ถ้า การเมือง เหมือน การ บริหารธุรกิจ
คุณคิดจะเลือก ซีอีโอ แบบไหน ?
ซีอีโอ P. บริหารงาน ให้ กำไรกับบริษัท 30 บาท
แล้วไม่ยักยอก ผลกำไรเลย เราจะได้กำไรสุทธิ 30 บาท
ส่วน ซีอีโอ P ได้ค่าแรง 10 บาท
30-10=20 -------- กำไร 30 เหลือต้นทุนกำไร 20 บาท
ซีอีโอ M. บริหารงาน ให้ กำไรกับบริษัท 50 บาท
แล้วยักยอก ผลกำไรไป 10 บาท เราจะได้กำไรสุทธิ 50-10 =40 บาท
ส่วน ซีอีโอ M จะได้ค่าแรง 10+10 = 20 บาท
50-10-10=30 -------- กำไร 50 เหลือต้นทุนกำไร 30 บาท
ซีอีโอ T. บริหารงาน ให้ กำไรกับบริษัท 70 บาท
แล้วยักยอก ผลกำไรไป 20 บาท เราจะได้กำไรสุทธิ 70-20 =50 บาท
ส่วน ซีอีโอ M จะได้ค่าแรง 10+20 = 30 บาท
70-20-10=40 -------- กำไร 70 เหลือต้นทุนกำไร 40 บาท
ถ้าสังเกตุ สเตปกำไรคงเหลือเพิ่มขึ้นแค่สเตปละ 10 บาท
ในขณะที่กำไรจริง เพิ่มขึ้นถึงสเตปละ 20 บาท
ผมมีธุรกิจเล้กๆ
การจะเพิ่มกำไรจริงๆ ทีละ 20 เช่นที่คุณยกตัวอย่าง
มันไม่ใช่เรื่องง่าย
ที่สำคัญ ผมไม่เชื่อ ว่าสเตปการโกงจะเพิ่มขึ้นเพียงสเตปละ 10 บาท
ดังที่เราเห็นแล้ว จากโครงการอภิมหาประชานิยม
บริษัทได้กำไรจริงๆ เพียงแค่สเตปละ 10 บาท มันน้อยมากนะครับ
ถ้าเป้นเช่นนั้น ผมไม่ถือว่าความสามารถจะมากไปกว่าการโกงนะครับ
ถ้าคุณเปนเจ้าของบริษัท
คุณจะอยากจ้างผู้จัดการที่ดีแต่โกง แต่ทำกำไรได้เท่านี้เองหรือครับ
ถ้าคุณวัดรายได้จากบิลลิ่ง
มันไม่ยากหรอกครับ ถ้าจะทำบิลลิ่งให้ได้ยอดสูงๆ
แต่หากวัดกันที่กำไรจริงๆ มันเหลือเท่าไหร่
นั่นล่ะครับ สำคัญ
ในทางธุรกิจจริงๆ
บิลลิ่งสูงๆ มันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มด้วยนะครับ
เช่น ภาษี ที่ต้องจ่ายสูงขึ้น
หักภาษีแล้วเหลือเท่าไหร่
เฮ้ออ จะคิด อะรัย ให้ มันซับซ้อน นักคะ
เกี๋ยง ไม่อยากจะ สอน ไอ้เข้ ว่ายน้ำเลย
แต่ เข้าใจ คำว่า กำไรสุทธิ ไหม คะ
ถึงเป็น ลูกแม่ค้าเก่า แต่ เกี๋ยงทำงานโรงบาล อ่ะค่ะ
เกี๋ยงคงไม่ สามารถ คิด ค่า โสหุ้ย ได้ ละเอียดยิบ แบบคุณ หรอกนะ
แต่ สิ่งที่ เกี๋ยง ตระหนัก ดีก็คือ
การเมือง เป็น เรื่อง ของ ผลประโยชน์
ที่ เราต้องเลือก ในสิ่ง ที่ ทำกำไร ให้เราได้สูงสุด
ภายใต้ อำนาจต่อรองที่เรามีอยู่อย่างจำกัด
และ บางครั้ง เมื่อเรารู้ว่า อำนาจต่อรอง เรามีแค่นี้
และ ทรัพยากร ( ตัวลือก ) มีแค่นี้
การยอม ขาด ทุนกำไร จึงเป็นสิ่งที่ ยอมรับได้ค่ะ
โบราณว่า กำขรี้ ดีกว่า กำตด เอิ๊ก ๆ
ไม่รู้สินะ เรากำลัง มอง ว่า อิพวก ม็อบคนดี มันเหมือน พ่อค้าขี้เหนียวขี้ตืด
ที่คิดแต่จะเอา กุ้งฝอยไป ตก ปลากระพง อ่ะ
ที่ พวกคุณกำลัง งอแง ด่าว่า เฮีย ทักกี้ มันโกง เนี่ย
ลึก ๆ แล้ว ถ้ามอง ในโลกของธุรกิจ
พวกคุณมันก็แค่ อยากได้กำไรมาก ๆ แต่ จ่ายค่าจ้าง ให้ ซีอีโอ น้อย ๆ
จึงไม่ยอม ขาดทุนกำไร และ อิจจฉา ที่ ซีอีโอ ได้ ผลประโยชน์ มากกว่า พวกคุณ อ่ะ
แต่ สิ่งที่ คุณ ไม่เคยสำเหนียก เลย ก็คือ ของฟรี ไม่เคยมี ของดี ไม่เคยถูก
เป็น ไป ไม่ได้ ที่ ซีอีโอ เขาจะ ยอม รับค่าแรงต่ำ ๆ เพื่อ ทำกำไร ให้นายจ้างสูง ๆ
การเมืองมัน เรื่อง การต่อรองผลประโยชน์ ทางธุรกิจนะ
ไม่ใช่ การทำงานการกุศล ของ มูลนิธิ ไม่หวังผลกำไร
ส่วน เรื่อง กำไร สุทธิ เราก็คิด ง่าย ๆ แค่ เสียภาษี เท่าไร
นักการเมือง ที่ บริหารปรเทศ สร้างความสะดวกสบาย ให้เรา ได้แค่ไหน
( วัดกันที่ นโยบาย ประชานิยม โดนใจ แบบง่าย ๆ ไม่ต้อง ซับซ้อนอ่ะค่ะ )
และ แน่นอน หลังจาก ที่เกี๋ยงเสีย ภาษี ผ่านมาหลาย รัฐบาล แล้ว
รบ.เฮียแม้ว ให้ ผลตอบแทนด้าน ประชานิยม โดนใจเรา มากกว่า ปชป. อ่ะค่ะ
สมัย รบ.ชวน นี่ แม้ง ไม่เห็น มันจะมี นโยบาย อะไร ที่ ทำแล้ว คุ้มค่า ภาษี ที่จ่ายไปเลย
มาร์คเองก็เหมือนกัน เงินฟรี แค่ 2 พัน มัดใจ ศักดินา อย่าง มานีไม่ได้ หรอกนะ
นี่ยัง ตะขิดตะขวงใจ สงสัยอยู่เล๊ย ว่าทำไม ให้คนพอจะมีกิน อย่างตรู
ไม่เอาไป แจก คนจนอย่าง ชาวไร่ชาวนา มั้ง ว้าาาาาาา
สำหรับคนพวกนั้น เงิน 2 พัน มันมีค่านะ
แต่สำหรับมานี แค่นี้ เศษเงิน อ่ะค่ะ ( แต่ได้ฟรี ตรูก็เอาตามสิทธิ 555 )
ผมว่า คุณอ่านความเห็นของผมไม่เข้าใจนะครับ
รบกวนลองไล่อ่านดูใหม่
ผมกำลังพูดถึงกำไรสุทธิ แต่เอาแค่ธุรกิจใดๆ
ต่อให้เป้นมหาชน เค้าก้ไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขกำไรสุทธิแต่เพียงอย่างเดียวไงครับ
ทำไมหลายๆ บริษัท จึงไม่ใช่แต่มุ่งแสวงหากำไรแต่เพียงอย่างเดียว
เพราะหากบริษัทของคุณเป็นเช่นนั้น รับรองว่าบริษัทของคุณไม่มีที่ยืนในสังคมหรอก
จึงต้องลดกำไรไปทำ CSR หรืออะไรอย่างอื่นประกอบกันไป
หรือแม้แต่หากคุณจะวัดกันที่ผลประโยชน์จริงๆ อย่างที่คนเสื้อแดงมักมองเห็นแต่เรื่องเช่นนี้
ลองดูตัวอย่างของคุณ ที่ผมคำนวนกำไรสุทธิจริงๆ ให้ดู
CEO คนไหน ทำกำไรสุทธิจริงๆ ได้แค่นั้น ในขณะที่ผลประโยชน์ของตนเองกลับเพิ่มขึ้นมาทีละ 2-3 เท่า
(จริงๆ ไม่ใช่แค่นั้นหรอก อาจมากกว่าเป็นสิบเท่าร้อยเท่า)
ถือว่า ด้อยคุณภาพนะครับ เว้นแต่ทำได้บิลลิ่งตามนั้นแล้วไม่โกงเลย
ดังนั้น แค่ตัวอย่างนี้ ก็ชี้ให้เห็นแล้ว ว่าทักษิณไม่ได้เก่งอะไรเลย แต่โกงมากกว่ามากมายนัก
แถม ที่สำคัญ คือเพราะมุมมองของคนไทยจำนวนนึง ที่มองเช่นคุณ
การจะสร้างบิลลิ่งให้ได้ 70 บาท คุณต้องใช่ทรัพยากรไปเป็นต้นทุนเท่าไหร่
แต่กลับได้กำไรสุทธิจริงๆ น้อย เพราะต้องแบ่งไปให้การโกง
แต่คุณกลับมองไม่เห็น และเลือกที่จะมองแต่เลขบิลลิ่ง ซึ่งหากดูตามสเตปที่ผมทำให้ดู
คุณจะเห็นการก้าวหน้าในอัตราที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ผมไม่ตามแก้ต่างการเข้าใจผิดๆ ใดๆ ที่คุณยกตัวอย่างประกอบนะครับ
ไม่ว่าจะโฮปเวลล์ หรือโรงพัก เพราะคงไม่จำเป็นสำหรับคนที่มีความคิดเช่นคุณ
เพียงแต่คงจำเป้นต้องแนะนำให้คุณลองคิดดูสักหน่อย
ตามหลักการบริหารบริษัท
การจะเฟ้นพนักงานหรือผู้บริหารมาทำงานให้องค์กร
ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน แต่หากคุณเลือกที่จะโกงองค์กร
รับรองได้เลยครับ ว่าไม่มีใครเอาคุณหรอก
และที่สำคัญ คนเก่ง (แต่โกง) เช่นที่คุณพยายามแสดงความนิยมนั้น
หาได้เก่งจริงซะด้วยซ้ำครับ
มันเป้นเพียงนักฉวยโอกาสสร้างภาพที่เก่งเท่านั้นเอง