Jump to content


เตาะแตะ

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 2 มิถุนายน 2556
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2557 15:32
-----

Topics I've Started

หน้าฉาก // หลังฉาก ฟินได้ที่

6 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 10:59

จากนี่เลย : http://www.manager.c...D=9570000025675

 

ถ้าเป็นจริงตามที่ทีมงานรายงานฯ คงปิดกันให้ zzz เลย

ผชน.กลายเป็นฝูงเดินตามอย่าง the walkers (TWD) ไม่มีสมองของตัวเอง ยิ่งกว่า นปช. อีก

ว่ามะ?

 

แล้วดูหน้าเหลืองนี่สิ

 

135untitled.jpg

 

 

หน้าฉาก-หลังฉากตั้งโต๊ะเจรจา จับตา “สุเทพ” ดื้อจนหยดสุดท้าย

 

รายงานการเมือง
       
       ในจังหวะที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ตัดสินใจคืนพื้นที่กรุงเทพฯให้คน กทม.ด้วยการยุบทุกเวที-ทุกแยกของ กปปส.
       
       โดยให้มารวมกันที่เวทีใหม่ “สวนลุมพินี”
       
       มีใครบางคนที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศรส.) นั่งหัวเราะชอบใจอยู่ พ่วงด้วยเสียงเฮดังๆ ของ “บิ๊กตำรวจ” เพราะเรียกร้องให้ “กำนันสุเทพ” ยุบเวทีมารวมเป็นเวทีเดียวมานานแล้ว
       
       นั่นเพราะ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ผอ.ศรส.รู้ดีว่าการบริหาร “ม็อบกำนัน” จะทำได้ง่ายขึ้น ถ้าหากกระจัดกระจายเป้าหมายเคลื่อนก็จะทำให้เสี่ยงต่อการจับกุม
       
       “บิ๊ก ศรส.” เล่าว่า “เป็ดเหลิม” ถึงกับต่อสายโทรศัพท์ไปถึง “บิ๊กตำรวจ” หลายนายให้จัดเตรียมเซ็ตแผนจับกุมแกนนำ กปปส.ใหม่ทันที โดยให้นำเสนอในที่ประชุม ศรส.ในเร็ววันนี้
       
       มีหวัง “เป็ดเหลิม” ออกแอ็กชันโชว์จัดหนักกันอีกรอบแน่ แม้จะใช้ข้อบังคับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ “เป็ดเหลิม” สั่งจับตามกฎหมายอาญา
       
       งานนี้ต้องติดตามว่า “ตำรวจ” จะมีน้ำยามากน้อยแค่ไหน และยังจะบ้าจี้ตาม “เจ้านายบ้าอำนาจ” อยู่หรือไม่
       
       แต่ที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “สุเทพ-กปปส.” ที่การประกาศยุบรวมเวที กลับถูกสังคมค่อนขอดว่า หมดมุก-หมดคน-หมดพลัง แต่ทั้งทาง กปปส.กลับยืนยันว่าเป็นการปรับกลุยทธ์ เพื่อรุกกลับ “เครือข่ายทักษิณ” ให้เป็นรูปเป็นขบวนมากยิ่งขึ้น
       
       ทว่าบางกระแสกลับบอกว่า “สุเทพ-กปปส.” ทำตามเงื่อนไขหนึ่งของการเจรจา และเพื่อให้การเจรจาเดินหน้าไปได้ต้องทำให้เห็นว่า มีความจริงใจ
       
       แม้ “สุเทพ” จะยืนยันปากแข็งบนเวทีปราศรัยทุกครั้งว่าจะไม่เจรจากับ “เครือข่ายทักษิณ” แต่ในทางลับแล้วการเจรจาเคลื่อนไหวทุกวัน
       
       “พวกโลกสวย” ที่ “สุเทพ” เอ่ยถึงบนเวทีปราศรัยอยู่หลายครั้ง ยังคงเดินหน้าพูดคุยให้ทั้ง 2 ขั้วอำนาจหน้าฉาก ได้หันมาเงื่อนไขซึ่งกันและกัน
       
       ความพยายามของ “ปลัดเค-มิสเตอร์เอ็น” ยังคงไม่ลดละ พยายามอย่างหนักต่อไป
       
       “พวกภาพสวย” อย่าง “วิษณุ เครืองาม” ต้นตำรับเนติบริกร แม้จะถูก “นายใหญ่” ขึ้นแบล็กลิสต์ไม่ไว้วางใจ เพราะกระแสหนึ่งระบุว่า “สุเทพ” ไว้เนื้อเชื่อใจ “วิษณุ” มาก กระแสหนึ่งบอกว่า “วิษณุ” เซย์โนเอง
       
       ขบวนการของ “พวกภาพสวย” ที่ต่างฝ่ายต่างเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะนั่ง “นายกฯคนกลาง” ช่วยแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองให้เดินหน้าต่อไปได้ ยังคงเดินหน้าอยู่ และเชื่อมคอนเนคชั่นให้สูงขึ้นอีก
       
       ตัวละครสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนหน้าใหม่-หน้าเก่าบ้าง ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส
       
       แต่ “คีย์แมน” คนหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนมีชื่อว่า “นิพนธ์ พร้อมพันธ์” ผู้ที่มักจะพก “สัญญาณพิเศษ” มาด้วยเสมอ
       
       ยี่ห้อ “นิพนธ์” คนในวงการการเมืองรู้ดีว่า “สาย” ใคร
       
       ครั้นหนึ่งใน “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ที่มีปัญหาแต่งตั้ง ผบ.ตร.ซึ่งมีแคนดิเดต 2 คนคือ “พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย” กับ “พล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ” มี “สัญญาณพิเศษ” ทับซ้อน เดือดร้อน “นิพนธ์” ต้องบินไปประเทศเยอรมนีมาแล้ว
       
       ในศึก “กปปส. vs เครือข่ายทักษิณ” จึงมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “นิพนธ์” หันกลับมารับจ๊อบจาก “บุคคลระดับสูง” ให้นำ “สัญญาณพิเศษ” มาเจรจาเพื่อต่อรองกับ “สุเทพ-กปปส.”
       
       ตามลูกเชี่ยวการเมืองของ “สุเทพ” จึงรู้ดีว่าจังหวะไหนควรคุย จังหวะไหนควรเลี่ยง
       
       ที่สำคัญใน กปปส.เอง “สุเทพ” ไว้ใจแค่ “ลูกหาบ” ที่พากันออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์มายืนแถวหน้ามวลมหาประชาชนเท่านั้น กลุ่มคนเหล่านี้รับรู้ทิศทางความเคลื่อนไหว “ผลการเจรจา” เกือบทั้งหมด
       
       ระยะหลังเริ่มมีความเคลื่อนไหวในการดีลลับหลายกลุ่ม โดยเฉพาะ “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ที่รู้กันดีว่ามีลูกศิษย์ลูกหามากมาย อาทิ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา - พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา” จึงมีผู้หวังดีเปิดดีลลับๆ กับ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” น้องเขยนายใหญ่
       
       และ “หวังดี” ถึงขนาดนำภาพมาโพสต์ลงแฟนเพจเฟซบุ๊กจนฮือฮาใหญ่โต เมื่อแรกเห็นและทราบเรื่องทำเอา “กำนันสุเทพ” อึกอักไปไม่เป็นเหมือนกัน เพราะวันนั้นยังประกาศโครมๆ ว่า ไม่คุย ไม่เจรจา ไม่ต่อรอง ก่อนจะตั้งหลักกลับมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ว่า เป็นไปตามบริบทของแต่ละเวที
       
       เสียงอื้ออึงว่าจุดนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ “สุเทพ” ตัดสินใจยุบเวที กปปส.ทั้งหมด แล้วมารวมศูนย์ที่ “สวนลุมพินี” เพื่อกระชับอำนาจการต่อรองไว้อยู่ที่ “สุเทพ” คนเดียว
       
       ตามจังหวะที่การเจรจายังชักเข้าชักออก ต่างฝ่ายต่างเล่นแง่กันอยู่ ฝั่ง “คนเสื้อแดง” แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เร่งเครื่องหนักระดมปลุกลิ่วล้อให้ออกมารักษาประชาธิปไตย ปูดข่าวเกณฑ์คนฝึกอาวุธกันจริงจัง วาดภาพ “สงครามกลางเมือง” ที่พูดขึ้นมาเมื่อใด ประชาชน ก็กลัวเมื่อนั้น
       
       ความเคลื่อนไหวของ “แดง นปช.” เสมือนบีบให้มวลชนที่ศรัทธา “สุเทพ-กปปส.” ฝ่อตัวไปเอง หวังให้เกิดความกลัวจนไม่กล้าออกมาร่วมการชุมนุมอีก
       
       ทางหนึ่ง “ชายชุดดำ” ที่ฝึกอาวุธมาตั้งแต่ปี 2553 บรรดา “นายพลเฒ่า” ระดมอาวุธยุทโธปกรณ์ยิงใส่ที่ชุมนุม กปปส.สร้างภาพความรุนแรง มีผลทำให้มวลมหาประชาชนประชาชนออกมาร่วมชุมนุม กปปส.มียอดน้อยลงชัดเจน
       
       ทุกกระบวนการของ “เครือข่ายทักษิณ” บีบให้ “สุเทพ-กปปส.” ต้องขึ้นโต๊ะเจรจาอย่างจริงๆ จังๆ
       
       หลังจากนี้ต้องวัดใจ “สุเทพ-กปปส.” ว่าจะดื้อแพ่งไปได้สักกี่น้ำ ก่อนจะยอมขึ้นโต๊ะเจรจา หรือจะยอมฮึดสู้-ยอมตาย ไม่ร่วมขึ้นโต๊ะเจรจา แม้ว่าสัญญาณการเจรจาจะมาจาก “บุคคลระดับสูง” หรือจะมาจากแรงบีบจากเหตุความรุนแรง
       
       วัดใจ “สุเทพ” วัดใจ “แกนนำ กปปส.” วัดใจ “ปชป.” ว่าจะยอมสูญเสียโอกาสที่จะทำลาย “ระบอบทักษิณ” ที่จะหาไม่ได้อีกแล้วหรือไม่


หยุดรถ ขอน้ำใจหน่อยเตอะ

12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 11:05

ขอบคุณ

สมจิตต์ นวเครือสุนทร

และสมาชิกที่แบ่งปันกัน

 

 


เดี๋ยวเบาเดี๋ยวแรงส์ นะป๋าเปลว

7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 08:06

งวดนี้แรงส์ มาก ป๋าเปลวไม่กลัวสิ่งเทียมคนฟ้องเลย

ถึงจะสะไปด้วย

แต่เราต้องทนอยู่กับพวก XX ไปถึงไหน?

จะรอวันฟ้าเปิดได้ถึงเมื่อไร

:angry:  :(

 

***********************************

7 กพ.2557

http://www.thaipost....ws/070214/85685

 

เปลว สีเงิน

 

 

 

 

"วิสัชนาว่าด้วยเรื่องคนและสัตว์"

 

 

โชคร้ายของประเทศไทยที่ได้ "สัตว์ในร่างมนุษย์" เป็นผู้นำบริหารประเทศที่เรียกว่า "นายกรัฐมนตรี"
    เป็น "สัตว์เพศเมีย" ซะด้วย!
    ด้วยเหตุนั้น ภาพที่จะไม่เกิดขึ้นได้เลยในสังคมมนุษย์โลก จึงเกิดขึ้นได้ที่ประเทศไทย ณ พ.ศ.๒๕๕๗ อันการบริหารและปกครองอยู่ใต้ระบอบทักษิณ คือ 
    "รัฐบาลโกงเงินค่ารับจำนำข้าวชาวนา"
    จนชาวนา "ผูกคอตาย" เพราะไม่มีเงินดำรงชีวิตประจำวัน!
    เมื่อชาวนาทวงถาม นายกรัฐมนตรีกลับอ้างว่า เพราะธนาคารไม่ให้กู้บ้าง เพราะยุบสภาฯ แล้วบ้าง เพราะกำนันสุเทพนำคนชุมนุมบ้าง!?
    มันเป็นคำแก้ตัวที่ไม่ใช่ไร้แค่ความรับผิดชอบ แต่มันไร้ความเป็นคนเลยทีเดียว 
    เพราะถ้าเป็นคนต้องมีหิริ คือ ละอายต่อบาปที่โกงชาวนา มีโอตตัปปะ คือ เกรงกลัวต่อบาปที่ทำกับชาวนานั้น 
    และมีสำนึกถึงผิดที่ตัวเองทำ ด้วยความรับผิดชอบตามตำแหน่งหน้าที่แห่งตน พร้อมทั้งแก้ไขสิ่งผิดนั้น
    เยี่ยงนี้ จึงจะนับเป็นคนได้
    ส่วนที่ "ปัดความรับผิดชอบ" ทั้งมวลด้วยไม่สำนึก เที่ยวไปโทษคนโน้น-คนนี้ ไม่เคยโทษตัวเองเลยนั้น 
    เยี่ยงนี้นับเป็นคนก็ไม่ได้ 
    นับเป็นสัตว์ ก็ยังสูงไป สำหรับนังคนนี้.....! 
    เพราะสัตว์บางชนิดมันยังมีสำนึก รู้ผิด-รู้ถูก เช่นสุนัข เมื่อรู้ว่าผิด มันจะแสดงอาการ หลุบตา หู-หางตก 
    หลบไปซุกจ๋องๆ ไม่ออกมาเพ่นพ่าน ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งเทียมนายกฯ ของไทยที่ชื่อยิ่งลักษณ์ ดังทุกวันนี้!
    บทสรุป "ความต่างระหว่างคนกับสัตว์ มันก็มีสั้นๆ แค่นี้ว่า "คนโกงย่อมเลวกว่าสัตว์"
    เพราะสัตว์โกงไม่เป็น 
    และสัตว์ไม่เคยโกงใคร!
    ถ้าพูดถึงการโกงในภาครัฐบาล เท่าที่ปรากฏเป็นข่าว จากอดีตถึงปัจจุบัน จะโกงกันในรูปคอร์รัปชัน 
    ผ่านโครงการ ผ่านเงินช่วยเหลือ ผ่านนโยบาย ผ่านงบประมาณ ผ่านทรัพยากร ผ่านการจัดซื้อ-จัดจ้าง ผ่านการเบียดบัง และผ่านลาภอันมิควรได้ เหล่านี้เป็นต้น
    ก็จะสังเกตเห็นว่า ต่อให้คนนั้นเลวด้วยการโกงขนาดไหน ก็ไม่ชั่วช้าเลวทรามถึงขั้นลงไปโกงระดับล้วงกระเป๋า "ชาวไร่-ชาวนา" ซึ่งถือว่า... 
    ชาวนา คือบุบผาวรรณะดอกหญ้า สวยงามเท่ากับความบอบบาง อัน ธรรมชาติสร้างให้มาหล่อเลี้ยงทั้งชีวิตมนุษย์และจิตวิญญาณโลก
    ซึ่งต้องทะนุถนอมรักษา เท่ากับ น่าสงสารและเห็นใจ!
    แต่รัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้ระบอบทักษิณ อันมีนางยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ เธอทำในสิ่งที่ผู้นำประเทศ "ที่เป็นคน" ทั้งโลก เขาไม่ทำกัน
    คือโกงเงินค่ารับจำนำข้าวจากชาวนาซึ่งๆ หน้า รวมแล้วกว่า ๑.๓ แสนล้านบาท     
    ยังไม่นับในส่วนอาศัยข้าวชาวนานั้นไป "โกงเงินหลวง" อีกไม่รู้เท่าไหร่!?
    ผมเหนื่อย เอียน ขยะแขยง เกินทน ที่จะยกเรื่องราวการโกงชาวนาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาแจกแจงถึงเสนียดชั่วให้ติดตัวเองซ้ำๆ ซากๆ 
    ขณะนี้ อย่าว่าแต่ภายในประเทศเลย...! 
    นอกประเทศ ด้วยสื่อแขนงต่างๆ เขาโพนทะนา...ประเทศไทย โดยยิ่งลักษณ์ น้องสาวทักษิณ โกงชาวนา จนระบือลือลั่นไปทั้งโลกแล้ว!
    เขาตีแผ่กระทั่งว่า ด้วยนโยบายอ้างชาวนาบังหน้าไป "โกงชาติ" อีกต่อนั้น เป็นอานิสงส์ให้พม่า-เขมร-ลาว "ขนข้าวข้ามแดน" เข้ามาขายในราคาจำนำ 
    ได้เงินสด รวยกว่า-สบายกว่า ชาวนาไทยอีก!
    ตรงนี้แหละ เป็นคำตอบส่วนหนึ่งของเงินรับจำนำข้าว ๗ แสนกว่าล้าน ว่า รัฐบาลขายข้าวได้คืนมาแค่ ๑.๘ แสนล้าน 
    แล้วส่วนต่าง ๔-๕ แสนล้าน มันหายไปไหน?
    หายไปตรง..... 
    ๑.โรงสีโครงการรัฐบาล รับซื้อข้าวชาวนาแค่เกวียนละ ๑๐,๐๐๐-๑๑,๐๐๐ บาท แล้วสมคบขายรัฐบาลเต็มราคาจำนำเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท 
    ๒.พวกในขบวนการมันนั่นแหละ เอาข้าวลักลอบจากเขมร-ลาว-พม่า ซึ่งซื้อในราคาถูกกว่าข้าวไทย แล้วขายเข้าโครงการ ๑๕,๐๐๐ บาท
    ๓.พวกในขบวนการมันนั่นแหละ "เวียนเทียน" ข้าวตันเดียว เวียนขายเอาเงินหลวง ๑๕,๐๐๐ ได้ ๒-๓ รอบ 
    บางโรงสี ให้ขับรถบรรทุกข้าวผ่าน แล้วเวียนออกไปเลย อย่างนี้มันก็ทำกัน!
    ไม่รวยฉิบหายจากโกงข้าวกันแค่คนระบอบทักษิณ-เจ๊ ด.-นัง ย. เท่านั้น ยังรวยเรี่ยราดไปถึงคนรัฐตามชายด่าน-ชายแดน กระทั่งตะกวดตรวจถนนย่านปทุมธานี
    ซุ่มจับรถขนข้าวเขมร แล้วรีด...!
    คืนๆ รวยเป็นแสน แต่ละเดือน แบ่งกันตั้งแต่ เงี่ยงปลาทูยันมงกุฎครอบดาว "ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ" เป็นกอบ-เป็นกำ ตามระบอบทักษิณนิยม!
    ชาวนาจำนำข้าวรอบ ๕๖/๕๗ ผ่านไปแล้วกว่า ๔ เดือน ได้ใบประทวนแทนเงินกันคนละใบ-สองใบ จนถึง ๙ ธันวา ๕๖ ยิ่งลักษณ์ยุบสภาฯ 
    คือหมายความว่า ติดหนี้ชาวนาก่อนแล้วกว่า ๔ เดือน ถึงจะมายุบสภาฯ แล้วอย่างนี้ อ้างชุมนุม อ้างยุบสภาฯ ได้อย่างไร?    
    วงเงินรับจำนำข้าว ๕ แสนล้าน...มันเต็ม กู้ไม่ได้แล้ว ที่รับจำนำไว้ก่อนหน้าก็ยัดไว้ล้นโกดัง ขายไม่ได้ เพราะซื้อมาแพงกว่าราคาตลาด เว้นแต่เอาไปโกงกันเองได้ 
    จึงไม่มีเงินหมุนเวียนรับซื้อข้าวรอบใหม่!
    "ยักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกัก" ๔ เดือนผ่านไป ก็ยังหาเงินจ่ายค่าข้าวประชานิยม ๑.๓ แสนล้านไม่ได้...
    จนกระทั่งยุบสภาฯ เป็นรัฐบาลรักษาการ ไม่มีอำนาจสร้างหนี้-สร้างสินผูกพัน ทอดยาวมาอีก ๒ เดือน จนชาวนาสุดทน หมดทั้งทุนทำนารอบใหม่ ไม่มีทั้งเงินค่าใช้จ่ายรายวัน!
    บาปกรรมที่ทำกับชาวนา ทำกับประเทศชาติ ทำกับระบบค้าข้าวของประเทศ ด้วยหวังใช้ประชานิยมซื้อคะแนนนิยมให้พรรคตัวเอง 
    จึงเป็นบ่วงพันคอตัวเอง ดังขณะนี้!
    ถ้ามีความเป็นคน "ซักนิด" เขาลาออกไปนานแล้ว จะไม่ลอยหน้า-ลอยดอก สู้เสียงด่า สายตาหยาม ของคนทั้งโลกอย่างที่นางยิ่งลักษณ์ลอยหน้า-ลอยตาอยู่ทุกวันนี้หรอก
    และถ้ามีความเป็นคน "ซักครึ่ง" ย่อมละอายด้วยสำนึกในความเลวทรามตัวเองจากโกงชาวนา เขาจะไม่แค่ลาออก
    แต่จะเชือดคอตัวเองตาย หรือโดดดอยสุเทพลงมาตาย เป็นการสมาโทษด้วยซ้ำ!
    และก็แปลก....
    เห็นจะมีแต่สังคมข้าราชการ สังคมทหาร สังคมตำรวจ สังคมวิชาการ สังคมการศึกษา สังคมศาสนา สังคมสื่อ เฉพาะที่ประเทศไทยเท่านั้น
    ทั้งรู้ ทั้งเห็น ตำตา-ตำใจโต้งๆ ว่า อีนาง-ไอ้นาย คนนี้-คนนั้น มันโกงชาติ ขายชาติ โกงกระทั่งชาวนา 
    แต่สังคมข้าราชการ และสังคมชาติ ยังคงค้อมหัว เอามือกอกระดุม ขอรับ..กระผม..ครับ..ค่ะ 
    คือรับอำนาจชั่ว-คำสั่งชั่ว อันเป็นโทษกับสังคมชาติไปปฏิบัติกันอยู่ได้!
    ผมไม่เข้าใจ ข้าราชการไปค้อมหัว หิ้วชายกระโปรงให้หญิงบริหารโกงชาติอยู่ได้อย่างไร ทั้งที่อยู่ในสภาพนายกฯ เถื่อนด้วยซ้ำ?
    มันสง่างาม และมีเกียรติ เป็นหน้า-เป็นตา ทั้งกับตัวเองและวงศ์ตระกูลมากนักหรือ?
    ช่วยกันจับแขน-ขาคนละข้าง นับ ๑..๒..๓ แล้วโยนใส่ถังขยะให้หมาแทะ นั่นแหละคือความสง่างามที่ได้จากการทำคุณให้กับชาติและสังคม!
    มันบริหารกันเอาแต่ ตำแหน่ง-อำนาจ-เงิน เท่านั้น ดูซี...เมื่อวาน (๖ ก.พ.๕๗) ชาวนายกขบวนไปทวงเงินถึงกระทรวงพาณิชย์ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายยรรยง พวงราช นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ  
    หนีเอาหัวไปมุดรูไหนอยู่มิทราบ?
    ปล่อยให้ข้าราชการประจำระดับ "รองปลัดฯ" ซึ่งไม่มีอำนาจตอบเยส ตอบโน กับเจ้าหนี้คือชาวนา ออกมารับหน้าแทน
    นี่คืออุทาหรณ์ข้าราชการ เกาะมือ-เกาะตีนการเมืองหวังใหญ่ ถึงเวลา นักการเมืองมันไม่เคยรับผิดชอบ กินแล้วก็ไป ทิ้งขี้ ทิ้งปัญหา ทิ้งฎีกาคุกไว้ให้ข้าราชการประจำรับหน้า-รับกรรม
    วิบากกรรมสุดท้ายประเทศไทยกำลังจะสิ้น กำลังก้าวขึ้นสู่เส้นทางอนาคตสายใหม่ ฉะนั้น การปฏิบัติตนของข้าราชการ ควรเคารพนับถือคน
    อย่าเคารพนับถือ "สัตว์ในร่างคน"!.


อดีตก็เรื่องนึง ปัจจุบันท่านดีทีเดียว ขอยกนิ้วให้ท่านธีระชัยฯ

27 มกราคม พ.ศ. 2557 - 15:33

ท่านให้ความเห็นไว้น่าสนใจ แต่ ณ บัดนี้ เขาจะอ่านกันไหมนี่ และถึงอ่าน ก็จะตามๆกันไปค่อนข้างแน่ ปล่อยให้ล้มไม่ได้นี่หว่า

 

***************************************************************

 

 

 


Thirachai Phuvanatnaranubala · 12,872 คนถูกใจสิ่งนี้
6 ชั่วโมงที่แล้ว · 
  • จดหมายเปิดผนึกถึงข้าราชการกระทรวงการคลังและผู้บริหารสถาบันการเงิน เกี่ยวกับเงินกู้รับจำนำข้าว

    วันที่ 25 มกราคม 2557
    เรื่อง การตีความของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องโครงการรับจำนำข้าว

    เรียน 1 ปลัดกระทรวงการคลัง
    2 ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ
    3 ผู้บริหารสถาบันการเงินที่กำลังพิจารณาจะให้กู้ยืมในโครงการรับจำนำข้าว

    ตามที่ปรากฏข่าวในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ 25 มกราคม 2557 ว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้แจ้งผลการพิจารณาเรื่องโครงการจำนำข้าวมาที่รัฐบาล โดยพิจารณาเห็นว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ไม่ถือเป็นโครงการใหม่ เนื่องจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกฤดูกาลผลิตปี 2556/ 2557 ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 ซึ่งเป็นการดำเนินการก่อนที่นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมามีเกษตรกรได้เข้าร่วมในโครงการดังกล่าวของรัฐบาล ดังนั้นถือเป็นหนี้ผูกพันที่รัฐบาลต้องหาแหล่งเงินมาบริหารหนี้ที่เกิดจากโครงการดังกล่าว


    สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงมีความเห็นว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกฤดูกาลผลิตปี 2556/ 2557 จึงอยู่ในเงื่อนไขมาตรา 181 (3) นั้น

    ผมขอเรียนว่าในการพิจารณาดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาน่าจะยังมิได้คำนึงอย่างครบถ้วนและรอบคอบในประเด็นต่อไปนี้

    1.
    การโอนวงเงินกู้ที่มีไว้เพื่อรองรับร่าง พรบ. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... (เงินกู้สองล้านล้านบาท) น่าจะไม่ถูกต้อง

    วงเงินกู้ 1.3 แสนล้านบาท ที่โอนจากโครงการคมนาคม ไปใช้ในโครงการรับจำนำข้าวแทนนั้น เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินรวม 3,316,330.84 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวงเงินที่เตรียมไว้รองรับการก่อหนี้ตามร่าง พรบ. ข้างต้น จึงเป็นวงเงินอนาคต ดังนั้น การโอนวงเงินอนาคต มาใช้ในปัจจุบัน ทั้งที่ร่าง พรบ. ดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ จึงน่าจะไม่ถูกต้อง

    2. การโอนวงเงินกู้จากโครงการคมนาคมไปใช้ในโครงการรับจำนำข้าว น่าจะมีผลเป็นการรอนสิทธิคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ทั้งในการดำเนินการโครงการคมนาคมดังกล่าว และในการกำหนดนโยบายการคลังหาแหล่งเงินเพื่อใช้ในโครงการรับจำนำข้าว

    เนื่องจากโครงการคมนาคมดังกล่าวน่าจะได้รับการพิจารณามาแล้วอย่างรอบคอบโดยกระทรวงคมนาคม ดังนั้น เมื่อมีการโอนวงเงินสำหรับโครงการดังกล่าวออกไป คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ย่อมจะไม่สามารถเลือกที่จะดำเนินการโครงการดังกล่าวได้อีกต่อไป หรือหากจะดำเนินการ ก็ต้องมีภาระหาเงินกู้ก้อนใหม่เพื่อการนี้
    นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่อาจจะประสงค์ที่จะใช้แหล่งเงินจากการขายข้าว ให้เป็นแหล่งเงินหลักเสียก่อน แล้วค่อยใช้แหล่งเงินจากการกู้ เป็นแหล่งเพิ่มเติมถ้าหากไม่พอเพียง ดังนั้น การโอนวงเงินกู้ดังกล่าว จึงเป็นการรอนสิทธิของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะกำหนดนโยบายการคลังจัดลำดับก่อนหลังของแหล่งเงิน

    3.
    การโอนวงเงินกู้ดังกล่าว น่าจะผิดวัตถุประสงค์ในการกำหนดวงเงินรับจำนำข้าวเป็นวงเงินหมุนเวียน

    ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้กำหนดวงเงินสำหรับโครงการรับจำนำข้าวในลักษณะที่เป็นวงเงินหมุนเวียน ก็เพื่อกระตุ้นให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการจำหน่ายข้าว อันจะเป็นการลดความเสี่ยงข้าวเสื่อมสภาพ และป้องกันการทุจริต มิให้มีการชะลอการขายข้าวแบบผ่านคอขวด โดยให้ผ่านผู้ซื้อเพียงไม่กี่รายไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ดังนั้น การโอนวงเงินดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินการที่ผิดวัตถุประสงค์เดิม ที่ต้องการลดความเสี่ยงข้าวเสื่อมสภาพ และป้องปรามการทุจริต

    4. การที่
    คณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะฯ มีมติโอนวงเงิน และให้กระทรวงการคลังค้ำประกันหนี้ดังกล่าวนั้น เป็นมติที่เกิดขึ้นภายหลังการยุบสภา จึงน่าจะเข้าบทบัญญัติของมาตรา 181 (3) ด้วย

    ถึงแม้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกฤดูกาลผลิตปี 2556/ 2557 จะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 ซึ่งเป็นการดำเนินการก่อนที่นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ก็ตาม แต่คณะรัฐมนตรีมิได้อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันหนี้ การค้ำประกันหนี้ปรากฏภายหลังในมติของคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะฯ ที่เกิดขึ้นภายหลังการยุบสภา

    เรื่องนี้ต้องพิจารณาสองประเด็น หนึ่ง มติของคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะฯ มีอำนาจที่จะบังคับคณะรัฐมนตรีรักษาการณ์ ให้ต้องไม่คัดค้านการค้ำประกันหนี้ ตามมติของคณะกรรมการดังกล่าวได้จริงหรือไม่ และ สอง หากมีอำนาจที่จะบังคับคณะรัฐมนตรีรักษาการณ์ได้จริง การดำเนินการของคณะกรรมการหนี้สาธารณะฯ น่าจะต้องอยู่ในบทบัญญัติของมาตรา 181 (3) ด้วย

    5.
    การโอนวงเงินและขั้นตอนการอนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันดังกล่าวไม่เป็นไปตามขั้นตอนปกติที่เคยใช้เดิม จึงอาจจะมีเจตนาฝ่าฝืนมาตรา 181 (4)

    เนื่องจากการชำระเงินให้แก่เกษตรกรที่ค้าง จะทำให้เกิดผลดีแก่พรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลเป็นอย่างมาก โดยจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เกี่ยวข้องจะมีหลายล้านคน ทั้งตัวเกษตรกรเอง และบุคคลในครอบครัว รวมไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องในขบวนการรับจำนำข้าวด้วย ดังนั้น ผู้ดำเนินการจึงต้องระมัดระวัง มิให้เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 181 (4)

    แต่กรณีนี้มีการดำเนินการที่ไม่ค่อยจะปกติอย่างน้อยสามเรื่อง คือ 

    หนึ่ง การโอนวงเงินที่เป็นส่วนหนึ่งของร่าง พรบ. กู้เงินสองล้านล้านบาท ในระหว่างการเลือกตั้ง โดยไม่รอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสียก่อน เป็นการดำเนินการที่รีบร้อน อาจจะมีเจตนาแอบแฝงเพื่อให้มีผลต่อการเลือกตั้ง

    สอง การโอนวงเงินจากโครงการลงทุนเพื่อสร้างทรัพย์สินวัตถุถาวรให้แก่ประเทศ อันเป็นโครงการที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกและลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าและการเดินทาง อันเป็นโครงการที่สำคัญต่อกลยุทธทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง แต่เปลี่ยนไปเป็นโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นการใช้สิ้นเปลืองและมีโอกาสจะขาดทุน และไม่ได้สร้างวัตถุถาวรใดๆ เพื่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งการโอนวงเงินข้ามประเภทเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันเป็นปกติ และเมื่อมีการเร่งดำเนินการในช่วงที่มีการเลือกตั้ง จึงอาจจะมีเจตนาแอบแฝงเพื่อให้มีผลต่อการเลือกตั้ง

    สาม การอนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันหนี้ แทนที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตรงไปตรงมาอย่างเปิดเผยเช่นเดิม กลับไปดำเนินการอย่างไม่เปิดเผยผ่านคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะฯ และเป็นการมีมติในช่วงที่มีการเลือกตั้ง จึงอาจจะมีเจตนาแอบแฝงเพื่อให้มีผลต่อการเลือกตั้ง

    ผมจึงขอแนะนำให้ท่านใช้ความระมัดระวังในการดำเนินการดังกล่าว
    จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
    ขอแสดงความนับถือ
    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล

อีกความเห็นของคอลัมนิส ว่าด้วย--วิธีคัดเลือกตัวแทนสภาประชาชน--

18 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 16:02

จากบัญชร "ถูกทุกข้อ" ไทยโพสท์ อัตถ์ อัตนัย 18/12/13 (เป็นความเห็นตอบกับผู้อ่านนาม ซันนี่)

 

ผมว่าเป็นวิธีที่ดีเหมือนกัน  ข้ามช็อตว่าด้วยการคัดเลือกตัวแทนสภาประชาชน เพราะเดี๋ยวเกิดปุปปัปเกิดไล่สำเร็จวันที่ 22 จริงๆ(สาธุ) จะได้มีหลายๆทางเลือก ช่วยกันเสนอหลายๆวิธี ช่วยกันอุดช่องโหว่ความเห็นแย้งต่างๆ เพราะตามที่คุณอัตถ์ตั้งข้อหวั่นเกรงไว้ ถ้าได้ดู http://webboard.seri...et/topic/43682-สมบัติ-ธำรงธัญวงศ์-vs-สุขุม-นวลสก/ ก็จะเห็นนัยยะว่ามีคนคิดแย้งจริงๆ ไม่ว่าจะสุจริตใจหรือไม่

 

 

 

------------------------------------------------------------

 

http://www.thaipost....ws/181213/83548

 

.......ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยเลยที่ กปปส.ใช้แนวทางในการเลือกสภาประชาชนด้วยการเลือกตั้งตามอาชีพ ๓๐๐ คน แต่งตั้ง ๑๐๐ คน การให้ กปปส.มีสิทธิ์เลือกเอง ๑๐๐ คนนั้น ผมเกรงจะเกิดปัญหาเรื่องความไม่ยอมรับตามมา ดังนั้น ขอให้กลับไปดูแนวทางการเลือก ส.ส.ร.ก่อนที่จะยกร่างรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ ครับ ไม่ได้เอามาหมด แต่ลอกเฉพาะบางส่วน
    สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดดังกล่าวมี ๙๙ คน เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทางอ้อม ทั้งหมด ๗๖ จังหวัด และตัวแทนนักวิชาการ เสนอรายชื่อโดยสถาบันการศึกษา จำนวน ๒๓ คน
    ดัดแปลงเล็กน้อย สภาประชาชนก็ต้องมี ๑๐๐ คน  เพราะปัจจุบันมี ๗๗ จังหวัด 
    สำหรับกระบวนการคัดเลือกสภาประชาชนจากตัวแทนจังหวัดใช้วิธีเดียวกับการเลือก ส.ส.ร.๔๐ คือ
ให้ประชาชนในจังหวัดนั้นๆ เลือกตั้งโดยตรงจังหวัดละคน
    ส่วน ๒๓ คนที่เหลือ ให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้คัดเลือก  ในส่วนนี้จะได้เทคโนแครตมาวางแนวทางในการปฏิรูปประเทศ
    ได้ครบ ๑๐๐ คนก็จบกระบวนการแค่นั้น ไม่ต้องผ่านรัฐสภาอีกทอดเหมือน ส.ส.ร.๔๐ แล้วจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายมากกว่า แล้วให้สภาประชาชนนี่แหละครับไปเลือกคณะผู้บริหารประเทศชั่วคราว
    แต่หากมองว่าปล่อยให้เลือกตั้ง ระบอบทักษิณจะเข้ามาเป็นเสียงข้างมาก เพราะจำนวน ๗๗ ที่นั่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือและอีสาน
    เมื่อมาดูจำนวนจังหวัดภาคเหนือ ๑๗ จังหวัด ภาคอีสาน ๒๐ จังหวัด ภาคกลาง ๙ จังหวัด ภาคตะวันออก ๙ จังหวัด ภาคตะวันตก ๘ จังหวัด และภาคใต้ ๑๔ จังหวัด ลองบวกเลขกันดูนะครับ ในสภาวะที่ประชาชนตื่นตัวกันเป็นล้านๆ คน บวกกับสัดส่วนของนักวิชาการ ๒๓ คน ผมเชื่อว่าระบอบทักษิณไม่ได้เปรียบแน่นอน
    แต่ถ้าเราไม่เชื่อมั่นว่าวิธีเช่นนี้จะแก้ไขปัญหาได้ ก็เดินไปตามแนวคิด กปปส.ให้สุดซอยครับ.