พระสงฆ์หนุ่ม 5 รูปที่เมืองมัณฑะเลย์จัดการประท้วงติดต่อกันเป็นวันที่สอง เรียกร้องให้ทางการพม่าปล่อยตัวนักโทษการเมือง และยุติการทำสงครามปราบปรามชนกลุ่มน้อย พร้อมจัดการล่ารายชื่อประชาชนเพื่อยื่นเสนอต่อประธานาธิบดีพม่า โดยที่ขณะนี้เจ้าหน้าที่รัฐบาลยังไม่เข้าห้ามปรามการชุมนุม มีเพียงพระผู้ใหญ่ที่พยายามห้ามเท่านั้น พระสงฆ์พม่าจัดการประท้วงเมื่อ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา ที่เมืองมัณฑะเลย์ ที่มา: Irrawaddy/Mandalay Breeze หนังสือพิมพ์อิระวดี รายงานว่า พระสงฆ์หนุ่ม 5 รูปที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ได้ประท้วงรัฐบาลตั้งแต่วันอังคาร (15 พ.ย.) ที่ผ่านมา โดยการประท้วงดำเนินต่อกันมาจนถึงวันนี้ (16 พ.ย.) ขณะที่พระชั้นผู้ใหญ่พยยามห้ามปรามพระสงฆ์ไม่ให้ประท้วงภายในวัด ทั้งนี้การประท้วงเกิดขึ้นในอาคารบริเวณวัดมหาเมียตมุนี ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญของเมือง โดยพระสงฆ์ได้ใช้เครื่องขยายเสียงกล่าวปราศรัย และเรียกร้องให้ทางการปล่อยตัวนักโทษการเมือง ยุติการใช้ทหารปราบปรามชนกลุ่มน้อย และเพิ่มขยายเสรีภาพในการแสดงออกในพม่า มากกว่านั้นพระสงฆ์ยังได้แขวนโปสเตอร์ที่กำแพงเป็นคำขวัญทางการเมืองเป็นภาษาอังกฤษและภาษาพม่า ขณะเดียวกันพระสงฆ์อาวุโสในวัดได้อ้างคำสั่งของทางการ และเรียกร้องให้พระสงฆ์หนุ่มยอมลงมาจากอาคาร ขณะที่ตั้งแต่ในช่วงเย็นวันอังคารพระสงฆ์หนุ่มที่จัดการประท้วงยอมทำตามข้อเรียกร้อง โดยย้ายการชุมนุมไปที่วัดแห่งอื่นและอยู่หน้าวัดด้งกล่าวเพื่อปักหลักประท้วง พระอูมากา หนึ่งในห้าพระสงฆ์ที่จัดการประท้วงบอกผู้สื่อข่าว \อิระวดี\" ว่า เมื่อเวลา 13.00 - 14.00 น. วันนี้ พวกเขาได้ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศข้อเสนอทางการเมืองอีกครั้ง เขากล่าวว่าพวกเขาจะประท้วงต่อไปจนกว่าจะมีการทำตามข้อเรียกร้อง ทั้งนี้มีประชาชนราว 500 คนยืนฟังการประท้วง มีคนจำนวนมากที่ลงชื่อท้ายข้อเรียกร้องของพระสงฆ์ซึ่งข้อเรียกร้องนี้จะยื่นต่อประธานาธิบดีเต็งเส่ง พระอูมากาบอกด้วยว่า พระสงฆ์ผู้ใหญ่ของวัดที่พวกเขาย้ายมาประท้วง ได้แจ้งว่าสิ่งที่พวกเขากระทำไม่อยู่ในวินัยสงฆ์ และเรียกร้องให้พวกเขาย้ายไปประท้วงที่อื่น ทั้งนี้เจ้าหน้าที่รัฐบาลในเมืองมัณฑะเลย์ยังไม่ได้กระทำการแทรกแซงใดๆ ต่อการประท้วง มีเพียงพระสงฆ์ผู้ใหญ่เท่านั้นที่ลงมาจัดการเรื่องนี้ ทั้งนี้อาจเป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยการประท้วงของพระสงฆ์เมื่อปี 2550 การประท้วงลุกลามหลังจากพระสงฆ์ที่เมืองป่าโคะกู่ในภาคกลางของพม่าเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล การประท้วงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลเสมือน \"รัฐบาลพลเรือน\" ของพม่าดำเนินการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและทางการเมือง ในขณะเดียวกันก็ทำสงครามกับชนกลุ่มน้อยในรัฐคะฉิ่นและยังคงมีการควบคุมตัวนักโทษการเมือง"
เป็นอีกครั้งที่ผู้นำศาสนาต้องทำหน้าที่เป็นผู้ชี้นำประชาชน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา หัวหน้าบาทหลวง ออสการ์ ครูซ ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาคนสำคัญของฟิลิปปินส์ แถลงข่าวว่า สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกฟิลิปปินส์ (CBCP: Catholic Bishop Conference of the Philippines) ขอร่วมภาวนาให้ประชาชนผู้ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเป็นไปอย่างสงบสันติ และขอให้ประชาชนออกมาแสดงพลัง เพื่อทวงถาม ‘สัจจะ ความยุติธรรม และความรับผิดชอบ’ ต่อไป
ชาว คาทอลิกจำนวนมากออกมาร่วมชุมนุมตามโบสถ์เพื่อสวดภาวนาให้รัฐบาลแสดงความรับ ผิดชอบเรื่องคดีทุจริตซึ่งกำลังเป็นประเด็นถกเถียงอยู่ตอนนี้
ขณะเดียวกัน โบสถ์คาทอลิกหลายแห่งซึ่งเป็นเึครือข่ายของสภาประมุขฯ ได้ก่อตั้ง ‘ศูนย์แห่งสัจจะ’ หรือ Truth Center ขึ้น เพื่อรับเรื่องจากประชาชนที่ต้องการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในคดีทุจริตใน โครงการสื่อสารของเจ้าหน้าที่รัฐบาล รวมถึงเรื่องเดือดร้อนต่างๆ ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการบริหารรัฐบาลของ ปธน.อาร์โรโยด้วย
การประกาศจุดยืนว่า ‘ไม่ยอมเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล’ ของสภาประมุขฯ ทำให้โฆษกรัฐบาลกล่าวเตือนว่า ขอบเขตของผู้นำศาสนาไม่ควรก้าวก่ายเรื่องการเมือง และไม่ควร ‘บ่มเพาะความเกลียดชัง’ ลงไปในจิตใจประชาชน ซึ่งการออกโรงเตือนครั้งนี้ น่าจะเป็นเพราะรัฐบาลตระหนักดีว่าพลังประชาชนทั้ง 2 ครั้ง ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองฟิลิปปินส์ที่ผ่านมา บาทหลวงโรมันคาทอลิกมีบทบาทสำคัญในการโน้มน้าวใจให้ผู้ประชาชนออกมารวมตัว กันจนสามารถล้มรัฐบาลได้
สำหรับครั้งนี้ หัวหน้าบาทหลวงระดับอาวุโส เอนเจิล ลักดาเมโอ ได้ออกแถลงการณ์ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.เพื่อเรียกร้องให้ประชาชนออกมาแสดงพลังประชาชนครั้งใหม่ เพื่อ ‘ชำระ’ ความทุจริตและอยุติธรรมในสังคม และประกาศยอมรับว่า การที่บาทหลวงคาทอลิก ‘โน้มน้าว’ ให้ประชาชนออกมาแสดงพลังในปี 2544 เพื่อขับไล่โจเซฟ เอสตราดา ลงจากตำแหน่ง เป็นผลให้ประธานาธิบดีคนใหม่ก้าวเข้าสู่รัฐบาล และกลับกลายเป็นว่า ประธานาธิบดีผู้นั้นเป็น ‘ผู้นำที่ฉ้อฉลที่สุด’ สภาประมุขฯ จึงขอให้ “ประชาชนเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่มาสู่ฟิลิปปินส์” อีกครั้ง
หัวหน้าบาทหลวงลักดาเมโอไม่ได้จำเพาะเจาะจงเพียงแค่ ปธน.กลอเรีย แมคคาปากัล อาร์โรโย หรือ GMA เพียงลำพัง แต่รวมถึงกระบวนการทุจริตที่เชื่อมโยงไปถึง โฮเซ่ มิเกล อาร์โรโย สามีของเธอด้วย เขาจึงเรียกร้องให้ชาวฟิิลิปปินส์สนับสนุน โรดอลโฟ โลซาดา จูเนียร์ อดีตข้าราชการฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นพยานสำคัญในคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลเรียกร้องสินบน และนายโลซาดา หรือ ‘จุน’ ได้ให้การเพิ่มเติมด้วยว่า สามีของ ปธน.อาร์โรโยก็เกี่ยวข้องกับการติดสินก้อนมหึมานี้
หัวหน้าบาทหลวงลักดาเมโอกล่าวว่า ‘โลซาดาคือผู้กล้าหาญ’ ที่ยอมเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อเปิดโปงความชั่วร้าย คำกล่าวเช่นนี้มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ชาวคาทอลิกจำนวนมากออกมาเป็นแนวร่วม บนท้องถนนเพื่อกดดันให้รัฐบาลเร่งสะสางคดีนี้โดยเร็วที่สุด
โดย เดลินิวส์ วัน จันทร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
บิ ชอปแห่งคริสตจักรโรมัน คาทอลิก ผู้ทรงอิทธิพลในฟิลิปปินส์ ประกาศสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐสองคน ซึ่งเปิดโปงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ การทุจริตอย่างมโหฬารในรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย พร้อมกันนั้น ยังเรียกร้องให้ประชาชนสนับสนุนความพยายามในการเปิดเผยข้อเท็จจริง
ทั้ง นี้ ในที่ประชุมของบิชอป คาทอลิกแห่งฟิลิปปินส์ ยกย่องนายโฮเซ เดอ เวเนเซีย อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายรูดอลโฟ โลซาดา จูเนียร์ อดีตที่ปรึกษารัฐบาล ที่นำเรื่องราวการทุจริตในรัฐบาล มาเปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งเกี่ยวโยงถึงนายไมค์ อาร์โรโย สามีของประธานาธิบดีอาร์โรโย
ด้านอาร์คบิชอปแองเจล แลคดาเมโอ ผู้นำกลุ่มบิชอปฟิลิปปินส์ กล่าวถึงนายเดอ เวเนเซีย กับนายโลซาดาว่าเป็นบุคคลที่มีความกล้าหาญ ในการเปิดโปงการทุจริตและรับสินบนในกลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล และว่า ฟิลิปปินส์ตกอยู่ในสภาวะการถูกครอบงำด้วยการทุจริตของผู้คนในรัฐบาลมาอย่าง ยาวนาน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ประชาชนสนับสนุนความพยายามของคาทอลิก ในการเปิดเผยความจริงที่อยู่เบื้องหลังการทุจริต
อนึ่ง คริสตจักรโรมันคาทอลิก เป็นองค์กรที่มีอิทธิพลในฟิลิปปินส์ และมีส่วนสำคัญในการโค่นล้มอดีตผู้นำมาแล้วสองคนคือ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส กับโจเซฟ เอสตราดา.
*อยากให้ จข กท อ่านและพิจารณาให้ดีๆ ตราบใดที่ประชาชนในประเทศเดือดร้อน ทุกข์ยากจากรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม
ฝ่ายศาสนจักรจะนิ่งดูดายได้อย่างไร เพราะศาสนจักร(ทุกศาสนา)จะดำรงคงอยู่ได้ต้องอาศัยศรัทธาประชาชนเป็นหลัก*
- โลกสวยงาม, TypeYourMind, sorrow and 4 others like this