Jump to content


Photo
- - - - -

คำทำนายของหลวงตามหาบัว


  • Please log in to reply
240 ความเห็นในกระทู้นี้

#101 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 17 เมษายน พ.ศ. 2555 - 23:16

ขออภัยจริงๆครับ

ข้อความผมไม่ต่อเนื่องจริง
อาจเป็นที่แป้นpast copy ก็ได้

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#102 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 17 เมษายน พ.ศ. 2555 - 23:20

ถ้าจะให้ต่อเนื่องกรุณาอ่าน rep 51 52 และ100

นี้อ่านเป็นสาเหตุที่การแลกเปลี่ยนความเห็น
ไม่เป็นที่เข้าใจตรงกัน

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#103 chaidan

chaidan

    กา... กา... กา...

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,999 posts

ตอบ 17 เมษายน พ.ศ. 2555 - 23:33

ขออภัยครับคุณ chaidan

บังเอิญข้อความไม่ต่อเนื่องผมขอเอาลงใหม่ครับ
น่าจะเกิดปัญหาทางเทคนิค
1 เรื่องพระอรหันต์มีอยู่หรือไม่ในปัจจุบัน และจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์
- ในปัจจุบัน ไม่มีพระอรหันต์
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 161
ข้อความบางตอนจาก อรรถกถาปฐมโกกาลิกสูตร
ด้วยคำว่า โกธ วิทฺวา วิกปฺปเยความว่า ใครผู้มีปัญญา ผู้มีเมธาในโลกนี้พึง
กำหนด ท่านแสดงว่า พระขีณาสพ(พระอรหันต์)เท่านั้น พึงกำหนดนับพระ
ขีณาสพ. บทว่า นิธุตนฺต มญฺเ ความว่าก็ผู้ใดเป็นปุถุชน ปรารภจะวัดพระ
ขีณาสพนั้น เรากล่าวผู้นั้นว่า ไม่มีธุตธรรมคือมีปัญญาต่ำทราม

พระวินัยปิฎก จุลวรรค ทุติยภาค ภิกขุนิกขันธกวรรณนา (เริ่มที่หน้า 498)
ว่าด้วยครุธรรม 8 ประการ มีข้อความแสดงว่า การบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลจะมีได้ภายในห้าพันปี คือ
ในพันปีแรกสามารถมีพระอรหันต์ที่มีคุณวิเศษประกอบด้วยปฏิสัมภิทา พร้อมด้วยฤทธิ์
พันปีที่สอง สามารถมีพระอรหันต์สุกขวิปัสสกะ (ไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิต่างๆได้)
พันปีที่สาม สามารถมีพระอนาคามี
พันปีที่สี่ สามารถมีพระสกทาคามี
พันปีที่ห้า สามารถมีพระโสดาบัน

ขอบคุณมากครับ...
ผมขออนุญาติรวมทั้่งสอง rep ด้านบนใหม่ใน quote ด้านบนนะครับ....


แล้วผมขออนุญาติ...สรุปในหัวข้อที่ว่า...

- ในปัจจุบัน ไม่มีพระอรหันต์
คุณ chakrapbong อ้างอิงจาก
[1].พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 161
- ว่าด้วยเรื่องคนธรรมดา ไม่สามารถตัดสินว่าใครเป็นพระอรหันต์ได้
[2].พระวินัยปิฎก จุลวรรค ทุติยภาค ภิกขุนิกขันธกวรรณนา (เริ่มที่หน้า 498)
- ว่าด้วยเรื่องยุคต่างๆหลังพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพานว่าสาวกจะเสร็จธรรมได้ระดับไหน
ซึ่งผมเข้าใจว่าหัวข้อ[2]เป็นประเด็นหลักใช่ไหมครับ ?
คือปีนี้ พศ.2555 คือเลยปี พศ.2000 มาแล้วคือจาก [2] นั้นคือไม่มีพระอรหันต์แล้ว... ในปีปัจจุบัน พศ.2555 จึงไม่มีพระอรหันต์....
ผมเข้าใจทึ่คุณ chakrapbong เข้าใจ ถูกใช่ไหมครับ ?....

Edited by chaidan, 17 เมษายน พ.ศ. 2555 - 23:39.

ใครที่บอกว่า "กาขาว" เป็นฝรั่ง....ผมว่าไม่ใช่......

#104 chaidan

chaidan

    กา... กา... กา...

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,999 posts

ตอบ 17 เมษายน พ.ศ. 2555 - 23:47

ถ้าเป็นอย่างนั้น....
ศาสนาพุทธของเราก็จะไม่มี... พระอรหันต์..
นับตั้งแต่ยุค พระบรมไตรโลกนาถ รัชการที่ 8 แห่งกรุงศรีอยุธยา...(ครองราชย์ พศ.1991- พศ.2031)....
เลยใช่ไหมครับ ? .....
ใครที่บอกว่า "กาขาว" เป็นฝรั่ง....ผมว่าไม่ใช่......

#105 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 17 เมษายน พ.ศ. 2555 - 23:50

แหมว่าจะไปแล้วเชียว

คุณ chaidan ก็กรุณาผม ถูกต้องและขอบคุณครับ

(notebookผมรุ่นเก่า 3 ปีแล้ว Latitude D630)
ก็เป็นไปตามกฎอนิจจัง ครับ

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#106 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 17 เมษายน พ.ศ. 2555 - 23:55

คุณ chaidan จะกังวลไปทำไมครับกับการมี พระอรหันต์หรือไม่มี

แค่บรรลุโสดาบัน ก็ยากแสนยากแล้วครับ

ที่สำคัญเราเป็นพุทธ ที่แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น

ก็นับเป็นบุญอันประเสริฐแล้ว

สังสารวัฎฎ์อีกยาวไกลนัก

สะสมความเห็นถูกกันต่อไปดีกว่าครับ

เรื่องอื่นเป็นแค่กระพี้

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#107 chaidan

chaidan

    กา... กา... กา...

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,999 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 00:02

ขอบคุณ คุณ chackrapbong ที่เมตา...ผู้เขลาเช่นผมครับ.... :)

ปล. เปิดห้องศาสนาอีกซักห้องก็น่าจะดีนะครับ.... :rolleyes:
ใครที่บอกว่า "กาขาว" เป็นฝรั่ง....ผมว่าไม่ใช่......

#108 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 00:08

จริงๆก็ไม่ได้มีความรู้แตกฉานเรื่องพระไตรปิฎก การจะมาแสดงความเห็นเรื่องนี้ไม่รู็จะเหมาะสมมั้ย
ฝากข้อพิจารณาละกัน
- เท่าที่ search ดูยังเป้นที่ถกเถียงกันอยู่นะครับ ตัวอย่างลิงค์นี้
http://board.palungj...tml#post5621767

หลายท่านคงเคยได้ยินพุทธพจน์ซึ่งกล่าวก่อนปรินิพพาน

ตราบใดที่ยังมีคนเข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างเว้นพระอรหัต์

แล้วทำไมจึงขัดแย้งกันได้
ตามความรู้(อันน้อยนิดของผม) เป็นไปได้หรือไม่ว่าไม่ใช่ไม่มี แต่อาจจะมีน้อยลง
หรือเป็นเพราะอนาคตนั้นเปลี่ยนแปลงได้ อย่างหลวงปู่มั่นเคยกล่าวว่า ร.4 ทรงเป็นพระยาธรรมิกราช ลงมาช่วยต่ออายุพระศาสนา โดยช่วยฟื้นฟูพระวินัย กำเนิดพระสายธรรมยุตที่เน้นการปฏิบัติตามพระวินัยขึ้นมา


#109 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 00:08

ผมกับคุณ chaidan ก็ไม่ต่างกันหรอกครับ
ยังติดอยู่ใน โลภ โกรธ หลง เหมือนกัน
แม้พระโสดาบันยังร้องไห้เช่นนางวิสาขา
แต่จะไม่เห็นผิดอีกต่อไป

สะสมความเห็นถูกกันต่อไป
เราจะไม่เสียใจเกินเหตุเวลาประสบทุกข์
และไม่หลงเกินไป เวลามีความสุข

เราต่างก็เป็นเวไนยสัตว์
คือสัตว์ที่สอนได้

ไม่มีทางลัดไปสู่นิพพาน
เริ่มที่ตัวเราเอง

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#110 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 00:11

ในความเห็นผม ไม่มีสิ่งใหนดีกว่าเทียบกับพระไตรปิฎกครับ
เพราะเป็นการรวบรวมมาจากเหล่าอรหันต์ทั้งสิ้น

พ้นไปจากนี้เราก็ไม่มีหลักยึดแล้วครับ

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#111 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 00:29

เรื่องพระอรหันต์ยุคนี้กับยุคก่อนต่างกันก็เคยได้ยินอยู่ พระท่านว่าพระอรหันต์สมัยก่อนไฟธรรมดาเผาไม่ได้ เมื่อปรินิพพานต้องใช้เตโชธาตุจากการอธิษฐานจิตอะไรสักอย่าง หรือเรื่องเหาะเหินเดินอากาศก็เป็นเรื่องธรรมดา (อย่างพระที่ทำสังคายนารุ่นแรกที่ถ้ำสัตบรรณคูหา ก็อาศัยเหาะลงมาบิณฑบาตร ถ้าใครไปอินเดียคงพบว่าแค่เดินขึ้นลงไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วพระที่ร่วมทำส่วยใหญ่ก็เป้นพระผู้ใหญ่อายุมาก การจะมาเดินขึ้นลงบิณฑบาตรย่อมไม่สะดวก อันนี้ก็แล้วแต่จะเชื่อหรือไม่ เล่าสู่กันฟัง) แต่ถ้าถามว่าไม่มีเลยเชียวหรือพระที่ท่านบรรลุอภิญญา เพราะถ้าตามพระไตรปิฎก พระอรหันต์แบบสุขวิปัสสโกนั้นบรรลุได้จากการวิปัสสนา ทั้งที่พระในปัจจุบันอย่างหลวงตาบัวเองก็เน้นเรื่องสมาธิเป็นหลัก แล้วจะบอกว่ามีแต่พระสุขวิปัสสโกได้ยังไง หลวงปู่มั่นเองท่านก็เคยปรารถนาพุทธภูมิ แม้จะละในชาตินี้แต่บารมีที่สั่งสมมานั้นก็มากมาย ก็ไม่แปลกถ้าจะมีอภิญญา
ท่านพ่อลีวัดอโศการาม ศพไม่เน่าเปื่อยเพราะถือแบบอย่างพระมหากัสสปะในอดีตที่รอพระศรีอาริย์มาเผาก็มีให้เห็นที่วัดท่าน

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 01:04.


#112 Nong

Nong

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,124 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 00:31

อ่านคุณตะนิ่นตาญีทุกครั้ง ก็ซาบซึ้งจริง ๆ
เพราะแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออะไร
คือหลักปฏิบัติตนให้พ้นทุกข์
น้อมนำหลักธรรมคำสอนมาปฏิบัติ เพื่อให้ตนพ้นทุกข์

#113 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 00:38

- ผมไม่ได้บอกว่าไม่ควรยึดพระไตรปิฎก แต่ขอเปรียบเทียบเหมือนกฎหมายที่ข้อความเดียวตีความได้หลายแง่ ถึงขั้นนำไปใช้เลี่ยงกฎหมายได้ ศีลธรรม พระวินัยเองก็ยังตีความกันได้หลากหลาย ศาสนาพุทธจึงไม่ได้อาศัยเพียงพระไตรปิฎก แต่ยังต้องอาศัยพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่เป็นครูบาอาจารย์ในการเผยแพร่ศาสนาอีกด้วย ยิ่งรู้ธรรมก็จะยิ่งเข้าใจความหมายถูกต้องมากยิ่งขึ้น โดยเฉาะศาสนาพุทธนั้นเป็นนามธรรม และหลายอย่างอยู่เหนือสมมติ การจะใช้ภาษาซึ่งเป็นสมมติมาอธิบายย่อมมีขีดจำกัด หรือแม้แต่การปฏิบัติภาวนาแต่ละคนก็มีความแตกต่าง อาจไม่ตรงตามทฤษฎีเลยก็ได้ เหมือนการปั่นจักรยาน อ่านยังไงก็ไม่สู้ฝึกปั่นเอง ดังนั้นพระไตรปิฎกก็ยึดได้ แต่พึงระวังอย่าเอามายึดมั่นถือมั่นว่าที่เราเห็นเราอ่านก็ต้องเป็นแบบนี้ (ยกตัวอย่างพระเกษมที่ไปตีความว่าพระพุทธเจ้าไม่ยินดีให้คนมาหลงพระพุทธรูป เลยบอกว่าเราต้องทำลายพระพุทธรูป ห้ามกราบไหว้พระพุทธรูป สุดท้ายวิบากกรรมเป็นอย่างไรก็เห็นอยู่ เพียงเพราะเข้าใจว่าพระพุทธรูปแปลว่าปูนหรือดินที่ปั้นแทนพระพุทธเจ้า ทั้งที่จริงๆหมายถึงรูปกายของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าไม่อยากให้ใครมาหลงว่าสวยงามเพราะเป็นเพียงสังขารที่ไม่ยั่งยืน หรือการที่มองว่าศีลข้อปาณาห้ามฆ่าสัตว์จึงต้องกินเจ ทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามเรื่องกินเนื้อ เป็นต้น) ตราบใดที่ยังมีกิเลส การตีความ การรับรู้นั้นผิดแผกแตกต่างกันได้ จึงต้องฝึกปฏิบัติให้รู้จริง หรือต้องมีครูบาอาจารย์ชี้แนะด้วย

สรุป - เชื่อว่าแม้ศาสนาจะค่อยๆเสื่อมลงไป พระที่มีศีลวินัยบกพร่องจะมากขึ้น แต่ปัจจุบันก็ยังมีพระที่ปฏิบัติตามพระวินัยเคร่งครัด และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้ผิดเพี้ยนไป(ซึ่งก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าปฏิบัติจริงตามพระวินัยหรือไม่) ก็ในเมื่อมีพระที่ท่านปฏิบัติได้จริง ก็ย่อมมีพระที่บรรลุธรรมได้ แต่ถ้าจะเลือกจะเชื่อว่ายุคนี้ไม่มีพระอรหันต์ ปฏิบัติไปก็ไม่บรรลุ ก็สุดแล้วแต่นะครับ ผมคงมีปัญญาเตือนท่านได้แค่นี้

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 01:05.


#114 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 02:29

มหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์พิมพ์เนื่องในวโรกาส

ครบ ๒๐๐ ปี แห่งพระราชวงค์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์พุทธศักราช ๒๕๒๕.

คำนำ

พระพุทธวจนะ คือ พระไตรปิฎก***รวมเป็นศาสนธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าพระพุทธวจนะเหล่านี้ โดยสภาพแห่งธรรมแล้วเป็นสัจธรรมที่แสดงว่า"เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง รู้ได้ยาก รู้ตาม เห็นตาม ได้ยากสงบ ประณีตไม่อาจจะรู้ได้ ด้วยการตรึกละเอียด เป็นธรรมอันบัณฑิต จะรู้ได้"เพราะ สภาวะแห่งธรรมมีลักษณะดังกล่าวจึงจำต้องชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ ทั้งโดยอรรถะ และ พยัญชนะเพื่อให้สามารถหยั่งรู้ ธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง ในเรื่องนั้นๆ.เนื่องจากพื้นเพ อัธยาศัยของคนแตกต่างกันในไปด้านต่างๆซึ่งอุปมา เหมือนดอกบัว ๔ เหล่าพระพุทธเจ้า จึงทรงมีวิธีในการแสดงธรรมตามอาการสอนธรรมของพระองค์ ประการ คือ

๑. ทรงสอนให้ผู้ฟัง รู้ยิ่งเห็นจริงในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น.
๒. ทรงแสดงธรรมมีเหตุที่ผู้ฟัง อาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓. ทรงแสดงธรรมเป็นอัศจรรย์ คือผู้ปฏิบัติตามจะได้รับประโยชน์ ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ.

หลังจากทรงดับขันธปรินิพพาน ทรงตั้งพระธรรมวินัยไว้เป็นศาสดาแทนพระองค์ธรรมที่แสดงไว้ ยังเป็นเช่นเดิม
แต่ระดับสติ ปัญญา บารมี ความสนใจในธรรมของคน เปลี่ยนแปลงไปทำให้การตีความพระธรรมวินัยตามความเข้าใจของตนเองเกิดขึ้น
จนทำให้เกิดความสูญเสีย ความเสมอกันในด้านศีล และ ทิฏฐิ ครั้งแล้วครั้งเล่า.พระอรรถกถาจารย์ ผู้ทราบพุทธาธิบายทั้งโดยอรรถะ และพยัญชนะ แห่งพระพุทธวจนะเพราะการศึกษา จำต้องสืบต่อกันมา ตามลำดับท่านมีฉันทะ อุตสาหะ อย่างสูงมาก
ได้อรรถาธิบายพระพุทธวจนะในพระไตรปิฎกส่วนที่ยากแก่การเข้าใจ ให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้นสำหรับผู้ศึกษาและปฏิบัติ.ในกาลต่อมา มีการอธิบายธรรมประเภท
"อาจริยวาท"คือ ถือตามที่อาจารย์ของตนสอนไว้."อัตโนมัติ" คือ ว่าไปตามมติของตนกันมากขึ้น.*****
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่เป็นหลักสำคัญ คือ"พระไตรปิฎก และ อรรถกถา"
มีไม่แพร่หลายอรรถกถาส่วนมาก ยังคงเป็นภาษาบาลีคนมีฉันทะในการศึกษาภาษาบาลี มีน้อยลง
สำนวนภาษาบาลีที่แปลแล้วยากต่อการทำความเข้าใจของคนที่ไม่ได้ศึกษามาก่อนขาดกัลยาณมิตรที่เป็นสัตบุรุษในพระพุทธศาสนา เป็นต้น.การอธิบายธรรม ที่เป็นผลจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นอันตรายมาก หากอธิบายผิด เพราะโอกาสที่จะเข้าใจผิด พูดผิด ปฏิบัติผิดมีง่าย.*****
พระไตรปิฎกเปรียบเหมือน รัฐธรรมนูญกฏหมายทั่วไป จะขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ มิได้ ฉันใดการอธิบายธรรม
ขัดแย้งกับพระไตรปิฎกพุทธศาสนิกชนที่ดีย่อมถือว่า ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน ฉันนั้น.


..................................................................

ผมขอแสดงความเห็น ที่ไม่เกี่ยวกับ มหามกุฎราชวิทยาลัย ดังนี้
***ตามประวัติศาสตร์แล้ว พระไตรปิฎก ได้ถูกจารึกลงในใบลาน เมื่อปี พ.ศ. ๔๓๓ ที่ประเทศศรีลังกา ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย
พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ทั้ง 3 ปิฏกต้องสอดคล้องกัน คือแสดงความจริงเพื่อให้เข้าถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดเพราะพระธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งได้รับการรวบรวมเป็นพระไตรปิฎกนั้น ไม่ได้มาจากปัญญาของภิกษุปุถุชน หรือฆราวาสปุถุชน แม้แต่รูปเดียวหรือคนเดียว แต่มาจากพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นพระธรรมที่สะอาด ไม่เจือปนด้วยความคิดที่เป็นอกุศลอย่างความคิดของผู้ที่ยังเป็นปุถุชนเลย
ในสมัยใกล้ปรินิพพานทรงตรัสว่า ธรรมวินัยที่แสดงไว้จักเป็นศาสดาแทนพระองค์
พระอริยบุคคลทั้งหลายท่านเคารพในพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ ท่านย่อมไม่กล่าวก่นพระธรรมวินัย (พระไตรปิฎก) เพราะพระไตรปิฎกที่สังคายนาโดยพระอรหันต์ ซึ่งท่านเหล่านั้นล้วนมีปัญญาดับกิเลสได้แล้วและได้รับรองว่าถูกต้องตรงกันทั้งหมด ดังนั้นคนในยุคนี้มีปัญญามากหรือมีปัญญาทรามกันแน่ที่กล้ากล่าวว่า เชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด..
*****เพราะเหตุนี้..... พระผู้มีพระภาคฯมิได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นศาสดา มีแต่พระธรรมวินัยเท่านั้นที่เป็นศาสดาแทนพระองค์

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#115 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 08:01

ผมไม่ได้บอกว่าพระไตรปิฎกผิด
ผมบอกว่าคนอ่านพระไตรปิฎกอาจตีความผิด เพราะถ้าไม่รู้จักธรรมอย่างแท้จริงการอ่านการตีความให้ถูกต้องเป็นเรื่องยาก(อย่างที่ยกตัวอย่างเรื่องพระเกษม กับศีลข้อปาณา) การสังคายนาจึงกระทำโดยพระอรหันต์ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่อ่านหนังสืออกมาช่วยกันทำ
ดังนั้นเมื่อ่านพระไตรปิฎกแล้วเกิดความขัดแย้งขึ้น ไม่ใช่มาบอกว่าพระไตรปิฎกผิด แต่ต้องกลับมาพิจารณาตัวเองด้วยว่ากำลังเข้าใจผิดรึเปล่า

ผมจะแสดงความขัดแย้งให้เห็นนะ

- อย่างที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ตราบใดที่ยังมีผู้ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์อยู่ ตราบนั้นโลกก็จะไม่ว่างเว้นพระอรหันต์ กับสิ่งที่คุณยกมาในอรรถกถา ว่ากี่พันปีจะมีใครบรรลุได้แค่ไหน ซึ่งตรงนี้ยังตีความต่างกัน บางคนตีความว่า หลัง2 พันปีจะไม่มีอรหันต์เลย บางคนตีความว่ายังมีอยู่แต่น้อย

บางแห่งก็ยกข้อความที่บอกว่าศาสนาพุทธ 2500 ปีแรกเป็นของมนุษย์ อีก 1250 ปีต่อมาเป็นของเทวดา พระโพธิสัตว์ พรหม ที่จะช่วยมาสานต่ออายุพระศาสนา ถึงกับยอมละพุทธภูมิเพื่อมาเป็นอรหันต์สานต่ออายุศาสนา ซึ่งก็คือยุคนี้นั่นเองที่พวกเทวดา พระโพธิสัตว์จะมาเกิดมาก

แล้วถ้าเพียงตีความตามอักษรจะยึดอะไรเป็นหลัก แต่ถ้าใช้สมมติฐานคือพระไตรปิฎกถูกต้อง ก็ต้องมาพิจารณาว่าตีความผิดเองหรือไม่
ซึ่งผมมองว่าสามารถพิสูจน์สมมติฐานได้ อย่างพุทธพจน์เรื่อง ....ตราบนั้นโลกก็จะไม่ว่างเว้นพระอรหันต์ ก็มาดูสิว่าพระในยุคนี้ปฏิบัติตามคำสอน ปฏิบัติตามพระวินัยจริงหรือไม่ ซึ่งผมเห็นว่าแม้ยุคนี้จะมีพระที่ย่อหย่อนอยู่มากจริง แต่ก็ยังมีพระที่ท่านเคารพพระวินัยและปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด ก็ย่อมไม่ว่างเว้นพระอรหันต์สิ ส่วนคุณเห็นอย่างไรเป็นเรื่องที่คุณต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่นั่งคิดเอาจากการอ่าน ถ้าจะบอกว่าไม่มีภูมิธรรมจะไปยืนยันใครได้ แต่อย่างน้อยก็พิจารณาได้ว่าพระรูปไหนปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด พระรูปไหนไม่ได้ปฏิบัติตามพระวินัย ส่วนจะบรรลุธรรมขั้นไหนก็เป็นเรื่องวาสนาบารมีที่จะได้รับรู้ แต่อย่างน้อยจะได้รูว่าพระที่ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบยังมีอยู่ ส่วนพระที่อ้างว่าอรหันต์แต่จับเงินจับทองก็สามารถพิจารณาได้ว่าที่อ้างนั้นจริงหรือไม่ ในเมื่อศีลไม่บริสุทธิ์จะเป็นอรหันต์ได้จริงหรือ เป็นต้น

- การสังคายนาในไทยก็มีหลายครั้ง ในยุคหลังพุทธกาล 2 พันปีก็มี ท่านคิดว่าพระที่ทำสังคายนานั้นเป็นเพียงพระอนาคามีหรือไม่ ถ้าคิดว่าพระอนาคามีเท่านั้น ก็เป็นไปได้ที่จะคลาดเคลื่อน แต่ถ้าบอกว่าเป็นพระอรหันต์ท่านจะอธิบายเรื่องอรรถกถาที่ยกมายังไงว่าในยุคนี้จะมีแต่พระอนาคามี

- ถ้าบอกว่ายุคนี้มีแต่พระอนาคามี การที่หลวงตาบัวประกาศว่าเป็นอรหันต์ หรือรับรองพระอื่นๆว่าเป็นอรหันต์อีกมากมายนั้นก็คืออวดอุตริใช่หรือไม่ นั่นถึงขั้นปราชิกเลยนะ แล้วพระที่เป็นครูบาอาจารย์ทางธรรม มีศีลวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นพระที่เป็นแบบอย่างให้ลูกศิษย์ลูกหาอื่นจะทำผิดรุนแรงเช่นนั้นหรือ จะมีบารมีมากมายจนได้รับความเคารพนับถือทั้งจากคนทั่วไป กษัตริย์ และพระอริยสงฆ์หรือ

ปล. - ขอนอกเรื่อง แต่เล่าสู่กันฟัง
เคยอ่านประวัติครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นกับพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ พระอุบาลีนั้นไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติเพราะยึดติดกับปริยัติมากเกินไป หลวงปู่มั่นจึงให้อุบายแก้ไขจนบรรลุธรรมได้ ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ถ้าไปยึดเรื่องการตีความตามตัวอักษร มองว่าทฤษฎีเป็นแบบนี้ ต้องปฏิบัติให้ได้แบบทฤษฎีก็อาจทำให้ขัดขวางการพบธรรม ผมไม่ได้บอกว่าทฤษฎีผิด แต่คิดว่าคนเรานั้นต่างกัน เมื่อปฏิบัติก็จะต้องใช้อุบายใช้ปัญญาที่เกิดจากพื้นฐานทางสมาธิของตนเอง ศาสนาพุทธจึงเป็นเรื่องของ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจริงๆ ครูบาอาจารย์เวลาท่านสอนก็จะบอกแค่แนวทาง เช่น ท่องพุทโธไปนะ เดี๋ยวจะรู้เองเห็นเอง แต่ท่านจะไม่มาบอกรายละเอียดว่าต่อไปจะเป็นยังไง ถึงขั้นนี้ต้องทำยังไง นั่นเพราะถ้ามีปัญหาแล้วสามารถแก้ปัญหาไปได้ด้วยตนเองก็จะเกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่เกิดจากความคิดความจำ คือ ไม่ได้อยู่แค่สมอง แต่เข้าไปถึงใจ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 09:16.


#116 อิไซกูนิ

อิไซกูนิ

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,631 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 09:51

หลวงตามหาบัวญาณสัมปัณโณ ได้เคยทำนายอนาคตของทักษิณตั้งแต่ปี 2548 เอาไว้ 3 ข้อ คือ
1. จะไม่มีแผ่นดินจะอยู่
2. ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ก็จะค่อยๆหมดลงไป
3. แม้แต่ชีวิตก็จะรักษาเอาไว้ไม่ได้



จะรอชม

Posted Image Posted Image Posted Image Posted Image Posted Image

เป็นเห็บเกาะไข่ระบบรัฐประหาร


#117 orogaros

orogaros

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,204 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 10:16

หลวงตามหาบัวญาณสัมปัณโณ ได้เคยทำนายอนาคตของทักษิณตั้งแต่ปี 2548 เอาไว้ 3 ข้อ คือ
1. จะไม่มีแผ่นดินจะอยู่
2. ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ก็จะค่อยๆหมดลงไป
3. แม้แต่ชีวิตก็จะรักษาเอาไว้ไม่ได้



จะรอชม


เอ่อ...จริงๆ พระส่วนใหญ่ที่เป็นสายปฏิบัติ ก่อนที่บรรลุโสดาบัน จะต้องผ่านอภิญญาเกือบทั้งนั้น
แต่หลวงตาท่านไม่ผ่านเลยหรือ ถึงไม่ทราบว่าทักษิณมันโกงชาติบ้านเมืองขนาดไหน
ถ้าคำกล่าวนี้ ได้กล่าวตักเตือนทักษิณก่อนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกจะน่าเชื่อถือมากๆ
แต่กลับกล่าวหลังจากที่การเมืองเริ่มมีความขัดแย้งแล้ว ผมเลยไม่เชื่อถือน่ะครับ

ส่วนเรื่องท่านจะสำเร็จอะไรนั้นผมไม่ได้ใส่ใจหรอกครับ หลวงตาท่านเองก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบผมไม่คัดค้าน
แต่การจะมาอ้างว่าท่านสำเร็จขั้นนั้น ขั้นนี้ของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา มันออกจะเกินไปครับ

การอ้างพระธาตุคือการบรรลุอรหันต์นั้น มันก็แค่จากคำกล่าวบอกเล่า ไม่ได้มีอะไรพิสูจน์
ถ้าอยากจะรู้ว่าจริงหรือไม่ ก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ะจะต้องไปปฏิบัติถึงจะรู้

ผมขอเล่าเกี่ยวกับพ่อผมหน่อยละกันครับ พ่อผมท่านนับถือหลวงพ่อ ก๋วน วัดตะเคียนทอง จังหวัดระยอง
หลวงพ่อก๋วนท่านสำเร็จอะไรผมไม่สามารถทราบได้นะครับ ทุกวันนี้หลวงพ่อท่านมรณะภาพไปนานแล้ว
สังขารใส่โลงแก้วไว้ ไม่เน่าเปื่อย แต่ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณะภาพ พ่อผมเคยชวนย่าของผมไปกราบหลวงพ่อ
แต่ย่าผมนับถือวัดธรรมกาย เลยบอกว่าไปกราบทำไมพระบ้าๆ แต่พอไปถึงวัดหลวงพ่อกลับเป็นฝ่ายทักก่อนว่า
แล้วมากราบพระบ้าๆ ทำไม

ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าหลวงพ่อสำเร็จขั้นไหน แต่พระที่วัดที่เป็นลูกศิษย์สายปฏิบัติด้วยกันบอกว่าหลวงพ่อท่านได้
อภิญญา แต่ไม่ทราบว่าก่อนมรณะภาพได้โสดาบันหรือไม่ พ่อผมเคยไปถามหลวงพ่อว่าถ้าปฏิบัติแล้วจะเป็นอย่างไร
แบบไหน ยังไง จะรู้ได้ยังไงว่าสำเร็จขั้นไหน หลวงพ่อตอบพ่อผมมาคำเดียว ลองมาปฏิบัติดูแล้วจะรู้เอง
ถ้าทำไม่ได้ติดตรงไหนแล้วจะสอน

Edited by orogaros, 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 10:18.


#118 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 10:52

- ดังที่ rep บนกล่าวมา เป็นตัวอย่างของการได้พบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ย่อมจะสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา

- เรื่องพระธาตุ แต่ก่อนผมก็ไม่เชื่อ แต่เคยได้บวชและได้ร่วมในเหตุการณ์ คือวันหนึ่งเป็นวันพระทุกคนมาสวดมนต์ นั่งภาวนา ผมกลับกุฏิก็มีฟ้าผ่า 4-5 ครั้งดังสนั่นหวั่นไหว(ตอนแรกคิดว่าเครื่องบินตก แต่ก็ไม่เห็นมีไฟไหม้อะไรเลยนอนต่อ - -") เช้ามาคนที่ศาลาก็บอกว่ามีแสงวิ่งตามหลังคาก่อนจะผ่าลงใกล้ศาลา 4-5 ครั้ง แล้วพระที่ไปทำความสะอาดตู้เก็บพระธาตุพบมีพระธาตุเสด็จมาเพิ่ม, แม่ผมได้อัฐิหลวงตามา จากเถ้าสีดำกลายเป็นแก้วใส, พระที่ผมนับถือก็ได้รับอัฐิหลวงตามาก็มีเสด็จเพิ่มและกลายเป็นพะธาตุ, เพื่อนผมคนหนึ่งมีพระบรมสารีริกธาตุ มีความมุ่งมั่นตั้งใจจะบวช ก่อนไปบวชไม่กี่วันพบว่าพระบรมสารีริกธาตุเปลี่ยนเป็นผลึกสีม่วง, อุบาสิกาท่านหนึ่งที่มีศีลเคร่งครัดปฏิบัภาวนาที่บ้านตาดก็พบการเสด็จมาของพระธาตุหลวงตาบัว จนผมต้องกลับมาพิจารณาใหม่ว่า ที่คิดว่าวิญญาณไม่มี เทวดาไม่มี สวรรค์นรกไม่มี จริงหรือ จะอยู่อย่างประมาทไปวันๆหรือจะหมั่นปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ยิ่งเมื่อเข้าวัดบ่อยขึ้น ได้รู้จักพระอริยสงฆ์มากขึ้น มุมมองทางธรรมก็มีมากขึ้น แต่ก็ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก

- ถามว่ามีอภิญญาทำไมไม่รู้แต่แรก
อย่างข้อความใน rep ก่อนหน้านี้ท่านก็บอกแล้วว่าไม่ได้พิจารณาจิตแต่แรก ผมมองว่า(ผมไม่รู้นะ ไม่เคยได้ถาม เป็นเพียงการคาดคะเน)การใช้อภิญญาก็ต้องอาศัยอำนาจฌาณคือสมาธิ พระอรหันต์สามารถเข้าสมาธิได้ตลอดเวลาก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะอยู่แต่ในสมาธิตลอด (แต่การกำจัดกิเลสนั้นเกิดขึ้นตลอด)

- ส่วนเรื่องศพไม่เน่า พระอรหันต์สามารถอธิษฐานให้ร่างกายเป็นพระธาตุ หรือศพไม่เน่าเปื่อย อย่างท่านพ่อลีก็อธิษฐานให้ศพไม่เน่าเปื่อย รอพระศรีอาริย์มาเผา (แบบเดียวกับพระมหากัสสปะเถระในอดีตที่อธิษฐานให้เขา 3 ลูกรวมตัวกันเกิดเป็นถ้ำในนั้น ซึ่งมีศพของท่านรวมถึงดอกไม้ที่บูชาไม่เน่าเปื่อย รอพระศรีอาริย์มาเผาเพราะเคยมีความเกี่ยวข้องกันมา ซึ่งตรงนี้ผมเคยถามครูบาอาจารย์ท่านเมตตาตอบให้ว่าศพของพระมหากัสสปะนั้นปัจจุบันอยู่ที่ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ลอง search ดูหลวงปู่มั่นก็เคยกล่าวว่าศพของท่านอยู่เทือกเขาหิมาลัย หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็บอกว่าเคยมีครั้งหนึ่งภูเขาแยกออกมีพวกฝรั่งถ่ายรูปศพของท่านมาให้ดู)

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 11:04.


#119 ปังตอ

ปังตอ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,229 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:16

คุณ chaidan จะกังวลไปทำไมครับกับการมี พระอรหันต์หรือไม่มี

แค่บรรลุโสดาบัน ก็ยากแสนยากแล้วครับ

ที่สำคัญเราเป็นพุทธ ที่แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น

ก็นับเป็นบุญอันประเสริฐแล้ว

สังสารวัฎฎ์อีกยาวไกลนัก

สะสมความเห็นถูกกันต่อไปดีกว่าครับ

เรื่องอื่นเป็นแค่กระพี้


คือว่าคือ.....เอ่อ...เอ่อ
หลักๆของโสดาบันมีอารายบ้างครับ อธิบายพอให้ผมเข้าใจนิดนึงตามที่ท่านเข้าใจได้ไหมครับ

มีครั้งนึงครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ออกอากาศทางทีวีว่า....นอนกอดเมียกอดผัวอยู่ที่บ้านก้อเป็นพระอริยเจ้าขั้นโสดาบันได้
แล้วท่านก้อโดนงดเทศน์ออกอากาศอีกเลย....

แต่ผมเข้าใจตามที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์น่ะครับ ว่าทำไมท่านถึงเทศน์แบบนั้น

Edited by ปังตอ, 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:17.

ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ “ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม”

 


#120 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:45

พระอรหันต์ สำหรับผมแล้ว คือพระผู้ซึ่งตัดขาดจากกิเลศทั้งปวง รวมไปถึงความอยากทั้งหมด ละแล้วซึ่่งความรู้สึกรัก และห่วงใย ในสิ่งต่างๆ
หากคิดตามเกณฑ์นี้ ในปัจจุบันพระอรหันต์คงมีอยู้น้อยคนมากหรืออาจไม่มีเลย จะพบอยู่มากก็แค่พระที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ มีความแตกฉาน
ในพระธรรม ในระดับที่ใกล้เคียงกับพระอรหันต์เท่านั้น แต่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ดังนั้นทั้งหลวงตามหาบัว หรือแม้แต่พระพุทธทาส ผมก็ไม่ถือ
ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เพราะดูแล้ว ท่านทั้ง 2 ยังมีความรู้สึกรักและห่วงใยในสิ่งต่างๆ อยู่ ยังไม่อาจตัดหรือปล่อยวางมันลงได้ทั้งหมด
แต่ยอมรับจากใจว่า ในประเทศไทยหากกล่าวถึงพระที่ใกล้เคียงกับพระอรหันต์แล้ว ทั้ง 2 ท่านน่าจะเป็นผู้ที่ใกล้เคียงที่สุด
หรืออาจมีพระท่านอื่นๆแต่ผมไม่รู้จักอยู่อีกก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมยกให้ท่านพุทธทาสเหนือกว่าอยู่ซักหน่อย เพราะหลวงตามหาบัวท่านแสดงออก อย่างชัดเจนว่ายังไม่อาจตัดขาดจากความห่วงใยในประเทศชาติได้ จากกรณีผ้าป่าช่วยชาติ รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นที่ออกจะ เข้ามายุ่งเกี่ยว กับทางโลกอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหน่อยๆด้วย


คุณ annykun งั้น ผม จะพูดถึงคน ๆ หนึ่ง ที่เรารู้ว่า เป็นพระอรหันต์ แน่นอน ครับ พระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์แน่นอน หรือไม่เชื่อ อันนั้นจบเลย พระพุทธเจ้าทรงห้ามสงคราม 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายถึงปล่อยให้เป็นไป ทรงตรวจดูสัตว์โลก เมื่อใครเข้าข่ายที่จะบรรลุแต่มีเหตุให้หลุดหรือพลาดได้ท่านจะทรงรีบไป คุณจะเรียกว่าอะไรครับ เมตตาหรือเปล่า ถ้าเมตตา มันก็เข้าไปหัวข้อ ห่วงใยแล้วไม่ใช่หรือ เช่นองค์คุลลีมาร ถ้าพระองค์ไม่สนใจไม่เมตตา จะได้บรรลุหรือเพราะทันทีที่ฆ่าแม่ ก็ตัดแล้วซึ่งสวรรค์และ นิพพานในชาตินั้น เรียกเมตตาหรือเปล่า หรือเรียกเสียดาย(ยิ่งแล้วใหญ่เลย)
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#121 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:48

ขอปาดหน้าคุณ ter 162525 เพื่อตอบคุณปังตอ

องค์แห่งการบรรลุโสดาบัน


พระสุตตันปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค๒ หน้าที่ ๒๗๙
ว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดา

[๑๔๒๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร

ที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ ๆ ดังนี้ โสตาปัตติยังคะเป็นไฉน.

[๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑ สัทธรรมสวนะ

ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑ โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑

ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑.

[๑๔๒๙] พ. ถูกละ ๆ สารีบุตร โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริส-

สังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ๑.

ฯลฯ


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#122 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 12:53


คุณ chaidan จะกังวลไปทำไมครับกับการมี พระอรหันต์หรือไม่มี

แค่บรรลุโสดาบัน ก็ยากแสนยากแล้วครับ

ที่สำคัญเราเป็นพุทธ ที่แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น

ก็นับเป็นบุญอันประเสริฐแล้ว

สังสารวัฎฎ์อีกยาวไกลนัก

สะสมความเห็นถูกกันต่อไปดีกว่าครับ

เรื่องอื่นเป็นแค่กระพี้


คือว่าคือ.....เอ่อ...เอ่อ
หลักๆของโสดาบันมีอารายบ้างครับ อธิบายพอให้ผมเข้าใจนิดนึงตามที่ท่านเข้าใจได้ไหมครับ

มีครั้งนึงครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ออกอากาศทางทีวีว่า....นอนกอดเมียกอดผัวอยู่ที่บ้านก้อเป็นพระอริยเจ้าขั้นโสดาบันได้
แล้วท่านก้อโดนงดเทศน์ออกอากาศอีกเลย....

แต่ผมเข้าใจตามที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์น่ะครับ ว่าทำไมท่านถึงเทศน์แบบนั้น


พระโสดาบัน นะครับ ศีล 5 ครบ ละ สังโยชน์ 3 ละ โลภ 5 (ส่วนใหญ่เกี่ยวกับทรัพย์คน อื่น)
ถามว่า กอดเมียตัวเอง นอนอยู่บ้านผิดศีลไหม เมื่อไม่ผิด และประกอบด้วยที่ผมยกมา ก็เป็นโสดาบันได้ จนอนาคามี(อนาคามียังมีในส่วนกามารมอยู่ 5 ไม่ใช่กามแบบเราๆท่านๆนะ ) ครับ
ฆารวาส ผู้ครองเรือนอยู่มาได้สูงสุดแค่นี้ครับ
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#123 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 13:12

ผมเข้าใจว่าผมได้พยายามตอบคำถามว่า
ปัจจุบันมีพระอรหันต์อยู่อีกหรือไม่ไปแล้ว
ก็ถือว่าได้ตอบคำถาม ไม่มากและไม่น้อยเกินไปกว่าคำถาม
ส่วนหัวกระทู้ก็เชิญท่านแลกเปลี่ยนความเห็นกันไปตามอัธยาศัยครับ

ผมมีข้อสังเกตุนิดหน่อยครับ
วัดจานบิน รู้ว่าตัวเองพลาดเรื่อง การเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จนพระสังฆราชตรัสว่า………………..
เพราะเหตุนี้ วัดจานบินค่อนข้างระวังตัวในการ ทำ marketing
ถ้าหากยังบิดเบือนหลักศาสนาอีกต่อไป เช่น รับรองว่ามาบวชที่วัดอย่างน้อยบรรลุโสดาบัน
คงจะทำเงินได้อีกมากมายมหาศาล วัดจานบินยังไม่กล้า ออก option นี้เลยครับ

ท่านลองพิจารณาดูว่า เราควรศึกษากันอย่างไรจึงจะไม่ชื่อว่า ตู่พระพุทธเจ้า

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#124 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 13:15

- ผมคิดว่าพระอนาคามีอย่างน้อยต้องศีล 8 คือรักษาพรหมจรรย์นะ แต่ศีล 8 ก็อยู่เป็นฆราวาสได้ ครองเรือนได้ รึเปล่า
- ส่วนที่บอกนอนกอดเมียเฉยๆก็เป็นโสดาบันได้
จริงอยู่ครับพระโสดาบันยังละเรื่องกามไม่ได้ แต่คิดว่าการจะเป็นโสดาบันนี่นอนเฉยๆอยู่บ้านก็เป็นได้จริงหรือครับ ผมไม่แปลกใจนะหากท่านจะไม่ถูกนิมนต์มาเทศน์อีก

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 13:18.


#125 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 13:18

- ดังที่ rep บนกล่าวมา เป็นตัวอย่างของการได้พบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ย่อมจะสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา

- เรื่องพระธาตุ แต่ก่อนผมก็ไม่เชื่อ แต่เคยได้บวชและได้ร่วมในเหตุการณ์ คือวันหนึ่งเป็นวันพระทุกคนมาสวดมนต์ นั่งภาวนา ผมกลับกุฏิก็มีฟ้าผ่า 4-5 ครั้งดังสนั่นหวั่นไหว(ตอนแรกคิดว่าเครื่องบินตก แต่ก็ไม่เห็นมีไฟไหม้อะไรเลยนอนต่อ - -") เช้ามาคนที่ศาลาก็บอกว่ามีแสงวิ่งตามหลังคาก่อนจะผ่าลงใกล้ศาลา 4-5 ครั้ง แล้วพระที่ไปทำความสะอาดตู้เก็บพระธาตุพบมีพระธาตุเสด็จมาเพิ่ม, แม่ผมได้อัฐิหลวงตามา จากเถ้าสีดำกลายเป็นแก้วใส, พระที่ผมนับถือก็ได้รับอัฐิหลวงตามาก็มีเสด็จเพิ่มและกลายเป็นพะธาตุ, เพื่อนผมคนหนึ่งมีพระบรมสารีริกธาตุ มีความมุ่งมั่นตั้งใจจะบวช ก่อนไปบวชไม่กี่วันพบว่าพระบรมสารีริกธาตุเปลี่ยนเป็นผลึกสีม่วง, อุบาสิกาท่านหนึ่งที่มีศีลเคร่งครัดปฏิบัภาวนาที่บ้านตาดก็พบการเสด็จมาของพระธาตุหลวงตาบัว จนผมต้องกลับมาพิจารณาใหม่ว่า ที่คิดว่าวิญญาณไม่มี เทวดาไม่มี สวรรค์นรกไม่มี จริงหรือ จะอยู่อย่างประมาทไปวันๆหรือจะหมั่นปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ยิ่งเมื่อเข้าวัดบ่อยขึ้น ได้รู้จักพระอริยสงฆ์มากขึ้น มุมมองทางธรรมก็มีมากขึ้น แต่ก็ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก

- ถามว่ามีอภิญญาทำไมไม่รู้แต่แรก
อย่างข้อความใน rep ก่อนหน้านี้ท่านก็บอกแล้วว่าไม่ได้พิจารณาจิตแต่แรก ผมมองว่า(ผมไม่รู้นะ ไม่เคยได้ถาม เป็นเพียงการคาดคะเน)การใช้อภิญญาก็ต้องอาศัยอำนาจฌาณคือสมาธิ พระอรหันต์สามารถเข้าสมาธิได้ตลอดเวลาก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะอยู่แต่ในสมาธิตลอด (แต่การกำจัดกิเลสนั้นเกิดขึ้นตลอด)

- ส่วนเรื่องศพไม่เน่า พระอรหันต์สามารถอธิษฐานให้ร่างกายเป็นพระธาตุ หรือศพไม่เน่าเปื่อย อย่างท่านพ่อลีก็อธิษฐานให้ศพไม่เน่าเปื่อย รอพระศรีอาริย์มาเผา (แบบเดียวกับพระมหากัสสปะเถระในอดีตที่อธิษฐานให้เขา 3 ลูกรวมตัวกันเกิดเป็นถ้ำในนั้น ซึ่งมีศพของท่านรวมถึงดอกไม้ที่บูชาไม่เน่าเปื่อย รอพระศรีอาริย์มาเผาเพราะเคยมีความเกี่ยวข้องกันมา ซึ่งตรงนี้ผมเคยถามครูบาอาจารย์ท่านเมตตาตอบให้ว่าศพของพระมหากัสสปะนั้นปัจจุบันอยู่ที่ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ลอง search ดูหลวงปู่มั่นก็เคยกล่าวว่าศพของท่านอยู่เทือกเขาหิมาลัย หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็บอกว่าเคยมีครั้งหนึ่งภูเขาแยกออกมีพวกฝรั่งถ่ายรูปศพของท่านมาให้ดู)


แสดงว่า คุณไร้สีไร้กลิ่น สัมผัส มาแล้ว ถ้าเชื่อใช่ไหมครับ ผมได้เส้นเกศา หลวงพ่อสายทอง วัดป่าห้วยกุ้ม มา ตอนได้มา เป็นเส้นเกศา 1กระจุก
ธรรมดา แต่ตอนนี้จับตัวเป็นก้อนกลมแบบลูกตะกร้อถัด แล้วครับ ไม่รู้ว่าไปจับกันได้อย่างไร ไว้จะถ่ายมาให้ดู ตอนแรก ผมก็เป็นแบบที่เชื่อว่าไม่มีพระอรหันต์แล้วเหลือแต่พระอริยเจ้าเท่านั้น องค์สุดท้ายก็หลวงปู่มั่นที่เชือว่าท่านถึงจริงๆ แต่พอหลวงตาท่านมาบอก ตามฟังท่าน ชึ่งผมก็เคยปฏิบัติมาบ้าง จึงรู้ ท่านไม่ได้พูดเพราะบ้าน้ำลายแต่เป็นสิ่งที่ท่านปฎิบัติมาจริง ๆ(ลองเอามาเทียบก็ที่เราทำมาพบเจอ มา )
ส่วนคุณกินผมขี้เกียจพูดกับเขาแล้วล่ะ เพราะ แค่ สภาวะที่จิตไม่ยึดติดกาย เป็นยังไง เขาก็ไม่ตอบสักที่ แต่เขาเก่งปริยัต เหลือเกินผมก็ขี้เกียจคุยด้วยแล้วครับ ธรรมะเป็น อกาลิโกไม่มีกาลเวลา ผู้พบเจอ โดยตนเอง แต่สอนใครไม่ได้ก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ใครพบเจอแสดงให้ผู้อื่นรู้ได้ก็เรียกพระพุทธเจ้า ส่วนใครที่ฟังมาแล้วเห็นตามก็เรียกสาวก ก็เท่านั้น อย่างไปสังสัยเลยว่า มีพระอรหันต์ไหม ไม่มีพระอรหันต์แล้วในพุทธศาสนา ไร้สาระ ครับ เพราะธรรมมีอยู่ รอแค่คนที่ไปพบเท่านั้น ธรรมะเป็นปัจตตัง ครับ รู้เองเห็นเอง ผมยังอยู่กลางทะเล ผมปฏิบัติมาก็รู้ตัวว่าอยู่แค่ไหน
ใครจะมาบอกว่า ได้นั้นได้ นี้ อยู่หน้าผมให้ได้ก่อน อธิบายธรรมในพระไตรปิฏกให้ลึกซึ้งได้ก่อน ไม่ใช่แบบในตำรา ทุกบรรทัด เพราะนั้นหลอกมา แน่ๆ คุณกินก็ลองดูหน่อยไหม สภาวะ ที่จิตไม่ยึดติดกับกายเหตุการในการปฏิบัติ ด้วยก็ดี
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#126 ปังตอ

ปังตอ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,229 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 13:19

ครับ.....อธิบายพอให้ผมเข้าใจนิดนึงตามที่ท่านเข้าใจได้ไหมครับ

ถ้าผมซื้อหวยก้อคงจะถูก...เพราะสุดท้ายท่านก้อยกพระไตรปิฎกมาให้ผมอ่านอีกตามเคย
(ขอโทษน่ะครับไม่ใช่จะปรามาสพระไตรปิฎกหรืออย่างไรดอก)

เพียงแต่คลุกคลีอยู่กับพระไตรปิฎกมานาน นานมากแล้ว จนพอจะเข้าใจอยู่บ้าง ตามที่ท่านได้ยกมาให้......อ่าน อีกครั้ง
และมิใช่ผมได้เป็นพระอริยเจ้าขั้นโสดาบันแล้ว
เพียงแต่เห็นว่าคุยกันในเรื่องพระอริยเจ้ากัน และไม่ใช่จะลองภูมิท่านหรืออย่างไร

............................... :(

เรื่องพระอรหันต์ในปัจจุบันจะมีหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ เพราะผมไม่สามารถไปดูจิตท่านที่ถึงแล้ว
แต่ถ้าจะยกตามพระไตรปิฎก...พระพุทธพจน์บทบาลี
พระพุทธองค์ก้อยังทรงตรัสไว้ว่ามีอยู่มิใช่หรือ

ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ “ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม”

 


#127 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 13:27

- ผมคิดว่าพระอนาคามีอย่างน้อยต้องศีล 8 คือรักษาพรหมจรรย์นะ แต่ศีล 8 ก็อยู่เป็นฆราวาสได้ ครองเรือนได้ รึเปล่า
- ส่วนที่บอกนอนกอดเมียเฉยๆก็เป็นโสดาบันได้
จริงอยู่ครับพระโสดาบันยังละเรื่องกามไม่ได้ แต่คิดว่าการจะเป็นโสดาบันนี่นอนเฉยๆอยู่บ้านก็เป็นได้จริงหรือครับ ผมไม่แปลกใจนะหากท่านจะไม่ถูกนิมนต์มาเทศน์อีก


กามที่ผมพูดนี้ไม่ใช่แบบเราๆท่านๆนะ การติดอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียงก็เป็นกามารมณ์อย่างหนึ่ง เหมือนพวกเทวดา นั้นแหละ ครับ
ส่วนพระโสดาบันไม่จำเป็นต้องปฏิบัติ อย่างนัก ต้องปฏิบัติ อย่างจริงจัง อย่างเดียวนะครับ อย่างเช่นพระสารีบุตรโมคัลลานะ แค่ฟังธรรม แล้วเข้าใจจริงถึงไตรลักษณ์ ก็ บรรลุพระโสดาบันได้ โดยแค่ฟังพระอสชิต เทศน์สั้นๆ แต่เรามันรู้ตามสัญญาเท่านั้น ถ้าคนรู้เพราะพิจราณาอย่างจริงจัง แค่ฟังธรรมครั้งเดียวก็เป็นได้ครับ แต่ผมสงสัยอยู่อย่าง คือ สภาวะ โสดาบัน จะติดตัวไปซาติหหน้าไหม นี้สิไม่เข้าใจ เพราะ พระโสดาบันเป็นผู้ที่เกิดอย่างมาก 7 ชาติ แล้วต้องมาเป็นมนุษย์ด้วย พระโสดาบัน ที่อายุน้อยที่สุด ก็ 7 ขวบ เลยสังสัย :)
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#128 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 14:46

บทสนทนาธรรม:

พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก ที่สามารถดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ดับได้
เป็นเพียงบางประเภท ยังไม่สามารถดับได้ทุกประการ เพราะผู้ที่จะดับกิเลสได้อย่าง
หมดสิ้น ไม่มีเหลือนั้น คือพระอรหันต์ การเป็นพระอริยบุคคลทุกขั้น เป็นได้ด้วย
ปัญญาและต้องดำเนินตามหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย
คือ อริยมรรค มีองค์ ๘ ที่เริ่มด้วย ความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่า มีคนบอกว่าคนนั้น
คนนี้เป็นพระโสดาบัน ก็จะเป็นตามนั้น เพราะถ้าไม่มีปัญญา ไม่ดำเนินตามหนทางที่
ถูกต้องแล้ว ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคลได้เลย และที่สำคัญ การที่จะรู้ว่าใครเป็นพระ
อริยบุคคล ต้องมีปัญญาเข้าใจถูกเห็นถูก พร้อมทั้งเข้าใจด้วยว่าการเป็นพระอริยะเป็น
ได้ด้วยอะไร และเป็นพระอริยบุคคลที่เสมอกัน หรือ สูงกว่า จึงจะรู้ได้ บุคคลผู้มี
ปัญญาเท่านั้นถึงจะรู้ได้ว่าใครเป็นพระอริยบุคคลหรือไม่เป็นพระอริยบุคคล เพราะ
อะไร ๆ ก็ไม่สามารถหลอกปัญญาได้


-พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น มีความละเอียดลึกซึ้ง
ยากที่จะตรัสรู้ตามได้ เป็นธรรมอันบัณฑิตเท่านั้นที่จะรู้ได้ ธรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะ
กว่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องใช้เวลาอัน
ยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมีตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์***ถ้าไม่ฟังไม่ศึกษา
เลย ปัญญาย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เลย เหตุที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ก็คือ
ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ ไตร่ตรองพิจารณาในเหตุในผลของธรรม ธรรม ไม่พ้น
ไปจากชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าจะฟังพระธรรมส่วนไหน ก็ไม่พ้นไปจากเพื่อให้เข้าใจ
สภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีจริงในขณะนี้
จริง ๆ

ปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องค่อย ๆ ฟังค่อย ๆ ศึกษา
ไปตามลำดับ เพียงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ ชาตินี้ ยังไม่พอ ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีก
เป็นเวลาอันยาวนาน(จิรกาลภาวนา) ซึ่งมีข้ออุปมาเหมือนการจับด้ามมีด เมื่อจับบ่อย ๆ
นาน ๆ รอยสึกย่อมปรากฏได้ ปัญญาก็เช่นกัน ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการ
สะสม ในการอบรม จึงจะเจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ในแต่ละภพในแต่ละชาติ มีชีวิตอยู่ก็
เพื่อได้ฟังพระธรรม ได้สะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น ไม่
ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป

***กัปป์ เทียบเป็นปี แล้วได้ประมาณ 1ตามด้วยศูนย์อีก 140 ตัว

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#129 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 16:25

ขอให้ค้นคว้าจริงๆครับ
เรื่องการสังคายนาพระไตรปิฎก

ถ้าจะนับส่วนที่เป็นหลักสำคัญ เนื้อหาสาระ
พระไตรปิฎกได้รับการสังคนาเพียง สามครั้ง(ไม่รวมอีก 1 ครั้งที่ไม่ยอมรับ)

และทุกครั้งได้ทำการสังคนาโดย พระอรหันต์ทั้งสิ้น

ส่วนที่เป็นมาถึง 11 ครั้ง เป็นการเรียกว่าสังคนาเท่านั้น
และเป็นการทำเฉพาะกลุ่ม จึงไม่นับรวมครับ

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#130 GuoJia

GuoJia

    Siam

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,463 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 18:43

มีป้าแถวบ้านอยู่คน แกรับจ้างปะชุนแก้เสื้อผ้าเปลี่ยนซิป
วันหนึ่งแกไปได้เลขเด็ดจากพระ แกเอาเงินที่ต้องกินใช้เดือนนั้นทุ่มซื้อหวยจนหมด
แฟนผมก็เตือนแก ถ้าไม่ถูกหวยจะทำยังไง
แกว่า "พระไม่พูดโกหกหรอก"
งวดนั้นป้าโดนหวยแดก ต้องขอยืมเงินคนไปทั่ว
คนเขาก็สมน้ำหน้ากันทั้งนั้น มีเงินไปซื้อหวย แต่ไม่มีเงินกินข้าว

สถานะของพระ คำพูดคำจา ชาวบ้านจะเชื่อโดยไม่ข้องใจ
แต่ก็นะ ทีพระสั่งสอนให้ขยันทำมาหากินจะได้ร่ำรวย มันก็ไม่เชื่อกัน

“ ...คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา ,

ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ “


#131 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 19:23

พิมพ์ผิด

สังคนา แก้เป็น สังคยานา

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#132 koong

koong

    ใช้ชีวิตกลางดงแดง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,147 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 20:02

ไหนๆ ก็คุยกันเรื่องศาสนา

รบกวนนิดหนึ่ง ใครพอจะมีแผนที่ไปวัดป่าห้วยกุ่ม จ.ชัยภูมิบ้างค่ะ

ลองค้นเอง ดูไม่เข้าใจค่ะ พอดีเจ้านายให้หาแผนที่ก่อนสิ้นเดือนนี้

แบบอยากได้เลขหลักกิโล กับ เลขทางหลวงอ่ะค่ะ

#133 MuuSang

MuuSang

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,604 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 20:15

ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ ด้วยใจอิ่มเอิบ ที่ได้เก็บเกี่ยวความรู้
มากกว่าที่จะรับรู้ถึงการทะเลาะกันของคนที่ความเห็นไม่ตรงกัน
ก็แสดงว่า ท่านได้บรรลุธรรมขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้วครับ

อ่านบอร์ดการเมืองไปนานๆ ก็จะเลิกทุกข์ร้อนกับข่าวลือ ข่าวลวง และความคิดเห็นที่ครอบงำ
ท่านจะเห็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า

ยังไงก็ขอให้สนทนากันไปเรื่อยๆ นะครับ จะรอชม อิอิอิ
แม้นใครรัก รักมั่ง ชัง ชังตอบ

#134 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 20:45

โลกหาเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้

ในอดีต เคยมีพระสัมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันต์มาแล้ว นับไม่ถ้วน
สองพันปีที่ผ่านมา ก็มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (สิทธัตถะ) มีพระอรหันต์ มากมาย
แต่วันนี้ วันที่เรานั่งอยู่หน้า com กำลังอ่านrep ต่างๆอยู่ เราไม่มีพระอรหันต์
แต่ในอนาคตข้างหน้า ก็จะมี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น จะมีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์อีกนับไม่ถ้วน

นี้ก็ตรงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า โลกจะไม่ว่างเว้นจากอรหันต์

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#135 อิสระในกรอบ

อิสระในกรอบ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 660 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 21:36

ปัจจัตตัง อรหันต์ก็ดี ไม่อรหันต์ก็ดี ล้วนไม่ใช่สาระในการเข้าถึงพระธรรม ยึดติดสิ่งใดมากเกินไปก็หลุดจากสิ่งนั้นยาก หากไม่มีสิ่งใดยึดก็หลงทาง สาธุ

#136 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 22:27

คำว่า สังคายนา หมายถึง การรวบรวม การเรียบเรียง การร้อยกรอง การสะสาง
การสวดพร้อมกัน การสวดเป็นแบบเดียวกัน ฯ คือพระธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรง
แสดงไว้....มีมาก เพื่อให้พระธรรมเหล่านั้นเป็นหมวดหมู่ และเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า
พระธรรมคืออย่างนี้ ที่นอกจากนี้ไม่ใช่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังคำกล่าวของท่านพระมหากัสสปตอนปรารถการทำสังคายนาว่า

......................................................เอาเถิด ท่านทั้งหลาย
พวกเราจงสังคายนาพระธรรมและพระวินัยเถิด ในภายหน้าสภาวะมิใช่ธรรมจักรุ่ง
เรื่อง ธรรมจักเสื่อมถอย สภาวะมิใช่วินัยจักรุ่งเรื่อง วินัยจักเสื่อมถอย ภายหน้า
อธรรมวาทีบุคคลจะมีกำลัง ธรรมวาทีบุคคลจักเสื่อม อวินยวาทีบุคคลจักมีกำลัง
วินัยวาทีบุคคลจักเสื่อมกำลัง
การทำสังคายนาพระธรรมวินัยที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถา อันเป็นที่
รับรองกันโดยทั่วไปคือ ๓ ครั้ง

ครั้งที่ ๑ หลังพระพุทธองค์ปรินิพพานประมาณ ๒ เดือน ท่านพระมหากัสสปเป็น
ประธานพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๔๙๙ รูป

ครั้งที่ ๒ หลังปรินิพพาน ๑๐๐ ปี ท่านพระเรวัตตะและพระอรหันต์ ๗๐๐ รูป

ครั้งที่ ๓ หลังปรินิพพาน ๒๓๕ ปี ท่านพระโมคคัลลีบุตรและพระอรหันต์ ๑๐๐ รูป

ความหมายและความมุ่งหมายของการสังคายนา
คำว่า สังคายนา มีความหมายอย่างเดียวกับ สังคีติ ทั้งสองคำนี้แปลตามศัพท์ว่า
“การขับขานขึ้นพร้อมกัน” คำที่เราค่อนข้างจะคุ้นคือ คำว่า สังคีต ที่แปลกว่าการ
ร้องรำทำเพลง ก็มีรากศัพท์เดียวกัน คือ
สํ = พร้อมกัน , ร่วมกัน + คีต หรือ คีติ = เพลง , ร้องเพลง , ขับเพลง
ทำไมจึงเอาคำว่า สังคีติ ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับการร้องรำทำเพลงโดยเฉพาะมาใช้กับ
การสังคายนาพระธรรมวินัย ?

เหตุผลของเรื่องนี้อยู่ในข้อเท็จจริงของการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสมัยแรก
การเผยแผ่หรือการประกาศพระศาสนาในยุคนั้นย่อมใช้วิธี พูดให้ฟัง คือมีผู้พูดและมี
ผู้ฟัง ยังไม่มีวิธี เขียนให้อ่าน หรือวิธีอื่นใดอีก ถ้าผู้พูดเป็นคนคนเดียวกันหรือพูด
คนเดียว ก็คงไม่มีปัญหาในเรื่องพูดผิดกันแต่เพราะกาลต่อมาเมื่อมีพระสงฆ์สาวกมาก
ขึ้น จำนวนผู้ออกประกาศพระศาสนามีมากขึ้น การพูดเรื่องเดียวกันแต่พูดผิดกันก็ย่อม
จะมีโอกาสเกิดขึ้นมากขึ้นด้วย ผู้ประกาศพระศาสนา คือพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย
จึงต้องหาโอกาสพบปะกัน แล้วซักซ้อมความเข้าใจกันว่า เรื่องนี้ ๆจะพูดกันอย่างไร
จึงจะตรงกัน วิธีซักซ้อมก็คือพูดพร้อม ๆกันโดยยกเอาคำตรัสสอนของพระบรมศาสดา
ขึ้นเป็นหลัก การพูดถึงคำตรัสสอนพร้อม ๆ กันนี่เองเป็นที่มาของการสวดมนต์
การสวดมนต์ ก็คือการทบทวนคำตรัสสอนนั่นเอง เมื่อมาทบทวนพร้อม ๆ กัน
หลาย ๆ เสียงสวดพร้อมกัน เพื่อให้ได้ถ้อยคำที่ถูกต้องตรงกัน เสียงที่เปล่งออกมา
พร้อม ๆ กันเช่นนี้ จึงมีลีลาอาการคล้ายกับการขับขานเพลงอยู่ในที จึงเรียกการกระทำ
เช่นนี้ว่า สังคีติ หรือ สังคายนา ที่แปลตามศัพท์ว่า การขับขานขึ้นพร้อมกัน แต่
เจตนาของการกระทำเช่นนั้น มิใช่มุ่งจะร้องรำทำเพลงอย่างชาวบ้าน แต่มุ่งที่จะซัก
ซ้อมหรือทบทวนคำสอนให้ถูกต้องตรงกันเป็นสำคัญความหมายของคำว่า สังคีติ หรือ
สังคายนา จึงมีว่า การซักซ้อม , การสวดพร้อมกันและเป็นแบบเดียวกัน และเมื่อ
นำวิธีการเช่นนี้มาใช้กับหลักคำสอนทั้งหมดในพระพุทธศาสนา จึงมีความหมายว่า
การประชุม ชำระพระไตรปิฎกให้เป็นแบบเดียวกัน (พจนานุกรมฉบับราบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.๒๕๒๕) พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลศัพท์ ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.
ปยุตฺโต) ให้คำจำกัดความไว้ว่า การสวดพร้อมกัน , การร้อยกรองพระธรรมวินัย , การ
ประชุมตรวจชำระสอบทานและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าวางลง เป็นอัน
หนึ่งอันเดียวกัน
สรุปได้ว่า ความหมายของการสังคายนาก็คือ การชำระสอบทานพระธรรมวินัย
คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องตรงกันเป็นแบบแผนอันเดียวกัน

(เหตุเกิด พ.ศ.2545 - นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ป.ธ. ๙ , ร.บ.)

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#137 Uranus

Uranus

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 652 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 05:26

ใครๆก็ต้องตายทั้งนั้น ไม่มีใครหนีพ้น ต่อให้รวยล้นฟ้า ก็หนีไม่พ้น

ถูกต้องครับ แต่คุณเลือกจะตายแบบไหน
หยัดยืน หรือ คุกเข่า

#138 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 08:28

สำหรับผมตีความว่า
- "ตราบใดที่ยังมีผู้ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของท่านอยู่ตราบนั้น โลกก็จะไม่ว่างเว้นพระอรหันต์"
ก็ในเมื่อพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคงอยู่ 5 พันปี ทั้งพระธรรม พระวินัย ก็มีอยู่ตลอดในช่วงนี้ ผู้ปฏิบัติตามคำสอนก็ย่อมบรรลุได้ แต่ถ้าปฏิบัติตามแล้วไม่บรรลุคิดว่าเกิดจากอะไร อะไรมันมาขัดมาขวางไว้ล่ะ
แต่เมื่อพูดถึงความเสื่อมซึ่งก็คือ เริ่มมีความย่อหย่อนต่อพระธรรมพระวินัย นั่นล่ะคือการที่พระจะไม่ได้ปฏิบัติตามก็ย่อมไม่มีพระอรหันต์ แต่ที่ผมไปเจอคือพระที่ปฏิบัติตามพระวินัย ปฏิบัติตามคำสอนนั้นมีอยู่จริงครับ

การที่คุณความเฉพาะคำว่า โลกนี้ไม่ว่างเว้นอรหันต์ คือหมดศาสนาพุทธปัจจุบันเดี๋ยวก็มีพระพุทธเจ้ามาอีกแล้วเกิดพระอรหันต์อีก นี่คือเลือกจะตีความให้ตรงกับความคิดคุณ

- เรื่องอรรถกถาที่คุณยกมา ผม search ในเน็ตแต่ละที่เขียนไว้ไม่เหมือนกัน บางที่ใช้คำว่า "มุ่งสู่" บางที่ใช้คำว่า"ไม่มี" บางที่ใช้คำว่า"ส่วนน้อย"
ผมก็ขอเลือกที่จะใช้คำว่า มีแต่น้อย จะได้ไม่ขัดกับข้อความอื่นละกัน ด
ดังนั้นก็ต้องไปหามาว่าพระไตรปิฎกที่คุณเชื่อถือ(ซึ่งมีแค่ 3 ครั้งดังที่คุณยกมา) เขาเขียนไว้อย่างไรกันแน่ ในเมื่อการสังคายนาในประเทศไทยตัวคุณเองไม่ยอมรับแล้วคุณเอาพระไตรปิฏกฉบับไหนมาใช้อ้างอิง

(ปล. ถ้าเขียนว่าไม่มีเลย แสดงว่าพระอรหันต์ยุคก่อนเล็งฌาณแล้วไม่พบ ก็อยากถามว่า ถ้ามีพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมในช่วงใกล้ๆ 2000 ปีหลังพุทธกาล พอถึงปีที่ 2 พันปุ๊บคงต้องปรินิพพานกันหมดเพื่อให้คำกล่าวนั้นเป็นจริงใช่หรือไม่)

อย่างไรก็ตามข้อสรุปในตอนนี้คือ
- สิ่งที่ขัดแย้งกันในการตีความเกิดจากความไม่รู้ คุณไม่รู้ ผมไม่รู้ ต้องรอดูหลักฐานเพิ่มเติม
- อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าการตีความนั้นคลาดเคลื่อนได้เสมอตามการรับรู้ของแต่ละบุคคล ดังนั้น ก็ต้องแสวงหาวิธีการตรวจสอบความเข้าใจของเราด้วยว่าเข้าใจถูกหรือไม่

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 08:35.


#139 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 09:16

ประเด็นต่อมา (ละเรื่องอรหันต์มีหรือไม่ไว้ก่อน)
- ผมว่าหลายคนคงได้แต่เจอพระที่หลอกลวง พระที่ไม่มีศีลมีวินัย เจอบ่อยๆเข้าก็เลยอาจจะคิดไปว่าพระที่ดีๆไม่มี หรืออาจจะเสียศรัทธาไปเลยก็มี (เหมือนพวกเสื้อเหลืองที่คิดว่าไม่มีนักการเมืองดีๆอยู่ เลยบอกว่า vote no เป็นการแก้ปัญหา)
ดังนั้นเมื่อผมไปพบเจอหรือได้รับรู้ในสิ่งดีๆก็อยากมาบอกต่อให้ทราบกัน แล้วแต่ว่าจะเข้าใจในเจตนาของผมแค่ไหน
- เห็นชอบยกเรื่องวัดธรรมกาย ผมก็ไม่ได้แนะนำให้ท่านไปวัดนั้นนี่ครับ ผมก็ทราบดีว่าวัดนั้นมันผิดเพี้ยนไปจากคำสอน พระที่ผมแนะนำคือพระที่หลวงตาบัวท่านรับรอง (อย่างที่เคยยกตัวอย่างไป) ผมไปดูไปสัมผัสมาแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีก็อยากมาบอกต่อให้ได้ลองไปพบกัน ไม่ใช่เพราะผมเป็นหน้าม้ามาเรี่ยไรเงินจากท่าน ท่านไม่ทำบุญก็ไม่เป็นไร แค่ได้ไปกราบหรือได้สนทนาธรรมก็นับเป็นโอกาสอันดี
- อีกอย่างที่เป็นห่วงคือ เคยเจอพวกที่คิดว่าอ่านพระไตรปิฎกจบ ท่องพระไตรปิฎกได้ แปลว่าบรรลุธรรม อย่างที่คุณบอกว่าปัญญาเกิดจากการอ่านการพิจารณาให้มาก ในความเห้นผม ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมนั้นต่างกัน ปัญญาทางธรรมต้องอาศัยการปฏิบัติภาวนา ต้องอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐานด้วย ต่อให้ท่องแทบตายว่าร่างกายเป็นทุกข์ เป็นของไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนก็ใช่ว่าจะละวางธาตุขันธ์ได้ มีดบาดทีก็เจ็บร้องโอดโอยเหมือนเดิม แต่ถ้าฝึกภาวนาจนเห็นว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วน ฝึกจนจิตนั้นได้เห็นสังขารว่าเป็นของไม่เที่ยง(อย่างที่พระท่านฝึกจนเห็นเข้าไปถึงเนื้อถึงกระดูกในร่างกายตน หรือฝึกจนกระทั่งเห็นเป็นเพียงกองดิน เห็นว่าเป็นเพียงการชุมนุมกันของธาตุต่างๆ) จิตจะละวางได้เป็นต้น ผมถึงได้เปรียบเทียบเรื่องการปั่นจักรยาน ต่อให้มีความรู็ทางทฤษฎีมากมาย รู้ว่าวัสดุที่ใช้ทำมีกี่แบบ รู้ว่าจะประกอบยังไง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เรียกว่าขี่จักรยานเป็น
- เมื่อจิตที่ฝึกจนบรรลุธรรมถึงขั้นโสดาบัน มีแต่จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ จึงมีคำกล่าวว่าพระโสดาบันเกิดอีกไม่เกินอีก 7 ชาติ เพราะจิตที่ฝึกแล้วย่อมละวางกิเลส เกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด (ยกเว้นปรารถนาพุทธภูมิ)

ปล.
- ผมคิดว่าทางไหนเป็นทางลัดได้ก็มาแนะนำ แต่ถ้าใครคิดจะไปทางอ้อม อยากจะค่อยๆเก็บบุญบารมีไปก่อน หรืออยากจะลองผิดลองถูกเอาเอง ก็เป็นสิทธิ์ของท่านครับ
- ผมไม่อยากให้เรามากลัวความผิดพลาด กลัวว่าจะไปเจอพระที่หลอกลวง จนทำให้ไม่กล้าจะไปหาพระ หรือคิดเอาเองว่าธรรมมะอ่านเองได้ทำความเข้าใจเองได้ ผมเชื่อว่าผู้มีปัญญาย่อมจะพิจารณาได้ว่าพระที่ดีเป็นอย่างไร ใครไปทราบข้อมูลอะไรดีๆก็มาแลกเปลี่ยนพูดคุยกันนะครับ ว่าแต่นี่มันเวบการเมืองนะ ไม่รู้รบกวนจขกท.หรือเวบมาสเตอร์รึเปล่า (จขกท.หายไปเลย - -") ยังไงซะเรื่องธรรมะกับการเมืองก็แยกกันได้ยาก การเมืองก็ต้องใช้ธรรมะ แต่ถ้าคิดว่าไม่เหมาะสมที่จะพูดคุยในนี้ก็บอกได้นะครับ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 09:35.


#140 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 14:29

พระไตรปิฎก เป็นตัวแทนคำสอนของ พระผู้มีพระภาค เหมือนรัฐธรรมนูญ
กฎหมายทั่วไป จะขัดกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ ที่สำคัญคือ ได้มาจากการรวบรวม
เรียบเรียงจาก พระอรหันต์ทั้งสิ้น แต่นั้นก็ไม่ไช่เหตุหลักที่เราจะต้องกอดพระไตรปิฎก
แล้วยึดมั่น ถือมั่น อย่างที่คุณกล่าวมา

หัวใจหลักของศาสนาพุทธคือ เรื่อง อนัตตา เพราะเป็นเรื่องที่ ไม่มีใครเหมือน
และไม่เหมือนใคร เพราะ อนัตตาเป็น basic requirement และ unique ที่สุด
(ขออนุญาตใช้ภาษาอังกฤษ เพราะจะไม่อ้างข้อความจากพระไตรปิฎก)

ทั้งที่เรื่องอนัตตา เป็นพื้นฐานที่สุด ของศาสนาพุทธ เรายังเข้าไม่ถึงเลยครับ
พระพุทธองค์ แสดงให้เห็นว่า ไม่มีบุคคล ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งของ
แล้วที่นั่ง นอน รอบตัวเรา ไม่ไช่ บุคคล สัตว์ สิ่งของ หรอกหรือ
มันไม่ขัดแย้งกับ common sesnse หรือ

เรื่องนี้เป็น basic requirement ที่ชาวพุทธ จะต้องรู้ และไม่มีศาสนาอื่น เหมือนเรา
อนัตตา unique มาก

ผมจะไม่ขอแสดงความเห็นเรืองอนัตตาในที่นี้ เพราะเป็นเรืองยาวและลึกชึ้งมาก
และไม่แน่ใจว่าจะแสดงให้เห็นได้หรือไม่ และเข้าใจได้ดีพอแล้วหรือยัง

เหตุทียกเรื่อง วัดจานบิน เป็นเพราะต้องการให้
ตรงต่อตัวเอง และผู้อื่นในขณะเดียวกันเท่านั้น ไม่มีเหตุอื่นเลย
ผมชอบที่จะเรียกว่า วัดจานบิน มากกว่าชื่อ จริง เพราะคำ
ธรรมกาย หมายถีง พระพุทธเจ้า ซึ่งไม่คู่ควรที่จะเรียกอย่างนั้น

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#141 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 14:47

สำหรับเรื่องพระไตรปิฎก ผมขอให้คุณศึกษาและค้นคว้าให้รอบคอบ
และการ ถาม google คุณแน่ใจหรือ ว่าคำตอบที่ได้ถูกต้องเสมอ

google เก่งกว่า ใครในโลกแล้วไช่หรือไม่

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#142 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 15:41

บทสนทนาธรรม

พระธรรม ไม่สาธารณะกับทุกคน ผู้ที่สะสมความเห็นถูกศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงจะเชื่อและเห็นคล้อยตามในเรื่องภพภูมิข้างหน้า
มี นรก สวรรค์ หรือ ชาติหน้าเป็นต้นครับ แต่ผู้ที่ไมได้สะสมปัญญา ศรัทธามาในพระพุทธศาสนา ก็เป็นเเรื่องยากที่จะเชื่อ เพราะเหตุว่า
เหตุการณ์ หรือ สถานที่นั้น ชาติหน้าเขายังไม่เห็น และเวลานั้นยังมาไม่ถึงครับ อย่างไรก็ตามก็ขออธิบาย ตามแนวให้พอเข้าใจในเรื่อง
สวรรค์และนรกว่ามีจริง หรือไม่ และในเรือ่งชาติหน้าครับ ชาติหน้า และ นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสวรรค์และ
นรกและชาติหน้า เพื่อให้เห็นว่ากรรมมี ผลของกรรมก็ย่อมมี กรรมดีเมื่อได้ทำผลก็ย่อมมี กรรมชั่วเมื่อได้ทำลงไป ผลก็ย่อมมีจากผลของ
การทำชั่ว หากเราจะตัดสินสิ่งที่มีจริง ด้วยการเห็นเท่านั้น หากไม่ได้เห็นก็บอกว่าไม่มีจริง คงตัดสินแค่นั้นไม่ได้ครับสิ่งที่ไม่เห็นแต่มีจริง
ก็ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของเหตุ ผล

ซึ่งในเรื่องของกรรมนั้น การกระทำที่เป็นกรรม ไม่เป็นโมฆะ คือ จะต้องให้ผลตามสมควรแก่กรรม แต่กรรมมีกาลเวลาให้ผล
กรรมบางอย่างให้ผลชาตินี้ กรรมบางอย่างให้ผลชาติหน้า กรรมบางอย่างให้ผลในชาติถัดไป ดังนั้น เมื่อมีการทำกรรมก็ต้อง
มีการได้รับผลของกรรม และหากกรรมนั้นให้ผลชาติหน้า ก็ให้ผลเมื่อตายจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่เช่นนั้น การกระทำที่ดี หรือ
ไม่ดีก็เป็นโมฆะไปหมด หากว่า ชาติหน้าไม่มีจริงการฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ก็ไม่เป็นไร ตายแล้วจบ การทำความดี ก็ไม่ไม่มีผลตายแล้วจบ
แต่ความจริง เมื่อมีการทำกรรมแล้ว ก็ต้องมีการได้รับผลของกรรม ซึ่งเมื่อยังไม่ให้ผล ยังไม่ได้รับผลของกรรม จะกล่าวว่าไม่มีกรรมไม่ได้
และสิ่งที่ยังไม่เกิด จะปฏิเสธว่าไม่มีไม่ได้ หากไม่มีชาติหน้า ก็เท่ากับว่า ชาติก่อนก็ไม่มี เพราะ ชาตินี้ก็คือ ชาติหน้าของชาติก่อนนั่นเอง
และหากเป็นเช่นนั้น สัตว์โลกก็เกิดมาเพียงชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนก็ไม่มีแต่ทำไมชาตินี้บางคนถึงมีความแตกต่างกันทั้งร่างกายก็แตก
ต่างกัน ยศ ตำแหน่ง ฐานะแตกต่างกันเพราะอะไร และการได้รับสิ่งที่ดี ไม่ดีในชาตินี้ก็แตกต่างกันเพราะอะไร หากไม่ใช่เพราะมีการทำ
กรรมในอดีตชาติไว้ดังนั้น ก็ต้องมีชาติก่อนที่มีการทำกรรม เมื่อมีชาติก่อน ก็ต้องมีชาติหน้า เพราะชาตินี้ คือ ชาติหน้าของชาติก่อน

คำถามคือ เมื่อวานมีไหมครับ มี วันนี้มีไหมครับ ก็มีอยู่ และจะมีพรุ่งนี้ไหม ก็อาจจบอกว่าไม่มีก็ได้

ถ้ากล่าวว่า เมื่อวานมี วันนี้มี ซึ่งเมื่อวาน วันนี้ก็มีอยู่แล้ว ปรากฎผ่านไปแล้วด้วย นั่นก็เท่ากับแสดงว่า มี พรุ่งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า
วันนี้คือ พรุ่งนี้ของเมื่อวานนั่นเอง และถ้าละเอียดตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง หากค่อยๆย่อยระยะเวลายาวนานที่
เป็นชาติหน้า ก็ย่อยออกมาเป็น 30 ปีข้างหน้า 20 ปีข้างหน้า 10 ปีข้างหน้า1 ปีข้างหน้า 1 เดือนข้างหน้า 1 พรุ่งนี้ 6 ชม.ข้างหน้า
1 ชั่วโมงข้างหน้า 1 นาทีข้างหน้า 1 นาทีข้างหน้า จะมีอีก 1 นาทีข้างหน้าหรือไม่ครับ 1 วินาทีข้างหน้าจะมีอีก 1 วินาทีข้างหน้าหรือไม่
แม้ยังมาไม่ถึง และที่สำคัญที่สุด ที่มีชาติหน้า มีเวลา ก็คือ สภาพธรรมที่เป็น จิตที่เกิดดับไปทีละขณะ ชาติหน้า ก็คือ จุติจิต(ตายชาตินี้)
ดับไป ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ (เกิดชาติหน้า) ก็เป็น จิตทีเกิดดับสืบต่อทีละขณะนั่นเองครับ ดังนั้นเมื่อมีเหตุปัจจัย มีกิเลสอยู่ก็มีการเกิดดับของ
จิตทีเกิดดับสืบต่อกัน ทำให้มีระยะเวลา มี 1วินาที มีพรุ่งนี้ มีปีหน้า มีชาติหน้า เพราะมีการเกิดดับของจิตทีละขณะนั่นเอง
ที่มีชาติหน้า มีเวลา ก็คือ สภาพธรรมที่เป็น จิตที่เกิดดับไปทีละขณะ ชาติหน้า ก็คือจุติจิต(ตายชาตินี้)ดับไป ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ
(เกิดชาติหน้า) ก็เป็น จิตทีเกิดดับสืบต่อทีละขณะนั่นเองครับดังนั้นเมื่อมีเหตุปัจจัย มีกิเลสอยู่ ก็มีการเกิดดับของจิตทีเกิดดับสืบต่อกัน
ทำให้มีระยะเวลา มี1วินาที มีพรุ่งนี้ มีปีหน้า มีชาติหน้า เพราะมีการเกิดดับของจิตทีละขณะนั่นเองครับ

พระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิญญาตนว่าเป็นชาวพุทธก็คือผู้ที่ศรัทธา คือเชื่อพระปัญญา
ตรัสรู้ของพระพุทธองค์พระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดงตลอด๔๕พรรษา ประกอบด้วยเหตุผลพิสูจน์ได้ พระไตรปิฎกคือคัมภีร์
ที่จารึกพระธรรมของพระพุทธองค์ และในพระไตรปิฎกกล่าวเรื่องกรรมและผลของกรรม ภพภูมิต่างๆ ที่เป็นที่เสวยผลของกรรมดี กรรมชั่ว
การเกิดสืบต่อกันของขันธ์ อายตนะเป็นต้น ชื่อว่าสังสารวัฏฏ์ ในชาตินี้ก็มีการเกิดสืบต่อกันอยู่จึงมีวันนี้ เมื่อวานนี้ สัปดาห์ที่แล้ว
เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ๑๐ ปีที่แล้ว ๒๐ ๓๐ ๔๐ ๕๐ ถึง ๑๐๐ ปีที่แล้วก็มีและถอยไปเรื่อยๆ อีกก็คือ ชาติที่แล้ว ส่วนอนาคตก็คือการ
เกิดสืบต่อของนามรูปที่เรียกว่า ขันธ์ เป็นต้น นั่นเองที่สืบต่อจากขณะนี้ก็คือ เย็นนี้ก็มี พรุ่งนี้ก็มี สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า ๑๐ ๒๐ ๓๐
๔๐ ๕๐ถึง ๑๐๐ ปีข้างหน้าก็มี เพราะยังมีเหตุและปัจจัยให้เกิดขันธ์ ขันธ์ก็ยังเกิดอีกต่อไป เป็น ๒๐๐ ๕๐๐ พันปีหมื่นปี แสนปี ล้านปีข้างหน้าก็มี
นี่คือหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ประกอบด้วยเหตุและผล การที่ไม่เชื่อว่ามีชาติหน้า นั่นหมายถึงการไม่เชื่อเหตุและผล และไม่เชื่อคำสอน
ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ ซึ่งเป็นผู้มีความเห็นผิด และสุ่มเสี่ยงต่อการประพฤติทุจริตกรรมประการต่าง ๆ ได้โดยง่ายเพราะเข้าใจว่า
ชาติหน้าไม่มี

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำขึ้นมา ถึงในสิ่งที่ไม่ควรคิด (อจิณไตย) ผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์ แต่ท่านทรงชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ตัวเราก็ยังไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากเหตุและปัจจัย ทรงแนะนำให้นึกระลึกถึงเฉพาะปัจจุบัน จนกระทั่งเป็นปัจจุบันขณะจริงๆ. ด้วยความคิดนี้ยิ่งทำให้ซาบซึ้งถึงคุณของพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้นจริงๆ

ความเชื่อและการคล้อยตามย่อมเกิดขึ้นได้จากการพิจารณาอย่างมีเหตุมีผลจนเกิดความเข้าใจของตัวเองจริงอยู่ว่าเราไม่อาจล่วงรู้ถึงชาติหน้าได้ และเมื่อชาติหน้าก็ไม่สามารถล่วงรู้อดีตได้ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าลองพิจารณาว่าทำไมคนเรา หรือสัตว์ทั้งหลาย ถึงเกิดมาต่างกัน ไม่เหมือนกันตั้งแต่เกิดเลยสักคนเดียว ถ้าไม่มีเหตุที่สะสมมาก่อนที่ต่างๆ กัน ก็คงไม่มีผลที่ต่างๆกันในชาตินี้
การคิดถึงเรื่องไกลตัว เรื่องที่ไม่สามารถรู้ได้ ยังวนเวียนอยู่กับความสงสัยและไม่สามารถหาคำตอบได้คิดเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้
อยู่นั่นเองก็ไม่พ้นอำนาจของอวิชชา ก็จะเสียเวลาเปล่า สิ่งที่ผู้อื่นกล่าวบุคคลรับฟังบุคคลพิจาราณาไตร่ตรอง บุคคลนั้นคล้อยตาม
บุคคลนั้นต่อต้าน ย่อมเป็นเรื่องเฉพาะของบุคคลนั้นๆ แต่ในการรับฟังสิ่งใดก็ตาม ถ้ารับฟังด้วยความเป็นกลางและพิจารณาไตร่ตรอง
อย่างมีเหตุมีผล ตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ย่อมเป็นประโยชน์

ชาติที่แล้ว ชาตินี้ ชาติหน้า อดีต ปัจจุบัน อนาคต คือ อะไรหนอ .......
ชาติหน้าถ้าท่านมีวาสนาได้เกิดมาเป็นคนอีก ท่านก็คงคิดว่า ชาติต่อไป หรือ ชาติที่แล้วไม่ได้มีอยู่จริง
เหมือนที่ท่านกำลัง ถามเหตุผลเพื่อหาความเชื่อมโยง........ผมเพียงจะบอกว่า นี่แหละ
คือความความน่ากลัว ของการเกิดและสังสารวัฎ เพราะมัน จำตัวเองไม่ได้นั่นเอง...........
ตัวท่านก็เหมือนกับหลายคนๆ ที่โดนหลอก ใครล่ะ ที่หรอก อวิชชาไงล่ะ.....


อวิชชาคือ อะไร.....ล่ะ คือ เหตุที่ทำให้ผมและท่านกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ไงล่ะ.........

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#143 กรกช

กรกช

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,930 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 16:33

สมาชิกหลายท่านมีความรู้ด้านศาสนาอย่างละเอียดเหลือเชื่อ ผมเองรู้แค่ศีล 5 จึงได้แต่ตามอ่าน :D

แต่ได้อ่านเรื่องชาตินี้ ชาติหน้า ในบทสนทนาธรรม ใน คห.ของคุณ chackrapbong แล้ว
ก็ขอแสดงความเห็นเรื่องนี้สักนิด เพราะผมก็เชื่อเรื่องนี้

ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
กฎแห่งกรรม คือ กฎของธรรมชาติ
มนุษย์ คือ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ดังนั้นจึงต้องตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
เมื่อทำกรรมอะไรไว้ ไม่ว่าดี หรือไม่ดี ย่อมได้รับผลจากการกระทำนั้นๆ


ผมเชื่อเรื่องชาตินี้ ชาติหน้า เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เพราะผมเชื่อเรื่อง กฎแห่งกรรม
ผมเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะผมเชื่อเรื่องกฎของธรรมชาติ และเชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

เมื่อผมเชื่อเรื่อง กฎแห่งกรรม ผมจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด
เพราะถ้าเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม แต่ไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เหตุผลมันก็จะขัดแย้งกันเอง

ยกตัวอย่าง เด็กที่เกิดมาพิการ อาจจะหูหนวก ตาบอด แขนขาไม่มีหรืออะไรก็แล้วแต่
ถ้าเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมอย่างเดียว โดยไม่มีเรื่องเวียนว่ายตายเกิดมาเกี่ยวข้อง

กฎแห่งกรรมอย่างเดียวไม่สามารถตอบคำถามตรงนี้ได้

เพราะเด็กที่เกิดมาพิการยังไม่ได้ทำอะไรผิด แม้แต่พูดหรือเดินก็ยังทำไม่ได้

แต่ถ้าสมมุติว่าเรื่องเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ก็สามารถตอบคำถามตรงนี้ได้ว่า
ชาติก่อนเด็กได้ทำกรรมไม่ดีไว้ เมื่อเกิดมาชาตินี้จึงได้รับผลกรรมนั้น

สำหรับความคิดผม เรื่องเวียนว่ายตายเกิด ไม่ใช่เรื่องของอิทธิฤทธิ์ ปาฎิหารย์ หรือไสยศาสตร์

แต่คือเรื่องของเหตุผล

#144 chaidan

chaidan

    กา... กา... กา...

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,999 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 16:54

สมมุตินะครับ.... :P

ถ้าย้อนกลับไปวันที่ผมตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก "เสรีไทย.เน็ต"....
ในวันนั้นผมไม่เลือกชื่อ Username ว่า "chaidan"...
แต่ดันเลือกเป็น "danchai" แทน...

จากนั้นก็ใช้งาน "เสรีไทย.เน็ต" เหมือนเดิมทุกอย่าง...
เวลาพิมพ์ก็ทิ้งท้าย สามสี่จุด... เหมือนเดิม...
พฤติกรรมในการตอบ...ในการตั้งกระทู้ก็เหมือนเดิม....

ต่างแต่ว่า ณ.ตอนนี้(ตามเรื่องสมมุึติ) ไม่มี "chaidan" มีแต่ "danchai"...

ทั้งๆที่คนสมัครก็เป็นคนเดียวกันแท้ๆ.....
....... :)
ใครที่บอกว่า "กาขาว" เป็นฝรั่ง....ผมว่าไม่ใช่......

#145 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 17:02

และถ้าคุณ ไม่ว่า จะเป็น chaidan หรือ danchai
ได้เกิดมาเป็น มนุษย์อีกครั้ง

ก็จะไม่รู้ว่า ครั้งหนึ่งเคยเล่น net ทีนี้มาก่อน

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#146 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 18:37

ขอออกตัวก่อน
ผมก็เหมือนทุกคนในที่นี้ ยังเต็มไปด้วย อวิชชา
ยังไม่สามารถหลุดพ้นไปจาก โลภ โกรธ หลง
วันนี้ เราเต็มไปด้วย
Scan กรรม
Copy กรรม
Xerox กรรม
แม้ขั้นปริยัติ คำ อนัตตา คือ อะไรยังไม่iรู้ ยังไม่เข้าใจ เป็นส่วนใหญ่ (ไม่ไช่ทั้งหมด)
แล้วจะไปถามหา ขั้น ปฎิบัติ ขั้นปฎิเวท ได้อย่างไร
ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ
เพื่ออะไรกันครับ
ชาวพุทธที่ดีคืออะไร
หันกลับมาหาพื้นฐานของเรากันก่อน
ตรวจสอบความเชื่อ ที่มีกันก่อน
แค่นั้นจริงๆครับ

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#147 ตะนิ่นตาญี

ตะนิ่นตาญี

    La vie en rose

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,174 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 18:58

ถามว่าชาวพุทธที่ดีคืออะไร ตอบได้อย่างยืดอกโดยไม่ต้องพกถุง ไม่ทราบครับ

พื้นฐานในทางพุทธ ไม่มีครับ

ความเชื่อในทางพุทธ ใช่หรือไม่ ไม่ทราบเหมือนกัน ครับ แต่เชื่อว่า ผล นั้นมาจาก เหตุ

เชื่อใน พระธรรม คำสั่งสอน แต่ไม่รู้ว่า มีชาตินี้หรือชาติหน้าไหม ยังไม่เคยหลุดพ้นจากทุกข์เสียที

ในปัจจุบันนี ยังมีหรือจะมี อริยะสงฆ์ หรือไม่ ก็ไม่ทราบจริงจริงครับ

มีก็ดี กับ สงฆ์ ท่านนั้นนั้น ไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะ ตะนิ่นตาญี ยังมี พระธรรม-คำสั่งสอน ให้ยึดถือ-ให้ปฏิบัติตาม

ไม่เคยปฏิบัติได้ไกลไปจนถึง โลกุตตระ เสียที ยังคงหมกหมุ่นจมดิ่ง อยู่ใน โลกียะ นี่แหละครับ

ไม่ดิ้นรน-ไม่วุ่นวาย-ไม่แสวงหา ใน อริยะสงฆ์ มี ธรรม อันประเสริฐ ให้ถือ-ให้ปฏิบัติ ก็พอแล้ว

ถ้าคิดอย่างนี้แล้วจะตกนรกก็ไม่เป็นไรครับ ไม่คิดที่จะดิ้นรนแสวงหาอย่างอื่นให้ ท่านท้าวสหัสพาหุ เธอ หัวเราเยาะเอาได้

ไม่ใช่ กามนิต สักกะหน่อย :D

ตะนิ่นตาญี

Edited by ตะนิ่นตาญี, 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 18:59.

  • Gop likes this
"จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา"

#148 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 19 เมษายน พ.ศ. 2555 - 19:36

มีผู้กล่าวถึง การเป็นชาวพุทธที่ดี ผมอ่านแล้วเห็นว่าน่าจะตอบคำถามได้
จึงขออนุญาตผู้เขียน และได้รับอนุญาตมา แสดงดังนี้

พุทธมามกะคือผู้ที่ประกาศตนว่าขอมีพระพุทธเจ้าเป็นของเราคือเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง
ในสมัยพุทธกาลนั้น การเป็นอุบาสก อุบาสิกาหรือเป็นพุทธศาสนานิกชน ไม่ใช่ด้วย
ประเพณี ไม่ใช่พิธีกรรม ไม่ใช่เพียงคำพูดว่าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมและ
พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แต่เพราะเกิดจากความเข้าใจ เกิดจากปัญญาที่ได้จากการฟังพระ-
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น การจะเป็นพุทธมามกะ การจะ
เป็นพุทธศาสนิกชน การจะเป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ด้วยความเข้าใจถูก อันเกิดจากการ
ศึกษาพระธรรม แม้จะไม่ได้กล่าวเป็นคำพูดเลย ไมได้เข้าพิธีกรรม แต่มีความเข้าใจพระ
ธรรม จึงเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ด้วยการศึกษาพระธรรม
ด้วยการน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ก็ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนานิกชน เป็นอุบาสก อุบาสิกา
แล้ว หากไม่มีความเข้าใจพระธรรม หรือเข้าใจพระธรรมผิด ก็ไม่สามารถมีพระพุทธเจ้า
เป็นที่พึ่งได้ เพราะการมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งคือการศึกษาพระธรรมของพระองค์ให้
เข้าใจถูกนั่นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ชาวพุทธควรปฎิบัติคือการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ
ถูกต้อง ความเข้าใจพระธรรมและน้อมประพฤติปฏิบัติตามนั่นเอง ย่อมเป็นสิ่งที่บ่งบอก
ถึงความเป็นพุทธมามกะ พุทธศาสนิกชนได้เป็นอย่างดี มากกว่าคำพูดและพิธีกรรมครับ
ดังสมัยพุทธกาลที่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมจนเข้าใจจึงได้ขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
และประกาศตนเป็นอุบาสกเพราะเกิดปัญญาความเข้าใจก่อนครับ ไม่ใช่ประกาศตนทั้ง
ที่ยังไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาพระธรรมหรือเข้าใจธรรมผิด

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#149 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 20 เมษายน พ.ศ. 2555 - 01:10

- ผมไม่มีความรู้เรื่องพระไตรปิฎกนัก อยากทราบว่าในไทยมีกี่ฉบับกี่สำนัก แต่ละแบบต่างกันยังไง การใช้ภาษา การตีความ เนื้อหาต่างกันอย่างไร ควรยึดตามสำนักไหน
เท่าที่ลองหาอ่านดู (search พวกพระไตรปิฎกออนไลน์) ก็มีเนื้อหาข้อความเขียนต่างกันบ้าง (บางเล่มอ่านแล้วก็งงว่าภาษาไทยหรือนี่)
- การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยากแล้ว การได้เกิดมาในช่วงที่มีพุทธศาสนานั้นก็ยาก เพราะกว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติมาได้ก็เป็นเรื่องยากมาก การที่เกิดมาจะได้พบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงนับเป็นบุญของเรา แล้วสมควรหรือไม่ที่จะปล่อยวันเวลาให้ล่วงเลยไป ไม่คิดจะหาโอกาสตัดภพตัดชาติลงบ้าง ย่นย่อหนทางสู่พระนิพพานให้สั้นลง ถ้าคิดแค่เพียงทำดีไม่ตกนรก หรือแค่ไปสวรรค์ แล้วรอมาเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้พบเจอพุทธศาสนาหรือไม่ ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกมากมายแค่ไหน
ดังนั้นเมื่อมีโอกาสที่ดีแล้วก็พึงเรียนรู้ทำความเข้าใจว่าการทำความดีคืออะไร การละเว้นความชั่วคืออะไร การทำจิตใจให้บริสุทธิ์คืออะไร
โดยเฉพาะการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ศาสนาอื่นไม่มี แม้ศาสนาอื่นจะมีการฝึกจิต ฝึกภาวนา แต่ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อการบรรลุแบบพุทธ
ถ้าคิดว่าเคารพคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงก็ย่อมมองการเกิดแก่เจ็บตายว่าเป็นทุกข์ และเพียรดำเนินตามมรรคมีองค์ 8 มุ่งสู่การหลุดพ้น รู้จักเรื่องทาน ศีล ภาวนา ไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาทว่ากฎแห่งกรรมไม่มี ชาติหน้าไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี แบบนี้ก็ย่อมถือว่าไม่เป็นโมฆบุรุษคือไม่เสียชาติเกิด
สำหรับผม มองว่าการภาวนานั้นไม่ง่ายเลย ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแนะนำสั่งสอน แต่ก็ดีใจที่ได้เกิดมาในประเทศไทย ได้พบเจอพระอริยะช่วยชี้แนวทาง ไม่ต้องไปเสียเวลาเจอพระที่ชี้แนะแต่เรื่องทาน ส่วนภาวนาไม่รู้จัก หรือรู้จักแต่ก็พาให้หลงไปตามนิมิต
อย่างที่บอกว่า แม่สังคมทุกวันนี้จะเสื่อมลงแค่ไหน คนชั่วได้เป็นใหญ่ พระมีวินัยย่อหย่อน มีลัทธิต่างๆมากมาย แต่ก็ใช่จะหาคนดี หานักการเมืองที่ซื่อสัตย์ หรือหาพระอริยะไม่ได้ อยากให้ดูตัวอย่างในหลวงไว้ครับ นี่แหละพุทธศาสนิกชนที่ดี ท่านไม่ได้อยู่เฉยๆ แม้จะทรงเหน็ดเหนื่อยกับพระราชกรณียกิจ แต่ก็มิได้ละทิ้งซึ่งการปฏิบัติภาวนา การทำนุบำรุงศาสนา และยังทรงแสวงหาพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบผู้รู้ธรรมอีกด้วย

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 20 เมษายน พ.ศ. 2555 - 01:37.


#150 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 20 เมษายน พ.ศ. 2555 - 01:33

- เรื่องอนัตตา ในความเห็นผมนะ
เปรียบจิตคนเราเป็นปูเสฉวนที่คอยตามหาเปลือกหอยอาศัยจะได้มั้ย พออันเก่าพังหรือเล็กไปก็ต้องหาอันใหม่ไปเรื่อยๆ บางทีเจอขวด เจอของแปลกๆก็เข้าไปอยู่
ถามว่าเปลือกหอยหรือวัตถุต่างๆเป็นของปูเสฉวนตัวนั้นหรือไม่ เราก็คงเห็นว่าไม่ แต่เจ้าปูเสฉวนพอมันเข้าไปอยู่มันก็คงจะทึกทักเอาว่าเปลือกหอยนั่นของมัน เที่ยวคอยดูแลรักษา ใครจะมาทำอันตรายหรือแย่งไปจากมันไม่ได้
ดังนั้นจิตที่ไม่ยึดเหนี่ยวสิ่งใด ก็เหมือนปูเสฉวนที่ไม่แสวงหาเปลือกหอย(ต่างกันที่จิตที่ฝึกดีแล้วจะเข้มแข็งกว่าปูเสฉวน)
อย่างแก้วใบหนึ่งวางบนโต๊ะ เมื่อเราเห็นก็จะถามว่านี่แก้วใคร ทั้งที่จริงๆแล้วแก้วนั้นก็เป็นเพียงธาตุดินที่ประกอบกันขึ้นให้มีลักษณะเช่นนั้น แล้วเราไปตั้งชื่อมันว่าแก้ว ไปคิดเอาเองว่าเป็นของๆเราหรือไม่ พอคิดว่าเป็นของเราก็จะไม่อยากให้ใครเอาไป ไม่อยากเห็นมันแตก ก็เกิดทุกข์เพราะความไปยึดมั่นว่าเป็นของเรา ไม่ยอมรับว่ามันเป็นของไม่เที่ยง เป็นต้น (แต่ไม่ใช่อนัตตาคือ ไม่มีตัวตน เลยแปลว่าไม่ได้มีแก้วตั้งอยู่ แบบนั้นก็งงสิว่าของที่มีแต่กลับบอกไม่มี)
เพ้อเจ้อเล่นๆก่อนนอนครับ ราตรีสวัสดิ์

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 20 เมษายน พ.ศ. 2555 - 01:43.





ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน