ขอที่มาครับ
ถ้าหมายถึงอันนี้
โฆษกสำนักนายกฯบอกว่า ณ เวลานี้ภาคเอกชนของจีนกับไทยรวม 10 รายได้ลงนามใน MOU ในการซึ้อขายข้าวระหว่างเอกชนกับเอกชน จำนวน 2.6 แสนตัน มูลค่า 6240 ล้านบาท
งงวุ้ย !!!!!!
การซื้อขายระหว่างเอกชนกับเอกชนเค้าเรียกเอ็มโอยูด้วยเหรอ
ที่มา
MOUข้าวไทย-จีน ในที่สุดรัฐบาลก็โกหกคนไทย
การโชว์ศักยภาพการขายข้าวแบบจีทูจี ด้วยการลงนามเอ็มโอยู กับนายเวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีของจีน
(21 พ.ย) ภายใต้การแสดงความเชื่อมั่นด้วยการโชว์ศักยภาพในการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ด้วยการลงนามเอ็มโอยู กับนายเวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีของจีนวันนี้ ดูเหมือนว่ารัฐบาลสามารถสยบคำสบประมาสว่าไม่สามารถระบายข้าวจากโครงการรับ จำนำออกไปได้ แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดและย้อนกลับไปตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงขั้นตอน การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีของรัฐบาล กลับพบของมูลข้อเท็จจริงที่ทำให้สามารถเข้าใจได้ว่า ที่แล้วๆมากระทรวงพาณิชย์
โดยนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี โกหกคนไทยมาโดยตลอด เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำการส่งสัญญาเอ็มโอยูการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้ทาง การจีนพิจารณา แต่ได้ถูกจีนขอตัดการระบุปริมาณข้าวและกรอบเวลาที่จะซื้อขายข้าวระหว่าง 2 ประเทศออก ซึ่งในข้อตกลงฉบับเดิมที่ไทยเสนอไป ได้กำหนดจะซื้อขายข้าวไม่เกิน 5 ล้านตัน/ปีระหว่างปี 2556-2558
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ พยายามชี้แจงว่า ไทยและจีนได้ มีการร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการค้าข้าวระหว่างหน่วย งานภาครัฐและภาคเอกชนของไทยและจีน โดยการลงนามแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นการลงนามของภาครัฐ ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยกับกระทรวงพาณิชย์จีน โดยเนื้อหาสาระหลักของบันทึกความเข้าใจฯ รัฐบาลของ 2 ประเทศจะส่งเสริมสนับสนุนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนทุกรูปแบบในการ ผลักดันการค้าข้าวและความร่วมมือการค้าข้าวให้เพิ่มมากขึ้น โดยฝ่ายจีนจะพยายามนำเข้าข้าวจากไทยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การค้าข้าวของทั้ง 2 ประเทศ
ซึ่งจะส่งผลดีและเป็นประโยชน์ต่อตลาดการค้าข้าวในอนาคต ส่วนที่ 2 เป็นการลงนามของภาคเอกชนระหว่างรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนจีนกับบริษัทผู้ ส่งออกข้าวไทย โดยฝ่ายจีนจะนำเข้าข้าวจากฝ่ายไทยประกอบด้วย 3 ชนิด ได้แก่ ข้าวหอมมะลิไทย, ข้าวขาว และข้าวเหนียว รวมปริมาณ 300,000 ตัน ในราคาตันละ 800 เหรียญสหรัฐฯ มูลค่ารวม 240 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นมูลค่า 7,200 ล้านบาท นอกจากนี้ ฝ่ายจีนยังแสดงความต้องการที่จะนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้าที่คาด ว่าจะมีปริมาณนำเข้าจากต่างประเทศสูงถึงปริมาณ 1.5 ล้านตัน
รมว.พาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าข้าวที่สำคัญอันดับ 1 ของจีน โดยครองส่วนแบ่งตลาดข้าวในจีนกว่าร้อยละ 50 ซึ่งข้าวไทยโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิเป็นที่นิยมและชื่นชอบเป็นอย่างมากในกลุ่ม ผู้บริโภคชาวจีน การชี้แจงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ดูเป็นการสร้างความสับสนมากกว่า การทำความเข้าใจ เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันโดยง่ายว่า การซื้อขายข้าวระหว่างเอกชนกับเอกชนนั้น ไม่เรียกว่าจีทูจี และที่ชวนผิดสังเกตมากกว่านั้นก็คือ การอ้างถึงตัวเลขข้าวเอกชนของรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กลับไม่ตรงกับการอ้าง อิงตัวเลขของรัฐฯ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าภาคเอกชนของ จีนและไทยได้ลงนามในเอ็มโอยูการซื้อขายจากไทย ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และข้าวเหนียว จำนวน 2.6 แสนตัน มูลค่า 6,240 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมาโดย เป็นการลงนามของบริษัท 10 ราย ในสัญญาซื้อขาย 8 ฉบับ ซึ่งตัวเลขดังกล่าว ขัดแข้งกับตัวเลขของรัฐมนตรีพาณิชย์ที่ระบุเอาไว้ที่รวมปริมาณ 300,000 ตัน มูลค่า 7,200 ล้านบาท
นอกจากนี้ นพ.ทศพร ยังอ้างถึงการที่กระทรวงพาณิชย์ของไทยและจีน ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือการค้าข้าวทวิภาคี ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนนั้น เอ็มโอยูดังกล่าวไม่ได้ระบุปริมาณและระยะเวลาการซื้อขาย เนื่องจาก ทางการจีนร้องขอไว้ไม่ให้ระบุ แต่การหารือระหว่างฝ่ายไทยและจีนในเบื้องต้น ได้พูดถึงเรื่องปริมาณและกรอบเวลาการซื้อขายข้าวไว้แล้ว เมื่อปริมาณการซื้อขายถูกเปลี่ยนแปลงจากจีน ไม่ใช่ 5 ล้านตันตามที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้าง แม้แต่ห้วงเวลาก็ถูกยกเลิกออกไป จนไม่รู้ว่าจะมีการซื้อขายข้าวเมื่อไร วันไหน จึงเท่ากับว่ารัฐบาลก็จะยังไม่สามารถขายข้าว หรือได้เงินจากจีนมาโปะ หนี้ของธ.ก.ส.
ซึ่งวันนี้กำลังขาดสภาพคล่องอย่างหนักสัญญาการซื้อขายข้าวแบบจีทูจี ที่ทางการจีนปรับแก้ไข มีดังนี้
1.ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนการพัฒนาการค้าข้าวระหว่างสองประเทศให้มีความมั่นคง
2.ทั้งสองฝ่ายจะสร้างบรรยากาศความร่วมมือที่มีเสถียรภาพ เป็นธรรมและโปร่งใส
3.ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมสนับสนุนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและบริษัททุกรูปแบบในการผลักดันการค้าข้าวระหว่างสองประเทศ
และ
4.ประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถทบทวนแก้ไขบันทึกความเข้าใจ เพิ่มเติมได้โดยต้องเป็นการยอมรับร่วมกันของทั้งสองฝ่าย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการยุติการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจ ต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้า ซึ่งจะมีผลสิ้นสุดในทางปฏิบัติในอีก 6 เดือนข้างหน้า
พิจารณาจากสัญญาเอ็มโอยูที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลงนามร่วมรัฐบาลจีนในวันนี้ ไม่มีเนื้อหาส่วนใดเลยที่บอกว่าจีนจะต้องซื้อข้าวจากไทย ยิ่งไปกว่านั้น เงื่อนไขข้อที่ 4 ยังระบุด้วยซ้ำไปว่าประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถทบทวนแก้ไขบันทึกความเข้าใจ เพิ่มเติมได้ และ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการยุติการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจก็สามารถทำ ได้ หรือจีนจะไม่ซื้อข้าวจากไทยก็สามารถทำได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวที่ปรากฏคงไม่ทำให้คนไทยทั้งประเทศเสียความรู้สึกและ เกิดความผิดหวังมากเท่านี้ หากก่อนหน้านี้รัฐบาลไม่โกหกคนไทยทั้งประเทศว่าสามารถทำสัญญาเอ็มโอยูและ ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายข้าวกับจีนและประเทศคู่ค้าอีก 4 ประเทศ เป็นที่เรียบร้อย
และเมื่อ 11 ตุลาคม 2555 นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงการขายข้าวแบบจีทูจี ด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ทำสัญญาการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐแล้ว 7.3 ล้านตัน กับประเทศผู้ซื้อ ซึ่งบางประเทศได้ชำระเงินและรับมอบข้าวไปแล้วบางส่วน อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์ก็ได้ส่งคืนเงินให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ เกษตรแล้ว 4.2 หมื่นล้านบาท
สำหรับคู่สัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ กับรัฐบาล 5 ประเทศ มีอยู่ด้วยกัน 6 สัญญาประกอบด้วยประเทศจีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บังกลาเทศ และโกตดิวัวร์ จำนวน 7,300,000 ตัน โดยส่งมอบไปแล้วกว่า 1.46 ตัน และอยู่ในระหว่างการส่งมอบเดือนตุลาคม –ธันวาคม 2555 0.3 ล้านตัน และอีกกว่า 5.56 ตัน ภายในปี 2556 ขณะนั้น นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ยังเข้าชี้แจงต่อ คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เกี่ยวกับการขายข้าวในระบบ จีทูจี
โดยยืนยันว่า เป็นวิธีการที่ใช้มานานแล้ว เพื่อเป็นการยกระดับราคาข้าวไทยในตลาดโลกให้สูงขึ้น และการขายข้าววิธีการดังกล่าว ทำให้ข้าวไทยราคาสูงกว่าเวียดนาม ซึ่งขณะนี้ ขายข้าวไปแล้ว 7.33 ล้านตัน ให้ 5ประเทศ โดยมีการเจรจาและทำสัญญาแบบรัฐต่อรัฐชัดเจนแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียด ได้ เพราะคู่สัญญาบางประเทศ มีกลุ่มต่อต้านไม่ให้ซื้อข้าวจากต่างประเทศอย่างรุนแรงและ ที่เจ็บใจมากกว่านั้นก็คือ กระทรวงพาณิชย์ยังยืนยันในตอนนั้นอีกว่า รัฐบาลจะมีรายได้จากการขายข้าวล่วงหน้า 2.6 แสนล้านบาท ภายในสิ้นปี 2556
สำหรับการนำเงินจากการขายข้าวส่งคืนให้ธ.ก.ส.นั้น มีการรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า มียอดรวมจนถึงปี 2556 ประมาณ 2.6 แสนล้านบาท แยกเป็น ไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 จำนวน 8.5 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 1 ปี 2556 จำนวน 3.99 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 2 จำนวน 3.007 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 3 จำนวน 4.960 หมื่นล้านบาท และไตรมาส 4 จำนวน 5.580 หมื่นล้านบาท จากวันนั้นจนถึงวันนี้ จึงเท่ากับว่ารัฐบาลไม่มีความชัดเจนใดๆเลยเกี่ยวกับการระบายข้าวแบบจีทูจี แล้วจะไม่ให้คนไทยสงสัยได้อย่างไรว่าความลับเรื่องการระบายข้าวที่รัฐบาล อ้างมาโดยตลอดนั้น แท้ที่จริงถือเป็นแค่เพียงการปกปิดขบวนการทุจริตคอรัปชั่นที่มีอยู่ใช่หรือ ไม่
วัน-เวลา 2012-11-22 08:13:26
http://www.tnews.co.th/html/news/45555/#.UK24Y8Vfxcg
- civilrider likes this