Jump to content


Photo
- - - - -

คำทำนายของหลวงตามหาบัว


  • Please log in to reply
240 ความเห็นในกระทู้นี้

#201 อานุง อัน รามา

อานุง อัน รามา

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 777 posts

ตอบ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 - 20:16

ผมว่าคุณ chackrapbong น่าจะเข้าไปตั้งประเด็นกรณี พระอรหันต์ยังมีอยู่หรือไม่ในยุคปัจุบัน ใน http://board.palungjit.com/
ดีกว่านะครับ น่าจะมีคนที่มีความรู้ที่จะตอบคุณได้ ผมจะรอเข้าไปอ่านนะครับ

Edited by อานุง อัน รามา, 22 เมษายน พ.ศ. 2555 - 20:17.

ราชาแห่งไหน ที่มีในนิทาน ที่เด็กเด็กเคยอ่าน อยู่สุขสันต์สวยงามราชาแห่งนี้ ท่านทรงงานและงาน หลายสิบปีพ้นผ่าน ยังทรงสร้างทำเศรษฐกิจพอเพียงhttp://www.sufficiencyeconomy.org/

#202 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 - 20:25

ตามจริงแล้วผมก็จะรออ่านอย่างเดียว
ตามที่บอกไป ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว

แต่ไม่มีใครตอบ
และที่ตอบมาก็ไม่ตรงประเด็น

ต่อไปผมจะฟังอย่างเดียว
สบายกว่ากันเยอะเลย

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#203 ปังตอ

ปังตอ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,229 posts

ตอบ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 - 20:59

:lol: ....ผมไม่ขอต่อประเด็นน่ะครับ ขอจบเพียงเท่านี้

(คำสั่งของครูบาอาจารย์บอกมาน่ะครับ )

ส่วนเรื่องขององค์หลวงตามหาบัวท่าน....ผมว่าอย่าไปสงสัยองค์ท่านเลย
ทำให้ได้ในสิ่งองค์ท่านสอนมาดีกว่า หรือไม่ก้อทำให้ได้เสี้ยวหนึ่งขององค์ท่านดีกว่าไหม
ส่วนตัวของผมไม่มีข้อสงสัยในองค์ท่านครับ

_/\_ กราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยและองค์หลวงตา ครูบาอาจารย์ที่ได้กล่าวถึงท่านครับ

ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ “ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม”

 


#204 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 - 21:37

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#205 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 23 เมษายน พ.ศ. 2555 - 10:31

- เห็นว่าลิงค์นี้น่าสนใจดีเอามาให้อ่านกัน (ความหมายของปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)
http://www.dhumma.ne...=279&Itemid=295
อย่างที่บอกว่าไม่รู้จักเชียงใหม่ ไม่รู้ว่าเชียงใหม่อยู่ทิศใด ก็มีแต่จะสะเปะสะปะหาไม่เจอ ดังนั้น ต้องอาศัยบารมีแบบพระพุทธเจ้า ที่ไม่รู้จักเชียงใหม่แต่ก็หาเจอได้ ส่วนคนทั่วไปก็ต้องอาศัยคำสอนพระพุทธเจ้าว่าเชียงใหม่อยู่ที่ใด จะไปได้อย่างไร
ส่วนวิธีการไปก็มีหลายเส้นทาง มีหลายวิธี จะเดิน จะขึ้นรถ จะนั่งเครื่องบิน ที่สำคัญคือเริ่มออกเดินทางหรือยัง หรือมัวแต่ศึกษาแผนที่อยู่แล้วไม่ก้าวไปไหน คนเค้ามารับจะพาไปส่งก็ไม่ไป

- ส่วนเรื่องพระไตรปิฎก รอข้อมูลกันต่อไปละกัน (อย่างเชิงอรรถที่ในทางวิชาการถือก็ว่าโต้แย้งได้ จริงหรือไม่)

- ที่แน่ๆ ไม่ต้องรอ คือ ถ้าอยากรู้ว่ามีพระอรหันต์มั้ยทำไมไม่ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองไปเลย ที่เค้าว่าพระอรหันต์เป็นอย่างไร หรือกลัวว่าไปแล้วจะถูกหลอกเพราะไม่มีปัญญาพอ ก็ให้มันถูกหลอกเหอะ ถ้ามัวแต่กลัวผิดพลาด กลัวจะล้ม เราคงไม่ได้เดินด้วย 2 ขามาจนถึงปัจจุบัน ตรงไหนที่คิดว่าไม่ใช่หรือไม่จริงก็มาบอกมาเล่าให้ได้ทราบกันก็ยิ่งดี

- แต่ที่ผมสัมผัสมาคือของจริง มีแต่นำพาให้เราได้พบกับความเจริญทางธรรม ได้มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ส่วนเรื่องอภิญญาก็มีอยู่จริง ไม่ใช่แค่สุขวิปัสสโก แต่จะเชื่อหรือไม่ขึ้นกับท่านเอง จะมัวมานั่งนึกเองเออเองให้เสียเวลาทำไม เพราะต่อให้เป็นแค่อนาคามีก็ให้ได้มีโอกาสไปทำบุญเถอะ จะได้รู้ว่าการทำบุญกับพระอริยะเจ้านั้นอานิสงฆ์มากแค่ไหน

ปล.
1. ถ้าคำสอนของพระพุทธเจ้าในปัจจุบันยังสมบูรณ์ดี ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัยก็ยังมี แล้วเพราะอะไรถึงจะไม่บรรลุธรรม อะไรเป็นตัวขัดขวาง ที่เห็นส่วนมากในปัจจุบันคือไม่ได้ปฏิบัติตาม เอาแต่เรียนให้จบมหา จบเปรียญกัน แล้วแบบนั้นจะไปบรรลุได้ยังไง
2. ตกลงว่าพระไตรปิฎกปฏิเสธเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุว่าไม่มีจริงหรือไม่ ก็ในเมื่อไม่ได้ปฏิเสธ และปัจจุบันก็ยังมีพระอรหันตธาตุอยู่ จะมาบอกว่าไม่มีพระอรหันต์ได้ยังไง
3. พระอรหันต์ที่มีอภิญญาก็ยังมีอยู่ ไปอ่านประวัติท่านก็ได้ เช่น หลวงปู่มั่นที่ละพุทธภูมิ หรือหลวงปู่จามอายุ 103 ปีก็ได้รับยกย่องเรื่องที่ท่านมีทิพยจักขุญาณแจ่มชัด ปัจจุบันก็ยังอยู่มุกดาหาร ไม่ได้ไปยากอะไรเลย ทำไมไม่ไปดูให้รู้เองเห็นเองล่ะครับ สมเด็จพระญาณสังวร(พระสังฆราชปัจจุบัน ก็มีคนบอกว่าท่านได้ธรรมแล้ว) ส่วนใหญ่ผมจะรู้จักพระในอีสาน แต่ภาคอื่นก็มี ลอง search ดูเองละกัน มีเป็น 100 องค์ (แต่ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซนต์กับพระสงฆ์ทั้งหมดก็ถือว่าน้อยมาก) เอาตามที่ท่านเห็นว่าสะดวกจะไปพบละกัน แล้วมาเล่าสู่กันฟังด้วยว่าเป็นเช่นไร

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 23 เมษายน พ.ศ. 2555 - 11:07.


#206 พระฤๅษี

พระฤๅษี

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,127 posts

ตอบ 23 เมษายน พ.ศ. 2555 - 11:19

อนิจจัง...ทุกขัง...อนัตตา....นะโยม

( กรรม ) เป็นคำกลาง ๆ นะโยม ต้องต่อ.

กุศลกรรม...อกุศลกรรม....ความหมายจึงจะสมบูรณ์....

เจริญพร....

#207 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 23 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:56

:huh: ....แสดงว่ายังไง คุณ chackrapbong ก้อจะนอนกอดตำราอยู่ใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นผมคงไม่คงต้องอธิบายอะไรต่อน่ะครับ

เพราะเวลาที่ผมศึกษาทั้งในพระไตรปิฎก ทั้งจากครูบาอาจารย์ แล้วผมจะน้อมเอาไปปฏิบัติทันทีครับ
ผมจะไม่นั่งคิดเอาเองว่าอันนั้นถูกอันนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้

อย่างเช่นครูบาอาจารย์บอกว่า...พวกคุณไปปฏิบัติน่ะ เวลาอารมณ์สมาธิมันเกิดขึ้นอย่างนี้ๆๆมันเป็นแบบนี้ๆๆเรียกว่าอย่างนี้ๆๆน่ะ

ผมก้อสงสัยว่าเอ๋..จะจริงหรือเปล่า ผมก้อน้อมไปปฏิบัติ
อย่างเช่น อารมณ์ ฌาน 4 มันมีอะไรบ้าง
เริ่มตั้งแต่ฌาน 1 ไล่เรื่อยไปจนถึงฌาน 4 เวลาที่เราปฏิบัติไปเราก้อจะเจอครับ อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกทุกอย่าง
เราก้ออ๋อ...มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
เอาแค่อารมณ์ปีติของสมาธิ...คุณอธิบายถูกไหม เวลาที่คุณไปอ่านเจอในหนังสือในตำรา เค้าจะบอกว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

แต่เวลาที่น้อมนำมาปฏิบัติแล้วมันมาก มากกว่าที่เค้าอธิบายอีกครับ ฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกว่าปัญญาที่เกิดจากเวลาปกติ
กับปัญญาที่เกิดจากสมาธิ มันต่างกันมาก มากจนคุณคาดไม่ถึงเลยครับ ยิ่งอารมณ์สมาธิละเอียดมากเท่าไหร่ ปัญญาก้อจะเฉียบคม
มากยิ่งขึ้น

อันนี้คือสิ่งที่ผมทำอยู่ตลอดเวลาครับ
น่ะครับ ผมไม่ถนัดเรื่องการท่องจำจากพระไตรปิฎกหรอก ส่วนมากถ้าผมไม่รู้อันไหนผมก้อจะค้นคว้าจากตำรา
หรือไม่ก้อถามผู้รู้...จากนั้นก้อเอามาทำเลย

กัมมัฎฐาน 40...ศึกษาให้ละเอียดครับ
จริตต่างๆ...ก้อควรจะดูด้วย อย่าเก่งแต่ในตำราครับ ถ้าไปเจอผู้รู้จริงๆเราจะกลายเป็นคนโง่ในสายตาเค้าทันที
เพราะ...จะกลายเป็นเถรใบลานเปล่า....ทันทีครับ
เออ..ขอโทษน่ะครับที่ต้องยกเอาตัวเองมาอธิบายทุกทีเลย...คุณลองไปศึกษาประวัติหลวงตามหาบัวน่ะครับ
หรือไม่ก้อหลวงปู่หลวงตา ครูบาอาจารย์ต่างๆ หลายๆองค์จะพบว่าท่านเอาชีวิตเข้าแลกครับท่านถึงได้คุณธรรมอันยิ่งนั้นมา
บางองค์ถึงกับเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำไป
ผมยังไม่เจอองค์นั่งอ่านตำรา เกาะตำราแล้วแล้วบรรลุสักองค์เลย แหะๆ...หรืออาจจะมีก้อไม่รู้เนอะ
(ถ้าจะเอาตำรามาคุยกัน...ผมขอยอมแพ้ครับ)

ออ...ผมจบนักธรรมเอกครับ...ส่วน ปธ. ผมไม่ขอบอกน่ะครับ... :lol:
ขอขมาโทษทุกท่านน่ะครับ หากว่าเยอะไป..... :)


ผมว่า คุณ chackrapbong ไม่ได้กอดแต่ตำราหรอกครับ คุณปังตอ แต่ เขาบอกว่าเขาก็ปฏิบัต ธรรม แต่ผมมองว่าคนละขั้นกับเรา
ผมถึงแนะนำ ให้เขาไปหาฟังเทศน์ของหลวงพ่อ พุธ ฐานิโย เรื่องสมาธิในชีวิตประจำวันเพื่อจะยกระดับให้เขา และสิ่งที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดเลย คือความคิดที่ว่าตอนนี้ไม่มีพระอรหันต์ อยู่มีอันตรายสำหรับเขาครับ เรื่องญาณ จะบอกว่า ขั้นไหนๆผมก้ไม่เข้าใจเหมือนกันเพราะปฏิบัติอย่างเดียว
จนไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่บอก ถึงลักษณะต่างๆ ในญาณ เช่นปิติ ตัวรู้สึกสั่นๆ อะไรประมาณนี้ ก็สังสัยอีก ว่ามันง่าย ขนาดนั้นเลยหรอ เพราะเป็นประจำ แต่สุข กับ เอกฑตา เป็นอยู่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ลืมเลย จากวันนั้นก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องรู้เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้ารู้เห็นให้ ได้ เพราะที่เรารู้สึกยังเป็นแค่เนื้อติดฟันของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่เรานี้นั่งอยู่อย่างนั้นทั้งชีวิตก็ได้เลย

ส่วนคุณ chackrapbong ผมตอบแล้วนะครับ หลักฐานยืนยันของผม คือ พระปัจวัตคีย์ ทั้ง 5 พวกท่าน ไม่ได้ศึกษา แต่มีเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น
ส่วนคำถามผม ตอบหน่อยได้ไหมครับ ว่า คุณจะเชื่อแผนที่นั้นได้หรือไม่ถ้ามันบอกว่าจะไม่มีใครไปถึง จุดหมาย แค่นี้ครับ

Edited by ter162525, 23 เมษายน พ.ศ. 2555 - 14:12.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#208 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 23 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:56

บังเอิญเปิดเข้ามาอ่านเจอ และดูเหมือน เจาะจงมาที่ผม
ก็ขอชี้แจงสั้นๆ อีกครั้ง และรอผู้รู้ มาตอบจริงๆ

คุณไร้สี
-ข้อสงสัยทั้งหมด ของท่านคือ พระไตรปิฎก ว่าจะเป็นจริงหรือไม่
ท่านต้องศึกษาเองครับ และนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ท่านเน้นย้ำถึงการปฎิบัติธรรม
และเป็นโอกาสอันดี ที่ท่าน จะได้ปฎิบัติธรรม ตามที่ท่านเน้นย้ำ
-ส่วนเรื่องการจะรู้ว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์นั้น ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะรู้ได้ ผู้ที่จะรู้
ว่าผู้ใดเป็นพระอริยเจ้าระดับใด เว้นจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วผู้นั้นจะต้องมีปัญญาเสมอกัน หรือสูงกว่า (เช่น พระโสดาบัน ก็จะรู้ได้ว่าท่านใดเป็น พระโสดาบัน แต่จะไม่สามารถรู้ได้ว่าท่านใด เป็น พระอนาคามี ส่วนพระอานาคามีท่านก็จะรู้ได้ว่า ท่านใดเป็นพระโสดาบัน ท่านใดเป็นพระอนาคามี แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าท่านใดเป็น พระอรหันต์ เป็นต้น)
ชึ่งเรื่องนี้ได้ แสดงความเห็นกันมาและยอมรับกันมาตั้งแต่ rep ต้นๆแล้ว

ผมขอเพิ่มตรงนี้อีกนิดเดียว ถึงลักษณะที่พระอริยบุคคลต้องมี
ภาวะของผู้สิ้นอาสวะแล้วนั้น ย่อมมีอาการสองอย่างคือ
๑. เกิดความคิดว่า ชาวโลกพร้อมกับเทวดา จะพึงรู้แจ้งแทงตลอดคุณวิเศษที่เราได้เฉพาะแล้ว พลันทีเดียว
๒. ไม่ประสงค์จะบอกคุณที่ตนได้แล้วแก่ผู้อื่น

*ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม (คือ ธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติปาราชิก
*ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง แก่อนุปสัมบัน (ผู้ที่ไม่ใช่ภิกษุ) ต้องปาจิตตีย์
*การบอกหรืออวด ถ้ามีคนเข้าใจความหมายแม้เพียงคนเดียว ก็ปรับอาบัติได้ตามขั้นต้น

คุณ ter
ถ้าหาก ท่านตั้งอยู่บนความเชื่อ แต่แรกเหมือน คุณปังตอ ว่า ท่านปฎิบัติธรรมสูงกว่าผู้อื่น
ก็ไม่มีเหตุอะไร ที่จะต้องถามผู้อื่นอีกต่อไป ท่านก็ปฎิบัติต่อไปตามสิ่งที่ท่านคิด
ส่วนจะถูก ต้องกับหลักศาสนาพุทธหรือ ไม่ ไม่มีใครตอบได้ นากจาก ตัวท่านเอง

ผมขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมตามคำกล่าวของท่านผู้นี้ครับ
ยุคนี้เต็มไปด้วยสัทธรรมปฏิรูป หนทางนั้นเริ่มถูกบิดเบือน และเสริมแต่ง จนยากที่จะ
ตัดความเป็นตัวตนในการปฏิบัติ จนตอนนี้อะไรๆ ก็เป็นตัวตนในการปฏิบัติไปเสียหมด
และไม่รู้ด้วยว่ากำลังยืดสังสารวัฏออกไป สะสมโลภะในการปฏิบัติความนิ่งความสบาย
โดยไม่รู้ว่าการปฏิบัติธรรมเป็นหน้าที่ของปัญญาไม่ใช่เรื่องของท่าทางหรือตัวตนที่กระทำการสิ่งใด
ก็ไม่แปลกที่พระสัทธรรมจะเริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆ เพราะไม่มีผู้สนใจศึกษา มีแต่ผู้เรียกหาทางลัด
สนใจการปฏิบัติที่ปฏิรูปเอาเองคิดเอาเอง โลภะทำให้ชอบง่ายๆ ไวๆสบายๆนิ่งๆ ร่มรื่นๆ
สมัยนี้การปฏิบัติก็เพื่อได้ ไม่ใช่เพื่อละ แล้วถ้าใครไม่แสดงท่าทางปฏิบัติ ก็หาว่าเขาไม่ปฏิบัติธรรม
แต่ในโลกมนุษย์ หาพระอริยบุคคลยากมากๆ ถึงเจอ ก็มองข้ามกัน เพราะท่านสอนตรง
สอนละเอียด สอนสิ่งที่ยาก เริ่มด้วยความไม่มีตัวตนในการปฏิบัติและเน้นเป็นปรกติในชีวิตประจำวัน

ส่วนประเด็นการฟังธรรม ท่านก็หยิบยกมาหลายครั้งเหลือเกิน ว่า ฟังจากผู้อื่นก็ได้
ผมขอเสริม ตรงนี้อีกนิดว่า
ฟังธรรมหมายถึง การเข้าใจคำสอน ขององค์พระผู้มีพระภาค
ไม่ว่าจะทางใหน ไม่ว่าจะทวารใหน ไม่ว่าใครจะแสดง แม้ผู้นั้นไม่ไช่ผู้นับถือศาสนาพุทธ
แต่ถ้าพูดพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นั่นก็ย่อมเป็น พระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัส

ท่านอย่าเอา นิ้วที่ชี้ไปยังดวงจันทน์ มาเป็นดวงจันทร์ เสียเอง

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#209 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 23 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:59

ผมขอให้ไปกันช้าๆ

และจะขอเป็นผู้อ่านบ้างนะครับ
ตามจริงบอกตั้งหลายครั้ง ว่าจะ
ขอรับฟังผู้อื่น เพื่อตรวจสอบตัวเอง

นับจาก rep นี้ไป ผมจะเริ่มเป็นจริงๆสักที

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#210 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:33

- ผมบอกแล้วไงว่าพระไตรปิฎกนั้นถูกต้อง (เห็นในเน็ตบอกว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านก้ยืนยันว่าถูก)
แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นต้องมาพิจารณา
เช่น
1. เราตีความผิดหรือไม่
2. พระไตรปิฎกมีหลายฉบับ ฉบัยที่เรายึดถือนั้นแปลมาถูกหรือไม่
3. ในส่วนอรรถกถามีผู้ให้ความเห็นว่า ในเชิงวิชาการสามารถโต้แย้งได้ (แต่ผมเห็นว่าคงไม่ได้ผิดหรอก)

โดยส่วนตัวผมมองว่าน่าจะเป็นจากข้อแรกมากสุด (เพราะเชื่อว่าพระไตรปิฎกและอรรถกถาไม่น่าผิด ส่วนฉบับที่คุณใช้ก็มาจากบาลีไม่น่าแปลผิด)
คราวนี้จะวิเคราะหืให้คุณฟังว่าเกิดอะไรขึ้น(เป็นการตีความของผมเอง ยัไงไม่ได้รับการยืนยันจากครูบาอาจารย์)

ในบทความ กล่าวว่า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดครุธรรม 8 ก่อนที่จะให้ภิกษุณีบวช คำสอนท่านจะอยู่ได้ 500 ปี แต่เมื่อท่านกำหนดคุรุธรรม 8 ก่อน จะอยู่ได้ 1000 ปี
มีพระมาอธิบายเพิ่มเติมในอรรถกถาว่า 1000 ปีนั้นอยู่ได้ด้วยพระอรหันต์ที่มีอภิญญา พันปีต่อมาอยู่ได้ด้วยพระอรหันต์สุขวิปัสสโก......
ปัญหาคือเงื่อนไขนี้เกิดจากการกำหนดครุธรรม 8 อย่างเดียว ทั้งที่ความจริงยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้คำสอนพระพุทธเจ้าดำรงมาได้ เช่น การมีพระไตรปิฎกเป็นต้น (ก็ตอนนั้นพระพุทธเจ้าท่านพูดในเวลาที่ไม่มีพระไตรปิฎกไม่ใช่เหรอ)
แล้วคุณก็เห็นอยู่ว่าพระธรรมพระวินัยนั้นก็สมบูรณ์ดี ส่วนผู้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็ยังมี(แม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม) จึงเข้ากันได้กับที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้า....ยังอยู่...จะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์

แต่ผมก็งงนะว่าทำไมยุคนั้นพระพุทธเจ้าถึงไม่กำหนดให้มีพระไตรปิฎกแต่แรก เวลาท่านตรัสสอนอะไรก็ให้คนบันทึกไว้เลย ทำให้ต้องมารวบรวมหลังท่านปรินิพาน(เพราะมีพระที่ไม่เคารพศีล) ลองไปพิจารณาเหตุผลกันเองละกัน ผมไม่ได้บอกว่าพระไตรปิฎกไม่ดี แต่ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย เพราะผมก็เจอมาบ้างที่บางคนอ่านเอาพระไตรปิฎกแล้วไม่รู้ว่าตีความผิด ยังหลงยึดเอาแบบผิดๆนั้น เพราะคิดว่าต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ใครมาชี้แจงให้เห็นสิ่งผิดสิ่งถูกก็ไม่รับฟัง ยกตัวอย่างพระเกษมที่บอกให้ทำลายพระพุทธรูป คุณเอกอิสโรที่บอกว่าระยะทางในพระไตรปิฎกไม่ตรงกับสถานที่ในอินเดียจึงเชื่อว่าสถานที่ต่างๆไม่ได้อยู่ในอินเดีย คนอินเดียสร้างหลักฐานเท็จ เป็นต้น)


- ส่วนเรื่องพระอรหันต์ไม่ประสงค์บอกก็ไม่ได้แปลว่าบอกไม่ได้ เพราะท่านพูดความจริง ถ้าท่านบอกว่าท่านไม่ใช่อรหันต์ นั่นต่างหากที่โกหก
ผมถึงได้ถามว่าหลวงตาบัวทำผิดข้ออวดอุตริที่เป็นโทษถึงขั้นปราชิกจริงหรือ ถ้าท่านทำผิดร้ายแรงขนาดนั้นจะเป็นที่เคารพของผู้มีศีลมีธรรม เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเหรอ อัฐิท่านก็เป็นพระธาตุ(จริงๆเส้นผม ชานหมากท่านก็เป็นพระธาตุตั้งแต่ก่อนละสังขาร ลูกศิษย์ลูกหาเขาถึงได้รู้ แล้วท่านก็ยืนยันอีกด้วยว่าท่านได้ธรรม พระอรหันต์ที่ท่านสามารถวางธาตุขันธ์แล้วผ่าตัดโดยไม่ใช้ยาสลบยาชาก็มีให้ได้พบเห็น ลองไปถามจากพวกแวดวงสาธารณสุขเอาก็ได้)

แล้วที่บอกละกิเลสไม่ได้ คุณรู้จักกิเลสดีแค่ไหน รู้ได้อย่างไรว่าท่านละกิเลสไม่ได้ ผมว่าถ้าไม่รู้ก็อย่าเอาความไม่รู้นั้นไปตัดสินผู้อื่นเลย ถ้าไม่เชื่อหลักฐานเรื่องพระธาตุ ไม่เชื่อในสิ่งที่ผู้มีศีลมีธรรมแนะนำ ไม่เชื่อในความหวังดีของผู้อื่น ผมว่าต้องลองกลับมาพิจารณาใหม่แล้วล่ะว่าปัญหาอยู่ที่คนรอบตัวหรือตัวคุณเอง

สรุป - ประเด็นคือคุณเจอแต่ความเสื่อมของศาสนา เจอแต่พระที่ไม่เคารพธรรมวินัย ถึงได้มองว่าปัจจุบันไม่มีพระอรหันต์ แต่จริงๆแล้วยังมีอยู่ พระธรรมพะรวินัยยังมีอยู่ พระที่ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ภาวนาด้วยความพากความเพียรยังมีอยู่ ก็เลือกเอาละกันว่าจะอยู่แต่ในบ้าน หรือจะออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:54.


#211 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:48

ส่วนคุณ chackrapbong ผมตอบแล้วนะครับ หลักฐานยืนยันของผม คือ พระปัจวัตคีย์ ทั้ง 5 พวกท่าน ไม่ได้ศึกษา แต่มีเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น
ส่วนคำถามผม ตอบหน่อยได้ไหมครับ ว่า คุณจะเชื่อแผนที่นั้นได้หรือไม่ถ้ามันบอกว่าจะไม่มีใครไปถึง จุดหมาย แค่นี้ครับ


ผมตอบให้คุณแล้ว นะครับแต่ของผมคุณไม่ตอบ เลย
ส่วนคุณไร้สีไร้กลิ่น ผมเห็นว่าในพุทธวจนะ นั้นน่าอ่านมากกว่าพระไตรปิฏก เพราะว่า พระไตรปิฏก พึ่งจะมีการจดบันทึกเมื่อประมาณ 500 ปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน และตลอดมาจนบันทึก ใช้วิธี จดจำ เอาแล้วยังมีการอธิบายตามความรู้หรือความนึกคิดของผู้บันทึกซึ่งเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเข้าใจถูก สัญญาไม่เที่ยง ครับ แม้แต่พระอรหันต์ที่ครองขันต์อยู่ก็ตาม แค่เกมกระซิบข่าวก็พอครับ ไม่เกินชั่วโมง ข่าวเปลี่ยน แค่ 5ทอด เท่านั้น ไม่งั้นจะมีนิกายนั้นนิกายนี้หรือ ผมถถึงว่าพระพุทธวจนะ น่าอ่านมากกว่าเพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด คำพูด อาจจะบิดเบียงนิดหน่อยแต่ถ้าเราทำความเข้าใจประกอบจะรู้ได้

Edited by ter162525, 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:50.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#212 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 13:30

จริงๆ เริ่ม 3 เดือนหลังพระพุทธเจ้าอรหันต์นะครับ (ตอนนั้นจะทำทันทีแต่ทุกคนรอพระอานนท์อยู่ พระอานนท์คิดว่าการที่ยังไม่บรรลุก็ไม่ควรจะไปร่วมสังคายนาเพราะพระเหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ จึงเร่งความเพียรอยู่ 3 เดือน พอบรรลุก็เลยได้ไปร่วมและได้แสดงให้ผุ้อื่นเห็นว่าบรรลุแล้ว - ตรงนี้ไม่ชัวร์ว่าแสดงอย่างไร บางที่บอกดำดิน บางที่บอกเหาะไป บางที่บอกมีผิวกายสวยงาม)
ดังนั้นผมเชื่อว่าพระไตรปิฎกย่อมถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน เพราะอาศัยพระอรหันต์ที่ร่วมกันสังคายนา แต่ถ้านำมาแปลต่อๆกันตามความเข้าใจก็ย่อมมีโอกาสผิดเพี้ยนได้ ต้องรู้ว่าต้นฉบับคืออะไร และการเผยแพร่ศานาก้ไม่ใช่แค่อาศัยพระไตรปิฎก ต้องอาศัยพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระพุทธเจ้าด้วย เพราะต่อให้ธรรมถูกต้อง แต่บางอย่างเป้นปัจจัตตัง เป็นอจิณไตย ยากที่ปุถุชนจะเข้าใจอยู่ดี

ส่วนเรื่องในพระไตรปิฎกที่คุณ chackrapbong ยกมา ผมก็เห้นแย้งไปว่าข้อความนั้นไม่ได้บอกว่ายุคนี้มีแต่พระอนาคามี สงสัยอธิบายแล้วเข้าใจยาก ผมเปรียบเทียบให้ละกัน

เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้าบอกว่า น้ำแข็งก้อนนี้ถ้าปล่อยไว้กลางแจ้งจะละลายใน 5 นาที แต่ถ้าใส่กระติกน้ำแข็งไว้จะอยู่ได้ 10 นาที แล้วมีคนมาขยายความว่า น้ำแข็งนั้นเมื่อถึง 10 นาทีจะยังเป้นก้อนอยู่ ผ่านไป 1 นาทีจะแหว่งไปเสี้ยวหนึ่ง ผ่านไป 2 นาทีจะเหลือครึ่งหนึ่ง...จนละลายหมด

ปัญหาคือคนมาอ่านแล้วตีความว่า ตามที่พระพุทธเจ้าบอก น้ำแข็งนั้นจะอยู่ได้ 10 นาที หลังจาก 10 นาทีนั้นจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีก

ทั้งที่ปัจจุบันมีตู้เย็น มีกระติก cooler อย่างดี จะเก็บเป็นชั่วโมงเป็นวันก็ได้ พอมีคนบอกว่าน้ำแข็งเก็บได้เป็นชั่วโมงก็มีคนมาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าอยู่ได้ 10 นาทีต้องไม่มีทางเก็บไว้ได้นานกว่านั้นแน่ เป็นต้น

ดังนั้น พระไตรปิฎกไม่ผิดหรอก(อย่างที่ผมยกตัวอย่าง ทุกอย่างก็เป็นจริงตามบริบทนั้น) ปัญหาจึงอยู่ที่คนตีความนั่นแหละ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 14:10.


#213 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:36

คงไม่เป็นการกลืนน้ำลายตัวเองที่ต้องออกมาตอบอีกครั้งเพราะเหมือนจะชี้ตรงมาให้ผมตอบอีก
ด้วย 3 เหตุคือ
-ปัญหา วน loop หลายๆที่ ผมได้แสดงความเห็นไปแล้วก็นำมาถามซ้ำ
-ไม่นำสาระสำคัญมาพิจารณา มุ่งตีความ เหมือนนักอักษรศาสตร์ ซึ่งผิดไปจากเป้าหมายที่เราตั้งไว้
ว่าเป็นไปเพื่อความเห็นถูก แลกเปลี่ยนควมเห็น เกื้อกูลกันในทางธรรม
-มีการคาดการณ์ถึงความเป็นส่วนตัว


คุณ ter
-คุณแสดงความเห็นผิด เรื่องพระไตรปิฎก ศึกษาเพิ่มเติมอีกครับ
-ส่วนคำถามที่ว่า คุณจะเชื่อแผนที่นั้นได้หรือไม่ถ้ามันบอกว่าจะไม่มีใครไปถึง จุดหมาย
คำตอบคือ แผนที่ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ ใครปฎิบัติตรงตามที่พระองค์ทรงแสดง ย่อมถึง
จุดหมายทุกคน ต่างเพียงเวลา ที่ไม่เท่ากัน เพราะบางคนขับรถช้า บางคนขับรถเร็ว แค่นั้นเอง
ผมเองก็ยังไม่เข้าใจในธรรมอีกหลายข้อ แต่ในข้อนี้ผมไม่สงสัยอย่างที่คุณสงสัย
ความ ลังเล สงสัย พระธรรมของพระพุทธเจ้า เราเรียกว่า วิจิกิจฉา
ผู้ที่จะดับวิจิกิจฉาได้หมด ไม่มีความลังเลสงสัยเกิดขึ้นอีกเลย คือ พระโสดาบันครับ



คุณ ไร้สี
-เรื่องการตีความในข้อนี้ ผมยังไม่เห็น ความสลับซับซ้อนอะไรมากมาย
เหมือนที่ไม่ต้องไปตีความรัฐธรรมนูญว่า อายุ 18 ปีมีสิทธิเลือกตั้ง เพียงเทียบว่า คุณอายุถึงแล้วยัง ง่ายๆ แค่นั้นเอง
ส่วนที่ต้องทำความเข้าใจคือ คำทำนายนี้เป็นคำ ที่หลวงตาท่านพูดเอง จริงหรือไม่ หรือ เพียงเห็น ได้ยิน ได้ฟัง
แล้วเอามาเล่นกันต่อ เพือจุดประสงค์ทางการเมืองเท่านั้น แต่ไม่คิดว่า ที่เขียน ที่พูด ในที่สุดก็ต้องถูกย้อนตรวจสอบ

-เรื่องการตัดกิเลศ ผมไม่ทราบเหมือนกัน ว่า คุณเข้าใจที่ผมพูดถูกแล้วหรือ ว่าไม่มีใครตัดกิเลศได้
ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะนับถือศาสนาพุทธ ได้อย่างไร ผมจะเชื่อว่า เคยมีพระพุทธเจ้า เคยมีพระอรหันต์
และในอนาคตเราก็จะมีพระพุทธเจ้า มีพระอรห้นต์อีก ได้อย่าไร เพียงแต่ในปัจจุบันไม่ไช่กาลเท่านนั้นเอง

-เรื่องที่พระอรห้นต์ไม่บอกว่าท่านเป็นอรหันต์ ไม่ไช่พูดจริงหรือเท็จแต่ท่านจะไม่พูด อีกทั้งมีข้อห้ามไว้
เพื่อให้พ้นไปจากลาภสักกาะ-ไม่ติดยึดแล้ว( อ่านrep ผม ก่อนหน้านี้ให้ชัด)

-ส่วนเรื่องเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน พระองค์ท่าน ก็ ไม่เลือกปฎิบัติอยู่แล้ว พระองค์ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
ผมยังมองไม่เห็นว่า คุณพูดเรื่องนี้เพื่อ อะไร หรือเพียงเพื่อ เพิ่มน้ำหนักให้เข้ากับเหตุและผลที่คุณแสดงมา
คุณกำลังทำสิ่งที่ไม่ควร และไม่ทำในสิ่งที่ควรอยู่หรือเปล่า

-มาถึงบรรทัดนี้ ขอคุยแบบเพื่อนคุยกัน แล้วคุณจะรู้ว่า ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดเอง ไม่เคยออกจากบ้าน
/พระสงฆ์ องค์เจ้าผมไม่ขอบอกที่ใหน เพราะไม่สำคัญไปกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า
/ผมเกือบถูก รีไทร์ ตอนปีสอง เพราะสนุกกับชีวิตนักศึกษา กลางคืน กินเหล้า เล่นดนตรี
ต้องได้ A เท่านั้น ในวิชาเศรษฐกิจเปรียบเทียบ (มี multiple choice เพียง วิชาการใช้ห้องสมุด )
วิ่งไปหา adviser ขอความช่วยเหลือ ถูกปฎิเสธ แต่ให้สิทธิอธิบายปากเปล่า ได้เพิ่มเติม
ผมรอดมาได้ ไม่ไช่การ กาผิด กาถูก ทุกเรื่องต้องอธิบายได้
ที่อยากจะบอกแบบเพื่อนบอกเพื่อนคือ

…..นายครับ ผมออกจากบ้าน มานานแล้วครับนาย…..


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#214 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:37

ขอไปกันช้าๆเหมือนเดิมนะครับ

เป็นไปได้ผมอยากฟังความเห็นผู้ที่สนใจอื่นด้วยครับ

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#215 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 21:03

เรื่อง 18 ปีมีสิทธิ์เลือกตั้ง อันนี้ใครๆก็ตีความได้

ควรยกตัวอย่างเรื่อง MOU 43 ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของฝรั่งเศสหรือเปล่า แบบนี้เถียงกันเป็นวันก็ไม่จบ
พวกสนธิบอกยอมรับเพราะเอาเฉพาะส่วนหนึ่งมา แต่ถ้าอ่านทั้งหมดจะรู้ว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนนั้นต้องเป็นไปตามสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสด้วย
หรือเรื่องอื่นๆก็ตามที่ต้องตีความยังมีอีกหลายเรื่อง ไม่ควรยกที่ตีความง่ายเพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องระดมสมองกันขนาดนี้

ปัญหาคือสิ่งที่คุณตีความขัดกับคำกล่าวอื่นๆ แต่สิ่งที่ผมตีความ (ซึ่งผมคิดว่าได้ตีความอย่างครอบคลุมทั้งหมวดนั้น ไม่ได้คัดเอาเฉพาะประโยคที่ถูกใจ) สอดคล้องกับคำกล่าวอื่นของพระพุทธเจ้า สอดคล้องกับสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน ที่สามารถยืนยันพิสูจน์ได้ ถึงได้ท้าให้ไปสัมผัสด้วยตัวคุณเอง

แล้วผมชี้แจงคุณขนาดนี้แล้ว ยังไม่รับรู้อะไรอีก ผมว่าก็ไม่แปลกที่ต้องวิ่งหา adviser เพราะคนที่จะ advise คุณได้คงต้องมีขันติมากจริงๆ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 21:05.


#216 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 21:52

-มาถึงบรรทัดนี้ ขอคุยแบบเพื่อนคุยกัน แล้วคุณจะรู้ว่า ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดเอง ไม่เคยออกจากบ้าน
/พระสงฆ์ องค์เจ้าผมไม่ขอบอกที่ใหน เพราะไม่สำคัญไปกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า
/ผมเกือบถูก รีไทร์ ตอนปีสอง เพราะสนุกกับชีวิตนักศึกษา กลางคืน กินเหล้า เล่นดนตรี
ต้องได้ A เท่านั้น ในวิชาเศรษฐกิจเปรียบเทียบ (มี multiple choice เพียง วิชาการใช้ห้องสมุด )
วิ่งไปหา adviser ขอความช่วยเหลือ ถูกปฎิเสธ แต่ให้สิทธิอธิบายปากเปล่า ได้เพิ่มเติม
ผมรอดมาได้ ไม่ไช่การ กาผิด กาถูก ทุกเรื่องต้องอธิบายได้
ที่อยากจะบอกแบบเพื่อนบอกเพื่อนคือ



…..นายครับ ผมออกจากบ้าน มานานแล้วครับนาย…..


คำพูดว่าอยู่แต่ในบ้านนั้นเพื่อลดความแรงหากใช้คำอื่นครับ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 22:06.


#217 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 22:41

คงไม่เป็นการกลืนน้ำลายตัวเองที่ต้องออกมาตอบอีกครั้งเพราะเหมือนจะชี้ตรงมาให้ผมตอบอีก
ด้วย 3 เหตุคือ
-ปัญหา วน loop หลายๆที่ ผมได้แสดงความเห็นไปแล้วก็นำมาถามซ้ำ
-ไม่นำสาระสำคัญมาพิจารณา มุ่งตีความ เหมือนนักอักษรศาสตร์ ซึ่งผิดไปจากเป้าหมายที่เราตั้งไว้
ว่าเป็นไปเพื่อความเห็นถูก แลกเปลี่ยนควมเห็น เกื้อกูลกันในทางธรรม
......


ผมจะชี้แจงให้คุณเห็นอีกครั้ง ว่าผมตีความครอบคลุมทั้งหมวด โดยพิจารณาองค์ประกอบทั้งหมด ไม่ใช่การเลือกตีความหรือเล่นคำ หรือยกมาเพียงบางประโยค

rep 210 ผมอธิบายว่า
.....ในบทความ กล่าวว่า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดครุธรรม 8 ก่อนที่จะให้ภิกษุณีบวช คำสอนท่านจะอยู่ได้ 500 ปี แต่เมื่อท่านกำหนดคุรุธรรม 8 ก่อน จะอยู่ได้ 1000 ปี มีพระมาอธิบายเพิ่มเติมในอรรถกถาว่า 1000 ปีนั้นอยู่ได้ด้วยพระอรหันต์ที่มีอภิญญา พันปีต่อมาอยู่ได้ด้วยพระอรหันต์สุขวิปัสสโก......
ปัญหาคือเงื่อนไขนี้เกิดจากการกำหนดครุธรรม 8 อย่างเดียว ทั้งที่ความจริงยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้คำสอนพระพุทธเจ้าดำรงมาได้ เช่น การมีพระไตรปิฎกเป็นต้น (ก็ตอนนั้นพระพุทธเจ้าท่านพูดในเวลาที่ไม่มีพระไตรปิฎกไม่ใช่เหรอ)

rep 212 ดูคุณยังไม่เข้าใจจึงเปรียบเทียบให้เห็นง่ายขึ้น
....เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้าบอกว่า น้ำแข็งก้อนนี้(คำสอนของพระพุทธเจ้า) ถ้าปล่อยไว้กลางแจ้ง(บวชภิกษุณีโดยไม่บัญญัติครุธรรม 8)จะละลายใน 5 นาที แต่ถ้าใส่กระติกน้ำแข็งไว้(กำหนดครุธรรม 8 ก่อนบวชภิกษุณี)จะอยู่ได้ 10 นาที แล้วมีคนมาขยายความว่า น้ำแข็งนั้นเมื่อถึง 10 นาทีจะยังเป็นก้อนอยู่ ผ่านไป 1 นาทีจะแหว่งไปเสี้ยวหนึ่ง(เหลือแต่พระสุขวิปัสสโก) ผ่านไป 2 นาทีจะเหลือครึ่งหนึ่ง(พระอนาคามี)...จนละลายหมด

ปัญหาคือคนมาอ่านแล้วตีความว่า ตามที่พระพุทธเจ้าบอก น้ำแข็งนั้นจะอยู่ได้ 10 นาที หลังจาก 10 นาทีนั้นจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีก

ทั้งที่ปัจจุบันมีตู้เย็น มีกระติก cooler อย่างดี(มีพระไตรปิฎก รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น การที่ ร.4 ทรงฟื้นฟูศาสนา, หลวงปู่มั่นช่วยเผยแพร่ เป็นต้น) จะเก็บเป็นชั่วโมงเป็นวันก็ได้ พอมีคนบอกว่าน้ำแข็งเก็บได้เป็นชั่วโมงก็มีคนมาแย้งว่าเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าอยู่ได้ 10 นาทีต้องไม่มีทางเก็บไว้ได้นานกว่านั้นแน่ เป็นต้น

ดังนั้น การที่ยกมาแค่ข้อความพันปีนั้นเหลือพระอะไร พันปีต่อมาเหลือพระอะไร โดยไม่ดูบริบททั้งหมด ก็จะเกิดความเข้าใจผิดได้ และก็ไม่ได้แปลว่าพระพุทธเจ้าตรัสผิด เพราะถ้าปล่อยน้ำแข็งก้อนนั้นไว้กลางแจ้ง 5 นาทีก็ละลายหมดจริง ใส่กระติกก็อยู่ได้ 10 นาทีจริง (ถ้าตอนนั้นมีตู้เย็นท่านก็คงจะบอกว่าให้เอาไปใส่ตู้เย็นก็จะอยู่ได้หลายวัน เป็นต้น)

ปล. เห็นบอกจะไปช้าๆ ผมก็เลยจะเคลียร์ทีละประเด็น ถ้าคุณอ่านไม่ครบ เข้าใจไม่ตรง ก็จะได้ช่วยกันชี้แจงไปทีละจุด ถ้าท่านอื่นเห็นว่าเกะกะสายตาก็แจ้งได้ แต่ผมกลัวว่าถ้าไม่ชัดเจนเราก็จะวน loop กันไปเพราะเข้าใจไม่ตรงกันสักที

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 22:53.


#218 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 23:24

ผมยกมาให้ดูตั้งแต่ rep# 50- 51- 100
จนถึงตอนนี้ rep# 218
แล้วคุณก็ยังจะมาตีความ
ตามสบายเลยครับ เล่นกับจินตนาการต่อไปด้วยการตีความเอง เพื่อสนับสนุนเหตุผลคัวเอง
ผมคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ


พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสคาถานี้แล้ว

จึงรับสั่งถามพระอานนทเถระว่า ดูก่อนอานนท์

ภิกษุทั้งหลายถูกคำว่าเย้ยหยันอย่างนี้แล้วพูดอย่างไร.

กราบทูลว่า มิได้พูดอะไรเลย พระเจ้าข้า.

ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เราเป็นผู้มีศีลมิใช่หรือ

เพราะฉะนั้นควรนิ่งในเรื่องทั้งหมด

แม้รู้อยู่ก็ไม่พูด เพราะคนพาลกับบัณฑิตเข้ากัน ไม่ได้.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต

เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 715 อรรถกถาทุฏฐัฏฐกสูตร


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#219 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 23:30

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#220 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 09:13

ผมยกมาให้ดูตั้งแต่ rep# 50- 51- 100
จนถึงตอนนี้ rep# 218
แล้วคุณก็ยังจะมาตีความ
ตามสบายเลยครับ เล่นกับจินตนาการต่อไปด้วยการตีความเอง เพื่อสนับสนุนเหตุผลคัวเอง
ผมคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ


นิ่งได้ครับ แต่อย่าปิดหูปิดตาตัวเอง
ตอนนี้ปัญหาก็เกิดจากการตีความคลาดเคลื่อน จะไม่ให้พูดเรื่องตีความแล้วจะให้พูดเรื่องอะไร

ปล. rep 50 ของคุณปังตอไม่ใช่เหรอ

#221 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 09:37

ผมอ่านที่คุณโพสต์และก็เห็นอยู่ว่าคุณเข้าใจผิดอย่างไร

เนื่องจากมีหลายประเด็น ผมจึงจะเคลียร์ทีละประเด็น เพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน

1. พระอรหันต์ย่อมรับรองพระอรหันต์ได้ ผู้มีธรรมต่ำกว่าย่อมไม่สามารถรับรองได้
ตรงนี้ผมเปรียบเทียบให้เห็นแล้วว่า เด็ก ป.1 จะไปรับรองว่าใครจบ ม.6 ไม่ได้ด้วยความรู้ตน แต่ก็สามารถใช้วิธีอื่นได้ เช่น ดูจากผลการสอบ ดูจากใบรับรองวุฒิการศึกษา เด็กม.6 หรือครูชั้น ม.6 รับรอง
แต่ถ้าคุณยังจะมีกรอบความคิดคับแคบอยู่เหมือนเดิมก็เชิญ

2. เรื่องข้อความเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุที่คุณยกมา ผมก็ไม่เห็นจะมีตรงไหนบอกว่าพระธาตุไม่มีจริง ใช้รับรองไม่ได้
จาก rep 51
......ประโยชน์ที่สำคัญไมได้อยู่ที่ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงหรือไม่จริง .....

เค้าแค่ต้องการบอกว่าต่อให้พระบรมสารีริกธาตุนั้นไม่ใช่ของจริง หรือพระพุทธรูปที่เป็นเพียงดิน ไม่ใช่ตัวพระพุทธเจ้าจริง ถ้าจิตเคารพเลื่อมใสก็เป็นกุศล ดีกว่ามาสงสัยว่าจริงหรือไม่แบบนั้นจะเกิดอกุศล แล้วคุณตีความข้อความนี้ว่าพระบรมสารีริกธาตุไม่มีจริงนั้นถูกแล้วหรือ

3. เรื่องที่บอกว่าพันปีแรกเป็นอย่างไร พันปีต่อมาเป็นอย่างไร
จาก rep 51
..... พระวินัยปิฎก จุลวรรค ทุติยภาค ภิกขุนิกขันธกวรรณนา (เริ่มที่หน้า 498)
ว่าด้วยครุธรรม 8 ประการ มีข้อความแสดงว่า การบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลจะมีได้ภายในห้าพันปี คือ
ในพันปีแรกสามารถมีพระอรหันต์ที่มีคุณวิเศษประกอบด้วยปฏิสัมภิทา พร้อมด้วยฤทธิ์
พันปีที่สอง สามารถมีพระอรหันต์สุกขวิปัสสกะ (ไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิต่างๆได้)
พันปีที่สาม สามารถมีพระอนาคามี
พันปีที่สี่ สามารถมีพระสกทาคามี
พันปีที่ห้า สามารถมีพระโสดาบัน

ตอนแรกผมก็สงสัยว่าคำว่า พันปีที่สาม สามารถมีพระอนาคามี แปลว่ามีสูงสุดได้แค่พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ก็มีได้แต่น้อย หลังจากนั้นคุณได้ยกตำราบาลีมา ผมก็เห็นด้วยว่าน่าจะหมายถึงมีสูงสุดได้แค่พระอนาคามีจริง
ผมเลยมาพิจารณาต่อเพราะว่าขัดแย้งกับคำกล่าวอื่น เช่น "...เมื่อมีคำสอน.. โลกจะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์" โดยผมอ้างอิงตามข้อมูลจริงในปัจจุบันว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ยังสมบูรณ์ มีพระที่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และได้บรรลุธรรมจริง พอกลับมาพิจารณาโดยละเอียดจึงพบว่า คุณไม่ได้อ่านข้อความทั้งหมด ตัดเอาเฉพาะส่วนอรรถกถามา
ซึ่งผมบอกแล้วว่า อรรถกถานั้นอธิบายในช่วงเวลาที่ยังไม่มีพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้ากล่าวตอนที่บัญญัติครุธรรม 8 ซึ่งจะทำให้คำสอนของพระองค์อยู่ถึงพันปี (ซึ่งตอนนี้ก็เห็นอยู่ว่าเลยพันปีมาแล้ว) ผมได้เปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายขึ้นโดยเทียบกับเรื่องน้ำแข็ง ผิดถูกอย่างไรก็พิจารณาเอา

4. ผมเห็นคุณมาแปลประโยค ตราบใดที่ยังมีผู้ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อยู่ ตราบนั้นโลกก็จะไม่ว่างเว้นพระอรหันต์
โดยคุณแปลว่าเมื่อศาสนาพุทธในยุคนี้เสื่อม ต่อไปก็จะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มา แล้วก็จะมีพระอรหันต์เกิดขึ้น จึงไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์

แต่ผมแปลว่า พระพุทธเจ้าพูดถึงเฉพาะยุคของพระองค์เอง ว่าตลอดอายุศาสนาของพระองค์ ถ้ายังมีคำสอนและมีผู้ปฏิบัติตามก็จะมีพระอรหันต์ได้เสมอ

ปล.
- ไม่ต้องจบอักษรศาสตร์ก็สามารถพิจารณาได้ครับว่าใครเข้าใจผิดถูก รอผู้อื่นแสดงความเห็นก็ได้หากคุณไม่อยากจะอ่านความเห็นผม

- ส่วนการใช้คำแรงบ้างเพราะไม่อยากให้ตัวอักษรกระทบแค่ตากับสมอง แต่อยากให้ไปกระแทกใจที่คุณสร้างกำแพงปิดกั้นไว้เท่านั้นเอง

- สุดท้ายก็ฝากเรื่องเดิม คือ อย่ามัวมานั่งตีความอยู่เลย ออกไปดูความเป็นจริงในโลกภายนอกบ้างเถอะ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 10:49.


#222 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 11:03

ฝากอีกเรื่องที่บอกว่าในหลวงและพระราชินีทรงดูแลหลวงตาเหมือนพระทั่วไป

ทั้งที่ ท่านทรงเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ทางธรรม ท่านทรงร่วมออกแบบและถวายพระราชทรัพย์ในการสร้างเจดีย์ถวายแก่ครูบาอาจารย์ที่บรรลุธรรมหลายองค์ ซึ่งครูบาอาจารย์บางท่านก็เป็นศิษย์หลวงตาบัว ได้จารึกคำกล่าวสรรเสริญหลวงตาไว้ที่เจดีย์ รวมถึงฟ้าหญิงที่ทรงเคารพบูชาหลวงตาบัว ไปวัดป่าบ้านตาดเป็นประจำ ผมถึงได้ถามว่า ถ้าพระที่อาบัติถึงขั้นปราชิกคืออวดอุตริมนุสธรรม จะได้รับคำยกย่องถึงเพียงนี้หรือ แต่คำตอบที่ได้คือ ในหลวงท่านก็ทรงปฏิบัติเช่นนี้ทั่วไป พระอรหันต์ย่อมไม่ประกาศตนเพื่อหวังลาภสักการะ แล้วหลวงตาท่านทรงทำเพื่อหวังลาภสักการะแก่ตนหรือ ท่านนำเงินที่คนแห่มาทำบุญคืนให้แก่สังคม ไม่ว่าโรงพยาบาล โรงเรียน หรือเดินทางเทศน์ทั่วประเทศแม้สังขารจะปาเข้าไปตั้ง 80-90 ปี เพื่อนำเงินเข้าคลังหลวงก็หวังให้ประเทศดำรงอยู่ได้ไม่ตกเป็นทาสใคร นี่คือการหวังลาภสักการะเหรอ สมควรแล้วหรือที่จะมาปรามาศผู้มีบุญคุณกับประเทศชาติที่ช่วยให้คุณได้มานั่งสุขสบายหน้าจอคอม จิบกาแฟอ่านพระไตรปิฎก

แล้วจะมีสักกี่คนที่เขาจะอดทนมากล่าวมาเตือนคุณ ลองไปทบทวนให้ดีเถอะครับ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 11:06.


#223 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 13:01

ผมตอบให้คุณแล้ว นะครับแต่ของผมคุณไม่ตอบ เลย
ส่วนคุณไร้สีไร้กลิ่น ผมเห็นว่าในพุทธวจนะ นั้นน่าอ่านมากกว่าพระไตรปิฏก เพราะว่า พระไตรปิฏก พึ่งจะมีการจดบันทึกเมื่อประมาณ 500 ปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน และตลอดมาจนบันทึก ใช้วิธี จดจำ เอาแล้วยังมีการอธิบายตามความรู้หรือความนึกคิดของผู้บันทึกซึ่งเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเข้าใจถูก สัญญาไม่เที่ยง ครับ แม้แต่พระอรหันต์ที่ครองขันต์อยู่ก็ตาม แค่เกมกระซิบข่าวก็พอครับ ไม่เกินชั่วโมง ข่าวเปลี่ยน แค่ 5ทอด เท่านั้น ไม่งั้นจะมีนิกายนั้นนิกายนี้หรือ ผมถถึงว่าพระพุทธวจนะ น่าอ่านมากกว่าเพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด คำพูด อาจจะบิดเบียงนิดหน่อยแต่ถ้าเราทำความเข้าใจประกอบจะรู้ได้


ผมไม่ได้บอกว่าพระไตรปิฏก ผิด นะ ผมว่าน่าอ่านน้อยกว่าพุทธวจนะ แล้วที่ผมทำตัวแดง ไว้คุณก็ได้เอามาตีความตามความนึกคิดตัวเองเอาแล้วว่า ตอนนี้ไม่มีพระอรหันต์แล้ว นี้คุณยังเห็นไม่ชัดอีกหรือว่ามันขัดกับพุทธวจนะ ขนาดไหน
เอาง่ายถ้ามีคนบอกว่า เรือนจำ จะไม่ว่างจากนักโทษ เมื่อใดที่ไม่มีนักโทษนั้นและครับเรือนจำว่างแล้ว ไม่ต้องบอกว่าเดือนหน้าจะมีมาใหม่ เพราะทันที่ทีไม่มีนั้นแหละ ว่างแล้วหรือว่าโรงแรมก็ได้คุณไปหาห้องพัก ถ้าไม่มีคนเขาก็บอกว่าง ไม่ใช่ ไม่ว่างค่ะเพราะเดือนหน้ามีคนจองและตอนนี้ล่ะ ตอนนี้ไม่มีค่ะ แต่ไม่ว่างเพราะมีคนจองเดือนหน้า

คุณ ter
-คุณแสดงความเห็นผิด เรื่องพระไตรปิฎก ศึกษาเพิ่มเติมอีกครับ
-ส่วนคำถามที่ว่า คุณจะเชื่อแผนที่นั้นได้หรือไม่ถ้ามันบอกว่าจะไม่มีใครไปถึง จุดหมาย
คำตอบคือ แผนที่ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ ใครปฎิบัติตรงตามที่พระองค์ทรงแสดง ย่อมถึง
จุดหมายทุกคน ต่างเพียงเวลา ที่ไม่เท่ากัน เพราะบางคนขับรถช้า บางคนขับรถเร็ว แค่นั้นเอง
ผมเองก็ยังไม่เข้าใจในธรรมอีกหลายข้อ แต่ในข้อนี้ผมไม่สงสัยอย่างที่คุณสงสัย
ความ ลังเล สงสัย พระธรรมของพระพุทธเจ้า เราเรียกว่า วิจิกิจฉา
ผู้ที่จะดับวิจิกิจฉาได้หมด ไม่มีความลังเลสงสัยเกิดขึ้นอีกเลย คือ พระโสดาบันครับ

อันนี้ผมก็ไม่เคยบอกกับใครเลยว่า ผมเป็นโสดา ผมมันแค่โซดา ผมไม่ได้สงสัยในธรรม คุณเห็นผมสงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้าไหม
แต่ผมสงสัยในตัวหนังสือที่เรียกว่าพระไตรปิฏก ไม่ใช่ธรรมพระพุทธเจ้า คุณคงไม่สงสัยเลย เพราะเชื่อจนละพุทธวจนะ ของพระองค์
อย่างที่คุณไร้กลิ่นบอก สังคยานา พระไตรปิฏก ครั้งแรก ตอน 3 เดือนหลังพระพุทธเจ้านิพพาน แต่การจดบันทึกจริงๆจังๆ เมื่อ 500 กว่าปีครับ
น่าจะประมาณครั้งที่ 4 แล้ว หรือคุณจะเชื่อว่า สัญญา เที่ยงล่ะ เพราะแค่นี้ก็ชนตอไปจังๆเลย แต่ผมไม่ได้บอกว่าพระไตรปิฏก ผิดทั้งหมดนะ
เพราะั ไปไหนลา มันอาจเป็น ไปไหนมา ได้แต่คงไม่เป็น ลิงกินหญ้า ไปหรอก
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#224 blue

blue

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,979 posts

ตอบ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 14:31

เห็นท่านสมาชิกถกกันมายาว จับประเด็นคร่าว ๆ ได้ว่า อรหันต์จะยังมีอยู่หรือไม่
ท่านนั้นท่านนี้เป็นอรหันต์หรือไม่ พอดีผมอ่านเจอในพุทธธรรมของท่านพระพรหมคุณาภรณ์
เขียนเกี่ยวกับความเป็นอรหันต์ไว้น่าสนใจ อยากให้ท่านสมาชิกได้อ่าน โดยท่านได้สรุปว่า
ผู้เป็นอรหันต์นั้นจะมีความเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ อยู่สามประการคือ

ภาวะทางปัญญา จะมีการมองสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นหรือเห็นตามความเป็นจริง
ภาวะทางจิต มีความเป็นอิสระ หรือที่เรียกตามคำพระว่าหลุดพ้น
ภาวะทางความประพฤติหรือการดำเนินชีวิต อรหันต์เป็นผู้ดับกรรมหรือสิ้นกรรม การกระทำ
ของท่านไม่เป็นกรรมอีกต่อไป ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของตนเอง

ความจริงท่านอธิบายรายละเอียดเหมือนกันครับ แต่ผมลอกมาแต่หัวข้อ

ที่น่าสนใจอีกอันหนึ่งคือพระพุทธเจ้าตรัสกับคฤหบดี ท่านหนึ่ง ว่า

"นี่แน่ะท่านคฤหบดี ทานในตระกูลท่านยังให้อยู่หรือ ?"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ยังให้อยู่และทานนั้นข้าพระองค์ให้ในพระภิกษุ
ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ถือครองผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ซึ่งเป็นพระ
อรหันต์หรือบรรลุอรหัตตมรรค"

"ท่านคฤหบดีเป็นคฤหัสถ์อยู่ครองเรือนยังอยู่กับครอบครัว ยากที่จะรู้ได้ว่าพระองค์ไหน
เป็นพระอรหันต์หรือบรรลุอรหัตตมรรค ไม่ว่าพระอยู่ป่าหรือพระอยู่ถิ่นบ้าน ไม่ว่าพระ
รับบิณฑบาตหรือพระรับนิมนต์ ไม่ว่าพระถือห่มผ้าบังสุกุล หรือหมวีจรที่คฤหบดีถวาย
ถ้าเป็นคน ฟุ้งซ่าน ถือตัว เห่อเหิม ปากกล้า พูดเลอะ สติเฟือน ไม่มีสัมปชัญญะ ใจไม่ตั้งมั่น
จิตพล่านไม่สำรวมอินทรีย์ ก็น่าติเตียนทั้งนั้น"

ประเด็นท่านใดบรรลุอรหันต์ น่าจะนำไปเป็นแนวทางได้นะครับ

ส่วนประเด็นอรหันต์จะยังมีอยู่ต่อไปหรือไม่ ยังไม่เจอครับ

#225 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 15:33

- ผมไม่แปลกใจหรอกหากท่านไม่รับรู้ว่ามีพระอรหันต์อยู่ แม้แต่ แม่ผมเอง ก็เคยคิดเช่นนั้น จนวันนึงท่านได้รับรู้ว่ามีพระอรหันต์มาบอกผมผมก็ไม่เชื่อ ท่านไปวัดบ้านตาดทุกเสาร์อาทิตย์ ผมกลับไม่คิดจะไป มองกระทั่งศาสนาพุทธเป็นเพียงอุบายให้คนทำความดีเฉยๆ ห้ามแม่ทำบุญอีกต่างหาก แต่สุดท้ายคงเพราะมีบุญวาสนาอยู่บ้างจึงได้พบท่านอยู่(ก่อนละสังขารไม่นาน) และตอนนี้ก็ได้พบได้ทำบุญกับพระอรหันต์มากขึ้นจึงคิดว่าน่าจะได้มีโอกาสมาแนะนำท่านอื่น

ผมตั้งใจมาแนะนำสิ่งดีๆ ถ้าท่านยังจะอยู่แต่ในสังคมของท่าน มีกรอบความคิดแคบๆเช่นนั้นก็เป็นสิทธิ์ของท่านครับ

- สำหรับข้อความที่ยกมาไม่ทราบท่านอ่านแล้วตีความอย่างไร

ผมอ่านแล้วตีความได้ว่า การจะดูว่าเป็นพระอรหันต์หรือไม่ ไม่ได้ดูเพียงแค่ "ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ถือครองผ้าบังสุกุลเป็นวัตร"
เพราะถ้าพระเหล่านั้นยัง ฟุ้งซ่าน ถือตัว เห่อเหิม ปากกล้า พูดเลอะ สติเฟือน ไม่มีสัมปชัญญะ ใจไม่ตั้งมั่น จิตพล่านไม่สำรวมอินทรีย์ ก็น่าติเตียนทั้งนั้น (ซึ่งก็เป้นจริง พระป่าก็มีทั้งพระที่ดีและไม่ดี เช่นเดียวกันต่อให้เป็นพระบ้านอยู่ในเมืองแต่ก็เป็นพระที่ดีได้)

ดังนั้น การจะดูว่าเป็นพระอรหันต์หรือไม่ ยากที่คนธรรมดาจะรู้ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่า ไม่มีทางรู้

กว่าจะเจอทองแท้ ก็ย่อมได้มาทั้งทองแท้ทองปลอม แต่สักวัน เราก็จะค่อยๆเรียนรู้ว่าทองแท้เป็นเช่นไร ถ้ามัวคิดว่า ไม่มีทองแท้ ก็ย่อมไม่เจอ แม้ทองแท้จะตั้งอยู่ตรงหน้าก็ตาม (ที่กล่าวมาไม่เกี่ยวกับพานทองแท้นะครับ - -")

- อย่างที่ผมบอกไป เด็กจบป.1 เดินอยู่ตามตลาด จะไปรู้ได้ยังไงว่าใครจบม.6 เค้าจะเข้าไปพูดคุยความรู้ ม.6 หรือจะดูจากการแต่งชุดมัธยม ถือหนังสือเรียน ม.6 ก็ไม่อาจบอกได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางรู้ เพราะถ้าเดินไปเจอครูม.6 แล้วถามว่าคนนั้นอยู่ม.6ใช่มั้ย หรือเจอเด็กที่รู้ว่าอยู่ม.6แน่แล้วถามว่าคนนั้นม.6 ใช่มั้ย หรือแม้แต่ดูจากวุฒิการศึกษา สมุดพกชั้น ม.6 ก็ย่อมได้

- และสุดท้ายก็ยังยืนยันให้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า พระที่หลวงตาบัวท่านรับรองมีวัตรปฏิบัติ มีศีลสมบูรณ์ มีธรรมเพียบพร้อมหรือไม่ หรือถ้าไม่อยากเสียแรงไปจริงๆ ลอง search หาธรรมมะหลวงตาบัวแล้วอ่านดูว่า ธรรมที่ท่านสอนสั่งนั้นนำพาให้เราไปสู่มรรคผลหรือไม่ หรือเพียงเรียกหาลาภสักการะ บิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์

- แม้แต่หลวงพ่อปัญญาวัฑโฒที่เป็นชาวอังกฤษยังได้ธรรมจากหลวงตาบัว นิมนต์ท่านไปเทศน์แก่ญาติพี่น้องท่านที่อังกฤษ แล้วเราเป็นคนไทยแท้ๆยังไม่เห็นความสำคัญ ผมเสียดายแทนครับ (ลอง search ที่ท่านไปเทศน์ที่ลอนดอนก็ได้ ชาวต่างชาติเค้าปฏิบัติไปไกลแล้วนะ เห็นแล้วอายแทนเลย ลองดูตามลิงค์ http://www.accesstoi...owa/london.html
ไม่ทราบว่ามีแปลภาษาไทยมั้ย แต่อยากให้เห็นว่าชาวต่างชาติเค้ามีศรัทธาและตั้งใจปฏิบัติกันจริง )

ปล. ไม่ต้องไป search หาหลวงตาบัวในเว็บเสื้อแดงล่ะ เดี๋ยวจะเจอแต่ข่าวใส่ร้ายป้ายสีท่าน

ปล.2 นึกไม่ถึงว่าพระไตรปิฎกที่เป็นหลักแก่พุทธศาสนิกชน เป็นสิ่งที่ช่วยต่ออายุพระศาสนา จะกลับกลายเป็นดาบสองคม ให้คนไม่รับรู้ความเป็นจริง เพิกเฉยต่อพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ แต่จริงๆจะโทษหนังสือก็ไม่ถูก โทษอวิชชาดีกว่าที่ทำให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่แบบนี้

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 15:57.


#226 blue

blue

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,979 posts

ตอบ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 20:41

สงสัยท่านไร้สี ยังอารมณ์ค้างจากที่ถกกันมา ท่านตีความถูกแล้วละครับ
ผมแค่ยกมาให้ดูว่า มันเป็นเรื่องยากที่ ปุถุชนอย่างเราจะมาถกกันว่าท่านใด
เป็นอรหันต์หรือไม่ เท่านั้น ส่วนใครจะเชื่อว่าท่านใดเป็นอรหันต์หรือไม่เพียงใดนั้น
ถ้าไม่เชื่อ ก็อาจยึดหลักอย่างที่ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านบอกไว้ แต่คงต้อง
มีปัญญาที่จะดูตามหลักนั้นด้วยนะครับ

สำหรับผมผมคงยึดง่าย ๆ ตามภูมิปัญญาครับอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสกับคฤหบดี
ว่า ถ้า "ฟุ้งซ่าน ถือตัว เห่อเหิม ปากกล้า พูดเลอะ สติเฟือน ไม่มีสัมปชัญญะ ใจไม่
ตั้งมั่น จิตพล่านไม่สำรวมอินทรีย์ ก็น่าติเตียนทั้งนั้น"

เพราะฉะนั้นในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ถือตัว ไม่เห่อเหิม ไม่ปากกล้า ไม่พูดเลอะ
ไม่สติเฟือน มีสัมปชัญญะ ใจตั่งมั่น จิตไม่พล่าน สำรวมอินทรีย์ ก็น่านับถือทั้งนั้น

#227 เจดีย์

เจดีย์

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 33 posts

ตอบ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 22:01

1 ปัญหาของกระทู้นี้มี2ประเด็นคือ
1.1 คำทำนายของหลวงตามหาบัว เฉพาะประเด็นที่ว่าชีวิตก็จะเอาไม่รอด
2.1 ในยุคปัจจุบันยังมีพระอรหันต์หรือไม่

2 ขอแยกแสดงความเห็นเรื่องแรกก็คือ ญาณหยั่งรู้ของพระอริยเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ที่เรียกว่าอนาคตังสญาณไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยและ
ไม่ถูกจำกัดด้วยอายุของพระศาสนา ถูกหรือผิดก็จะได้เห็นกันในเร็ววัน

3 พระอรหันต์ยังมีอยู่ในยุคปัจจุบันหรือไม่ ข้อพิสูจน์ก็คือ
3.1 ไม่มีเพราะพระไตรปิฏกระบุไว้ว่าพันปีที่3มีแต่พระอนาคามี บางคนก็ยกข้อโต้แย้งว่ามีแน่นอนโดยอ้างพระไตรปิฏกว่าถ้าปฏิบัติถึงก็เป็นพระอรหันต์ได้
3.2 มีเพราะกระดูกเป็นพระธาตุ เหตุผลข้อนี้เชื่อก็มีไม่เชื่อก็มี
3.3 มีเพราะปัจจัตตัง เหตุผลข้อนี้ก็อาจมีผู้โต้แย้งว่าถ้าตัวเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์จะไปรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นบ้าง

4 ก่อนที่จะสรุปว่ามีหรือไม่ ต้องยอมรับร่วมกันก่อนว่า
4.1 พระพุทธเจ้าสร้างบารมีมาเป็นระยะเวลา 4อสงไขยขึ้นไปถึง16อสงไขย
4.2 พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอัครสาวก สร้างบารมีเป็นระยะเวลา 2 อสงไขย
4.3 พระสาวกปกติ สร้างบารมีมาเป็นระยะเวลา 1อสงไขย ถ้าใครสร้างบารมีเกิน 1อสงไขยก็เป็นพระอรหันต์ได้

5 ยุคปัจจุบัน สำนักใหญ่ๆที่มีลูกศิษย์ลูกหาปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ เช่นพระอาจารย์มั่น หลวงพ่อสด ท่านพ่อลี หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง ล้วนแต่บอกกล่าวแก่ลูกศิษย์ ว่าท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน เพราะฉนั้นบารมีของท่านย่อมเกินกว่า1อสงไขยแน่นอน ในระหว่างที่แต่ละท่านมีชีวิตอยู่ แต่ละองค์ก็แสดงญาณหยั่งรู้แก่คณะศิษย์เพื่อให้เห็นคุณวิเศษของการปฏิบัติธรรม ในสมัยพุทธกาลพระกัจจายนะท่านก็เคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ปาฏิหารย์ทั้งอิทธิฤทธิปาฏิหารย์ และอนุศาสนีย์ปาฏิหารย์ก็มีครบเครื่อง ทุกองค์มีญาณหยั่งรู้และมีคำอธิษฐานในการปฏิบัติธรรมเหมือนกันคือขอให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบัน การถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันคือพระอรหันต์เท่านั้น ยกเว้นสำนักใหญ่ที่แยกจากหลวงพ่อสดมีการอธิษฐานว่าขอให้ถึงพระนิพพานในอนาคตกาลหรือให้เป็นพระปัเจกพุทธเจ้าซึ่งจะต้องสร้างบารมีอีกยืดยาว
ดังนั้นในความเห็นของข้าพเจ้า ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีผู้มีบารมีเกินพระสาวกมาปฎิบัติธรรมย่อมบรรลุเป็นพระอรหันต์แน่นอน แม้แต่คำอธิษฐานของผู้มีบารมีล้นเกินพระสาวก ถ้าเปลี่ยนคำอธิษฐานก็ย่อมบรรลุธรรมได้แน่นอน

#228 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 26 เมษายน พ.ศ. 2555 - 15:41

ไม่มีใครแสดงควมเห็นเพิ่ม ว่า ยังมีพระอรหันต์อยู่อีกหรือไม่ ผมขอแสดงความเห็ฯครั้งสุดท้ายก่อนกระทู้จะตกไปว่า
- ผมไม่เชื่อ คำทำนายของหลวงตามหาบัว ถ้าหากจะถูกก็เป็นเพียงเพราะว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าบังเอิญคำทำนาย ไปตรง ไม่ไช่คำทำนายเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ ด้วยการแสดงหลักฐาน จาก พระไตรปิฎก
ขอยกข้อเขียนของพระคุณเจ้า พระพรหมคุณาภรณ์ ไม่ไช่เพิ่มน้ำหนักเหตุผลของตัวผมเอง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับผมไม่เคารพต่อพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาค ไม่ยึดคำสอนเรื่อง กาลามสูตร
ยกขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเอง ว่า คงไม่เดิน ในสังสารวัฎฎ์อันยาวไกลนี้ เพียงลำพังคนเดียว เท่านั้นเอง

(คัดลอกมาจาก กรณีวัดธรรมกายตีความพระไตรปิฎกเรื่อง นิพพาน อนัตตา เป็น อัตตา)

ทรรศนะของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ที่มีต่อพระไตรปิฎก

ธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญัติไว้ ไม่ใช่ธรรมและวินัยที่ใคร ก็ตามจะมาอ้างว่าตนได้รู้ได้เห็น จากการปฏิบัติของตน หรือจากญาณหยั่งรู้ของตน เพราะธรรม หรือวินัยที่บุคคลนั้นเห็นก็เป็นธรรมหรือวินัยของผู้นั้น ไม่ใช่ธรรมหรือวินัยของพระพุทธเจ้า ธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญัติไว้เท่าที่เก็บรวบรวมมาได้ มีอยู่ในพระไตรปิฎก คือ พุทธพจน์ใน พระไตรปิฎกนั้น รวมมาได้และรักษาไว้ได้เท่าไร ก็มีเท่านั้น พระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้า ที่ จะตัดสินคำสอน การปฏิบัติ และผลการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา จึงมีความสำคัญสูงสุด และเราก็มีพุทธพจน์ที่แสดง ธรรมและวินัย ของพระพุทธองค์อยู่เท่านั้น กับที่ท่านนำจากพระไตรปิฎกไปอ้างอิงไว้ในคัมภีร์อรรถกถาเป็นต้น จะหาที่อื่นไม่ได้แล้ว เพราะ ฉะนั้น พระอรหันต์สาวกและพระเถราจารย์ตลอดมาทุกรุ่นจึงถือเป็นหน้าที่สำคัญสูงสุด ที่จะรักษาพระไตรปิฎก ไว้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้ เมื่อใดพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกหมดไป ก็ต้องยอบรับความจริงว่า เมื่อนั้นมาตราฐานของพุทธศาสนาได้หมดสิ้นไปแล้ว

พระ ไตรปิฎกบาลีของพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นที่ยอมรับนับถือในวงการพุทธศาสนาทุกฝ่ายทั่วทั้งหมดว่า เป็น คัมภีร์บรรจุพุทธพจน์ที่เก่าแก่ดั้งเดิมและมั่นคงยืนนานที่สุดเท่าที่มีอยู่ ดังได้พูดมาข้างต้นแล้ว นอกจากความเก่าแก่ต่อเนื่อง แล้ว ระบบการจัดหมวดหมู่ การลำดับเนื้อหา วิธีการทางภาษา เช่น คำชุด ข้อความซ้ำๆ และการบรรจุพระสูตรและเนื้อ ความที่เหมือนกันให้กระจายอยู่หลายแห่งหลายเล่ม โดยอยู่ ในความรับผิดชอบของผู้ทรงจำต่างกลุ่มกันอย่างท้าทายการตรวจสอบเป็นต้น วิธีการเหล่านี้ซึ่งมีรายละเอียดมาก ไม่อาจบรรยายไว้ในที่นี้ เป็นทั้ง เครื่องแสดงความตั้งใจจริงของ พระเถระในอดีตที่จะรักษาความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพุทธพจน์ และเป็นเครื่องเสริมสร้างความมั่นใจว่าคัมภีร์ได้รับการนำสืบกันมาอย่างดี ที่สุดเท่าที่จะทำได้จริงอยู่ ไม่ว่าจะรักษาไว้ดีอย่างไร เนื้อหาที่มากมาย และกาลเวลาที่ยาวนานเป็นพันๆ ปี ย่อมต้องมีช่องให้เกิด ความตกหล่นคลาดเคลื่อนขาดเกินไปบ้าง แต่จากเหตุผลที่ว่ามาแล้ว ก็สบายใจได้ว่าความบกพร่องเหล่านั้นจะมีอัตราส่วนน้อยยิ่ง และที่ปรากฏอยู่แก่ผู้ที่ศึกษาก็เห็นชัดว่า หลักการใหญ่ ถ้อยความสำคัญๆ และเนื้อหาส่วนมากอยู่ในสภาพ ที่มั่นใจได้

คำในจดหมายถึง บก. "สมาธิ" ฉบับที่ ๗๑ ที่ว่า
" พระไตรปิฎกก็คือตำราเก่าแก่เล่มหนึ่งที่มีอายุยืนยาวนานมาถึง ๒๕00ปี จึงย่อมมีการต่อเติมเสริมแต่งกันมา และแปลผิดบ้างถูกบ้าง "

ข้อ ความนี้ อ่านแล้วน่าห่วงมาก ถ้าชาวพุทธมากคนมีความเข้าใจอย่างนี้ ก็จะมีท่าทีที่ผิดต่อพระพุทธศาสนา เป็นความเสื่อมแก่ทั้งตนเองและต่อพระศาสนาโดยส่วนรวม

ท่านที่พูดอย่างนี้เป็นผู้ทำร้ายพระศาสนา แม้ถ้ามิใช่โดยตั้งใจ ก็ทำไปโดยไม่รู้ตัว เนื่อง จากขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ตนกำลังพูดถึง อีกทั้งท่าทีของการพูดก็มีลักษณะของการลบหลู่ ไม่เห็นความสำคัญ จะพาผู้อื่นไขว้เขวไปด้วยพระไตรปิฎกไม่ใช่เป็นเพียงตำราเก่าแก่ ที่อยู่มากับเวลาแล้วเก่าไปตามกาลเท่านั้น แต่เป็นหลักฐานสมัยโบราณที่มี ระบบการรักษาอย่างดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยรู้จัก พระไตรปิฎกมิใช่มีเพียงตำราเล่มหนึ่ง แต่เป็นประมวลแห่งหลักฐานที่มีปริมาณ มากมาย การต่อเติมเสริมแต่งทำได้ยากยิ่งนัก และเพื่อป้องกันการแปลผิดแปลถูก ก็ได้รักษาไว้ในภาษาเก่า ให้อยู่ในรูปลักษณ์ดั้งเดิมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่ง แม้ถ้าจะมีการแปลผิดไปบ้าง ก็จะมีต้นฉบับเดิมไว้ตรวจสอบได้ตลอดไป และไม่ให้คำแปลผิดไปนั้นไปกระทบต่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของต้นฉบับเดิม

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#229 ปังตอ

ปังตอ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,229 posts

ตอบ 26 เมษายน พ.ศ. 2555 - 16:30

:lol: .........................

ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ “ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม”

 


#230 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 26 เมษายน พ.ศ. 2555 - 16:41

ปล.2 นึกไม่ถึงว่าพระไตรปิฎกที่เป็นหลักแก่พุทธศาสนิกชน เป็นสิ่งที่ช่วยต่ออายุพระศาสนา จะกลับกลายเป็นดาบสองคม ให้คนไม่รับรู้ความเป็นจริง เพิกเฉยต่อพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ แต่จริงๆจะโทษหนังสือก็ไม่ถูก โทษอวิชชาดีกว่าที่ทำให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่แบบนี้


มันเป็นเพราะอวิชชาของแต่ล่ะบุคคล นั้นแหละครับ ที่เราไปยึดถือว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เหมือนเราไปยึดว่าพระไตรปิฏก คือทุกสิ่งทุกอย่างพระไตรปิฏกบอกหมดก็ต้องหมด จนกลายเป็นว่า ทั้งหมดทั้งมวลเป็นไปตามพระไตรปิฏก จนลืมนึกไปว่า กลองนี้มีการแทรกไม้กลองนี้ไปบ้างแล้ว ไม่ใช่กลองเดิมแล้ว ท่านว.วิชรเมธีพระนักเรียน ก็บอกว่ายังเรียนยิ่งไม่เข้าใจ มาปฏิบัติถึง รู้ ผมก็เหมือนกัน ดังนั้นผมอยากบอกว่า แผนที่มันก็คือแผนที่ มันไม่ใช้ทั้งหมดของการเดินทาง แต่เมื่อเดินทางแล้วไม่แน่ใจให้ตรวจสอบกับแผนที่ ทุกคนเดินทางไปเชียงใหม่ไม่ใช่ว่าถึงเที่ยงคืนแล้วจะไม่มีคนไปถึงเพราะรถไม่ได้มีเฉพาะเรา ทางมีอยู่ผู้เดินทางมีอยู่ มันก็มีผู้ถึงได้ตลอตเวลาทางเสันนี้ไม่ได้ขาด คนที่เดินทางก่อนเรามี คนที่เดินทางหลังเรามี
คนเดินทางช้ากว่าเรามีเร็วกว่าเรามี แต่ตลอดเวลาที่ทางมีอยู่ คนที่ไปถึงเชียงใหม่ย่อมมีอยู่
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#231 Gop

Gop

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,450 posts

ตอบ 26 เมษายน พ.ศ. 2555 - 16:59

ผมกลับมองว่า การเชื่ออะไรอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นเป็นอันตรายมาก ไม่ว่าอ่านอะไรก็ตาม คนอ่านมีหน้าที่ "พิจารณา" สิ่งที่ตัวเองอ่าน ถ้าข้อความนั้นกล่าวถึงสิ่งที่เหนือกว่าความรู้ หรือความสมารถของตนเอง ถ้าผู้อ่านต้องการพิสูจน์ข้อความน้ัน ก็มีหน้าที่ปฏิบัติ เพื่อให้เห็นว่า ข้อความนั้นจริงหรือไม่

พระไตรปิฎกเองก็ไม่พ้นกฏข้อนี้ สำหรับผม ข้อความไดๆที่ผมเห็นว่าไม่สามารถตัดสินได้เอง ผมก็ปล่อยไว้ ไม่ได้ตัดสินว่าถูกหรือผิด ถ้าปฏิบัติไม่ถึงขั้น ข้อความต่างๆนั้นผมเชื่อว่าไม่มีทางเข้าใจได้เลยครับ บางทีเรานึกว่าเข้าใจ อย่างอนัตา ความว่าง ความไม่เที่ยง แต่พอเจอความทุกข์หนักๆเข้าไป ผมถึงได้รู้ตัวว่าผมไม่ได้เข้าใจอะไรจริงๆเลย ดังนั้นการอ่านพระไตรปิฎก(หรือหนังสือธรรมะไดๆ)แล้วมานั่งตีความ ว่าข้อความนั้นหมายถึงอย่างนั้น หมายถึงอย่างนี้โดยภูมิธรรมยังต่ำอยู่ ผมคงไม่ทำครับ เพราะเราไม่มีทางรู้เลย ว่าสิ่งที่เราคิดเอาเองนั้นจริงหรือไม่??

หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.

 


#232 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 26 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:08

ผมกลับมองว่า การเชื่ออะไรอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นเป็นอันตรายมาก ไม่ว่าอ่านอะไรก็ตาม คนอ่านมีหน้าที่ "พิจารณา" สิ่งที่ตัวเองอ่าน ถ้าข้อความนั้นกล่าวถึงสิ่งที่เหนือกว่าความรู้ หรือความสมารถของตนเอง ถ้าผู้อ่านต้องการพิสูจน์ข้อความน้ัน ก็มีหน้าที่ปฏิบัติ เพื่อให้เห็นว่า ข้อความนั้นจริงหรือไม่

พระไตรปิฎกเองก็ไม่พ้นกฏข้อนี้ สำหรับผม ข้อความไดๆที่ผมเห็นว่าไม่สามารถตัดสินได้เอง ผมก็ปล่อยไว้ ไม่ได้ตัดสินว่าถูกหรือผิด ถ้าปฏิบัติไม่ถึงขั้น ข้อความต่างๆนั้นผมเชื่อว่าไม่มีทางเข้าใจได้เลยครับ บางทีเรานึกว่าเข้าใจ อย่างอนัตา ความว่าง ความไม่เที่ยง แต่พอเจอความทุกข์หนักๆเข้าไป ผมถึงได้รู้ตัวว่าผมไม่ได้เข้าใจอะไรจริงๆเลย ดังนั้นการอ่านพระไตรปิฎก(หรือหนังสือธรรมะไดๆ)แล้วมานั่งตีความ ว่าข้อความนั้นหมายถึงอย่างนั้น หมายถึงอย่างนี้โดยภูมิธรรมยังต่ำอยู่ ผมคงไม่ทำครับ เพราะเราไม่มีทางรู้เลย ว่าสิ่งที่เราคิดเอาเองนั้นจริงหรือไม่??


เยี่ยมครับ ใช่เลย ครับ ในทางปกติ ที่เราเข้าใจ สัญญาตัวนี้เป็นตัวหลอกเราครับ เพราะถ้าโดนจริงๆแล้วจะรู้เลยว่า จิตมันไม่ได้เข้าใจเลย
เหมือนตอนผมไปนั้งสมาธิที่ชัยภูมิ เข้าใจเลยว่า ไอ้ทีปากดีว่าไม่กลัวไม่กลัวเห็นชัดเลยว่ากลัว ตอนบวชอยู่วัดเดินไปนั้งสมาธิที่เมรุตอนตี 2 ไม่กลัว
คิดว่าเราไม่กลัวแล้ว ไปป่าเห็นจิตกลัวจังๆเลย กรูปากดีนัก 555555
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#233 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 26 เมษายน พ.ศ. 2555 - 18:11

ผมเคารพวิธีคิดคุณ gop ครับ

และยอมรับเหตุผลที่ว่ามาดี และควรรับฟัง

แต่ถ้าใช้วิธีเดียวกัน วัดพระธรรมกายก็คงไปตัดสินเค้าไม่ได้ กรณีการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ว่าผิด หรือ ถูก เพราะต้องขึ้นอยู่ว่าคุณปฎิบัติได้ถึงจริงแล้วหรือ เพราะพระไตรปิฎกก็ไม่พ้นไปจากข้อนี้

ถ้าจะสรุปกันในบรรทัดนี้ ผมทำได้แค่นี้ครับ และจะตรวจสอบวิธีคิดของตัวผมเองด้วย

ขอบคุณที่ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาตัวเอง

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#234 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 26 เมษายน พ.ศ. 2555 - 23:52

ร่วมด้วยช่วยขุดครับ
ประเด็นกระทู้
- เรื่องทักษิณจะเป็นยังไงก็ติดตามกันได้ ผมว่าเค้าคงตายก่อนผมนะ จะได้เห็นว่าที่หลวงตาบัวบอกว่าทักษิณจะมีจุดจบแบบเทวทัตคืออย่างไร (ท่านว่าเทวทัตยังดีซะกว่าเพราะก่อนตายยังสำนึก ถวายกระดูกกรามแก่พระพุทธเจ้า)

ประเด็นที่ช่วยกันพาออกทะเล
- ผมว่าหลายท่านในที่นี้เห็นตรงกันว่า วัดธรรมกายผิดเพี้ยนไปจากหลักคำสอนของพระพุทธองค์
- ผมก็ไม่เห็นว่ามีใครในที่นี้แนะนำให้ไปวัดธรรมกาย ให้ยึดถือตามวัดธรรมกาย ส่วนวิชาธรรมกายอะไรนั่นผมก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าหลวงพ่อปัญญาวัฑโฒที่ท่านรู้จักศาสนาพุทธก็จากสายธรรมกายที่มีสาขามากมายทั่วโลก แต่สุดท้ายพอปฏิบัติไประยะหนึ่งท่านก็ทราบว่าไม่ใช่แนวทางพ้นทุกข์ ท่านจึงได้มาพบหลวงตาบัว แล้วหลวงตาบัวท่านก็ช่วยให้บรรลุธรรมได้
ส่วนพระที่ผมแนะนำอยากให้ท่านทั้งหลายไปพบก็คือ พระสายหลวงปู่มั่น หรือพระที่หลวงตาบัวท่านรับรอง ไม่ใช่พระวัดธรรมกาย หวังว่าน่าจะเข้าใจตรงกันมากขึ้นนะครับ (เรื่องอัตตา อนัตตา หลวงตาก็เคยเทศน์แล้ว และตำหนิคนที่ไม่มีความเข้าใจแล้วสอนแบบผิดๆ)

- คุณ chackrapbong ได้ยืนยันแล้วว่าพระไตรปิฎกไม่ได้ผิด อันนี้ผมก็เห็นด้วย (เฉพาะต้นฉบับนะ เพราะปัจจุบันหลายเวอร์ชั่นมาก จนไม่กล้ายืนยันว่าจะจริงไปซะหมด ไม่มีผิดเพี้ยน) หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านก็ยืนยันนะว่าพระไตรปิฎกไม่ผิด หลวงตาบัวท่านก็เคยเรียนปริยัติก่อนที่จะมาปฏิบัติภาวนาตามแนวพระกรรมฐานก็ไม่เห็นท่านตำหนิอะไร

- ส่วนข้อความเรื่องพันปีนั้นพันปีนี้เหลือพระอะไร ผมก็เห็นด้วยกับคุณ chackrapbong ว่าอาจหมายถึงพันปีที่ 3 มีแค่พระอนาคามีจริง แต่นั่นเฉพาะกรณีที่บัญญัติครุธรรม 8 เพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้คำสอนของพระองค์อยู่นานขึ้นจาก 500 ปีเป็นพันปี ยังไม่รวมถึงกรณีที่มีปัจจัยอื่นที่ทำให้คำสอนของท่านดำรงมาได้อย่างยาวนานมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน(อย่างที่คุณ chackrapbong บอกว่าพระไตรปิฎกตรงกับคำสอนไม่ผิดเพี้ยนนั่นแหละ) เช่น การสังคายนาพระไตรปิฎกที่มีมาหลายครั้ง กระทำโดยพระอรหันต์หลายรูปประชุมกัน, การที่ ร.4 ตั้งพระสายธรรมยุติเพื่อให้พระมีศีลวินัยที่ถูกต้อง, หลวงปู่มั่นฟื้นฟูเรื่องธุดงควัตรต่างๆ รวมถึงการปฏิบัติตามพระวินัยและคำสอนอย่างเคร่งครัด
ได้เปรียบเทียบกับเรื่องน้ำแข็ง คือ ถ้าไว้กลางแจ้งก็ละลายใน 5 นาที ใส่กระติกไว้ก็จะละลายช้าลงคือ 10 นาที แต่ปัจจุบันมีตู้เย็นจะเก็บเป็นวันก็ย่อมได้ จนกว่าจะมีเหตุให้ตู้เย็นมีอันเป็นไป ดังนั้นต้องดูบริบทประกอบด้วยว่า สิ่งที่พูดนั้นอยู่ในสถานการณ์ใด ขณะใด เหมือนคนสมัยก่อนบอกว่าไปเชียงใหม่ใช้เวลา 1 เดือน แต่คนปัจจุบันบอกว่าไปเชียงใหม่ไม่ถึงวัน ไม่มีใครพูดผิด แต่เพราะพูดในบริบทต่างกัน คนนึงเดิน คนนึงนั่งรถไป ปัญหาคือเรามัวมาเถียงกันว่าคนที่บอกว่า 1 เดือน กับบอกว่า 1 วันใครพูดจริงกันแน่

ส่วนที่มีการยกข้อความในอรรถคาถา ฑีฆนิกาย กับ อรรถคาถา อังคุตรนิกาย ที่ว่า พันปีที่ 3 บรรลุได้สูงสุดคือ พระอรหันต์ผู้ได้ วิชชา 3 ก็สามารถใช้หลักการเดียวกันคือดูว่าบริบทที่พูดนั้นคืออะไร (ผมยังไม่ได้ไปหาเลย) อาจเป็นกระติกน้ำแข็งแบบพิเศษที่เก็บได้นานขึ้น ทำให้น้ำแข็งละลายช้าลงไปอีก (แต่ปัจจุบันก็ยังมีพระอรหันต์ที่บรรลุอภิญญาอยู่ ไม่ใช่แค่วิชชา 3 นั่นก็เพราะอาศัยปัจจัยต่างๆที่เปรียบเหมือนตู้เย็นเก็บพระธรรมคำสอนให้ยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง)

ดังนั้นหวังว่าถ้าไปเจอข้อความอะไรที่บอกว่าพันปีนั้นเหลือพระแบบไหน ซึ่งอาจไม่ตรงกันอีก ก็อย่าลืมพิจารณาบริบทในขณะที่พูดด้วยละกันนะครับ

สรุป - ถ้ายืนยันว่าพระไตรปิฎกถูกต้องทุกอย่าง ก็ย่อมขัดกับที่บอกว่าปัจจุบันเหลือแค่พระอนาคามี เพราะนั่นคือการเสื่อมของพระธรรมคำสอน ทำให้ผู้ปฏิบัติตามไม่สามารถบรรลุได้ ดังนั้น ในเมื่อคำสอนสมบูรณ์ มีผู้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก็ย่อมมีผู้บรรลุธรรม สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า
ตราบใดที่ยังมีผู้ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของ พระพุทธองค์อยู่ ตราบนั้นโลกก็จะไม่ว่างเว้นพระอรหันต์

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 09:31.


#235 Gop

Gop

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,450 posts

ตอบ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 11:42

ผมเคารพวิธีคิดคุณ gop ครับ

และยอมรับเหตุผลที่ว่ามาดี และควรรับฟัง

แต่ถ้าใช้วิธีเดียวกัน วัดพระธรรมกายก็คงไปตัดสินเค้าไม่ได้ กรณีการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ว่าผิด หรือ ถูก เพราะต้องขึ้นอยู่ว่าคุณปฎิบัติได้ถึงจริงแล้วหรือ เพราะพระไตรปิฎกก็ไม่พ้นไปจากข้อนี้


ถ้าจะสรุปกันในบรรทัดนี้ ผมทำได้แค่นี้ครับ และจะตรวจสอบวิธีคิดของตัวผมเองด้วย

ขอบคุณที่ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาตัวเอง


ฝากให้พิจารณาเพิ่มอีกหน่อยแล้วกันนะครับ ถ้าผมจำไม่ผิด พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ไม่ใช่หรือครับ ว่าให้พิจารณาว่าสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟังมานั้นเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นหรือไม่?? สำหรับผม คำกล่าวอ้างพวกน้ันล้วนไร้สาระครับ มันไม่สำคัญเลยว่าจริงหรือไม่ เพราะผมไม่เห็นว่าการได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้านั้นได้อะไรขึ้นมาเลย

หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.

 


#236 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:03

-เรื่องทั้งหมดพากันออกทะเลเพราะ ไม่มีใครมาแย้งผมตรงๆ ในเรื่องพระไตรปิฎก กลับมาแย้งในเรื่องการปฎิบัติธรรม

ถ้าจะพูดกันง่ายๆ มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน

วิธีการแย้ง ไปใช้วิธีการเดียวกับวัดธรรมกายใช้ทั้งที่ตัวเองก็ anti ธรรมกายอยู๋ คือ

เมื่อหลักฐาน ไม่มี ตีความไม่ได้ ก็หันไปอ้างผลจากการปฎิบัติธรรม (คำพูดของ พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ. ปยุตฺโต)

ถ้าบอกว่าไม่เชื่อ ไม่รู้ หรือไม่มั่นใจ อย่างนี้ผมยอมรับได้ตั้งแต่แรกเลย เพราะผมก็มีหลักฐาน

ไม่มาก ถ้ามีหลักฐานที่ดีกว่าก็แย้งได้เลยทันที

และที่คุณไร้สีบอกมาว่า ให้ดูบริบทอื่นๆ อันนี้ก็น่าพิจารณาเช่นกัน

แต่ผมก็ขอฝากข้อคิดในเรื่องบริบทอื่นๆทีว่านี้ เราต้องตั้งอยู่บนหลักที่ว่า พระผู้มีพระภาค ตรัสแต่ความจริง



-ถ้าสังเกตุให้ดี ผมจะยกเรื่อง วัดธรรมกาย ตั้งแต่ rep ต้น ก่อนที่จะพากันออกทะเล จนคุณไร้สีร้องถาม????

และผมก็ตอบไป สองครั้ง ว่า เราต้องตรงต่อตัวเอง และผู้อื่นในขณะเดียวกัน

ความหมายคืออย่า double standard นำพระไตรปิฎก ไปตรวจสอบเขา แต่แกล้งทำเป็นลืม ไม่นำ

พระไตรปิฎก มาตรวจสอบตัวเอง ถ้าเขาถามกลับ จะตอบอย่างไร ถ้าจะว่าไปถึงที่สุดแล้วการจะมีหรือไม่มี

พระอรหันต์ในปัจจุบัน ก็ไม่เป็นสาระสำคัญเลย แต่ที่ผมเน้นย้ำมาตลอดคือ ตรวจสอบตัวเองก่อนที่จะไปตรวจ

สอบผู้อื่น



-ศาสนาพุทธ ไม่ไช่ปรัชญา ถ้าหากสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าตรัส เราถือว่าเป็นความจริงโดยไม่ต้องตีความ

เช่น นิพพาน เป็น อนัตตา เพราะพระพุทธเจ้า ได้อธิบายไว้ดีแล้ว ถ้าหากเราไม่เชื่อ ก็มีสิทธิที่จะนับถือศาสนาอื่นได้

พระองค์ท่านไม่ได้บังคับว่าจะต้องเชื่อพระองค์เพียงผู้เดียว และก็เป็นเรื่องแปลกมาก ขณะใครต่อใคร บอกว่า

แสงมีความเร็ว 186,000 miles/sec เรากลับเชื่อได้อย่างสนิทใจ ทั้งที่ มีสักกี่คนที่เคยไปวัดความ

เร็วแสง ขณะเดียวกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า รูป รูปหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างเร็วมาก ขณะนั้นจิตเกิดและดับไป

ถึง 17 ขณะจิต เราจะเกิดความลังเล สงสัย ขึ้นมาทันที ว่าจริงหรือไม่ (แต่ความสงสัยนี้จะหมดไปเมื่อ บรรลุโสดาบัน)

นี้ก็แสดงให้เห็นว่าธรรมะไม่สาธารณะ ไม่ไช่ทุกคนจะสนใจและใส่ใจ แม้พระไตรปิฎก ก็เช่นกัน มีผู้ที่เรียกตนเองว่า

ชาวพุทธอีกมากที่ไม่รู้ว่าพระไตรปิฎก คือ ศาสดาแทนพระองค์

-ชาวพุทธที่ดี ต้องมั่นคงในกฎแห่งกรรม และปฎิบัติให้ถูกต้อง

เมื่อจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น แล้ว ดับไป การดับไปของ จิตดวงก่อนเป็นปัจจัยให้ จิตดวงต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อทันที
ฉะนั้นจิตดวงที่ เกิดต่อจึงมีสภาพธรรมซึ่ง จิตดวงก่อน สะสมไว้ แล้วสืบต่อไป ในจิตดวงหลังๆ ที่เกิดต่อๆไป
อีกเรื่อยๆ จิตทุกดวง เป็นอนันตรปัจจัยทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น
( เว้นจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่ เป็นอนันตรปัจจัย)
เพราะเป็น การเกิด ดับ ของจิต จึงทำให้มี อดีต ปัจจุบัน อนาคต จึงทำให้มี ชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า

เพราะถ้าไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็ไม่มีที่รองรับ ให้จิตเกิดดับได้ กฎแห่งกรรมจะเป็นโมฆะทันที

เพราะฉนั้น จุดหมายสูงสุด คือ ไม่ให้มีการเกิดดับของจิต เจตสิก และรูปอีกต่อไป นั่นคือ นิพพาน

ที่ทุกคนพูดถีง ในเรื่องการปฎิบัติธรรมแต่ลีมพูดต่อไปว่า ปฎิบัติเพื่อละ ไม่ไช่ปฎิบัติเพื่อได้



ความจริงทั้งหมดที่ผมขอพูดใหม่ และไม่ได้แสดงรายละเอียดมาก่อนเป็นเพราะผมเข้าใจเอาเองว่าคงจะเข้าใจได้ดีอยู่แล้ว

เพราะต่างก็บอกว่า ปฎิบัติธรรมขั้นสูงกันมาแล้วทั้งนั้น ลองอ่าน repผมทั้งใหม่หมด ก็จะสรุปได้เป็น repนี้ repเดียว

คงจะเข้าใจได้ตรงกัน สักที ?????

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#237 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 15:07

เรื่องออกทะเลถ้าจขกท.ไม่ได้ว่าอะไรก็ขอถือวิสาสะออกมหาสมุทรต่อเลยละกัน

เรื่องพระไตรปิฎกพูดคุยกันมาพอสมควรแล้วน่าจะพอนำไปพิจารณากันเองได้

มาพูดเรื่องการปฏิบัติบ้าง
(จริงๆผมเห็นท่านอื่นแสดงความเห็นในเรื่องพระไตรปิฎกไปแล้วนะครับ แต่แนะนำเรื่องการปฏิบัติไว้ด้วย ไม่ใช่เพราะต้องการการเบี่ยงเบนประเด็นอะไรหรอก แค่เขาต้องการจะชี้ให้เห็นว่าการปฏิบัติไม่ใช่แค่เพียงอ่านแล้วทำความเข้าใจ แต่ต้องให้ใจเข้าไปสัมผัสกับความเป็นจริงด้วย)

ในความเข้าใจของผม การปฏิบัติ คือ การเจริญสติจนเข้าถึงความสงบ เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเกิดเป็นสมาธิ ก็จะมีปัญญาเกิดขึ้นจากการที่จิตได้รับรู้สภาวะธรรม หรือสภาพที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริง อย่างที่คุณ ter162525 แนะนำให้นั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือแม้แต่บริกรรมพุทโธอยู่ตลอดแม้ขณะทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน หรือการเฝ้าสังเกตความคิด อารมณ์ ที่เข้ามากระทบจิตใจ คือ ฝึกให้มีสติกับสิ่งที่ทำ ไม่คิดฟุ้งซ่านไปในเรื่องอื่น หรือปล่อยให้อกุศลเข้าครอบงำ ซึ่งถ้าเจริญสติอยู่เป็นประจำ เวลานั่งสมาธิ เดินจงกรม ก็จะเข้าถึงความสงบได้ง่าย ถ้าจิตเกิดความสงบถึงจุดหนึ่งก็จะเป็นสมาธิ มีฌาณเกิดขึ้น ซึ่งก็จะอาศัยฌาณนี่แหละที่จะทำให้เกิดปัญญา ยิ่งฌาณขั้นสูงอย่างพระอริยะก็สามารถขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้
ดังนั้น ปัญญา ในที่นี้จึงไม่ใช่เพียงปัญญาจากการอ่าน (ต่างกับทางโลกที่เราเรียนหนังสือ อ่าน ท่อง เข้าใจก็สอบได้ ประกอบอาชีพได้) ปัญญาทางธรรมจึงต้องอาศัยการปฏิบัติภาวนาเป็นหลัก

อย่างการขับรถก็ต้องรู้ทฤษฎีบ้าง ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมด อย่างบางคนไม่ต้องไปโรงเรียนสอนขับรถ อาศัยคนที่ขับเป็นช่วยสอนก็ขับได้ หรือโรงเรียนขับรถก็มีหลาย course ทั้งแบบสั้น แบบยาว ดังนั้น การจะบรรลุธรรม ไม่ใช่ว่าจะต้องจบมหา จบเปรียญก่อนถึงจะบรรลุได้ แม้แต่บางคนจะอ่านหนังสือแล้วไปฝึกขับด้วยตัวเองก็ได้เช่นกัน แต่ปัญหาคือ ได้ฝึกขับหรือยัง หรือมัวแต่อ่านหนังสือ คิดจินตนาการว่าขับรถต้องขับยังไงแล้วคิดว่าตัวเองขับรถได้แล้ว เข้าใจแล้ว

จาก rep 159 คุณ chackrapbong ยกเรื่องปัญญามา
สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟัง
จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิด พิจารณา
ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากรู้ความเป็นจริงของสภาพธรรม

ผู้ที่ไม่ต้องฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุได้นั้นคือ พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า ดังนั้นปัญญาจึงต้องเริ่มจากสุตมยปัญญา จึงจะนำไปสู่จินตามยปัญญาและภาวนามยปัญญา(ปฏิบัติ)ได้


หรือจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งว่าปริยัติยังไม่จบกระบวนความแล้วจะปฏิบัติได้อย่างไร อันนี้ผมถือว่าเกิดมาเป็นโมฆะบุรุษมากนะ???
ตรงนี้ก็เห็นด้วย อย่างที่ทราบกันว่าเราต่างเดินทางตามคำสอนของพระพุทธองค์ แม้แต่หลวงปู่จันทา ถาวโร ท่านอ่านหนังสือไม่ได้ ก็ให้พระให้เณรอ่านให้ฟัง เมื่อมีความรู้ระดับหนึ่งก็ไปปฏิบัติ จนรู้เองเห็นเองได้สำเร็จ
แต่ไม่เข้าใจคำว่า จบกระบวนความ คือยังไง แต่สำหรับผม รู้ในสิ่งที่จำเป็นก็พอไม่ต้องไปอ่านพระไตรปิฎกทั้งเล่มจนท่องจำได้ทั้งหมดก่อนถึงจะปฏิบัติได้ สามารถปฏิบัติไปเลย ยิ่งเห็นของจริงพอมาอ่านทฤษฎีก็จะเข้าใจง่ายขึ้นด้วย

ใน rep171 คุณ chackrapbong ลงข้อความไว้ว่า
.....
" ปฏิบัติ " หมายถึง การถึงเฉพาะ ที่ไหน เมื่อไหร่ ทวารไหนก็ได้ อยู่ที่ความเข้าใจ
โดยปรมัตถธรรมขณะที่
มหากุศลญาณสัมปยุตจิตเกิดขึ้น สติและสัมปชัญญะทำกิจ
เรียกว่า ปฏิบัติธรรม คือ ขณะที่สติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เรียกว่า ปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่เราไป ทำปฏิบัติ ....

ตรงนี้ก็สอดคล้องกับเรื่องการอาศัยโลกุตรฌาณเพื่อขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้น อย่างที่หลวงตาบัวเทศน์เรื่องมรรคมีองค์ 8 ต้องอาศัยสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ซึ่งต้องฝึกให้ชำนาญจนถึงขั้นเป็นมหาสติ มหาสมาธิ แล้วเจริญทางปัญญาต่อ(เพราะบางคนมัวแต่หลงติดกับเรื่องสมาธิก็มี)

สรุป - ปัญญาทางธรรมต้องอาศัยการภาวนา ไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานหรือวิปัสสนา ไม่ได้อาศัยแค่เพียงการอ่านแล้วทำความเข้าใจ เพราะเพียงแค่อ่านนั้นย่อมไม่เข้าใจได้อย่างแท้จริง ต้องให้จิตได้พบเห็นสภาวะธรรม เมื่อจิตรับรู้สภาพความเป็นจริงก็ย่อมจะเกิดปัญญาจนสุดท้ายก็ละอวิชชาหรือความไม่รู้ได้

ปล. เรื่องจิตมีหรือไม่มีตัวตน เกิดดับยังไงผมคงไม่กล้าให้ความเห็น เพราะยังไม่เคยภาวนาจนเห็นจิตเลย
แต่ถ้ามองว่าจิตก็คือผู้รู้ ความคิดของแต่ละคนมีอยู่จริงแต่ความคิดนั้นไม่มีตัวตนให้สามารถมองเห็นกันได้ด้วยตาเนื้อ (ส่วนที่เค้าเห็นกันเป็นแสงสว่างจ้านั่นก็คงเหมือนเหมือนเราเห็นแสงแดด จะบอกว่าแสงแดดมีตัวตนก็คงไม่ใช่ แต่แสงแดดก็มีอยู่จริง)
ในแต่ละนาทีหรือแม้แต่วินาทีเราสามารถคิดได้เป็นร้อยเรื่อง แต่ละครั้งที่คิดเรื่องหนึ่งก็คือจิต(ผู้รู้)เกิดขึ้น พอหยุดคิดก็คือจิตดับลง พอคิดใหม่จิตก็เกิดขึ้นอีก แบบนั้นรึเปล่า ??

#238 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 15:31

ก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับความเห็นคุณ ไร้สี
ถ้าหากพ้นมาจาก เรื่องหลัก คือ พระไตรปิฎก
ผมก็จบสิ่งที่ต้องการพูดแล้วเท่านั้น

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง รู้ทฤษฎี แต่ไม่ปฎิบัติ ก็คือ รู้แค่ พยัญชนะ แต่ไม่รู้ อรรถะ
ใน ประวัติที่ผ่านมา ก็มีผู้รู้พระไตรปิฎกจบกระบวนความแต่ไม่บรรลุมากมาย

เมื่อเราผ่านเรื่องพระไตรปิฎกแล้ว ถ้าจะมาพูดถึงการปฎิบัติ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ที่แยกต่างหากออกไป ที่นี เวลานี้ คงจะให้ความเห็นมากไปกว่านี้ไม่ได้
ด้วย เวลา สถานที่ และข้อจำกัดมากมาย สิ่งที่สำคํญคือ รู้ได้เฉพาะบุคคล
ผมก็เคย บอกไว้ว่า บางคน ขับรถเร็ว บางคนขับรถช้า ขึ้นกับการสะสมมา

ผมคงไม่ออกความเห็นต่อเรื่องการปฎิบัติ เพราะเราต่างก็ไม่รู้ว่าใครปฎิบัติ
อะไรอย่างแท้จริง ผมเพียงแค่นำหลักฐานเรื่องการมีพระอรหันต์อยู่อีกหรือไม่
มาแสดงเท่านั้น

ยินดีที่ได้รู้จักกันมากขึ้น

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#239 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 16:55

ถ้าพูดถึงกระทู้ แล้วผมบอกตรงเลยว่าไม่เชื่อคำทำนายเพราะแม้พระอัครสาวกอย่างพระสารีบุตรก็ทำนายผิดมาแล้ว คนที่ทำนายถูกต้องจริิง 100 % มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นครับ แล้วหลวงตาแค่สาวก จะไม่ผิดหรือ แต่ผมเชื่อว่าแม้วมันต้องเป็นอย่างที่หลวงตาพูดแน่นอน งง ไหม เพราะ ถ้าสาร 1 บวก สาร 2 ได้ สารตัวที่ 3 ถ้าคุณเอาตัวที่ 1 บวกตัวที่ 2 ยังไงก็ได้ตัวที่ 3 หลวงตาท่านบอกว่าถ้าทักษณิยังทำตัวแบบนี้ จะเกิด 1 2 3 ไม่ใช่คำทำนายครับ
แต่มันจะเป็นจริงเพราะ มันยังทำอยู่ ถ้ามันไม่ทำ 123 ไม่เกิด ที่นี้เข้าใจไหมครับ

ส่วนธรรมกาย ปลายสุดก็ยังไปติดอยู่ที่สังขารขั้นละเอียด เพราะปล่อยให้สังขารนำ สังขารตามตำราเรียกความปรุง
แปลกไหมครับ ผมก็เรียนมา แต่พอพิจราณาเข้าจริงๆพิจราณาไม่ออก ไปถามหลวงพ่อสายทอง ถึงได้รู้ตัวว่าเราโดนมันเล่นเข้าแล้วแล้วจะไปพิจราณามันได้ยังไง

อย่าเชื่อเพราะถือว่า ตถาคต นี้เป็นอาจารย์ของพวกเธอทั้งหลาย
พระสารีบุตร เคยกล่าวว่า ไม่ได้เชื่อพระพุทธเจ้า แต่พิจราณาเห็นความจริงตามที่พระพุทธเจ้ารู้เห็น
ธรรมและวินัย จักเป็นศาสดาของพวกเธอ ต่ือไปในอนาคต

ภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้ สุตตันตะเหล่าใดที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก เมื่อมีผู้นำสุตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟัง ด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน
ภกษุทั้งหลาย ส่วนสุตตันตะเหล่าใดที่เป็นคำของตถาคต เป็นขึ้นความลึก มีควาหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะเรื่องสุญญตา เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน จึงพากันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่และกันอยู่ว่าข้อนี้ป็นอย่างไร มีความหมายกี่นัย ดังนี้ ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้ ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็จะทำให้ปราฏกได้ สงสัยในธรรมหลาย ประการที่น่าสงสัย เธอก็บรรเทาลงได้

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบริษัทเหล่านี้เราเรียกว่า บริษัทที่ม่การลุล่วงไปได้ ด้วยการสอบถามแก่กันและกันเอง หาใช่ด้วยการชี้แจงโดยกระจ่างของบุคลภายนอกเหล่าอืนไม่ จัดเป็นบริษัทที่เลิศแล
บาลี พระพุทธภาษิต ทก.อํ.20/92/292

มั่นใจว่ากลองใบนี้ไม่มีไม้อื่นปน เพราะแม้แต่ตถาคตเจ้า ยังไม่ทรงให้เชื่อท่านโดยถ่ายเดียว
ผมถึงบอกว่าผมชอบอ่าน พุทธวัจนะ มากกว่า

Edited by ter162525, 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:37.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#240 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:35

ปล. เรื่องจิตมีหรือไม่มีตัวตน เกิดดับยังไงผมคงไม่กล้าให้ความเห็น เพราะยังไม่เคยภาวนาจนเห็นจิตเลย แต่ถ้ามองว่าจิตก็คือผู้รู้ ความคิดของแต่ละคนมีอยู่จริงแต่ความคิดนั้นไม่มีตัวตนให้สามารถมองเห็นกันได้ด้วยตาเนื้อ (ส่วนที่เค้าเห็นกันเป็นแสงสว่างจ้านั่นก็คงเหมือนเหมือนเราเห็นแสงแดด จะบอกว่าแสงแดดมีตัวตนก็คงไม่ใช่ แต่แสงแดดก็มีอยู่จริง) ในแต่ละนาทีหรือแม้แต่วินาทีเราสามารถคิดได้เป็นร้อยเรื่อง แต่ละครั้งที่คิดเรื่องหนึ่งก็คือจิต(ผู้รู้)เกิดขึ้น พอหยุดคิดก็คือจิตดับลง พอคิดใหม่จิตก็เกิดขึ้นอีก แบบนั้นรึเปล่า ??


เรื่องนี้ต้องดู คลิปที่พระเกษม เทศน์เรื่องจิต ของหลวงตามหาบัวครับ ผมว่าน่าฟังมาก ที่ที่สำคัญ ผมปฏิบัติแล้วเจออย่างนั้นจริงๆ ครับ ที่เห็นครั้งแรกเหมือน หลับตาดูหลอด ไฟกลมแหละครับ ที่เคยเห็นรูปร่างชัดสุดก็ เหมือนสุริยะคราดวงแหวนครับรุ้ว่าเป็นดวงเป็นดวง ที่พระท่านเรียกผู้รู้นั้นละครับ ของผมรู้เลยว่ามันไม่ได้สว่างมากมายเลย

Edited by ter162525, 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:38.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#241 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

ตอบ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:49

สรุปว่าถ้าท่าน chakrapong ยังเชื่อในพระไตรปิฎกที่บอกว่าพันปีที่ 3-"ไม่ีมี"
แล้วจะถกกันต่อไปด้วยเหตุใด ผมไม่เห็นประโยชน์

ยกเว้นว่ามีประโยชน์ต่อผู้อ่านอื่นๆ เช่น ผมเป็นต้น ที่ได้ความรู้ไปด้วย
ซึ่งไม่ใช่ท่าน chakrapong เราจะไปเปลี่ยนความคิดเขาคงไม่ได้ เขามาเปลี่ยนความคิดเราก็คงไม่ได้


ส่วนตัวผม เคยอ่านเจอประโยคนี้มานานแล้วตั้่งแต่เด็ก และเชื่อตามนั้นมาตลอดครับ
"ตราบใดที่ยังมีคนเข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างเว้นพระอรหัต์ "

Edited by ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, 27 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:50.

gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 





ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน