น่าจะเป็นอย่างน้อย 3 ประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่
1 เรื่องพระอรหันต์มีอยู่หรือไม่ในปัจจุบัน และจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์
- ในปัจจุบัน ไม่มีพระอรหันต์
พระวินัยปิฎก จุลวรรค ทุติยภาค ภิกขุนิกขันธกวรรณนา (เริ่มที่หน้า 498)
ว่าด้วยครุธรรม 8 ประการ มีข้อความแสดงว่า การบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลจะมีได้ภายในห้าพันปี คือ
ในพันปีแรกสามารถมีพระอรหันต์ที่มีคุณวิเศษประกอบด้วยปฏิสัมภิทา พร้อมด้วยฤทธิ์
พันปีที่สอง สามารถมีพระอรหันต์สุกขวิปัสสกะ (ไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิต่างๆได้)
พันปีที่สาม สามารถมีพระอนาคามี
พันปีที่สี่ สามารถมีพระสกทาคามี
พันปีที่ห้า สามารถมีพระโสดาบัน
ดังนั้นในปัจจุบันจึงไม่มีผู้บรรลุคุณธรรม ถึงขั้นพระอรหันต์
- พระอรหันต์ด้วยกันเท่านั้นถึงจะรู้กันได้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 161
ข้อความบางตอนจาก อรรถกถาปฐมโกกาลิกสูตร
ด้วยคำว่า โกธ วิทฺวา วิกปฺปเยความว่า ใครผู้มีปัญญา ผู้มีเมธาในโลกนี้พึง
กำหนด ท่านแสดงว่า พระขีณาสพ(พระอรหันต์)เท่านั้น พึงกำหนดนับพระ
ขีณาสพ. บทว่า นิธุตนฺต มญฺเ ความว่าก็ผู้ใดเป็นปุถุชน ปรารภจะวัดพระ
ขีณาสพนั้น เรากล่าวผู้นั้นว่า ไม่มีธุตธรรมคือมีปัญญาต่ำทราม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 231
ข้อความบางตอนจาก อรรถกถา สัมปสาทนียสูตร
ในบรรดาชนเหล่านั้นปุถุชนผู้ได้เจโตปริยญาณ ย่อมรู้จิตของปุถุชนเท่านั้น
หารู้จิตของพระอริยทั้งหลายได้ไม่. แม้ในพระอริยทั้งหลาย พระอริยบุคคลผู้
ตั้งอยู่ในมรรคเบื้องต่ำ ย่อมไม่รู้จิตของพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในมรรคเบื้องสูงได้
ส่วนพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในมรรคเบื้องสูง ย่อมรู้จิตของพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในมรรคเบื้องต่ำได้.
2 เครื่องกั้นมิให้บรรลุธรรม
ธรรมที่เป็นอันตรายแก่สวรรค์และมรรคผล (อันตรายิกธรรม) มีทั้งหมด ๕ ประการ คือ
การกระทำกรรมหนักคืออนันตริยกรรม ๑
ผู้ที่มีความเห็นผิดที่ร้ายแรงแก้ไขไม่ได้ (นิยตมิจฉาทิฏฐิ) ๑
การปฏิสนธิด้วยอเหตุกะ ๑
การด่าว่าร้ายพระอริยะ(อริยุปวาท) ๑
การต้องอาบัติ คือมีศีลที่ไม่บริสุทธิ์ของพระภิกษุ(อาณาวีติกกมะ) ๑
ใน ๕ ประการนั้น บางข้อแก้ไขแล้วไม่ปิดกั้นบางข้อกั้นการบรรลุธรรมแต่ไม่กั้นสวรรค์ คือการปฏิสนธิเป็นอเหตุกะหรือทวิเหตุกะ ฯ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 299
........... ชื่อว่าอันตรายิกธรรม เพราะทำอันตรายต่อสวรรค์
และนิพพาน. อันตรายิกธรรมเหล่านั้นมี ๕ อย่าง คือ กรรม กิเลส วิบาก
อริยุปวาท และอาณาวีตกกมะ. ในอันตรายิกธรรมเหล่านั้น อนันตริยกรรม
๕ ชื่อว่า กัมมันตรายิกธรรม. ภิกษุณีทูสกกรรมก็เหมือนกัน. แต่ภิกษุณีทูสก-
กรรมนั่นกระทำอันตรายต่อพระนิพพานอย่างเดียว หากระทำอันตรายต่อสวรรค์ไม่.
ธรรมคือนิยตมิจฉาทิฏฐิ ชื่อว่าอันตรายิกธรรมคือกิเลส.
ปฏิสนธิธรรมของบัณเฑาะก์ สัตว์เดรัจฉานและอุภโตพยัญชนกชื่อว่าอันตรายิกธรรม
คือวิบากธรรม คือการเข้าไปว่าร้ายพระอริยเจ้าชื่อว่า อันตรายิกรรม คืออุปวาทะ
แต่อุปวาทันตรายิกธรรมเหล่านั้นย่อมกระทำอันตรายตลอดเวลาที่ยังไม่ให้พระอริยเจ้าทั้งหลายอดโทษ
เบื้องหน้าแต่นั้นให้พระอริยเจ้าอดโทษแล้ว หากระทำอันตรายไม่.
อาบัติ ๗ กองที่ภิกษุจงใจล่วงละเมิดแล้ว ชื่อว่าอันตรายิกธรรมคือ
อาณาวีติกกมะ. แม้อาณาวีติกกมันตรายิกธรรมเหล่านั้น ย่อมกระทำอันตราย
ตลอดเวลาที่ภิกษุต้องอาบัติแล้วยังปฏิญญาตนว่าเป็นภิกษุอยู่ก็ดี ไม่อยู่ปริวาสกรรมก็ดี
ไม่แสดงอาบัติก็ดีเบื้องหน้าแต่นั้น หากระทำอันตรายไม่.
3.พระบรมสารีริกธาตุ
ประโยชน์ที่สำคัญไมได้อยู่ที่ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงหรือไม่จริง แต่ประโยชน์คือ
สำคัญอยู่ที่จิตของผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร เมื่อได้เห็นสิ่งที่สมมติว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ
เพราะการเห็นเป็นเพียงวิบากที่เป็นผลของกรรม เห็นสิ่งเดียวกัน แต่ใจของแต่ละ
คนก็ต่างกันไป ตามการสะสม แม้จะเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริง แต่จิตไม่เลื่อมใส
ไม่เกิดกุศล แต่เป็นอกุศลแทนก็ได้ ขณะที่เห็นพระบรมสารีริกธาตุแล้วเกิดความสงสัย
ว่าจริงหรือไม่จริง ขณะที่สงสัยก็เป็นอกุศลแล้วในขณะนั้น แต่ขณะใดเห็นพระบรม
สารีริกธาตุจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม เกิดจิตเลื่อมใส ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
อันเกิดจากปัญญาที่ได้จากการศึกษาพระธรรมมา ก็เกิดกุศลจิตในขณะนั้น แม้จะไม่ใช่
ของจริง หรือจริง แต่เกิดกุศลแล้วในขณะนั้น ดังนั้น สำคัญที่จิตของเรา ไม่ใช่ว่าจะจริง
หรือไม่จริง และ แม้แต่พระพุทธรูป ที่เป็นหิน ดินมาปั้น ก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆแน่นอน
แต่ก็มีกราบไหว้ ทำไมกราบไหว้ ก็เพราะมีการเคารพ ระลึกถึงพระคุณว่าเป็นตัวแทนพระ
พุทธเจ้า ทั้งๆที่เป็นเพียงหิน ดินเท่านั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆ จึงแสดงให้เห็นถึงความ
สำคัญของจิตผู้นั้นเองเป็นสำคัญ ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศลในสิ่งที่ได้เห็น ความเข้าใจพระธรรม
จึงทำให้เกิดกุศลจิตได้แม้จะเห็นสิ่งใดก็ตามปัญญา คุณธรรมต่างหาก เป็นตัวตัดสิน ว่าผู้ใดมี
คุณธรรมหรือไม่มีคุณธรรม ไม่ใช่เพียงลักษณะภายนอก หรือ ที่เห็นได้ด้้วยตาเนื้อที่เห็นเพียงสี
สิ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้น ไมได้เห็นถึงคุณธรรมภายในที่เห็นได้ด้วยปัญญา พระพุทธศาสนา
เป็นเรื่องของปัญญา ปัญญาสามารถเห็นได้ทางตาหรือไม่ ไม่แน่นอนครับ เพราะเป็นเรื่องของปัญญา
พระพุทธองค์มิได้มุ่งหมายให้พวกเธอทั้งหลายจงพิสูจน์เถอะว่า พระบรมสารีริกธาตุของเราจริงหรือไม่
แต่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอันมีปาฏิหารย์คืออนุสาสนีปาฏิหารย์ที่สามารถทำให้สัตว์โลก
เข้าใจได้และเกิดปัญญาเพื่อดับกิเลสนี่คือจุดประสงค์ของพระพุทธองค์ครับ เมื่อพิสูจน์ได้จริง
แล้วใครจะเชื่อว่าจริงก็ย่อมมีข้อสงสัย มีข้อเคลือบแคลงแล้วประโยชน์ที่ได้คืออะไร ถ้าไม่เข้า
ใจธรรมก็เหมือนการไหว้ในสิ่งที่ไม่เข้าใจเพราะการเห็นพระองค์การเข้าใจใกล้พระองค์จริงๆคือ
การเข้าใจพระธรรม
พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว...
และทรงให้ผู้อื่นตรัสรู้ตามด้วย
พระองค์ทรงพ้นแล้ว...
และทรงยังผู้อื่นให้พ้นด้วย
พระองค์ทรงข้ามแล้ว...
และทรงยังผู้อื่นให้ข้ามด้วย