Moo3storey

ผมไม่ใช่คนกรุงเทพฯครับ แต่ถ้าเสนอได้ผมอยากให้มีโครงการ "ทำหมันเสื้อแดงฟรี" ครับ



 

 

แต่เอาจริงๆ ถ้าไม่พูดถึงนโยบายบ้านเมืองสะอาด, จราจร ฯลฯ ผมว่าออกนโยบายให้กทม.ปลอดขอทานเด็กก็ดีนะครับ ให้ทั้งเจ้าหน้าที่เทศกิจ ทั้งจนท.ตร.เอาจริงกับเรื่องนี้ ไม่ชอบพวกเอาเด็กมาทารุณมาหากินแบบนี้อ่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นเด็กต่างด้าวหรือเด็กไทยก็ต้องไม่ให้มีครับ คือเป็นขอทานผู้ใหญ่ยังพอว่านะครับ บางคนพิการไม่มีที่อยู่อาศัยก็เลยจำเป็นต้องประกอบอาชีพนี้แบบนี้เข้าใจครับ แต่ประเภทที่เอาเด็กมาขอทานนี่รับไม่ได้ครับ เด็กต้องอยู่กับผู้ปกครองต้องได้ไปโรงเรียนครับ

รัฐบาลของประชาชนเค้าทำกันแบบนี้เหรอครับ ?

 

1 ไม่สนใจปัญหาของประเทศชาติ มัวแต่สนใจแก้ปัญหาให้คนในครอบครัวตัวเอง

 

2 รบ.ของประชาชนแต่เอาแก๊สน้ำตาไปโยนใส่ม็อบตั้งแต่ไก่โห่ ตั้งแต่เขายังไม่ทันได้ชุมนุม(ตามสิทธิในรธน.)

 

3 แบนละครที่พูดถึงเรื่องการต่อต้านคอรัปชั่น ดูดเสียงละคร บิดเบือนสื่อ

 

4 รบ.ของประชาชนแต่ไม่ยอมรับฉายาที่เค้าตั้งให้

 

5 ลอยตัว นวยนาดไปๆมาๆ ไม่ยอมรับผิดชอบ-รับรู้ปัญหาใดๆทั้งสิ้น

- 5.1 มัวแต่ไปต่างประเทศ แถมหอบเอาครอบครัวไปด้วย ตกลงไม่รู้ว่าไปทำงานหรือไปช็ปปิ้งกันแน่

- 5.2 ไม่สนใจแก้ปัญหาภาคใต้ ไม่มีรองนายกฝ่ายความมั่นคง เค้าเชิญไปสัมมนาก็รับปากไว้แต่ไม่ยอมไป

- 5.3 ไม่ตอบคำถามนักข่าว ไม่ชี้แจงปชช.

- 5.4 ไม่เข้าสภาฯ

 

6 รบ.ของประชาชน ที่หลอกใช้ประชาชน ทุกวันนักโทษเสื้อแดงก็ยังติดอยู่ในคุกโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือ ไม่ได้รับความสนใจจากรบ.

 

7 ออกนโยบายไร้รอยต่อ ที่เหมือนจับเอากรุงเทพฯเป็นตัวประกัน ถ้าไม่เลือกผู้ว่าฯที่เป็นคนของพรรคพท.ก็จะไม่ได้รับการดูแลใส่ใจเท่ากับผู้ว่าฯของพท.

 

8 ทำตัวขายขี้หน้ารายวัน เพราะผู้นำเป็นตัวตลกประเทศไทยก็จะกลายเป็นตัวตลกโดนดูถูกไปด้วย ถ้าคิดว่าเป็นรบ.ของปชช.ก็ต้องปรับปรุงตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ทำตัวเหมือนเดิม อย่างเรื่องบุคลิกการวางตัวตอนปธน.โอบามามาเยือน

 

9 รบ.ของปชช.แต่ออกนโยบายที่ทำให้ปชช.ได้รับผลกระทบ เช่น ค่าแรง300 โรงงานปิด, เลิกจ้าง รถคันแรกทำให้รถติด ทำให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ราคายางตก ราคากุ้งตก หัวหอมเน่า

 

10 รบ.ของปชช.แต่ดูถูกว่าคนไทยโง่ หลอกได้ พูดอะไรคนไทยต้องเชื่อรบ.

ผมเห็นว่าบทความเรื่องนี้เข้ากับกระทู้ เลยแปะมาฝากครับ

 

http://www.suthichai....php?NewsID=626

 

 

 

 

ทำไมไทยเราไปไม่ถึงไหน?

ผู้หวังดีท่านหนึ่งส่งข้อความมาให้อ่านว่าด้วยเรื่องการ "ปฏิรูป" ประเทศอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

ไม่ใช่แค่คุยโม้โอ้อวดหรือใช้เพียงวาทกรรมให้ฟังดูดี

 

ผมอ่านแล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง และเชื่อว่าคนไทยไม่น้อยก็ต้องการจะหาทางออกให้บ้านเมือง ในยามที่ใครต่อใครดูเหมือนจะเห็นว่าเรามาถึงทางตันที่ไม่มีใครยอมใคร

 

ทุกคนฟังแต่สิ่งที่ตนเองอยากได้ยิน ไม่มีใครฟังเสียงใคร ไม่มีใครอยากฟังความเห็นอีกด้านหนึ่ง และใครพูดในสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วย ก็จะพาลหาเรื่องว่าเป็นศัตรูกันเสียอีก

 

ผมจึงดีใจมากที่ได้อ่านข้อความที่เพื่อนคนนี้ส่งมาให้อ่านว่า ความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศด้อยพัฒนานั้น มันอยู่ตรงไหนกันแน่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเคยเสียเอกราชให้ใครในอดีตหรือเปล่า

 

เขายกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นและเยอรมนี ที่แม้จะแพ้สงครามโลก แต่ก็กลับมายิ่งใหญ่ในเศรษฐกิจโลก ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเก่าแก่ด้วยอารยธรรมหรือไม่ ตัวอย่างเช่น อินเดีย กับ อียิปต์ ซึ่งมีอารยธรรมยาวนานกว่า 3,000 ปี แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจน ไร้ความหวังอยู่

 

เขายกตัวอย่าง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ว่าเป็นประเทศเล็กๆ ที่เมื่อแค่ 100 ปีก่อนนี้ไม่มีศักยภาพอะไรเลยล้าหลังกว่าไทยแน่นอน

 

แต่วันนี้เขากลับพัฒนาเป็นประเทศร่ำรวย ก้าวหน้าและมีความมั่นคง

 

หรือจะอ้างว่าความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศด้อยพัฒนานั้น อยู่ที่ทรัพยากรของประเทศนั้นๆ หรือเปล่า?ก็เปล่าอีก

 

ญี่ปุ่น มีพื้นที่เกษตรกรรมน้อยมาก กว่า 80% ของพื้นที่เป็นภูเขา ไม่เหมาะกับการทำการเกษตรเลย แต่เขากลับสร้างตนเองเป็นประเทศส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรอันดับต้นๆ ของโลก

 

ยกตัวอย่าง สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีอากาศหนาวจัด ปีหนึ่งทำการเกษตรได้เพียง 4 เดือน และไม่มีการทำไร่โกโก้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำช็อกโกแลตส่งออกรายใหญ่ของโลก

 

อีกทั้งยังนำเอาความซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา และมีระเบียบของคนในสังคมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ จนเป็นที่ยอมรับว่าเขามีธนาคารที่มีมาตรฐานอาชีพที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

 

หรือความแตกต่างเกิดจากสีผิวและเผ่าพันธุ์...ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ

 

แรงงานที่เคยเกียจคร้านในประเทศของตนเอง พอย้ายไปหากินประเทศที่เจริญแล้ว ก็กลับกลายเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็งและมีคุณภาพขึ้นมาทันที เช่นกัน

 

เพราะว่าบรรยากาศในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะไม่อนุญาตให้ใครขี้เกียจหรือเกาะคนอื่นกินเป็นอันขาด

 

เขาถึงถามว่า แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนากับประเทศที่ยังล้าหลัง? คำตอบ ไม่ได้อยู่ที่ประวัติศาสตร์หรือทรัพยากรของประเทศนั้นๆ

 

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่เขาบอกว่าที่ทำให้เกิดความแตกต่างนั้น คือ "ทัศนคติ"

 

ทัศนคติที่เกิดจากการหยั่งรากลึกนานปีของระบบการศึกษา และการอบรมปลูกฝังที่กลายเป็น "ค่านิยม" ของคนในสังคมส่วนใหญ่ ที่ต้องยึดมั่นเพื่อสร้างสรรค์สังคมให้แข็งแกร่งบนพื้นฐานแห่งจริยธรรม เขาวิเคราะห์พฤติกรรมของคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็สรุปได้ว่าคนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตบนหลักปรัชญา เช่น

 

1. ใช้จริยธรรมนำชีวิต 2. ความซื่อสัตย์3. ความรักในงาน 4. ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ 5. จิตใจมุ่งมั่น สู่ความเป็นที่หนึ่ง 6. เคารพต่อกฎระเบียบ 7. เคารพสิทธิของผู้อื่น 8. ตรงต่อเวลา 9. อดออมและสนใจในการลงทุนอย่างมีเหตุมีผล

 

คนไทยเราขาดทัศนคติที่ถูกต้องและเอาจริงเอาจังกับชีวิตอย่างนี้ จึงเหมือนรถไฟสมัยโบราณที่ "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง"

 

มิหนำซ้ำ ยังมีค่านิยมทางเลวร้ายเกิดขึ้นมา เพราะวัฒนธรรม "บริโภคนิยม" และ "ความมักง่าย"

 

อะไรที่ได้มายากเย็นหรือต้องทำงานหนัก ก็จะกลายเป็นเรื่องไม่พึงปรารถนา ไม่มีใครอยากทำ

 

ด้วยความมักง่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่งนี่เอง เราก็เริ่มจะได้ยินว่าเด็กไทยสมัยนี้เห็นความซื่อสัตย์และเสียสละ เป็นคุณสมบัติที่ไม่มีความหมาย และไร้ความสำคัญ

 

ถึงขั้นที่การสำรวจวิจัยหลายสำนักยืนยันตรงกันอย่างน่าตกใจ ว่า คนรุ่นใหม่เห็นว่านักการเมืองหรือข้าราชการหรือนักธุรกิจนั้น สามารถฉ้อราษฎร์บังหลวง และกระทำการเข้าข่ายคอร์รัปชันได้ ตราบใดที่ทำแล้วมีคนเห็นว่าเก่ง หรือสามารถจะสนองตอบเป้าหมายทางวัตถุได้

 

นี่คือ สัญญาณอันตรายอย่างยิ่งของสังคมไทย ที่ "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" เห็นการทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม ผิดหลักจริยธรรมเป็นเรื่องธรรมดา ที่ "ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น"ดังนั้น หากวันนี้มีใครบ่นให้คุณฟังว่าบ้านเมืองเราทำไมจึงล้าหลัง ทำไมไม่สามารถเอาตัวเองออกจากความขัดแย้ง ทำไมยังมีความยากจนอย่างกว้างขวาง ทำไมความเหลื่อมล้ำในสังคมยังมีให้เห็นกันมากมาย

 

ก็ต้องตอบกันตรงๆ ว่า เพราะเราหลงเข้าใจผิดว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เรามีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เรามีความโอบอ้อมอารี เรา (คิดว่าเรา) เป็นพุทธศาสนิกชน ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็จะต้องช่วยให้เราพัฒนาโดยอัตโนมัติ

 

เผลอๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ถ้าเราเชื่อว่ามีจริง) ก็อาจจะย้อนถามเราได้ว่า "คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?"อาจจะเพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่เราอ้างว่าเรามีนั่นแหละ ที่เป็นสาเหตุแห่งความด้อยพัฒนาของเรา

 

จึงต้องไม่ลืมที่ "ขงจื๊อ" เคยกล่าวไว้ว่า"หากเจ้าวางแผนไว้ 1 ปี...จงปลูกข้าวหากวางแผน 10 ปี...จงปลูกต้นไม้หากวางแผน 100 ปี...จงให้ความรู้แก่บุตรหลาน"

ทุกวันนี้คนไทยไม่น้อยที่คิดว่าทำงานแค่ 1 ปี แต่จะขอให้มีผลงานยืนยาวถึง 100 ปีฝันไปหรือเปล่า

ถึงขั้นที่การสำรวจวิจัยหลายสำนักยืนยันตรงกันอย่างน่าตกใจ ว่า คนรุ่นใหม่เห็นว่านักการเมืองหรือข้าราชการหรือนักธุรกิจนั้น สามารถฉ้อราษฎร์บังหลวง และกระทำการเข้าข่ายคอร์รัปชันได้ ตราบใดที่ทำแล้วมีคนเห็นว่าเก่ง หรือสามารถจะสนองตอบเป้าหมายทางวัตถุได้

 

^

^

ก็เพราะคิดกันแบบนี้แหละครับ คือ ทำเรื่องผิดได้ขอแค่ให้ตัวเองได้ประโยชน์

 

มันก็กรณีเดียวกับขับรถปาดหน้า, เบียดคันอื่นเปลี่ยนเลน, ไฟแดงแล้วยังไปต่อ, สอนหนังสือในร้านแมค เพราะตัวเองได้ประโยชน์เลยทำ แต่ไม่คิดว่าทำไปแล้วคนอื่นจะได้รับผลกระทบยังไง

มันตีความยากครับ เพราะคำว่า"ไร้รอยต่อ"นั้นมีความหมายต่างจากคำว่า"ลอยตัว"ที่ต่างจากคำว่า"ไม่ยอมรับผิดชอบ"

อ่านแล้วคิดดูกันให้ดีๆก่อนนะครับ
 
คุณจะคิดยังไงถ้าวันนึงมีพวกล้มเจ้าฯเดินเข้ามาหาคุณด้วยรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ แล้วพูดว่า
 
"ทุกคนมีสิทธิ์เห็นต่างกันได้ แต่ต้องไม่แตกแยก"

(เห็นต่างได้ ล้มเจ้าฯก็ได้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องยอมรับ และยอมที่จะอยู่ร่วมกัน ห้ามคัดค้านเพราะทุกคนมีสิทธิ์เห็นต่าง)
 

งี่เง่า
 
เห็นต่างกันได้ไม่แตกแยก ถุยส์!!จะคิดแนวไหนก็ผิดทั้งนั้นแหละ
แต่เขียนยังกะพวกมันมีความชอบธรรมในการคิดต่าง ไอ้ควายเอ๊ย! คิดเผาเมือง คิดล้มเจ้า เนี่ยนะ

ใครจะสนว่าโจรจะปรองดองกับโจรได้หรือไม่
 
ผมไม่สนหรอกนะว่าเหลือง+แดงจะยอมรับความเห็นกันได้หรือไม่ จะไปFeat.เก็บสบู่ป่ามป๊ามกันในคุกก็ช่าง
 
จุดร่วมของเหลือง-แดงมีอยู่อย่างเดียวคือคุก!

 

โง่ที่ไม่เข้าใจคำว่าทุกคนมีเสรีภาพ เลยคิดว่าตัวเองเลยมีเสรีภาพที่จะห้ามไม่ให้คนอื่นมีเสรีภาพ




 

ถูกครับ
 
ไอ้พวกนี้มันไม่เข้าใจคำว่าเสรีภาพไงครับ
 
ถ้าบอกว่าทุกคนมีสิทธิ์ร้องเพลง มีสิทธิ์แสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรบ. ไอ้พวกหร่ารากพวกนี้ก็จะออกมาอ้างว่างั้นพวกมันก็มีสิทธิ์จะคัดค้านไม่ให้คนอื่นร้องเพลง มีสิทธิ์ห้ามไม่ให้คนอื่นแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรบ.
 
คือไอ้พวกนี้มันค้านกันอย่างโง่ๆเกินไปนะ 555+ (โง่ขนาดแบนเหนือเมฆ2)
 

สั้นๆนะครับ

 

คนสมัยนี้เห็นแก่ตัวครับ

(เอาแต่ได้ ชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ทำอะไรไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา)

 

สมัยก่อนคนไทยเคยเป็นคนมีน้ำใจ แต่ยุคสมัยนี้น้ำใจกลายเป็นสิ่งที่หายาก

ยังไม่ตายครับ

 

http://gossipstar.mt...p-content/41196

ผมไม่ได้มองที่ตัวบุคคลนะ แต่ผมว่ากฏระเบียบมันต้องมาก่อน กฏว่ายังไงก็ต้องว่าไปตามนั้น ไม่อย่างนั้นจะรักษาระเบียบในบอร์ดได้ยังไง

 

โดยเฉพาะว่าชาวสรท.ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายต่อต้านการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมเป็นกรณีพิเศษให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ถ้ากฏระเบียบของเว็บยังอะลุ่มอะหล่วยได้ ต่อไปก็ไม่มีหน้าจะไปเรียกร้อง หรือ คัดค้านพรบ.ปรองดอง,พรบ.นิรโทษกรรมทักษิณกันแล้ว

คนที่สำนึกผิดได้จริงคือคนที่ยอมรับโทษตามกฏระเบียบ

 

ไม่อย่างนั้นก็จะเหมือนไอ้หน้าเหลี่ยมที่ไม่ยอมรับผิดหนีการลงโทษ

 

 

 

ถ้าสำนึกผิดได้จริงก็จงอย่าเรียกร้องหาการนิรโทษกรรม

แปลกใจ ทำไมไม่ฟ้อง ปปช. หรือว่ากลัวช้า

แล้วศาลปกครองล่ะ?

ฟ้องศาลอาญาก็แสดงว่าจะเอาธาริตเข้าคุกครับ

 

ความแตกต่างระหว่างฟ้องศาลปกครอง กับ ฟ้องศาลอาญา

 

ศาลปกครอง - มีคำสั่งคุ้มครอง,เพิกถอนคำสั่ง ฯลฯ

ศาลอาญา - จำเลย(ธาริต) ติดคุก

 

น่าจะฟ้องสุกำพลด้วยนะธาริตจะได้มีเพื่อน(รูมเมท) 

ผมไม่ชอบที่คุณหมีบิดเบือนเลยนะครับ แย่กว่าสิ่งที่สิธิลิ้มทำเสียอีก กลายเป็นว่าคนประเภทคุณหมีอยู่ต่ำกว่าสนธิลิ้มเสียอีก

 

คุณหมีบิดเบือนทำไมครับ รู้ตัวไหมว่าสิ่งที่ทำคือการบิดเบือนใส่ร้ายผู้อื่น ถ้ารู้แล้วทำคือสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย

 

คุณหมีเคยคิดไหมครับว่าทำไมข้อมูลบิดเบือนพวกนี้ถึงเอาไปใช้กับปัญญาชนไม่ได้ ทำไมข้อมูลเหล่านี้ถึงใช้กับคนที่สรท.ไม่ได้

ผมไม่เคยชอบสนธิเลยนะ ไม่ว่าจะตอนจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ หรือตอนอาสามาเป็นแกนนำสีลม

 

สำหรับพธม.หลายครั้งที่ชุมนุม โดยเฉพาะครั้งใหญ่ๆ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเลยนะ หลายครั้งตอนที่เห็นข่าวพธม.ประกาศชุมนุม ผมต้องคิดว่า "เฮ้ย!เอาอีกแล้วเรอะ เงื่อนไขการชุมนุมมันดูอ่อนไปนะ"

 

แล้วการล่มสลายของพธม.มันก็เป็นความพ่ายแพ้ของฝั่งคนที่ต่อต้านทักษิณทั้งหมดเลยนะ แม้ว่าหลายคนจะไม่ได้เข้าร่วมกับพธม. ไม่ได้เป็นพธม.