ท่าทีของรัฐบาลไทย VS รัฐบาลเขมร....
http://www.dailynews...ontentId=194505
อย่ารีบยอมแพ้ : คำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ขึ้นอยู่กับการตีความ “พื้นที่แคบๆ”
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่รัฐบาลประเทศกัมพูชาร้องขอให้ตีความขอบเขตพื้นที่บริเวณรอบตัวปราสาทพระวิหารว่าควรจะมีขนาดพื้นที่ใกล้ตัวปราสาทมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
ผมได้ติดตามฟังผลการตัดสินของศาลโลกผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ที่แปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยเท่านั้น และการแปลก็เป็นแบบไม่ราบรื่น ไม่สมบูรณ์ ตามไม่ทันประโยคภาษาอังกฤษที่พูดไปล่วงหน้า บางประโยคจึงถูกผู้แปลปล่อยข้ามไปเพื่อให้ทันกับประโยคภาษาอังกฤษที่มาใหม่ ที่ว่าเช่นนี้ก็เพียงความรู้สึกที่ได้จากการได้ยินเสียงภาษาอังกฤษของผู้พิพากษาแว่ว ๆ อยู่เป็นพื้นให้พอเดาความเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พอศาลปิดการแถลงแล้วผมก็พอสรุปได้ดังนี้ :
ศาลประกาศว่าสามารถรับคำฟ้องเพื่อตีความได้ โดยทำได้เฉพาะบนพื้นฐานของคำตัดสินเดิมปี 2505 และอธิบายว่าไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างกัมพูชาและไทย ซึ่งเป็นเรื่องของทั้งสองประเทศจะไปตกลงกันเอง สำหรับเรื่อง”พื้นที่ใกล้เคียงตัวปราสาทซึ่งเป็นของกัมพูชา” ตามตำตัดสินเดิมเมื่อ 51 ปีที่แล้วนั้น ศาลบอกว่าเป็นพื้นที่ “เล็กมาก” อธิบายโดยอ้างแผนที่ในภาคผนวกจะอยู่ทางทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือของตัวปราสาท
ก่อนปิดการแถลง ศาลบอกว่าจะพิมพ์เผยแพร่คำพิพากษาและความเห็นจากผู้พิพากษาอีกส่วนหนึ่งโดยเร็ว ซึ่งต่อมาไม่นานในวันเดียวกันเอกสารภาษาอังกฤษจากศาล ยาว 37 หน้าก็ได้รับการเผยแพร่สู่ชาวโลก ทุกคนสามารถเข้าไปนำออกมาอ่านได้จากหน้าข้อมูลทางเว็บไซต์ของศาลโลกที่ http://www.icj-cij.o...s/151/17704.pdf ส่วนกระทรวงการต่างประเทศก็แถลงในวันที่ 12 พฤศจิกายน ว่าได้ตั้งคณะทำงานเตรียมการแปลเอกสารทั้งหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเสร็จเมื่อไร แต่รับปากว่าจะทำโดยเร็ว
ที่แปลกมากก็คือปฏิกิริยาของฝ่ายไทยทั้งภาครัฐและภาคนักวิชาการผู้ถือว่าเป็นผู้รู้เรื่อง ล้วนมีปฏิกิริยาต่อคำพิพากษาได้อย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อ่านคำพิพากษาในเอกสารอย่างเป็นทางการ
หากเป็นปฏิกิริยาเชิงบวกก็พอรับได้
แต่ปฏิกิริยาเชิงลบกลับมีมากจนหาเชิงบวกไม่เจอ
เมื่อศาลปิดการแถลง คณะผู้พิพากษาเดินออกจากบัลลังก์ ออกนอกห้องไป ฉับพลันทันที คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ก็เดินเข้าไปจับมือแสดงความยินดีกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชาที่ยังนั่งอยู่ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสทั้งคู่ ทำให้ดูเป็นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดีและฝ่ายไทยยอมรับผลการพิพากษาของศาลว่าเป็นเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยก็ยังมิได้อ่านเอกสารคำพิพากษาของศาล แถมท่านรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยก็ไม่มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ไม่รู้ภาษาอังกฤษมากพอ หรือรู้แบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่มีทางที่จะฟังการแถลงสดให้รู้เรื่องโดยละเอียดถึงเรื่องทางเทคนิคได้ ขณะที่เอกสารฉบับแปลจนถึงวันนี้ (พุธ 13 พฤศจิกายน 2556) กระทรวงการต่างประเทศก็ยังแปลไม่เสร็จ เมื่อรัฐมนตรีของไทยยังไม่รู้เรื่องรายละเอียดคำพิพากษาก็ไม่ควรรีบลุกขึ้นแล้วเดินพุ่งเข้าไปจับมือแสดงความยินดีกับฝ่ายกัมพูชาราวกับว่าดีใจที่กัมพูชาได้รับชัยชนะ และไม่ถือสาอะไร ยังคงยิ้มร่าเริง ราวกับจะส่งสัญญาณว่า
แม้ “ข้าพเจ้าจะคิดว่าประเทศไทยของข้าพเจ้าแพ้ แต่ข้าพเจ้าก็ยังยิ้มได้ รับได้ และขอแสดงความยินดีกับกัมพูชาด้วย”
ผมตีความจากภาพที่เห็นจากการถ่ายทอดสด ด้วยความรู้สึกชาตินิยมที่ท่านรัฐมนตรีเตือนคนไทยไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอย่าให้มีเกินเลย แต่ผมมีจนอาจเกินเลยไปก็เป็นได้
หลังจากนั้นรัฐมนตรีสุรพงษ์พร้อมคณะฝ่ายไทยก็เข้าห้องส่วนตัวปิดประตูประชุมกันออย่างฉุกเฉิน เพื่อเตรียมออกมาเผชิญคำถามจากสื่อมวลชนไทยที่ไปรอทำข่าวกันจำนวนหนึ่ง โดยโทรทัศน์หลายช่องถ่ายทอดสดเหตุการณ์ที่ศาลโลกนี้ตั้งแต่บ่ายสามโมง หนึ่งชั่วโมงก่อนศาลจะแถลงเป็นทางการในเวลาบ่ายสี่โมง เวลาไทย (เท่ากับสี่โมงเช้าเวลาที่ศาลโลก ประเทศเนเธอร์แลนด์) คณะของไทยใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็เปิดประตูห้องแล้วเดินออกไปหน้าอาคารศาล เริ่มแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนไทย
ท่านรัฐมนตรีสุรพงษ์ ซึ่งแถลงสั้น ๆ ว่า ผลการตัดสินเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่ายคือไทยและกัมพูชา และจะหารือกับกัมพูชาต่อไป
ส่วนท่านทูตวีรชัย พลาศรัย ผู้แทนคณะดำเนินการทางกฎหมายของไทยก็แถลงว่ากัมพูชาไม่ได้รับพื้นที่ 4.6-4.7 ตารางกิโลเมตร ไม่ได้พื้นที่ภูมะเขือ เว้นแต่จะได้พื้นที่แคบมาก ๆ ซึ่งก็กำลังคำนวนกันอยู่ และศาลแนะนำให้ไทยกับกัมพูชาดูแลปราสาทเขาพระวิหารที่เป็นมรดกโลกร่วมกัน
ปัญหาของผมซึ่งตีความ โดยไม่มีหน้าที่ตีความก็คือ :
ประเทศไทย - ดูจากสีหน้าท่าทางรัฐมนตรีต่างประเทศ ท่าทางจะ “พอใจผลการตัดสิน” และถึงกับเข้าไปขอจับมือ “แสดงความยินดีกับกัมพูชา” โดยการบอกว่ากัมพูชาก็พอใจ ความพอใจของทั้งสองฝ่ายคืออะไรก็ไม่ทราบ เหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ไม่ทราบ แต่เราเป็นฝ่ายเดินปรี่เข้าไปจับมือแสดงความยินดีกับเขา ราวกับว่าเราเห็นด้วยและพอใจตามที่กัมพูชาพอใจ
ดูจากคำแถลงของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ณ กรุงพนมเปญในเย็นวันเดียวกัน พบว่ากัมพูชาประกาศชัยชนะเหนือไทยแล้ว โดยบอกว่า [ข้อความนี้อ้างจากคำแปลแบบไม่เป็นทางการปรากฎในอินเตอร์เน็ต และไม่อาจยืนยันความถูกต้องได้] :
“ศาลพิจารณาในคำตัดสินนี้ว่า พระราชอาณาจักรกัมพูชามีอธิปไตยเต็มที่เหนือบูรณภาพแห่งดินแดน ในพื้นที่หน้าผา (Eperon/Promontory) ของปราสาทพระวิหาร ดังที่มีกำหนดในย่อหน้าที่ 98 ของคำตัดสินนี้ และเป็นปัจจัยให้ศาลประกาศว่า พระราชอาณาจักรไทยมีหน้าที่ถอนออกจากดินแดนนี้ ในทุกกองกำลังทหาร หรือตำรวจ หรือผู้ดูแล หรือยามรักษาอื่นอีกของไทยที่ประจำการในที่ตั้งในดินแดนแห่งนั้น กระผมขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า ย่อหน้าที่ 98 ของคำตัดสินนี้ ได้ยืนยันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดที่ตั้งของพื้นที่หน้าผานี้....กระผมในนามนายกรัฐมนตรีแห่งพระราชอาณาจักรกัมพูชา และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แห่งพระราชอาณาจักรไทย ได้เห็นชอบร่วมกันที่ผ่านมาว่า: ถึงแม้ว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 นี้ ออกมาเช่นไรก็ตาม ประเทศทั้งสองก็ต้องเคารพตามคำตัดสินนี้ และพยายามรักษามิตรภาพระหว่างประเทศ และประชาชนทั้งสอง” [ข้อความนี้อ้างจากคำแปลแบบไม่เป็นทางการปรากฎในอินเตอร์เน็ต และไม่อาจยืนยันความถูกต้องได้]
ดังนั้น หากจะว่าตามกัมพูชา ตามที่กัมพูชาพอใจ ประเทศไทยต้องเสียพื้นที่เพิ่มเติมบริเวณหน้าผาด้านเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทพระวิหาร และกัมพูชาได้บอกให้ไทยถอนกำลังทั้งหมดแล้วทันที โดยประกาศให้ประชาชนกัมพูชารับทราบในเย็นวันที่ศาลโลกตัดสิน แถมยังบอกประชาชนด้วยว่านายกรัฐมนตรีของไทยสัญญาไว้แล้วว่าจะทำตามที่ศาลตัดสิน ซึ่งเท่ากับ” ทำตามที่กัมพูชาสั่งด้วยเป็นการตีความเอาเองโดยนายกฯฮุนเซ็น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการหารืออะไรกับไทย ทั้ง ๆ ที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยบอกที่กรุงเฮกว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องหารือกันก่อน เป็นการตีความแบบชาตินิยมและเพื่อผลทางการเมืองในประเทศตนเท่านั้น แต่ตีความให้ผูกพันประเทศไทยไปด้วยโดยอารมณ์สาธารณะในกัมพูชา
กัมพูชาประกาศชัยชนะเหนือไทย โดยไม่รอการหารือกับไทย และประกาศให้ไทยถอนกำลังทันที และอ้างนายกฯยิ่งลักษณ์ว่าให้คำมั่นสัญญาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ส่วนไทยนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศตามเล่ห์เหลี่ยมทางการทูตของกัมพูชาไม่ทัน ทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศ ทั้งนายกรัฐมนตรี ภาษาอังกฤษของทั้งสองผู้นำก็ใช้งานเป็นเรื่องราวไม่ได้ทั้งคู่ เอกสารก็ยังไม่ได้อ่าน เพราะยังแปลกันไม่เสร็จ แม้ผ่านไปสองวันแล้ว แต่ก็ยังสามารถแสดงความยินดีกับกัมพูชาไปแล้วก่อนล่วงหน้าแล้วได้
ก็เหลือที่คำแถลงของท่านเอกอัครราชทูตวีรชัย พลาศรัย ที่ยืนยันว่าเราไม่เสียดินแดน 4.6-4.7 ตารางกิโลเมตร แต่กำลังคำนวนพื้นที่ชง่อนผาส่วนเหนือของปราสาท เป็นพื้นที่แคบ ๆ ไม่เสียพื้นที่ภูมะเขือ มองในแง่ดีก็คือเราไม่เสียพื้นที่มากอย่างที่ข่าวสารบอกย้ำให้เรากลัวกัน มองในแง่ร้ายเราก็คงจะเสียพื้นที่นิดหน่อย แต่จะต้องคำนวนพื้นที่สูญเสียและหารือกันสองฝ่ายก่อนว่าจะได้เสียกันเท่าไรอย่างไร
รัฐมนตรีต่างประเทศ และนายกรัฐมนตรีของไทย ไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องรายละเอียดของคดีปราสาทพระวิหาร แถมขาดทักษะการใช้ภาษาอังกฤษที่เป็นสากลซึ่งบุคคลระดับผู้นำของชาติของสังคมควรจะใช้ภาษาอังกฤษได้โดยไม่ยอมให้เสียเปรียบใครในทางการเมืองเรื่องผลประโยชน์ของชาติ เมื่อไม่มีความรู้และขาดทักษะภาษา และบังเอิญมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและเตรียมตัวให้พร้อมตามคำแนะนำและตามร่างคำแถลงที่ข้าราชการเตรียมไว้ให้ ไม่ต้องเร่งร้อนแถลงเรื่องที่ไม่รู้และไม่พร้อม พร้อมเมื่อไรก็แสดงออกด้วยท่าทางที่ทำให้ดูมั่นใจให้น่าเชื่อถือให้ได้ เท่านั้นก็เป็นพอ
ความรู้ก็ไม่มี ความพร้อมก็ไม่เตรียม แต่รีบเร่งการแสดงการแถลง
ทำให้ประเทศไทยประกาศยอมแพ้ตั้งแต่กัมพูชายังไม่ประกาศชัยชนะ
จากนี้ไปเราต้องไปแก้ไขความผิดพลาดจากการแถลงของรัฐมนตรีต่างประเทศของเราที่แถลงที่กรุงเฮก และคำสัญญาจากนายกรัฐมนตรีของเราที่สัญญากับกัมพูชาไว้เมื่อไรก็ไม่รู้
เราต้องไปเริ่มต้นกันใหม่ ณ ที่ประชุมร่วมระดับรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่าย :
1. ไทยเราต้องเริ่มด้วยการบอกกับกัมพูชาว่า ศาลไม่มีคำตัดสินเรื่องพื้นที่ 4.6-4.7 ตารางกิโลเมตร แต่ขอให้ใช้ตัวเลขที่มากกว่าเพียงตัวเลขเดียวพอ คือใช้ตัวเลข 4.7 หรือจะเติมเป็น 4.8 หรือ 5.0 ให้เกินเข้าไว้ก่อนก็ดี แต่ห้ามใช้สองตัวเลขแบบไม่แน่ใจว่า 4.6-4.7 เพราะฝ่ายกัมพูชาก็อ้างอิงตัวเลขน้อยกว่าเพื่อประโยชน์ของเขาแน่ ๆ และไทยต้องยืนยันว่า “พื้นที่แคบ ๆ ” ที่ศาลกล่าวถึงนั้น “ไม่ชัดเจนว่าเป็นส่วนไหน-เท่าไร-อย่างไร”
อย่าได้ไปเอาตัวเลขนักวิชาการหรือฝ่ายนักคิดที่ช่วยคำนวนความพ่ายแพ้ให้แล้วภายใน 24 ชั่วโมงว่าไทยเสียดินแดนไป 0.8 - 0.9 ตารางกิโลเมตรตรงชง่อนผาด้านเหนือ
นักวิชาการหรือนักกฎหมายที่ให้สัมภาษณ์ว่าไทยเสียดินแดน จะถูกหรือผิดก็ไม่มีใครทราบ แต่รัฐบาลต้องไม่เอาการเสียดินแดนเป็นตัวตั้งแล้วเจรจากับกัมพูชาว่าเราควรจะเสียหรือจะแพ้กี่ตารางกิโลเมตร
ไทยเราต้องยืนยันว่าศาลมิได้บอกชัดเจนอะไรมากไปกว่าที่บอกว่า “พื้นที่แคบๆ” นั้นเป็นพื้นที่รอบตัวปราสาทซึ่งเป็นของกัมพูชา และให้ยืนยันว่าเราเห็นด้วยกับกัมพูชาที่เห็นด้วยกับศาลเรื่อง “พื้นที่แคบๆ” และเราขอตีความว่า พื้นที่แคบๆที่ว่านั้นคือพื้นที่เดิมที่เรามิได้เข้าไปกั้นรั้วหลวดหนามไว้ เราต้องการให้กัมพูชาได้ “พื้นที่แคบๆ” ตามเดิม ณ สถานภาพปัจจุบัน ตามความแคบที่เราเห็นของเรามานานแล้ว จะให้กว้างกว่าที่แคบอยู่แล้ว ไม่ยอมเด็ดขาด
ศาลบอกว่า “แคบ” ก็ต้องเชื่อศาล
ส่วนจะ “แคบ” แค่ไหนนั้น ก็ต้องเชื่อไทย!
ที่ผมแนะมานี้เป็นเรื่องการปกป้องอธิปไตยของชาติ และเป็นการตีความให้ไทยได้ประโยชน์ เพราะศาลมิได้ตีความละเอียดชัดเจนอะไร เป็นคำแนะนำแบบชาตินิยมของผมเป็นส่วนตัว เพราะผมเป็นคนไทย ก็ต้องนิยมประเทศชาติไทยของผมเป็นธรรมดา
เราจึงควรจะเริ่มต้นถกเถียงและเดินหน้าขัดแย้งกับกัมพูชาต่อไปโดยไม่ต้องมีข้อยุติอีก 50 ปี
แล้วถึงตอนนั้นเราก็ยื่นต่อศาลโลกให้ตีความใหม่
หากรัฐบาลของ “ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ฯ” ทำได้ ผมก็จะได้เริ่มรักท่านนายกฯด้วยคน
สมเกียรติ อ่อนวิมล