที่เริ่มมาจากโครงการไทยเข้มแข็งยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ปี 2552
       
       มาตรา 169 มี keyword สำคัญคือคำว่า...
       
        “เงินแผ่นดิน”
       
       วิธีการแบบศรีธนญชัยง่าย ๆ ที่จะบอกว่าการออกกฎหมายพิเศษกู้เงินมาใช้มาทำเฉพาะโครงการสามารถทำได้โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ก็คือการพูดประโยคที่ผมนำมาเป็นหัวเรื่องวันนี้แหละ
       
        “เงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน”
       
       เป็นการนำความเห็นจากคณะกฤษฎีกาคณะ 12 มาพูดต่อ โดยเมื่อปี 2552 หลังจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อกพระราชกำหนดไทยเข้มแข็งแล้วเกิดเกรงขึ้นมาว่าการใช้เงินจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็เลยถามไปที่คณะกรรม การกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกาตอบมาในเอกสารเรื่องเสร็จที่ 888/2552 ธันวาคม 2552 ว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 เพราะเงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน เพราะไม่มีกฎหมายใดเขียนไว้
       
       เป็นการตอบแบบอวยรัฐบาลในขณะนั้นอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิและครูบาอาจารย์ด้านการเงินการคลังของประเทศที่อยู่ในคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 12
       
       แต่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาในขณะนั้นก็คงอายอยู่ จึงมีความในย่อหน้าสุดท้ายทำนองว่านี่เป็นเพียงการตอบข้อหารือที่ทำให้รัฐบาลทำงานได้ ซึ่งก็คือสามารถใช้เงินกู้ในโครงการไทยเข้มแข็งได้ แต่ไม่ใช่การวินิจฉัยชี้ขาด เพราะไม่ใช่อำนาจหน้าที่
       
       การวินิจฉัยชี้ขาดเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
       
       เงินกู้จะถือเป็นเงินแผ่นดินตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 169 หรือไม่มีมุมมองทางกฎหมายต่างกันได้ครับ เรื่องนี้ยังไม่เคยผ่านการชี้ขาดจากศาลรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นที่สุด ผูกพันทุกองค์กร แม้แต่เงินกู้ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เป็นต้นแบบให้รัฐบาลนี้ลอกมาใช้ในโครงการ 3.5 แสนล้านบาทและ 2 ล้านล้านบาท ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่เคยชี้ในประเด็นนี้ ที่เคยชี้ว่าพระราชกำหนดถูกต้องตามรัฐธรรมนูญก็เป็นเพียงประเด็นทั่วไปตามมาตรา 184 เท่านั้น ที่รัฐบาลเอามาพูด ๆ กันวันนี้ว่าเงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดินดังนั้นจึงออกกฎหมายพิเศษได้ไม่ต้องทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ก็เป็นเพียงการจำขี้ปากคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 12 มาพูดซ้ำเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ในขี้ปากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับใช้รัฐบาลหน่วยงานนี้ครั้งนั้นเขาก็มีหมายเหตุไว้ในย่อหน้าสุดท้ายว่าไม่ใช่การชี้ขาด เพราะนั่นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
       
       เสียดายที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ยุคนั้นพอกฤษฎีกาคณะ 12 ให้ความเห็นเข้าทางตนก็ใช้เงินเลย ไม่พยายามนำเรื่องไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญก่อน
       
       เรื่องนี้ผมพูดมาหลายเดือนทั้งต่อสาธารณะและต่อเพื่อนส.ว.ขอจองกฐินแล้วว่าจะยกร่างสำนวนและขอความร่วมมือพี่น้องส.ว.ร่วมลงชื่อให้ครบ 65 คนเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยแน่ แต่ต้องเป็นขั้นตอนหลังรัฐสภาผ่านร่างกฎหมายนี้หมดแล้ว
       
       ซึ่งก็ไม่เร็วไปกว่าเดือนตุลาคม 2556 แน่นอน
       
       ทำงานอยู่ตลอด ยื่นแน่ เปิดสภาสิงหาคม 2556 นี้ก็จะเริ่มขอแรงพี่น้องส.ว.ร่วมทยอยลงชื่อให้ครบ 65 คนตามเงื่อนไข แต่ตัวคำร้องคงต้องรอปรับแก้หลังร่างกฎหมายผ่านวาระ 3 วุฒิสภาก่อน
       
       ตอนนี้ก็กำลังนำคำวินิจฉัยศาลปกครองกลาง 27 มิถุนายน 2556 กรณีโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทมาเทียบเคียงว่าควรจะเพิ่มประเด็นมาตรา 57 กับ 67 เข้าไปด้วยเลยดีไหม ซึ่งก็ต้องรอเห็นตัวร่างกฎหมายสุดท้ายก่อนอยู่ดี
       
       แต่วันนี้จะลองคิดดัง ๆ ง่าย ๆ ให้อ่านกันทิ้งท้ายนะ...
       
       ตามหลักพื้นฐานการทำงบดุล หรืองบแสดงฐานะการเงินของกิจการ หรือภาษาอังกฤษว่า 'Balance Sheet ที่มีอยู่ 2 หน้าหรือ 2 ฝั่งคือทรัพย์สินกับหนี้สินนั้น ชื่อก็บอกนะว่ามันต้อง balance คือต้องลงรายละเอียดทั้ง 2 ฝั่ง สมมติว่าประเทศหรือแผ่นดินเป็นกิจการ ในกรณีเงินกู้ เวลากู้ได้มาหรือเบิกมาใช้ก็ต้องลงงบดุลทั้งฝั่งทรัพย์สิน และฝั่งหนี้สิน เพราะเวลาใช้คืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยก็เอาจากเงินของประเทศหรือของแผ่นดิน แล้วก็นับรวมในเพดานตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ
       
       วันนี้รัฐบาลจะมาแกล้งโง่ตามคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 12 ทำไมว่าไม่ใช่เงินแผ่นดิน เพราะเท่ากับบอกว่าไม่ต้องลงบัญชีในฝั่งทรัพย์สินงั้นซิ มันจะเป็นไปได้ยังไง
       
       การลงบัญชีแต่ฝั่งหนี้สินไม่ลงฝั่งทรัพย์สิน ภาษาบัญชีเขาว่าอะไรรู้มั้ย
       
        “ไซฟ่อนเงิน”
       
       เรื่องนี้ผมเคยบอกคนสำคัญในรัฐบาลประชาธิปัตย์ช่วงปี 2552 แล้วว่าท่านกำลังสร้างมาตรฐานใหม่ในการใช้เงินที่ไม่ถูกต้องไว้เป็นตัวอย่างให้รัฐบาลต่อไป แล้วก็จริง รัฐบาลนี้แทบจะลอกพระราชกำหนดไทยเข้มแข็งมาเป็นพระราชกำหนด 3.5 แสนล้านและร่างพระราชบัญญัติ 2 ล้านล้าน
       
       เรื่องนี้ไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญแน่นอน ! 


ที่มา : เงินกู้ ไม่ใช่เงินแผ่นดิน

 

 

"ไม่ใช่เงินแผ่นดิน แล้วเงินพ่อเงินแม่เมิ่งเหรอ" นาทีที่ 9:12

 

บ้านเมืองเราอยู่ด้วยกฎหมาย  ไม่ใช่จริตหรือความรู้สึก

ถึงแม้ความรู้สึกเราจะคิดว่าเป็นเงินแผ่นดิน แต่ถ้าตามกฎหมายไม่ใช่มันก็คือไม่ใช่

ไอ่คำพูดข้างล่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นคำพูดของผู้พิพากษา   แล้วอย่างนี้ศาลบางศาลจะเชื่อถือได้อย่างไร

 

"ไม่ใช่เงินแผ่นดิน แล้วเงินพ่อเงินแม่เมิ่งเหรอ" 


จงกล้าที่จะใช้ปัญญาญาณของตนเอง  โดยปราศจากการชี้นำจากผู้อื่น(คานท์)


#49 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:43

 

อ่า...อย่าลืมให้รัฐบาลนี้ฟ้องร้องเอาผิดด้วยนะคะ เอาให้หนีคุกเหมือนไอ้แม้วเลย :D  :P

 

 

 

ใจเย็นๆ ครับ เขาเล่นแน่ อย่าไปว่าเขากลันแกล้งก็แล้วกันครับ  :D  :D 

 

 

แล้วตกลงไอ้ที่เอามาแปะเนี่ย เป็นใครมั่งนึกออกยัง..

 

http://webboard.seri...ณิช-จี้ส/page-1

 


 

กรณ์ จาติกวณิช” นั้นก็คือ อดีต “ขุนคลัง” ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้ซึ่งเป็นต้นเรื่อง “แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” เนื่องจากเป็นกำลังหลักในการ ผลักดัน “พ.ร.ก.กู้เงิน” และ “พ.ร.บ.กู้เงิน” จำนวนทั้งสิ้นกว่า 8 แสนล้านบาท มาละลายในระยะเวลา 2 ปีที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เป็นรัฐบาล
แต่ดูเหมือนว่า “กรณ์” ที่ออกมาแอ๊คชั่นเป็น “กูรูเศรษฐกิจ” ในครั้งนี้ จะลืมไปว่า “แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ที่ตัวเองเป็นผู้กุมบังเหียนนั้น ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
หลายต่อหลายโครงการถูกตรวจสอบพบการทุจริตและผิดปกติกันอย่างมโหฬาร จนกระทั่ง 1 รองนายกฯ 1 รัฐมนตรี และ 1 รัฐมนตรีช่วยฯ ต้องหลุดออกจากตำแหน่ง

 

หรือว่าเห็นบทความมันกล่าวหา ปชป. เลยแปะมันส่งเดชไปงั้น

 

:lol:



#50 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:44

 

 

 

 

เกี่ยวตรงที่ พ.ท.กู้เป็นพ.ร.บ.  แตเงินกู้อยู่นอกงบประมาณแบบ พ.ร.ก. ซึ่งเงินจะไปอยู่ที่สำนักงานบริหารหนี้ แทนที่จะไปที่ธปท.ตามงบประมาณปรกติ

ไม่เป็นไปตามงบปกติ  มันก็ไม่ใช่เงินแผ่นดินตาม  169  ก็ถูกต้องอยู่แล้ว

 

 

ที่พ.ท.ไม่กู้เป็นพ.ร.ก.เพราะไม่มีเหตุอันควรที่จะกู้โดยเร่งด่วน แต่แทนที่จะไปกู้ในงบประมาณ เพื่อให้เงินอยู่ในคลัง (ธปท.) กลับเอาเงินมาอยู่นอกคลัง การเบิกจ่ายจึงไม่ต้องใช้กฏหมายสี่ฉบับ แม้แต่ มาตรา 169

 

 

 

การจ่ายเงินแผ่นดินจึงจะกระทำได้แต่เฉพาะตามกฎหมาย 4 ฉบับเท่านั้น คือ กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี, กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ, กฎหมายเกี่ยวกับการโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง เพราะกฎหมายทั้งสี่มีกฎเกณฑ์ควบคุมการใช้จ่ายเงินที่เข้มงวดมีการตรวจสอบทั้งโดยระบบราชการประจำและระบบการเมือง

 

ไม่เข้าใจที่ว่า เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน ไม่ใช่เงินของแผ่นดิน

เขาพยายามจะบอกว่า เงินไม่ได้ดูแลรักษาโดยปธท. แต่ดูแลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ จึงไม่ได้เป็นเงินของแผ่นดิน :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol: 

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ

http://th.wikipedia....ิหารหนี้สาธารณะ

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะโดยการวางแผน กำกับ และดำเนินการก่อหนี้ค้ำประกัน และปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรวมทั้งการชำระหนี้ ของรัฐบาล และการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความยั่งยืนทางการคลังและการพัฒนาเศรษฐกิจ มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ ถนนพระราม 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400

 

การจัดตั้งสำนักบริหารหนี้สาธารณะ ได้มีการเสนอแนวความคิดต่อคณะรัฐมนตรี และมีมติให้จัดตั้งเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2542 เป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง มีภารกิจในการกำหนดนโยบายและวางแผนการก่อหนี้ในภาพรวม การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของประเทศ การบริหารความเสี่ยง การบริหารเงินสด และ การจัดทำระบบฐานข้อมูลหนี้ของประเทศ โดยให้โอนอัตรากำลังและงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองนโยบายเงินกู้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มวิเคราะห์หนี้สาธารณะและเงินคงคลัง และส่วนหนี้สาธารณะและเงินคงคลัง ยกเว้นสายบริหารเงินคงคลัง สำนักการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง มาไว้ที่สำนักบริหารหนี้สาธารณะ

ต่อมาได้มีการยกฐานะขึ้นเป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 [2]

 

หน่วยงานในสังกัด[แก้]

  • สำนักจัดการหนี้ 1
  • สำนักจัดการหนี้ 2
  • สำนักบริหารการระดมทุนโครงการลงทุนภาครัฐ
  • สำนักบริหารการระดมทุนระบบบริหารจัดการน้ำ
  • สำนักนโยบายและแผน
  • สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้
  • สำนักบริหารการชำระหนี้
  • สำนักงานเลขานุการกรม
  • ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ
  • กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
  • กลุ่มตรวจสอบภายใน
  •  กลุ่มกฎหมาย

 

การกู้เงินในงบประมาณ และ การกู้เงินนอกงบฯ แตกต่างกันอีกประการหนึ่งคือ เงินกู้ในงบฯดูแลรักษาโดยธปท. แต่เงินกู้นอกงบประมาณดูแลโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ  การกำกับดูแลจึงแตกต่างกัน การกู้เงินนอกงบฯ มีการใช้จ่ายเงินได้โดยไม่ผ่านธปท. และกฏหมายควบคุมทั้งสี่ฉบับ การอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินก็ต่างกัน

 

 

“เงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน...”
       
        ประโยคนี้คนของรัฐบาลพูดกันเป็นนกแก้วนกขุนทองตลอดสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อยืนยันว่าร่างพ.ร.บ.ให้กระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทที่กำลังพิจารณาอยู่ในชั้นกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้คาดว่าจะเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 ในช่วงเดือนสิงหาคม 2556 เมื่อเปิดสมัยประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป เพื่อยืนยันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
       
        เป็นการพูดเพื่อตอบโต้ความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ชุดอาจารย์คณิต ณ นคร ที่เสนอมายังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาว่าร่างกฎหมายกู้เงินมหาศาลนี้ขัดรัฐธรรมนูญหลายมาตรา โดยมาตราสำคัญที่พูดกันมาโดยตลอดคือมาตรา 169 ผมเองก็พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556 แล้ว
       
        ขอยกมาตรา 169 วรรคหนึ่งมาให้อ่านกัน
       
        “การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง เว้นแต่ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนรัฐบาลจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีเช่นว่านี้ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในพระราชบัญญัติโอนเงินงบประมาณรายจ่าย พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป ทั้งนี้ ให้กำหนดแหล่งที่มาของรายได้เพื่อชดใช้รายจ่ายที่ได้ใช้เงินคงคลังจ่ายไปก่อนแล้วด้วย”
       
       ระบอบประชาธิปไตยคือการควบคุมตรวจสอบอำนาจรัฐ
       
       สำคัญสุดคือการใช้เงิน
       
       การจ่ายเงินแผ่นดินจึงจะกระทำได้แต่เฉพาะตามกฎหมาย 4 ฉบับเท่านั้น คือ กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี, กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ, กฎหมายเกี่ยวกับการโอนงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลัง เพราะกฎหมายทั้งสี่มีกฎเกณฑ์ควบคุมการใช้จ่ายเงินที่เข้มงวดมีการตรวจสอบทั้งโดยระบบราชการประจำและระบบการเมือง
       
       ไม่ใช่การออกกฎหมายพิเศษกู้เงินมาทำโครงการเฉพาะที่เริ่มมาจากโครงการไทยเข้มแข็งยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ปี 2552
       
       มาตรา 169 มี keyword สำคัญคือคำว่า...
       
        “เงินแผ่นดิน”
       
       วิธีการแบบศรีธนญชัยง่าย ๆ ที่จะบอกว่าการออกกฎหมายพิเศษกู้เงินมาใช้มาทำเฉพาะโครงการสามารถทำได้โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ก็คือการพูดประโยคที่ผมนำมาเป็นหัวเรื่องวันนี้แหละ
       
        “เงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน”
       
       เป็นการนำความเห็นจากคณะกฤษฎีกาคณะ 12 มาพูดต่อ โดยเมื่อปี 2552 หลังจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อกพระราชกำหนดไทยเข้มแข็งแล้วเกิดเกรงขึ้นมาว่าการใช้เงินจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็เลยถามไปที่คณะกรรม การกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกาตอบมาในเอกสารเรื่องเสร็จที่ 888/2552 ธันวาคม 2552 ว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 เพราะเงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน เพราะไม่มีกฎหมายใดเขียนไว้
       
       เป็นการตอบแบบอวยรัฐบาลในขณะนั้นอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิและครูบาอาจารย์ด้านการเงินการคลังของประเทศที่อยู่ในคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 12
       
       แต่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาในขณะนั้นก็คงอายอยู่ จึงมีความในย่อหน้าสุดท้ายทำนองว่านี่เป็นเพียงการตอบข้อหารือที่ทำให้รัฐบาลทำงานได้ ซึ่งก็คือสามารถใช้เงินกู้ในโครงการไทยเข้มแข็งได้ แต่ไม่ใช่การวินิจฉัยชี้ขาด เพราะไม่ใช่อำนาจหน้าที่
       
       การวินิจฉัยชี้ขาดเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
       
       เงินกู้จะถือเป็นเงินแผ่นดินตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 169 หรือไม่มีมุมมองทางกฎหมายต่างกันได้ครับ เรื่องนี้ยังไม่เคยผ่านการชี้ขาดจากศาลรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นที่สุด ผูกพันทุกองค์กร แม้แต่เงินกู้ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เป็นต้นแบบให้รัฐบาลนี้ลอกมาใช้ในโครงการ 3.5 แสนล้านบาทและ 2 ล้านล้านบาท ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่เคยชี้ในประเด็นนี้ ที่เคยชี้ว่าพระราชกำหนดถูกต้องตามรัฐธรรมนูญก็เป็นเพียงประเด็นทั่วไปตามมาตรา 184 เท่านั้น ที่รัฐบาลเอามาพูด ๆ กันวันนี้ว่าเงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดินดังนั้นจึงออกกฎหมายพิเศษได้ไม่ต้องทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ก็เป็นเพียงการจำขี้ปากคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 12 มาพูดซ้ำเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ในขี้ปากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับใช้รัฐบาลหน่วยงานนี้ครั้งนั้นเขาก็มีหมายเหตุไว้ในย่อหน้าสุดท้ายว่าไม่ใช่การชี้ขาด เพราะนั่นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
       
       เสียดายที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ยุคนั้นพอกฤษฎีกาคณะ 12 ให้ความเห็นเข้าทางตนก็ใช้เงินเลย ไม่พยายามนำเรื่องไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญก่อน
       
       เรื่องนี้ผมพูดมาหลายเดือนทั้งต่อสาธารณะและต่อเพื่อนส.ว.ขอจองกฐินแล้วว่าจะยกร่างสำนวนและขอความร่วมมือพี่น้องส.ว.ร่วมลงชื่อให้ครบ 65 คนเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยแน่ แต่ต้องเป็นขั้นตอนหลังรัฐสภาผ่านร่างกฎหมายนี้หมดแล้ว
       
       ซึ่งก็ไม่เร็วไปกว่าเดือนตุลาคม 2556 แน่นอน
       
       ทำงานอยู่ตลอด ยื่นแน่ เปิดสภาสิงหาคม 2556 นี้ก็จะเริ่มขอแรงพี่น้องส.ว.ร่วมทยอยลงชื่อให้ครบ 65 คนตามเงื่อนไข แต่ตัวคำร้องคงต้องรอปรับแก้หลังร่างกฎหมายผ่านวาระ 3 วุฒิสภาก่อน
       
       ตอนนี้ก็กำลังนำคำวินิจฉัยศาลปกครองกลาง 27 มิถุนายน 2556 กรณีโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทมาเทียบเคียงว่าควรจะเพิ่มประเด็นมาตรา 57 กับ 67 เข้าไปด้วยเลยดีไหม ซึ่งก็ต้องรอเห็นตัวร่างกฎหมายสุดท้ายก่อนอยู่ดี
       
       แต่วันนี้จะลองคิดดัง ๆ ง่าย ๆ ให้อ่านกันทิ้งท้ายนะ...
       
       ตามหลักพื้นฐานการทำงบดุล หรืองบแสดงฐานะการเงินของกิจการ หรือภาษาอังกฤษว่า 'Balance Sheet ที่มีอยู่ 2 หน้าหรือ 2 ฝั่งคือทรัพย์สินกับหนี้สินนั้น ชื่อก็บอกนะว่ามันต้อง balance คือต้องลงรายละเอียดทั้ง 2 ฝั่ง สมมติว่าประเทศหรือแผ่นดินเป็นกิจการ ในกรณีเงินกู้ เวลากู้ได้มาหรือเบิกมาใช้ก็ต้องลงงบดุลทั้งฝั่งทรัพย์สิน และฝั่งหนี้สิน เพราะเวลาใช้คืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยก็เอาจากเงินของประเทศหรือของแผ่นดิน แล้วก็นับรวมในเพดานตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ
       
       วันนี้รัฐบาลจะมาแกล้งโง่ตามคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะ 12 ทำไมว่าไม่ใช่เงินแผ่นดิน เพราะเท่ากับบอกว่าไม่ต้องลงบัญชีในฝั่งทรัพย์สินงั้นซิ มันจะเป็นไปได้ยังไง
       
       การลงบัญชีแต่ฝั่งหนี้สินไม่ลงฝั่งทรัพย์สิน ภาษาบัญชีเขาว่าอะไรรู้มั้ย
       
        “ไซฟ่อนเงิน”
       
       เรื่องนี้ผมเคยบอกคนสำคัญในรัฐบาลประชาธิปัตย์ช่วงปี 2552 แล้วว่าท่านกำลังสร้างมาตรฐานใหม่ในการใช้เงินที่ไม่ถูกต้องไว้เป็นตัวอย่างให้รัฐบาลต่อไป แล้วก็จริง รัฐบาลนี้แทบจะลอกพระราชกำหนดไทยเข้มแข็งมาเป็นพระราชกำหนด 3.5 แสนล้านและร่างพระราชบัญญัติ 2 ล้านล้าน
       
       เรื่องนี้ไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญแน่นอน ! 


ที่มา : เงินกู้ ไม่ใช่เงินแผ่นดิน

 

 

"ไม่ใช่เงินแผ่นดิน แล้วเงินพ่อเงินแม่เมิ่งเหรอ" นาทีที่ 9:12

 

บ้านเมืองเราอยู่ด้วยกฎหมาย  ไม่ใช่จริตหรือความรู้สึก

ถึงแม้ความรู้สึกเราจะคิดว่าเป็นเงินแผ่นดิน แต่ถ้าตามกฎหมายไม่ใช่มันก็คือไม่ใช่

ไอ่คำพูดข้างล่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นคำพูดของผู้พิพากษา   แล้วอย่างนี้ศาลบางศาลจะเชื่อถือได้อย่างไร

 

"ไม่ใช่เงินแผ่นดิน แล้วเงินพ่อเงินแม่เมิ่งเหรอ" 

 

 

 

เค้าพูดด้วยความรู้สึกหรือ เค้าดูกฏหมายแล้ว

 

:D  

 

 


 

  ทั้งไทยเข็มแข็งของ  ปชป.และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน  ของ  พท. มันเหมือนกันที่เป็นเงินกู้เหมือนกัน  แต่

ไทยเข็มแข็งหมดไปแล้ว  กับโครงการอีลุ่ยฉุยแฉก  โกงกันเป็นว่าเล่น   แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้กู้

ยังไม่ได้ประกาศใช้

 

 

แล้วแบบนี้มันใช้ความรู้สึกหรือ กฏหมาย


Edited by 55555, 23 กันยายน พ.ศ. 2556 - 13:46.





ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน