Jump to content


พระฤๅษี

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 26 มีนาคม 2555
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2557 08:33
****-

#370633 ข้อเท็จจริงเรื่องสมศักดิ์เจียม เป็นเด็กซื้อโอเลี้ยง.....

โดย amplepoor on 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 23:05

ถ้าไม่มีอะไรใหม่
ผมก็จะงดตอบกระทู้นี้แล้วนะครับ.....

ถ้าผมสนใจ คงจะติดต่อคุณหมูผู้หายสาบสูญไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วละ
หลักของผมคือ คนกล่าวหา ต้องพิสูจน์ เพราะการกล่าวหามีราคาของมัน
ถ้ากล่าวหาได้ถูกต้อง ก็เป็นความดีความชอบ....
แต่ถ้าท้าเหย็งๆ ถึงเวลาเจอของจริงก็โยกโย้ ไม่ยอมพิสูจน์ อันนี้น่าจะเรียกว่าแต๋ว

สรุปว่า ไม่กล้าโทรไปใช่ใหมครับ...ถึงได้แถเป็นเรื่องมารยาทอะไรไปโน่น
เมื่อไม่กล้าก็ จบข่าว


ถ้างั้นก็ขอปิดกระทู้นะครับ


#369838 ข้อเท็จจริงเรื่องสมศักดิ์เจียม เป็นเด็กซื้อโอเลี้ยง.....

โดย amplepoor on 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 13:27

ผมแยกหัวข้อให้แล้วนะครับ เชิญท่านที่สนใจ
เรื่องของเรื่องคือ สมาชิกชื่อนายชด เล่าว่า


ฮี่ๆๆๆๆ
สมัยนู้นนะ
ยัยเหงี่ยม กะ ผม ต้องมานั่งโรเนียวแจกใบปลิว
ยัยเหงี่ยมมันถนัดพิมพ์ ผมถนัดโรเนียว กับ วาดรูปประกอบ
ไอ้ที่วาดรูปประกอบนั่นแหละที่มันแพง เพราะมันโรเนียวไม่ได้ มันต้องถ่ายเอกสาร ต้องไปถ่ายแถวหลังกระทรวงโน่น มันจะถูกหน่อย อีกอย่างลูกเจ้าของร้าน ก็เรียนแถวนั้นแหละ
ทำงานกันอยู่ มีไอ้ตี๋เกรียนคนหนึ่งหัวโตๆ ผมตั้งๆเหมือนไม้กวาด ใส่เชิ๊ตสีขาวๆอมเหลืองสกปรก มาด้อมๆมองๆ
"พี่ครับ ผมจะมาสมัครอาสาช่วยครับ"

ยัยเหงี่ยมมันรับเอาไว้ บอกว่า เอาไว้ให้มันวิ่งไปถ่ายเอกสาร ซื้อโอเลี้ยง ซื้อถั่วตัด และ ตบกระโหลกเล่น ยามพวกเราเซ็ง
ทุกวันนี้ มันก็คือ ไอ้สากกะเบือ นั่นแหละ น้าเปิ้ล

ทุกวัน ผมไม่รู้นะว่ามันกินอะไร แต่สงสัยว่ามันกินแมงโม้มากไปหน่อย ชอบคุยว่าเป็นพวกคอมฯ คอมฯห่านอะไร เด็กวิ่งโอเลี้ยงล่ะไม่ว่า
เคยเห็นมันพ่นแมงโม้อยู่หอประชุมเก่ากะเด็กๆรุ่นลูก
พอมันเห็นผม เท่านั้นแหละ เดินหนีเลย เพราะเสือกโม้กะเด็ก ว่าอยู่ ภูพาน เขตงาน 5
(แม่มมีซะที่ไหนล่ะ เขตงาน 5)

ที่มันพาน้องๆไปโดนตำรวย (ไม่ได้พิมพ์ผิดครับ ) จับ เพราะมัน ทำตัวเป็นฮีโร่ในตอนแรก แต่เสือกปากกล้าขาสั่นพาน้องหนีไป เพราะไม่กล้าว่ายน้ำหนีตอนกลางคืนที่ผ่านมา
ส่วนบางคนที่โดนจับจริงๆนั้น เพื่อหน่วงเวลาให้เพื่อนๆอีกหลายคนหนีครับ
พวกว่ายน้ำหนีข้ามฟากมานอนใต้ถุนโรงพยาบาล อยู่หนึ่งวันหนึงคืน มีนักศึกษาพยาบาลและพยาบาล ตลอดจนคุณหมอ แอบส่งอาหารและเสื้อผ้า รอรถส่งผักมารับไป เพื่อหนีเข้าป่า

ไอ้ตี๋ส่งโอเลี้ยงคนนี้ ไร้ความกล้า ไร้ความจริงใจกับพี่น้อง สิ่งที่มันมีมาตลอดคือ ความคั่งแค้นสังคมจากปมด้อยในตัวเอง แม้มันจะหัวดีก็ตามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีอีคิวอะไร

เหงี่ยมเอง ทั้งที่เป็นพี่เลี้ยงมัน รู้เช่นเห็นชาติมันที่สุด
---------------------

เรื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์การเมืองที่น่าสนใจ เพราะถ้านายชดโกหก อาจจะทำให้การต่อสู้กับทักษิณล่มสลายเอาได้....หึหึ

เอาละครับ เชิญสอบทานความถูกต้องกันให้เต็มที่


#370849 สงครามนกกระสา

โดย กรกช on 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 09:33

วันนี้ประชาชนอย่างพวกเราถูกใช้เหมือนเป็นจิ้งหรีดที่เขาปั่นให้สู้กัน
แท้จริงแล้วความขัดแย้งทางการเมืองในวันนี้เป็นสงครามระหว่าง


กลุ่มทุนการเมือง กับ กลุ่มทุนการเมือง

จะขอขยายความตรงนี้อีกสักเล็กน้อย การเมืองไทยจะมีคนอยู่สองกลุ่ม
กลุ่มหนึ่งคืออภิมหาเศรษฐีและนักการเมืองไม่กี่ตระกูล ที่เหลือก็คือประชาชน


อย่างพวกเราทั้งหลาย ประชาชนที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพเพื่อส่งเสียมหาเศรษฐีเหล่านี้
พวกนี้แหละคือตัวที่ปล้นประชาชน ซึ่งคอยเบียดบังและเบียดเบียน
กินเนื้อและสูบเลือดประชาชนในรูปแบบที่แยบยล ซึ่งมักมาในรูปของธุรกิจผูกขาด
หรือโครงการขนาดยักษ์ ตลอดจนสัมปทานต่างๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ เช่นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ

กระบวนการปล้นประชาชนมักมีองค์ประกอบสำคัญสามอย่าง คือ
นักการเมือง นายทุนใหญ่ และข้าราชการระดับสูง

สามอย่างนี้คือสูตรสำเร็จของคอร์รัปชั่น บางคนก็เรียกว่าสามประสาน บางคนเรียกสามชั่ว แต่ผมเรียกมันว่า

" สามเหลี่ยมทรราช "

จนกระทั่งวันหนึ่ง ไอ้สามเหลี่ยมทรราชนี้มันทะเลาะกันเอง

กลายเป็นสามเหลี่ยมสองอันรบพุ่งแย่งชิงอำนาจกันเอง
สามเหลี่ยมทรราชฝ่ายหนึ่งเป็นของเศรษฐีใหม่ คือนายทุนของไทยรักไทย เช่น ชินคอร์ป เอไอเอส เป็นต้น
ส่วนสามเหลี่ยมอีกอันหนึ่งก็คือเศรษฐีเก่า ต่างก็มีนักการเมือง และข้าราชการสังกัดฝ่ายของตน


พอเศรษฐีเก่ากับเศรษฐีใหม่รบกัน พวกเราคนที่ไม่มีโอกาสเป็นเศรษฐี
ไม่ว่าจะเป็นทั้งอย่างเก่าหรืออย่างใหม่ ก็เลยต้องออกมาตายแทน

ถ้าจะเล่าเป็นนิทานอีสป ก็พอเล่าได้ว่า


ณ กาลครั้งหนึ่ง มีนกกระสาสองตัวจิกตีกัน แต่เอาแพ้เอาชนะกันไม่ได้ ต่างจึงไปเกณฑ์เอากบมาช่วยรบ
ฝ่ายหนึ่งก็ไปเอากบมาทาสีแดง อีกฝ่ายเอากบมาทาสีเหลือง แล้วปล่อยให้กบมารบกัน

ผมขอถามว่า แล้วไอ้ที่รบกันตายกันข้างถนนนี่ เป็นนกกระสาตายหรือกบตาย?

กบตายทั้งนั้นแหละ ความจริงเรื่องมันน่าอนาถกว่านั้นอีกเพราะว่า

ถ้านกกระสาตัวใดสามารถเอาชนะนกกระสาอีกตัวได้อย่างราบคาบ
ตัวชนะก็จะกินกบทั้งสองสี หรือถ้าหากนกกระสาสองตัวเจรจากันได้

มันก็จะเอากบทั้งหมดมาแบ่งกันกินอย่างปรีดิ์เปรมยิ่ง

การต่อสู้เท่าที่เป็นอยู่วันนี้เป็นเพียงการต่อสู้กัน เพื่อตัดสินใจแทนประชาชน

ว่าควรดื่มเบียร์ช้างหรือเบียร์สิงห์ดี จะใช้โทรศัพท์เอไอเอสหรือดีแทคหรือทรูมูฟดี
เวลาเจ็บป่วยจะไปโรงพยาบาลพระรามเก้าหรือโรงพยาบาลกรุงเทพ
เวลาขึ้นเครื่องบินควรจะใช้แอร์เอเชียหรือบางกอกแอร์เวย์
และเวลาสร้างถนนควรใช้อิตาเลียนไทยหรือซิโนไทยดี

ถ้าจะต่อสู้กันเพื่อประโยชน์เพียงแค่นี้ เราจะไปต่อสู้ทำไม?

แท้จริงแล้วมวลชนทั้งฝ่ายเหลืองและฝ่ายแดงต่างก็ไม่ใช่ศัตรูของกันและกัน

แต่ศัตรูตัวจริงของมวลชนทั้งสองฝ่ายคือสามเหลี่ยมทรราช

ที่ผ่านมาประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นเหยื่อตลอดกาล ไม่ว่าใครจะเข้ามาปกครองประเทศ

ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมองเห็นปัญหาตามความเป็นจริงและรู้ทันทรราช
มวลชนทั้งฝ่ายเหลืองและฝ่ายแดงต่างก็มาต่อสู้กับความอยุติธรรม
ต่อสู้กับสองมาตรฐาน ต่อสู้เพื่อหาความเป็นธรรมในสังคม


และมาต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทย

โดยพื้นฐานแล้วมวลชนทั้งฝ่ายเหลืองและฝ่ายแดงจึงไม่มีความแตกต่างกัน
เพียงแต่ว่าความอยุติธรรมในสายตาของฝ่ายเหลืองเกิดจากกลุ่มทักษิณ
ทว่าความอยุติธรรมในสายตาของฝ่ายแดง เกิดจากกลุ่มประชาธิปัตย์ผนวกกับกลุ่มอำมาตย์ ซึ่งแท้จริงแล้วก็ถูกต้องทั้งคู่

เราชาวกบทั้งหลาย เคยรู้ตัวหรือไม่ว่าพวกเราชาวกบ

ล้วนถูกพวกนกกระสาที่พวกเรานับหน้าถือตาเห็นเราเป็นอาหาร พากันสูบกินกบเราจนอ้วนพี
และเมื่อนกกระสาเกิดแตกคอกันขึ้นมา เพราะแบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว
พวกมันก็มายุยงพวกกบอย่างเรา ให้แบ่งสี เลือกข้าง ให้พวกเราสู้กันเองเพื่อพวกมัน

เมื่อนกกระสาตัวใดตัวหนึ่งชนะ กบทุกสีก็จะถูกกินอยู่ดี...


ทักษิณประกาศตัวสู้กับอำมาตย์ ทำตัวเป็นหัวหน้าไพร่

โธ่!! ใครจะโง่พอที่จะมองว่าทักษิณเป็นไพร่ ไพร่อะไรมีเงินเป็นแสนล้าน
แท้จริงแล้วทักษิณเป็นอภิมหาอำมาตย์ต่างหาก

ในช่วงที่ทักษิณมีอำนาจใหญ่คับฟ้า ในหมู่นักธุรกิจต่างรู้กันดีว่า
จะไม่มีโอกาสทำมาหากินได้เลย ถ้าไม่ใช่พวกทักษิณ

ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองทุกวันนี้ จึงเกิดจากการเสี้ยมของ
สามเหลี่ยมทรราชสองกลุ่ม ให้มวลชนปะทะกันเอง โดยความจริงแล้ว
สามเหลี่ยมทรราชทั้งสองกลุ่มนั่นแหละคือศัตรูของประชาชน


ทั้งกลุ่มทักษิณและกลุ่มอำมาตย์ต่างก็สร้างปัญหาให้กับประเทศพอกัน

ดังนั้น เราควรที่จะต้องร่วมกันเพื่อกำจัดสามเหลี่ยมทรราช

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเหลืองหรือฝ่ายแดง และอย่าเพียงเพื่อเปลี่ยนจากสามเหลี่ยมทรราช
ของพรรคหนึ่งไปเป็นของอีกพรรคหนึ่ง แต่ควรที่จะต้องทำแบบล้างบ้านล้างเมือง
ซึ่งไม่ใช่ทำโดยนักการเมืองกะล่อนสอพลอ หรือโดยทหารที่หลังปฏิวัติแล้วก็เอาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง


แต่ต้องขับเคลื่อนโดยประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเรา
เพื่อสร้างรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงกันเสียที

ผมขอร้องท่านทั้งหลายว่า หน้าที่ของประชาชนที่สำคัญที่สุดนั้น

ไม่ใช่เพียงแต่กระทำความดี แต่ต้องขัดขวางและปราบปรามคนชั่วด้วย
แม้พวกเราคนดีนับพันคนร่วมกันทำความดีนับพันวัน
ก็จะยังไม่สามารถชดเชยความชั่วที่นักการเมืองเพียงชั่วคนเดียวทำในเวลาหนึ่งวัน

ถึงเวลาแล้วครับที่พวกเราคนไทย จะต้องมาร่วมใจกันทุบทิ้งและสร้างใหม่การเมืองไทย

ดร. วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์
กรรมการผู้อำนวยการ สถาบันสหสวรรษ


http://www.rsunews.n...8784fa884dc.pdf


#369814 ผู้มีบุคคลิกภาพดีเด่น...

โดย พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน on 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 13:12


32 ซี่ (อยากเห็น ซี่สุดท้าย )
.!!!!!!!"MMMMM"??????


ดูสิค่ะ..เห็นมั้ยค่ะ.. :lol:

Posted Image


นี่มันแนว Facial นี่นา :blink:


#369525 ผู้มีบุคคลิกภาพดีเด่น...

โดย bird on 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 10:59

32 ซี่ (อยากเห็น ซี่สุดท้าย )
.!!!!!!!"MMMMM"??????


ดูสิค่ะ..เห็นมั้ยค่ะ.. :lol:

Posted Image


#368690 ผมก็เป็นอาจารย์เหมือนกันนะ.....ฮา

โดย G.Maniac on 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 14:29

เราก็เคยเป็นอาจารย์ เหมือนกันนะ
สอนไปสอนมา มันเลยถลาซบศิษย์
เลยบอก ก พ ว่า ไปละเว้ยยย...
อยากไม่ให้ไว้ผมยาว..


ผมก็"เคย" เป็น อาจารย์ ครับ แต่สอนมา-สอนไปรู้สึกว่า

1. เงินน้อย

2. ความมั่นคงดูจะน้อยกว่าครูประถมฯสังกัด กทม.

เลยออกมาทำงานบริษัทเอกชนได้ครึ่งปีแล้วครับ เงินเยอะกว่ามาก สัญญาก็สัญญายาว ไม่ต้องลุ้นว่าจะได้ต่อสัญญาไหม


#367609 ตำนานทียังมีลมหายใจ!!! ขายหุ้นชินคอร์ปไม่เสียภาษีสักบาท ถึงขนาดเป...

โดย โจโฉ นายกตลอดกาล on 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 17:17

....คนรุ่นหลัง จำนวนมากเกิดไม่ทันรู้ ดูไม่ทันเห็น ความชั่วร้ายของชายชื่อทักษิณ ชินวัตร และคณะตระกูลชินวัตร
และดามาพงศ์ แลพลพรรคไทยรักไทย หรือ เพื่อไทย ในปัจจุบัน
เมื่อครั้งมีอำนาจในมือซ้าย ถือกฎหมายในมือขวา
เมื่อครั้งนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
สร้างผลงานโบว์ดำอันลือลั่นสั่นสะเทือนแผ่นดิน ด้วยการใช้อำนาจ และช่องโหว่ทางกฎหมาย
ซื้อขายหุ้นชินคอร์ปโดยไม่เสียภาษีสักบาทเดียว โดยมีกุนซือชื่อ สุวรรณ วลัยเสถียร ดำเนินการให้

ถึงขนาดยุคนั้นมีการเปรียบเปรยแบบปากต่อปากว่า

"คนขายก๋วยเตี๋ยวยังเสียภาษีแบบนับชามก๋วยเตี๋ยวเลย แล้วนายกฯเป็นใครทำไมไม่เสียภาษี"

ถึงไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดจริยธรรมในฐานะที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีที่นำเงินภาษีมาใช้บริหารประเทศ

แต่ตัวเองและตระกูลกลับคิดใช้อำนาจช่องโหว่ หลบเลี่ยงภาษี

หลังจากนี้คือส่วนหนึ่งของข่าวสารที่ชวนคิดในยุคนั้น

เปิด10ปมคาใจขายหุ้นชินคอร์ป

กรุงเทพธุรกิจ l 30 มกราคม 2549 09:52 น.

การขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของตระกูล ชินวัตรและดามาพงศ์ ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ สัดส่วน 49.95% ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท พร้อมรับเงิน



7.32 หมื่นล้านบาท ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาไม่ขาดสาย

และก็มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นปัญหายืดเยื้อ ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และสถานะทางการเมืองของนายกรัฐมนตรี หาก "กุนซือ" ที่คิดสูตรพิสดาร ไม่สามารถอธิบายความซับซ้อนของดีลนี้ได้ จะทำให้เงื่อนปมปัญหากลับมาพันให้ตัวเองต้องหาทางแก้ไข

เหตุเพราะเป็นดีลที่มีวงเงินสูงและเป็นบริษัทที่ตระกูลนายกรัฐมนตรีขายหุ้นออก แถมทำให้ซับซ้อนเพื่อหาช่องปลอดภาษี จึงมีปมสงสัย "คาใจ" ทั้งด้าน "จริยธรรม" มาตรฐานของกรมสรรพากร กฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ มาตรฐานการกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ปมแรก ได้บทสรุปออกมาแล้วว่า หากดีลครั้งนี้ ก.ล.ต.ไม่ผ่อนคลายเกณฑ์เทนเดอร์ออฟเฟอร์ คาดว่ากลุ่มเทมาเส็ก ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 1.92 แสนล้านบาท

ปมที่ 2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังไม่มีข้อสรุปออกมาเลยว่า ดีลครั้งนี้มีการใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้นหรือไม่ เนื่องจากนับตั้งแต่ธันวาคม 2548 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นชินคอร์ป เคลื่อนไหวอยู่เพียง 37 บาท และขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกระแสข่าวการขายกิจการของตระกูลชินวัตรออกมา โดยที่ตลาดไม่ได้ขึ้นเครื่องหมายเตือน เนื่องจากมองว่าไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท เพราะเป็นการตัดสินใจของผู้ถือหุ้น

แต่อาจจะลืมไปว่า ผู้ถือหุ้นและผู้บริหารในดีลนี้เกี่ยวข้องกันและกัน ทำให้ราคาหุ้นขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 มายืนระดับ 48 บาท แน่นอนย่อมมีผู้ได้รับกำไรมหาศาล ที่สำคัญในช่วงก่อน 1 เดือน ผู้บริหารในกลุ่มชินคอร์ปมีการทยอยขายหุ้นออกมาเป็นระยะ

ปมที่ 3 กรณี บริษัท แอมเพิล ริช ขายหุ้นออกมาให้กับ น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ชินวัตร เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 ในราคาหุ้นละ 1 บาท และมาขายต่อให้กลุ่มเทมาเส็กวันที่ 23 มกราคม 2549 แต่ไม่พบการซื้อเกิดขึ้นในวันที่ 20 มกราคม 2549 ซึ่งยังเป็นข้อสงสัยถึงการซื้อขายและเจ้าของที่แท้จริงในบริษัทแอมเพิล ริช ว่าเป็นใคร ถึงใจดีขายหุ้นออกมาในราคา 1 บาท

ปมที่ 4 ต่อเนื่องมาจากกรณีของแอมเพิล ริช ในอดีตเมื่อ 11 มิถุนายน 2542 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แจ้ง ก.ล.ต.ชัดเจนว่า ได้ขายหุ้นชินคอร์ป 32.9 ล้านหุ้น (พาร์ 10 บาท) ให้กับแอมเพิล ริช ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่บนเกาะปลอดภาษี บริติช เวอร์จิน ขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ถือหุ้น 100% อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ไต่สวนคดีซุกหุ้นช่วงปี 2543 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ได้โอนหุ้นให้กับบุคคลอื่นไปแล้ว เท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ถือหุ้นในแอมเพิล ริช แล้ว

เรื่องน่าจะจบเพียงแค่นี้ แต่เมื่อเกิดกรณีวันที่ 20 มกราคม 2549 ขึ้นมา จึงเกิดข้อสงสัยขึ้นว่า โอนให้ใคร เพราะ "ความใจดี" จึงยอมขายหุ้นออกมาในราคา 1 บาท แน่นอนสังคมอาจจะเข้าใจได้ว่า ต้องเป็นบุคคลใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตร ถึงจะยอมกระทำเช่นนี้ เพียงแต่ตัวตนผู้ถือหุ้นที่แท้จริงยังไม่ยอมเปิดเผยออกมา

คำถามจึงตามมาว่า หากหุ้นแอมเพิล ริช ยังอยู่ในมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาตลอด อะไรจะเกิดขึ้น เป็นปมใหญ่แน่นอน เพราะในทางการเมืองอาจจะหยิบมาตั้งคำถาม นำมาซึ่งการ "ซุกหุ้น" ภาคสอง นำไปสู่การเสนอถอดถอนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 216(6) ได้

ปมที่ 5 พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการประชุมคณะทำงานติดตามการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของตระกูลชินวัตร ห่วงว่า หลังจากนี้ครอบครัวของผู้ขายมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยนั้น อาจจะใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ซื้ออย่างไรหรือไม่ เพราะถ้าเกิดขึ้นจริงตามนั้น นอกจากประเทศไทยจะไม่ได้อะไรจากการซื้อขายหุ้นครั้งนี้แล้ว ยังจะมีความเสียหายตามมาด้วย

เหตุเพราะทราบดีว่ากลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ของสิงคโปร์เข้ามาซื้อนั้น เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของประเทศ ที่ต้องการย้ายทุนออกจากประเทศตัวเอง และประเมินแล้วว่า ไทยมีความขัดแย้งเรื่องเชื้อชาติน้อยกว่า เมื่อเทียบกับมาเลเซียและสิงคโปร์

ฝ่ายค้านจึงห่วงว่า เมื่อสิงคโปร์มีความต้องการที่หลากหลายจากประเทศไทย ดังนั้น การซื้อหุ้นส่วนนี้จากครอบครัวนายกรัฐมนตรี อาจเพื่อเจรจาต่อรองขอสิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งหากมีการมอบสิทธิพิเศษให้แก่สิงคโปร์จริง ก็จะเป็นการกระทำที่มิชอบ เพราะการขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่กลับมาพัวพันกับประโยชน์ของชาติ

ปมที่ 6 เรื่องภาษีดูจะเป็นเรื่องอ่อนไหวทางการเมือง แม้ในทางกฎหมาย การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษี แต่ให้สิทธิเฉพาะการขายหุ้นของบุคคลธรรมดา

กรณีนี้มีปมอยู่ที่ว่า เทมาเส็กจะให้ความสนใจเอไอเอสเท่านั้น แต่ที่ต้องซื้อชินคอร์ปเพื่อให้ปลอดทางภาษี เหตุเพราะหากซื้อเอไอเอสที่ชินคอร์ปถือหุ้นอยู่ 42% เท่ากับว่า เป็นการขายของนิติบุคคล แน่นอนชินคอร์ปในฐานะผู้ขาย ต้องจ่ายภาษี ซึ่งมีการประเมินกันว่า ต้องจ่ายภาษีนิติบุคคลมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท และตระกูลชินวัตรซึ่งถือหุ้นใหญ่ในชินคอร์ป ต้องจ่ายภาษีบุคคลธรรมาจากเงินปันผลอีก 2 หมื่นล้านบาท

แต่เมื่อดีลครั้งนี้ซื้อผ่านผู้ถือหุ้นใหญ่ในชินคอร์ป ในฐานะบุคคลธรรมดา จึงได้รับสิทธิยกเว้นภาษี แน่นอนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ถูกตั้งคำถามถึง "จริยธรรม" เพราะแม้นายกรัฐมนตรีจะไม่มีหุ้นในชินคอร์ป แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ล้วนอยู่ในตระกูลตามกฎหมาย

ปมที่ 7 ปมภาษี ยังขยายผลไปถึงเรื่องในอดีต ที่ถูกเฟ้นขึ้นมาขยายผลอีกครั้ง ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2 ล้านหุ้น ในราคาพาร์ 10 บาท และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ขายหุ้นให้ นายบรรณพจน์ ชินวัตร 26.8 ล้านหุ้น ในราคาพาร์ 10 บาทเช่นกัน โดยทั้งสองรายการขายนอกตลาด ซึ่งในครั้งนั้น สรรพากรตีความว่าไม่ต้องจ่ายภาษี เนื่องจากขายในราคาทุน ในฐานะผู้ซื้อ หากมีการขายในอนาคตและมีกำไร ต้องจ่ายภาษี แต่เมื่อขายในตลาดหลักทรัพย์ กำไรจะได้รับการยกเว้นภาษี

อย่างไรก็ตาม ในกรณีเดียวกัน สรรพากรกลับเรียกเก็บภาษีของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ได้รับหุ้นทางด่วนกรุงเทพจากบิดาในราคาพาร์ 10 บาท จากราคาตลาดที่อยู่ระดับ 21บาท มีส่วนต่าง 55,000 บาท แต่ถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการร้องเรียน สรรพากรกลับยอมรับว่า ผิดพลาดและขอคืนเงินให้ นายเรืองไกร

กรณีนี้ทำให้มองได้ว่า การตัดสินใจคืนเงินของสรรพากร เพื่อไม่ให้เป็นมาตรฐานที่อาจจะส่งผลให้ผลการตัดสินการขายหุ้นของตระกูลชินวัตรก่อนหน้านี้มีปัญหาได้

ปมที่ 8 ยังมีกรณีที่ คุณหญิงพจมานโอนหุ้นชินคอร์ปให้นายบรรณพจน์ 4.5 ล้านหุ้น เมื่อปี 2540 ที่อ้างให้โดย "เสน่หา" ยังเป็นข้อสงสัยอยู่ว่า มูลค่าหรือความหมายแค่ไหน ถึงจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษี ตามมาตรา 40(10)

ปมที่ 9 ประเด็นที่มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเอื้อให้ต่างชาติถือหุ้นได้เกิน 25% ก่อนการซื้อขายเพียง 3 วันนั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณเองที่แก้ให้ต่างชาติจากเดิมที่ถือหุ้น 49% ปรับลดเป็น 25% เพื่อสกัดการเข้ามาของทุนต่างประเทศในบริษัทคู่แข่ง แต่พอตัวเองเริ่มมีแนวคิดที่จะขายหุ้น ก็เห็นสมควรแก้กฎหมายให้มาอยู่ระดับเดิม คือ 49% โดยเฉพาะเมื่อดูถึงจังหวะในการแก้กฎหมายนี้ ก็มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนที่แก้เพื่อเอื้อการขายหุ้นของครอบครัวตัวเอง

ขณะเดียวกัน ถึงแม้จะเปิดให้ถือหุ้นได้ 49% แต่กรณีของการซื้อขายชินคอร์ป กลุ่มทุนสิงคโปร์ใช้นอมินี ที่เป็นสัญชาติไทยเข้ามาซื้อแทน หากนับจำนวนหุ้นที่แฝงอยู่ในนอมินีคนไทยแล้ว จะพบว่าสัดส่วนหุ้นแท้จริงมากกว่า 70% ด้วยซ้ำ

ปมที่ 10 ว่า ด้วยความมั่นคงและสื่อของชาติ เนื่องจากการเข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบริษัทดาวเทียมของไทย รวมถึงไอทีวี ซึ่งจะเป็นปมปัญหาให้เทมาเส็ก ต้องคิดต่อไปว่า จะดำเนินการสองบริษัทนี้อย่างไร



ปิดตำนานซุกหุ้นชินคอร์ป สรรพากรยุติบี้ภาษีครอบครัว “ทักษิณ ชินวัตร ” – “แก้วสรร” คาใจต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

หลังจากที่คณะกรรมการปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ยึดอำนาจการปกครองของไทยสำเร็จ ในเดือนกันยายน 2549 ก็ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขึ้นมาตรวจสอบโครงการต่างๆที่ทำไว้ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หลายเรื่องถูกดำเนินการไปเรียบร้อย อาทิ โครงการจัดซื้อที่ดินรัชดา, จัดซื้อกล้ายาง, รถดับเพลิง, หวยบนดิน ยกเว้นคดีหลบเลี่ยงภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งเปรียบเสมือนหนามที่แทงกลางดวงใจ พ.ต.ท.ทักษิณ
นอกจากจะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังถูกกรมสรรพากรตามไปอายัดทรัพย์สินของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร (โอ๊ค-เอม)อีก 12,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งคู่ได้นำคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไปต่อสู่ในศาลภาษีอากรกลางจนชนะคดี เพราะบุคคลทั้งสองไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริง ทำให้กรมสรรพากรต้องถอนอายัดทรัพย์สินคืนให้กับโอ๊ค-เอม
ถึงแม้ทั้ง 2 ศาลตัดสินแล้วว่า หุ้นชินคอร์ปฯ ไม่ใช่หุ้นของโอ๊ค-เอม แล้วหุ้นชินคอร์ปฯ เป็นของใคร พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ บริษัทแอมเพิลริชที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของ ก็ยังเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตีความกัน ทำให้กรมสรรพากรต้องนำประเด็นนี้มาขอความเห็นจากคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่มีนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานฯ ซึ่งนายอารีพงศ์ได้มอบหมายให้นางเสาวนีย์ กมลบุตร รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ แทน
และในที่สุด มหากาพย์การต่อสู้ของคนในตระกูลชินวัตรก็ปิดฉากลง เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้มีการพิจารณาเรื่องนี้ โดยนางเสาวนีย์ กมลบุตร ในฐานะประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้วินิจฉัยกรณีการจัดเก็บภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ โดยนำคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ และศาลภาษีอากรมาประกอบการพิจารณา ซึ่งคำพิพากษาของศาลระบุว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ แต่เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงไม่สามารถวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากจะตัดสินยืนตามคำพิพากษาของศาล
นางเสาวนีย์กล่าวต่อไปอีกว่า ส่วนกรณีที่กรมสรรพากรมาขอความเห็นว่า จะประเมินภาษีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้หรือไม่ คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า เรื่องการจัดเก็บภาษีหรือการประเมินภาษีนั้น น่าอยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งคณะกรรมการฯ ไม่มีหน้าที่ไปตัดสินว่าจะให้กรมสรรพากรไปเก็บภาษีใคร หรือ ไม่เก็บใคร ประเด็นนี้ อธิบดีกรมสรรพากรจะต้องเป็นผู้วินิจฉัยว่าจะเก็บภาษี พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
ด้านนายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ได้สรุปผลการวินิจฉัย กรณีการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ว่า เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ที่แท้จริง คือ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว เข้าข่ายปกปิดบัญชีทรัพย์สินที่จะต้องแสดงต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งศาลฎีกาฯ ได้มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ตกเป็นของแผ่นดินไปหมดแล้ว จากนั้นเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงนำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายให้กับกองทุนเทมาเสกผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็จะได้รับยกเว้นภาษีตามกฏกระทรวงฉบับที่ 126
“เรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ต่อจากนี้ไป กรมสรรพากรจะไม่มีการประเมินภาษีคนในตระกูลชินวิตรอีก เนื่องจากผลการตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งคณะกรรมการฯ ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลทั้ง 2 ศาล ส่วนเรื่องการประเมินภาษี พ.ต.ท.ทักษิณ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรเป็นผู้วินิจฉัย เมื่อสรรพากรพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน เพราะกรมสรรพากรทำตามผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ” นายสาธิตกล่าว
Posted Image
นายแก้วสรร อติโพธิ(คนกลาง) อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวว่า ผมไม่เข้าใจ ทำไมคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร และอธิบดีสรรพากรไปเอาคำพิพากษาจากศาลมาพิจารณา เพราะศาลทั้ง 2 ศาล ก็ไม่ได้ตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริง แต่ศาลตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของบริษัทแอมเพิลริชที่ถือหุ้นชินคอร์ปฯ กล่าวคือในปี 2542 พ.ต.ท.ทักษิณได้จัดตั้งบริษัทแอมเพิลริช และมีการโอนหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กับบริษัทแอมเพิลริช และก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเล่นการเมือง ในปี 2543 ได้ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กับนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในราคา 1 บาทต่อหุ้น ต่อมา ทั้งคู่ได้นำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อที่จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประกาศกระทรวง ฉบับที่ 126 แต่มาถูก คตส. ตรวจสอบพบจึงนำเรื่องนี้ส่งฟ้องศาลฎีกาฯ
“กรมสรรพากรยอมรับหรือไม่ หุ้นชินคอร์ปฯ นั้นเป็นของบริษัทแอมเพิลริช และ พ.ต.ท.ทักษิณคือเจ้าของบริษัทแอมเพิลริช ศาลทั้ง 2 ศาลตัดสินว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริง ดังนั้นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริงก็คือบริษัทแอมเพิลริชที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของ เมื่อแอมเพิลริชนำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประกาศกระทรวง ฉบับที่ 126 เพราะถือว่าเป็นการซื้อ-ขายหุ้นระหว่างบริษัทกับบริษัท ดังนั้น กรมสรรพากรจึงมีหน้าที่ที่จะต้องไปไล่เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล 30% หรือเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากับทักษิณที่ได้หุ้นจากบริษัทแอมเพิลริชไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด” นายแก้วสรรกล่าว
อนึ่ง คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ตามมาตรา 13 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร จะมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานฯ กรรมการประกอบด้วย อธิบดีกรมสรรพากร อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมสรรพสามิต ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้ทรงคุณวุฒิอีก 3 คน มีอำนาจหน้าที่ดังนี้ 1) กำหนดขอบเขตในการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานประเมินและพนักงานเจ้าหน้าที่ 2) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลาในการตรวจสอบ และประเมินภาษีอากร 3) วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับภาษีอากรที่กรมสรรพากรขอความเห็น และ 4) ให้คำปรึกษาหรือเสนอแนะแก่รัฐมนตรีในการจัดเก็บภาษีอากร คำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯให้ถือเป็นที่สุด


#353287 น้องที่ถ่ายรูปกับทักษิณในวันเกิดคนนี้ใครครับ?

โดย นายตัวเกร็ง on 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:17

หึหึ...ไม่มีใครว่าน้องเค้าเลยแหะที่ไปถ่ายรูปกับตั๋วเฮีย
โดนความขาว ความน่ารักบังตากันหมดเลย >_<

(แล้วจะสนทำไมฮะ ใครก็อยากถ่ายรูปกับของแปลกและสิ่งประหลาดอยู่แล้ว)


#363481 ตรรกะ และ ความจริง

โดย ตะนิ่นตาญี on 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 17:45


คุณตะนิ่นตาญี....เศร้าครับ
( ฤๅเมืองไทย ไร้รัฐฯ ดั่งวัดร้าง )??



จากอาทิตย์เจิดจรัสที่จัดจ้าน.....พอพ้นผ่านเป็นจันทร์อันนวลแสง

สะท้อนทกอกเราร้าวหมดแรง.....ไม่เจิดแจ้งแสงดับฤๅวับวาว

จะมีใครรู้ในใจฉันบ้าง................มิใช่อ้างสร้างดำขำเป็นขาว

ชีวิตคนจนจิตผิดแสงดาว..........ใช่จะพราวเพริศแพร้วแล้วนิรันดร์

หมายเหตุ อย่าพึ่งเศร้าครับ คุณพี่พระฤๅษี

ขอบพระคุณ คุณพี่พระฤๅษี มากครับ :)

ตะนิ่นตาญี


สำหรับคนบางกลุ่ม ความจริงของเขาแปรผันตามผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับครับ
หากสมประโยชน์กันต่อให้ความจริงเป็นหมาเขาก็เห็นเป็นมังกรได้


ขอบพระคุณ คุณ 4l03 มากครับ :)

ตะนิ่นตาญี

ตรรกะ ข้อเท็จจริง สาระ หรือเหตุผลใด ๆ ก็ไม่อาจทำลายกำแพงแห่งอคติ และอวิชชาลงได้ค่ะ

คนเหล่านั้น ไม่เคยสนใจกับ ตรรกะ ข้อเท็จจริง สาระ หรือเหตุผลใด ๆ

เขาเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่ตนเองต้องการเชื่อ และรับฟังข้อมูล เหตุผล เฉพาะในส่วนที่ไปสนับสนุนความเชื่อของเขาเหล่านั้น พวกเขามีแต่ มายาคติ เพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจค่ะ

น่าเวทนาเป็นที่สุด!


...เขาเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่ตนเองต้องการเชื่อ และรับฟังข้อมูล เหตุผล เฉพาะในส่วนที่ไปสนับสนุนความเชื่อของเขาเหล่านั้น

พวกเขามีแต่ มายาคติ เพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจค่ะ...

พวกเขาก่อ ตรรกะซ้อนตรรกะ เหตุผลซ้อนเหตุผล

จนไม่อาจแยกแยะออกมาได้ว่า สิ่งใดจริง สิ่งใดเท็จ กระมังครับ คุณ siren ครับ

ตะนิ่นตาญี

วันพุธที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

เวลา ๑๗.๔๕ นาฬิกา


#362607 ตรรกะ และ ความจริง

โดย Siren on 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 10:18

ตรรกะ ข้อเท็จจริง สาระ หรือเหตุผลใด ๆ ก็ไม่อาจทำลายกำแพงแห่งอคติ และอวิชชาลงได้ค่ะ

คนเหล่านั้น ไม่เคยสนใจกับ ตรรกะ ข้อเท็จจริง สาระ หรือเหตุผลใด ๆ

เขาเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่ตนเองต้องการเชื่อ และรับฟังข้อมูล เหตุผล เฉพาะในส่วนที่ไปสนับสนุนความเชื่อของเขาเหล่านั้น พวกเขามีแต่ มายาคติ เพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจค่ะ

น่าเวทนาเป็นที่สุด!


#361996 ตรรกะ และ ความจริง

โดย ตะนิ่นตาญี on 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:21

ตรรกะ ใดจะยิ่งใหญ่เท่ากับ ความจริง

ในโลกแห่ง IT. ภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่แผ่ไปอย่างไพศาล ภูมิปัญญาอันเล็กน้อย

ก็พลุ่งพล่านดาลเดือดร่านโลดไปทั่ว วจนะอันเล็กน้อยก็เที่ยวกระทุ้งอยู่มิหยุดหย่อน

วจนะอันยิ่งใหญ่โชนกระจ่างกระจะแจ้ง ยามนอนจิตใจก็ฟุ้งซ่านสับสน ยามตื่นร่างกายก็ซมซานร่อนวน

โดยพันธะภาวะต่อสรรพสิ่งภายนอกคอยผูกมัดรัดรึงไว้ตลอดวันวาน...


บางครั้งก็เปล่งถ้อยคำด้วยความระมัดระวัง บางครั้งก็เอ่ยลวงด้วยถ้อยคำอันลึกซึ้งซ่อนเงื่อนผูกปม

แลบางครั้งก็สาธยายเป็นวาทะอันละเอียดสมบูรณ์ ซ่อนความหวาดระแวงเอาไว้แต่ภายใน

ป้องกันไว้ไม่ให้ผู้ใดหยั่งลงไปได้รับรู้ถึงความกังวลหวั่นไหว ว่า ตน นั้นอกสั่นขวัญแขวน

การกระทำของพวกเขานั้น ประดุจดัง ฤดูแห่งสารท และเหมันต์ ที่คอยบั่นทอนพลังวิญญาณ

ธาตุแท้ธรรมชาติภายในตัวตน ก็ถูกทำร้ายให้อ่อนลงตามลำดับ ความอ่อนแอก็ย่อมพาให้

จ่อมจมลงสู่กิจประจำจนมิอาจถอนตัวคืนกลับได้ ต้องถูกจองจำ ดั่งผนึกแน่นด้วยตราครั่งแห่ง วัยวาร


และเมื่อถึงจุดจบแห่งอายุขัยเคลื่อนใกล้เข้ามาจิตของผู้นั้นย่อมมิอาจเยียวยาให้เห็นแสงสว่างได้เลย

เหตุใด ตรรกะ จึงได้ถูกบิดเบือนจน ความจริง กลายเป็น ความเท็จ ไปได้เล่า? เหตุไฉนถ้อยคำทั้งหลาย

จึงถูกปรุงแต่งจนเปลี่ยนแปลงจาก ความเลว เป็น ความดี ไปได้เล่า? ตรรกะ ไฉนจึงเสื่อมไป

ดุจดั่งไม่ปรากฏว่ามีอยู่? คำพูด ไฉนจึงดำรงอยู่โดยไม่เป็นที่ยอมรับ? ทั้งเป็นเพราะ ตรรกะ ถูก

เงื่อนงำของ ปราชญ์กำมะลอ ควบคุมไว้และคำพูดก็ถูกโวหารอันเสนาะปิดบังสาระไว้นั่นแล

สิ่งที่คิดว่า ถูก อีกฝ่ายหนึ่งก็ชี้ว่า ผิด สิ่งที่เห็นว่า ผิด อีกฝ่ายหนึ่งก็โต้ว่า ถูก...

ตรรกะใดใด จึงไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับ ความจริง


ความจริง อันปรากฏแล้วว่า คุณทักษิณ ชินวัตร ได้กระทำการอันเป็น ฉ้อราษฎร บังหลวง จริง

โดยการพิจารณาวินิจฉัยโดย ศาลสถิตยุติธรรม ที่เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า...

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยแล้วว่า

คุณทักษิณ ชินวัตร ได้กระทำความผิดจริง นี่คือ ความจริง...


ความจริง อันไม่อาจถูกบิดเบือนได้ด้วย ตรรกะ ใดใดทั้งสิ้น ! และไม่ว่า คนต่างด้าว ท้าวต่างแดน

จะคิดอะไร-คิดอย่างไร ก็ไม่อาจบิดเบือนความจริงที่ว่า คุณทักษิณ ชินวัตร ได้กระทำความผิดได้

ปราชญ์กำมะลอ มักจะถูกอุปาทานรัดรึงให้คิดเห็นเป็น อคติ ใช้ความเห็นเชิง อัตตวิสัย ส่วนตัว-

ในการตัดสิน วนเวียนอยู่ในวังวน ของการพยายาม บิดเบือน ความจริง ที่ปรากฏอยู่ให้เปลี่ยนแปลงไป

เหล่านั้นมันจึงไร้ค่าโดยสิ้นเชิง...เมื่อทอดทิ้งแล้วซึ่ง ความจริง ที่อยู่เบื้องหน้า


โลกนี้แม้นจะไม่ กลมเกลี้ยง เพียงใด แต่ก็ไม่ใช่จะ บิดเบี้ยว ไปโดยสิ้นเชิง ยังหมุนวนเรื่อยไป

และคงไว้ใน กฎแห่งกรรม อย่างแท้จริง....

ตะนิ่นตาญี

วันอังคารที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

เวลา ๒๐.๒๑ นาฬิกา




#360515 (กาสร) ถอยกันเป็นแถบ ...

โดย ศรอรชุน on 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:35

มาดูควายดิ้นกันดีกว่าครับ...555


ขอหลักฐานตบหน้าสลิ่ม แมงสาบหน่อยครับ (2) ผลประโยชน์ทับซ้อน จาก ว.5 โฟร์ซีซั่น

http://www.pantip.co...2446783.html#42




(ชาวราชดำเนินมอบเพลงมาให้ คงหมั่นไส้เสื้อแดงกันมานานครับ)


ขอขอบคุณข้อมูลจากพี่คนกินข้าว ครับ
http://webboard.seri...ีซั่นหรือเปล่า/




#271291 เจ้ลีน่าจัง....เอิ้กกก.. ชนะเลิศไปเลย เอาไปกด likeๆๆ ให้พันล้านครั้ง

โดย redfrog53 on 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 - 16:57

ลีน่าจัง ด่า ยิ่งลักษณ์ ตอแหล
http://www.youtube.com/watch?v=1TK2VOMWBlc
ออกอากาศผ่านทางช่อง Hottv คลื่นความถื่ v3829 SYBMBOCLATE 5259 หรือผ่าน www.Hottv.in.th




#346305 มันชักจะหนักขึ้นทุกวันแล้ว " สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล "

โดย ดราม่า on 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:33

ประเทศนี้ เป็นของ "ประชาชน" .... ..

รับรองว่าไม่ใช้ประชาชนเสื้อแดงฝ่ายเดียว


#346303 มันชักจะหนักขึ้นทุกวันแล้ว " สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล "

โดย อิไซกูนิ on 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:32

ความจริง.หงอกเจียม.คนนี้ น่าจะ
โดนคดี ..หมิ่น ฯ ไปนานแล้ว แต่ก็
น่าเสียดาย ( เจ้าหน้าที่ ไม่รู้ไปนั่ง-
เกาขี้กาก..) อยู่ที่ไหน ???


จริงๆๆ :( :(