Jump to content


Samkok911

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 28 พฤศจิกายน 2555
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2556 19:34
-----

#547875 สามก๊ก เอามาใช้ในทางการเมือง-ทหาร ได้จริงๆ หรือ?

โดย Samkok911 on 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 00:45

ขออนุญาตร่วมให้ข้อมูลครับ

เห็นว่ากำลังถกกันด้วยเหตุด้วยผลทั้งสองฝ่าย

ผมจึงคัดลอกเนื้อหาตอนขงเบ้งยืมลูกเกาทัณฑ์จากสามก๊กฉบับภาษาอังกฤษของบริวิทเทเลอร์มาให้อ่านดูบ้าง

เพื่อเป็นข้อมูลดิบในการสนทนากันต่อไปครับ (ผมทำตัวสีแดงให้ด้วย ในประเด็นที่โต้แย้งกัน)

 

Then the twenty boats were fastened together by long ropes and moved over to the north bank. The night proved very foggy and the mist was very dense along the river, so that one person could scarcely see another. In spite of the fog, Zhuge Liang urged the boats forward as if into the vast fairy kingdom.

 

The little fleet reached Cao Cao's naval camp about the fifth watch, and Zhuge Liang gave orders to form line lying prows west, and then to beat the drums and shout.

 

"But what shall we do if they attack us?" exclaimed Lu Su.

 

Zhuge Liang replied with a smile, "I think their fleet will not venture out in this fog. Go on with your wine, and let us be happy. We will go back when the fog lifts."

 

As soon as the shouting from the river was heard by those in the camp, the two admirals, Mao Jie and Yu Jin, ran off to report to Cao Cao, who said, "Coming up in a fog like this means that they have prepared an ambush for us. Do not go out, but get all the force together and shoot at them."

 

He also sent orders to the ground camps to dispatch six thousand of archers and crossbowmen to aid the marines.

 

The naval forces were then lined up shooting on the bank to prevent a landing. Presently the soldiers arrived, and ten thousand and more soldiers were shooting down into the river, where the arrows fell like rain. By and bye Zhuge Liang ordered the boats to turn round so that their prows pointed east and to go closer in so that many arrows might hit them.

 

Zhuge Liang ordered the drums to be kept beating till the sun was high and the fog began to disperse, when the boats got under way and sailed down stream. The whole twenty boats were bristling with arrows on both sides.

 

As they left, Zhuge Liang asked all the crews to shout derisively, "We thank you, Sir Prime Minister, for the arrows!"

 

They told Cao Cao, but by the time he came, the light boats helped by the swift current were seven miles long down the river and pursuit was impossible. Cao Cao saw that he had been duped and was very sorry, but there was no help for it.

 

On the way down Zhuge Liang said to his companion, "Every boat must have five or six thousand arrows and so, without the expenditure of an ounce of energy, we must have more than ten myriad arrows, which tomorrow can be shot back again at Cao Cao's army to his great inconvenience."

 

"You are really superhuman," said Lu Su. "But how did you know there would be a thick fog today?"

 

"One cannot be a leader without knowing the workings of heaven and the ways of earth. One must understand the secret gates and the interdependence of the elements, the mysteries of tactics and the value of forces. It is but an ordinary talent. I calculated three days ago that there would be a fog today, and so I set the limit at three days. Zhou Yu would give me ten days, but neither artificers nor materials, so that he might find occasion to put me to death as I knew. But my fate lies with the Supreme, and how could Zhou Yu harm me?"

 

Lu Su could not but agree. When the boats arrived, five hundred soldiers were in readiness on the bank to carry away the arrows. Zhuge Liang bade them go on board the boats, collect them and bear them to the tent of the Commander-in-Chief. Lu Su went to report that the arrows had been obtained and told Zhou Yu by what means.

 

Zhou Yu was amazed and sighed sadly, saying, "He is better than I. His methods are more than human."




#517841 สามก๊ก เอามาใช้ในทางการเมือง-ทหาร ได้จริงๆ หรือ?

โดย Samkok911 on 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 22:02

ไม่ได้บอกว่า "เกียงอุย" ไม่มีคุณค่านะครับ เป็นคนที่มีคุณภาพมากคนหนึ่งในประศาสตร์เลยทีเดียว
แต่ที่ว่าพลาดที่ไปเอา "เกียงอุย" นะถูกแล้วครับ พลาดเพราะไม่รู้จักจัดลำดับความสำคัญให้ดี
สงครามวุย-จ๊ก เป็นสงครามชิงบ้านชิงเมือง สมรภูมิใดสำคัญต้องรีบยึดครองก็ต้องยึด
จะมัวเห็นแก่คนไม่กี่คน แล้วเสียจังหวะชิงความได้เปรียบนั้น ถือเป็นผลชี้แพ้ชนะได้เลย
สงครามชิงแผ่นดินก็ต้องชิงเมืองเป็นหลัก เอาคนเป็นรอง
นี่มาเสียเวลาจับคนอยู่ จนวุยก๊กตั้งตัวได้ จะไม่ถือเป็นความผิดพลาดได้อย่างไร
หากกลืนกินวุยก๊กได้ คนดีมีฝีมือย่อมมีให้เลือกมากมายเหลือคณานับ
จะมาเห็นความสำคัญแค่คนหนึ่งคน แล้วเสียจังหวะที่หายากแบบนี้ เทียบอย่างไรก็ไม่คุ้มแน่นอน

Posted Image

ปล. เองจิว คือ ซีอานหรือเตียงอัน เมืองหลวงเก่าสมัยฮั่นตะวันตก
ลกเอี๋ยง คือเมืองหลวงเก่าสมัยฮั่นตะวันออก
ฮูโต๋ คือเมืองหลวงของวุยก๊ก


จากกระทู้ขอความคิดเห็นทางการเมือง ตอนนี้เริ่มกลายเป็นกระทู้สามก๊กเต็มตัวเสียแล้ว

แผนของอุยเอี๋ยนนั้น ขงเบ้งเถียงกับอุยเอี๋ยนตั้งแต่ก่อนยกทัพออกรบแล้วครับ ไม่ได้เถียงเพราะจะเอาเกียงอุยเลย
เรื่องขงเบ้งเอาเกียงอุยเป็นแค่ของแถมระหว่างทาง ขงเบ้งไม่ได้เสียเวลาอะไร

แผนของอุยเอี๋ยนเป็นแบบใจเร็วด่วนได้ คิดจะเอากำลังเพียงห้าพันคน(น้อยกว่าม๊อบเสธ.ฯ มาก) ลัดเลาะซอกเขาไปอยู่กลางระหว่างเตียงฮันกับลกเอี๋ยง
ซึ่งหากดูแผนที่ที่คุณ Ricebeanoil ยกมาประกอบจะเห็นว่าไกลจากดินแดนเสฉวนมาก ๆ แล้วจึงให้ขงเบ้งยกตีเมืองเตียงฮันอีกทางด้านตะวันตก
ขงเบ้งได้ยินเท่านี้ก็หัวเราะลั่น แล้วยกตัวอย่างว่าทหารห้าพัน จะตกอยู่กลางวงล้อมของทหารนับแสนของทั้งเมืองเตียงฮันและลกเอี๋ยงเสียเอง
กลายเป็นฝูงชนหย่อมเล็ก ๆ ที่ถูกล้อมด้วยกำแพงจาก เจ้าพนักงานของรัฐ เข้าออกได้ทางเดียว อย่างไรอย่างนั้น

และถ้าสมมุติว่าตีเตียงอันได้จริง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่จะกลับเลวร้ายหนัก เพราะ
ทหารขงเบ้งอันน้อยนิดจะเหมือนตกอยู่กลางวงล้อมของฝ่ายวุยก๊ก
ทางซ้ายมีเมืองเทียนซุย(ที่เกียงอุยอยู่) เมืองเสเกี๋ยงของเตียดลิเกียด ทางขวาก็มีทหารจากลกเอี๋ยงนับแสน ทีนี้จะรุกจะถอยก็ลำบาก ขงเบ้งจึงไม่เอาด้วย
ดูจากวิธีการจัดการม๊อบของตำรวจครั้งล่าสุด เขาตั้งด่านล้อมสถานที่ชุมนุม เข้าก็ยาก ออกก็ยาก ยังไงก็แพ้ ไม่เห็นทางไปเลย
เผลอ ๆ อาจจะถูกล้อมจับขึ้นศาลฐานกบฎได้

ขงเบ้งเลือกทางรอบคอบ คือตีไป เก็บไป ฟื้นตัว ฟื้นคน เอาชาวเมืองที่ตีได้มาเป็นพวก เพื่อเพิ่มจำนวนทหารในกองทัพ
ควบคุมพื้นที่ไม่ให้กองทัพโดนล้อม จะได้รบโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
สมรภูมิรบ ไม่ว่าที่ไหน จะป่าจะเขาจะเมือง หรือลานพระรูปฯ ต้องทำให้ได้เปรียบ ไม่ใช่ว่าปล่อยให้เขาล้อม
แล้วคิดเอาเองว่าคนแค่ห้าพันจะเอาชนะได้วงล้อมนั้นได้.....

....นี่ผมพยายามดึงให้เข้าการเมืองแล้วนะเนี่ย
ลองดูซิครับว่าสามก๊ก จะเอามาใช้ทางการเมือง-ทหาร ได้จริงหรือไม่
เผลอ ๆ คราวหน้าคนในเสรีไทย อาจจะมีไอเดียดีๆ ที่พาไปสู่จุดหมายให้ได้เฮกัน ก็เป็นได้นะครับ :D


#516981 สามก๊ก เอามาใช้ในทางการเมือง-ทหาร ได้จริงๆ หรือ?

โดย Samkok911 on 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 12:11

เห็นด่า "โจโฉ" ผมสงสัยว่า ด่าในนิยาย หรือจาก พงศาวดาร กันครับ
เพราะมีคนประเมินไว้ว่า นิยาย เท็จ 70 จริง 30 ส่วนพงศาวดาร จริง 70 เท็จ 30
เช่น เผาทัพเรือนี่คือ โจโฉ เป็นผู้เผา เพราะเกิดโรคระบาด การสาบานเป็นพี่น้อง
ในยุคนั้นยังไม่มี ดินปืนดินระเบิดยังไม่เกิด ฯลฯ


เรื่องสามก๊ก ที่เราเอามาอ้างในทางทหาร และทางการเมือง มาจากฉบับนิยายทั้งสิ้น ผมจึงหมายถึงโจโฉในนิยาย
ถ้าจะถกกันเรื่องสามก๊ก ควรถกในเรื่องที่คนส่วนใหญ่รับรู้กันดีกว่า โดนใช้ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) เป็นตัวตั้ง
ส่วนเล่มอื่นๆ ค่อนข้างแต่งเติมโดยใส่ทัศนคติของผู้เขียนลงไป
โดยเฉพาะเล่มที่อาจารย์คึกฤทธิ์เขียน (โจโฉ นายกตลอดกาล) เข้าข้างโจโฉ เพราะท่านตั้งใจเขียนประชดสังคมนายทุน คนก็เชื่อ
เพียงเพราะมียศ มีบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่งนายกฯ การันตี ท่านเขียนของท่านแบบเอามันส์ ให้เพื่อนเอาไปลงในหนังสือสยามรัฐ
แต่ก็เขียนได้ดีมาก และดูดีมีเหตุมีผล คนอ่านจึงหลงเชื่อกันทั้งเมือง
เถียงเรื่องสามก๊ก คนนึงถือนิยาย คนหนึ่งถือพงศาวดาร(ที่ไม่เคยมีใครรู้ว่าจะจริงสักเท่าไหร่) จึงเถียงกันได้ไม่รู้จบ

เปรียบเทียบกับบ้านเราที่เถียงกันไปเถียงกันมาในตอนนี้
นิยาย ก็เหมือน เรื่องเล่า บันทึก รูปภาพในFaceBook ของชาวบ้านแบบปากต่อปากสนุนสนาน ด้านนึงจริงและลึก อีกด้านก็เท็จและออดอ้อน
ส่วนพงศาวดาร ก็เป็นเอกสาร หลักฐานที่ จนท.รัฐบาล บันทึกแล้วเสนอนาย ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจลงนามรับรอง
จริงเท็จไม่สน เพราะนี่เป็นหลักฐานราชการ ย่อมเชื่อถือได้มากกว่าอยู่แล้ว อีกร้อยอีกพันปี คนก็จะใช้หลักฐานนี้เป็นตำราประวัติศาสตร์
.... แล้วเราจะเชื่อใครดีกันหนอ ?

ปากกาของคนไม่เคยตั้งตรง คนอ่านจึงต้องระวัง
(มีใครตั้งปากกาตรง ๆ เขียนบ้าง ผมยังถือเอียงขวาเลย) :)


#516359 สามก๊ก เอามาใช้ในทางการเมือง-ทหาร ได้จริงๆ หรือ?

โดย Samkok911 on 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 21:59

จริงๆ แผนของขงเบ้งก็มีแค่แบ่งแผ่นดินให้เป็นสาม เพื่อจะคานอำนาจโจ ที่เหนือกว่ามาก
เหมือนตอนเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ที่กะแบ่งกทม-ใต้ และเซาะอีสาน ของปชป. และภท.เพื่อจะแบ่งกำลังกันคานอำนาจพท. แต่ทำไม่ได้ตามเป้า

แผนยุทธศาสตร์สามก๊ก เป็นแผนที่ขงเบ้งวางไว้ให้เล่าปี่ตั้งตัวครับ การแบ่งแผ่นดินให้เป็นสามคือจุดตั้งต้นเท่านั้น
จากนั้นจึงค่อยทำให้เหลือสอง และเหลือหนึ่ง ...
ส่วนการเมืองในประเทศไทยของเรา ถ้าแบ่งประเทศแบบสามก๊กจริงก็คงจะวุ่นวายกว่าเดิมมาก
ดูอย่างเกาหลี มีแค่เหนือกับใต้ เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันแท้ ๆ ยังมองหน้ากันไม่ติด

จะว่าไป ผมเห็นด้วยกับคนที่บอกว่า ขงเบ้งคือคนที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากที่สุด เพราะจงใจทำให้เกิดสามก๊กขึ้น ตอนโจโฉแพ้ ก็จงใจปล่อยให้รอด เพื่อป้องกันไม่ให้ซุนกวนได้เป็นใหญ่ แล้วก็ถือโอกาสสร้างก๊กที่สามจนเป็น deadlock ไปอีกชั่วอายุคน ถ้าโจโฉชนะศึกเซ็กเพ็ก แผ่นดินก็จะรวมกันได้อีกครั้ง สงครามก็จะไม่ยืดเยื้อจนล้มตายกันเป็นล้านแบบนี้

ต้นเหตุความวุ่นวายมันสานต่อกันมาตั้งแต่ สิบขันที เตียวก๊ก โฮจิ๋น ตั๋งโต๊ะ อ้วนเสี้ยว และ "โจโฉ" ครับ
โจโฉ ในช่วงที่ปราบตั๋งโต๊ะแล้ว ได้ขึ้นเป็นใหญ่ควบคุมฮ่องเต้ ช่วงแรก ๆ ก็ดูดี แต่ต่อมาคิดทำการใหญ่
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพของฮ่องเต้ หลายต่อหลายครั้ง จนพระองค์ต้องเขียนโองการลับด้วยเลือด ขอความเป็นธรรมจากขุนนางผู้จงรักภักดี
ซึ่งการกระทำของโจโฉนี้ คนบางประเภทก็ชอบ คนบางประเภทก็ชัง
ใครที่ชอบวิธีการของโจโฉก็มาเข้ากับโจโฉ
ส่วนพวกหัวโบราณที่เกลียดชัง ก็แอบลงชื่อกันสาบานจะกำจัดศัตรูราชสมบัติ คนที่ลงชื่อนี้ ก็มีเล่าปี่อยู่ในนั้นด้วย
เมื่อนายกฯ อย่างโจโฉปกครองไม่เป็นธรรม และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพศูนย์รวมใจของชาติเสียเอง
เจ้าเมืองทั้งหลายจึงลุกขึ้นคัดค้าน ต่อต้าน ไม่ให้ความร่วมมือต่อการบริหารประเทศ
บ้านเมืองตกอยู่ในกลียุค มากกว่ายุคใด ๆ ตั๋งโต๊ะชั่วจริง แต่ก็ชั่วแบบเปิดเผย แต่โจโฉน่ากลัวกว่าเพราะ ชั่วแบบเนียน ๆ

โจโฉจะทำการใดก็แอบอ้างราชโองการ สงครามที่เซ็กเพ็กคนตายนับแสนเกิดขึ้น ก็เพราะโจโฉจะฆ่าเล่าปี่ จะตีซุนกวน
คนครึ่งประเทศมองโจโฉว่ากังฉิน (ขณะที่อีกครึ่งมองเป็นอัศวินคลื่นลูกที่สาม)
ขงเบ้งก็เป็นคนที่มองโจโฉว่ากังฉิน ผู้นำคนเดียวที่ชอบธรรมในสายตาขงเบ้งก็คือ เล่าปี่
แผนการแบ่งแผ่นดินจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยเล่าปี่ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น

ที่เซีกเพ๊ก ขงเบ้งต้องปล่อยโจโฉไปเพราะ แผ่นดินทางตอนเหนือยังต้องมีผู้นำ
หากโจโฉตาย แผ่นดินทางเหนือจะวุ่นวาย เจ้าเมืองทางเหนือต่างรอจังหวะชิงอำนาจ และฮ่องเต้จะตกอยู่ในอันตราย
เล่าปี่ยังไม่มีกำลัง ซุนกวนเวลานั้นก็ยังอ่อนแก่ความนัก ขงเบ้งจึงต้องหลอกให้กวนอูปล่อยโจโฉไป

พันปีที่แล้วโจโฉคือผู้ร้ายตัวจริง
แต่มายุคสมัยนี้ โลกมันกลับ คนรักโจโฉเยอะ ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ท่านเขียนยกย่องโจโฉไว้ว่าเป็น นายกตลอดกาล
หรือแม้แต่ในหนังสามก๊กสมัยใหม่ ก็ยกย่องโจโฉ และสร้างหนังให้โจโฉดูดี หลายต่อหลายเรื่อง

อ่านสามก๊กแล้วต้องทำใจ ได้รู้จักน้ำใจคนแล้ว ยังต้องรู้จักปลง ทุกสิ่งอย่างเป็นวัฏฏะ มีวนมีเวียน มีเกิดมีดับ
ตอนต้นและตอนจบเรื่องสามก๊กเขียนไว้ในแนว ๆ เดียวกันว่า แผ่นดินเป็นสุขมาช้านานแล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็กลับเป็นสุข
ข้อนี้พอจะใช้ในการเมืองได้ไหมครับ


#515808 สามก๊ก เอามาใช้ในทางการเมือง-ทหาร ได้จริงๆ หรือ?

โดย Samkok911 on 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 16:16

ถ้าอย่างนั้น สุมาอี้ไม่ได้ไร้ศักดิ์ศรี ขงเบ้งต่างหาก
ที่ห่วย เป็นฝ่ายบุกแต่สู้เขาไม่ได้ จะว่าไปแล้วผิด
หลักของซุนวูชัดๆ เลย รบโดยไม่รู้ว่าจะชนะเขาหรือเปล่า
ดันไปตีเขาตั้งหลายครั้ง สร้างความทุกข์ยากให้ประชาชน


ที่ว่าสุมาอี้ไร้ศักดิ์ศรี น่าจะเป็นตอนที่สุมาอี้ไม่ยอมออกรบ จนขงเบ้งต้องส่งเสื้อในของสตรีให้
สุมาอี้ก็ไม่สนใจ เอามาใส่โชว์หน้าตาเฉย ยังไง ๆ ก็ไม่ออกรบด้วย
ลองนึกภาพ ผบ.เหล่าทัพ ใส่ชุดกระโปรงสีชมพูสิครับ น่ารักใช่เล่น
หลังจากที่รบกันหลายครั้ง สุมาอี้เข้าใจปรัชญา รู้เขารู้เรามากกว่า เลยไม่ยอมออกรบ
ถ้าวัดกันแบบตัวต่อตัว สุมาอี้ไม่เคยสู้ขงเบ้งได้ โดนขงเบ้งซ้อนกลทุกครั้ง
สุดท้ายขงเบ้ง มาด่วนป่วยตายเสียก่อน จึงทำการไม่สำเร็จ คนเลยมองว่าสุมาอี้เหนือกว่า ทั้งที่เป็นเรื่องของอายุขัย

"ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน" คงเคยได้ยินนะครับ
ขงเบ้ง เป็นคนจำพวกดื้อรั้นประเภทหนึ่ง
ด้วยความที่มีสติปัญญาเหนือกว่าใคร ๆ ในยุคนั้น ทำให้ขงเบ้งมั่นใจในตัวเองมาก คิดถึงขนาดว่าตนเหนือกว่าฟ้า
ขงเบ้งยกทัพไปตีสุมาอี้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครในจ๊กก๊กสนับสนุนเลย ทั้งกษัตริย์ และเหล่าขุนนาง
ก่อนรบ ก็มีคนทักเรื่องชะตาฟ้า ว่าดาวของวุยก๊กยังเจิดจรัส ตียังไงก็ไม่แตก
ขงเบ้ง เป็นคนมีภูมิรู้เรื่องดาว แต่กลับอ้างว่าดวงดาวมีขึ้นมีตก เปลี่ยนแปลงทุกวัน ยกทัพครั้งนี้อาจมีพลิกผันได้
ขงเบ้งยกทัพไปบุกอยู่ 6 ครั้ง แต่ละครั้งมักจะมีเรื่องปวดหัวให้ขงเบ้งคอยตามแก้ และต้องยกทัพกลับทุกครั้ง
ไม่อาจฝืนลิขิตฟ้าได้

คนสมัยนี้ก็เช่นกัน พยายามฝืนฟ้ากันอยู่บ่อย ๆ ไม่เข้าท่าเลย

ผมเบื่อตรงขี่ม้าเลียบค่าย ด่าทอเพื่อให้แม่ทัพออกมาทำการสู้รบ
กับทรยศเจ้านายตัดหัวเอามาบรรณาการฝ่ายตรงข้ามและขออยู่ด้วย

สองมุขนี้ใช้บ่อยไปหน่อย แต่เวลาที่รบกันจริงๆ การตะโกนด้วยเสียง
กว่าที่ข้าศึกจะได้ยินต้องเข้าไปใกล้มากพอจนเข้ารัศมีของธนู
ถ้าเป็นผมคิดว่าอยู่ในค่ายปลอดภัยแข็งแรงยากจะหักเอาได้
จะแม่ทัพใหญ่แค่ไหนมีเกียรติแค่ไหน ผมก็จะสั่งให้ทหารเลว
ยิงธนูให้ตายเหมือนหมาซะตรงนั้นเลยอยากโง่นัก อิอิ


สมัยนั้นสู้กันแบบแมน ๆ เจอกันซึ่งๆ หน้า... เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว นอกจากในเกมกีฬา
หรือดูกันง่าย ๆ แบบหนังคาวบอย เดี๋ยวนี้จะมีหรือที่ ตำรวจ ผู้ร้าย จะมายืนดวลปืนกัน 1 ต่อ 1 ...
เห็นแล้วเท่ แต่ถ้าพระเอกแพ้ คงโดนประนามว่าโง่
เดี๋ยวนี้รบกันเป็นแบบสงครามกองโจร ไม่เปิดเผย ไม่สง่างาม แต่มีชัยเป็นใช้ได้
ส่วนที่เห็นมีรถถัง มีบอลลูน มีเรือ (ดำน้ำด้วย) มีเครื่องบิน อะไรใหญ่โตมากมาย ...
นั่นแค่เอาไว้แสดงอำนาจ เพื่อปรามกันให้กลัวเท่านั้นเอง
รบจริงกดปุ่ม ปล่อยจรวด คลิ๊กเดียว ตูมเดียวจบ


#515661 สามก๊ก เอามาใช้ในทางการเมือง-ทหาร ได้จริงๆ หรือ?

โดย Samkok911 on 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 14:48

สวัสดีครับ ชาวเสรีไทย

ผมเพิ่งสมัครเป็นสมาชิกใหม่ เพราะเห็นกระทู้เกี่ยวกับสามก๊ก อ่านแล้วคันไม้คันมีอยากแสดงความคิดเห็นบ้าง
ผมเองเข้ามาอ่านข้อความในบอร์ดนี้บ่อย ๆ เพราะส่วนมากเป็นเรื่องที่หาอ่านไม่ได้ตามเว็บไซต์ทั่วไป
และเพลิดเพลินกับข้อมูลในสถานที่แห่งนี้มาก ๆ ส่วนเรื่องสามก๊ก ที่ว่าเอามาใช้ในทางการเมือง การทหารได้หรือไม่นั้น ?
ต้องขอตอบว่าใช้ได้อย่างแน่นอนครับ

สามก๊กที่เรา ๆ ท่าน ๆ อ่านกันเป็นหลัก คงหนีไม่พ้นฉบับของเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ที่ปรับแต่งมาจากฉบับนิยายอีกที
แม้ว่าจะเป็นนิยาย แต่ความล้ำลึกของแผนการต่าง ๆ ในหนังสือสามก๊กนั้น สามารถหยิบฉวยนำมาใช้ได้เสมอ ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับ
"ศิลป์" ของแต่ละผู้แต่ละคนด้วย ในการนำมันมาประยุกติ์ใช้
เหมือนเวลาสอบเอนทรานซ์ อ่านหนังสือมาเหมือนกัน เรียนมาเหมือนกัน แต่เพื่อนมันดันทะลึ่งได้มากกว่าเรา..

ที่ว่าต้องประยุกติ์ ก็เพราะสามก๊กเป็นเรื่องในสมัยโบราณ พันกว่าปี บางเรื่อง บางอย่าง ไม่สามารถนำมาใช้กับยุคสมัยนี้ได้
จะให้ทหาร ตำรวจมาจัดทัพเป็นขบวนกลพยุหะมาสลายม๊อบ ก็คงไม่ใช่เรื่อง (เพราะใช้แก๊สน้ำตาเก่า ๆ มันง่ายและประหยัดกว่าเยอะ)
ขงเบ้งเล่นเปียโนตีขิม บนกำแพงเมืองร้าง ไม่มีในไม่มี ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ความหมายต่าง ๆ นานา คนคิด จินตนาการไปเองทั้งนั้น

ส่วนตัวแล้วผมมองว่าเรื่องสามก๊กเป็นเรื่องของการเรียนรู้นิสัยใจคอของ "คน" มากกว่า เพราะในเรื่องสามก๊ก
เราจะได้รู้จักตัวละครเป็นร้อยเป็นพัน แต่ละคนก็มีบุคคลิกลักษณะเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์
คนเราร้อยพ่อพันแม่ พื้นฐานความคิด จิตใจ คุณธรรม ทัศนคติล้วนแตกต่างกัน
ซึ่งแทบทุกกลยุทธิ์ กลศึก กลอุบายในสามก๊ก ล้วนมาจากการอ่านใจ และศึกษานิสัยใจคอของแม่ทัพ
ใช้หลักการง่าย ๆ แต่ทำยากของซุนวูนั่นคือ "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" ...

..... หัวใจของสามก๊กมันมีเท่านี้เองครับ