Jump to content


ประชาธิปด

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 28 สิงหาคม 2556
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: ส่วนตัว
-----

Posts I've Made

In Topic: การปิดถนน ยึดศาลากลางที่บ้านตัวเอง ถือว่าเป็นวิธีที่ฉลาดแล้วหรือไม่ครับ?

4 กันยายน พ.ศ. 2556 - 15:54

ต้นทุนและผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับจากการปลูกยางพารา
ชื่อผู้แต่ง :
พัชรินทร์ ศรีวารินทร์, จุมพฏ สุขเกื้
 

วัตถุประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้เพื่อศึกษาต้นทุนและผลประโยชน์ที่เกษตรกรรายย่อยทั้งประเทศได้รับจากการปลูกยางพารา  โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากเกษตรกรกลุ่มตัวอย่างในภาคใต้ ภาคกลาง  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ  ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) จำนวน 150 ราย  กำหนดช่วงอายุการทำสวนยาง 22 ปี ผลการศึกษาพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกยางระยะ 3x7  เมตร กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดใช้ยางชำถุงเป็นวัสดุปลูกและปลูกด้วยยางพันธุ์ RRIM600  การวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับจากการปลูกยางพาราจากขนาดสวนยาง 14 ไร่ ซึ่งเป็นขนาดสวนยางเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด โดยใช้ตัวชี้วัดทางการเงินได้แก่ มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value : NPV) อัตราผลอบแทนต่อต้นทุน (Benefit Cost Ratio : BCR) อัตราผลตอบแทนภายในของการลงทุน(Internal Rate of Return : IRR) เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์  ที่อัตราคิดลดร้อยละ 8  ณ ระดับราคายางแผ่นดิบเฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 70.23 บาท  พบว่า ค่า NPV   มีค่าเท่ากับ 138,298 บาท BCR มีค่าเท่ากับ 1.08 และ IRR มีค่าเท่ากับ 9.20 ระยะเวลาคืนทุน (Payback period : PB) ของการปลูกยางอยู่ที่ 13.37 ปี  ผลการวิเคราะห์ทางการเงินดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการทำสวนยางเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่าในการลงทุน  ส่วนการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตยางแผ่นดิบทั้งประเทศ  พบว่าเฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.57 บาท  โดยค่าจ้างแรงงานกรีด เก็บและทำยางแผ่นดิบมีค่าใช้จ่ายสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.45 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด

 

 

http://it.doa.go.th/...php?p=p3&id=749

 

 

ปี 50 อาจจะเก่าไปหน่อย

 

สมมุติขายที่ 80 บาทต่อโล

ต้นทุน 50.57 กำไร =  37% นะครับ

 

อันนั้นเป็นต้นทุนเฉลี่ยทั้งประเทศปี 50 ของกรมวิชาการเกษตร ปัจจุบันก็น่าจะยังอยู่ที่ 30%+

 

แสดงว่ายังมีชาวสวนยางโง่ๆ ที่ขาย 80 บาท/กิโลก็ยังขาดทุนนะครับ ทั้งๆ ที่มีคนทำแล้วกำไร 30%+

 

ลองให้ชาวสวนยางโง่ๆ พวกนี้ไปศึกษาจากชาวสวนยางอื่นๆ ที่เขายังมีกำไร และไม่ออกมาประท้วงก็น่าจะดีนะครับ


In Topic: เคยแซวเล่นๆ ไม่คิดว่าจะหน้ามืดทำจริง ล่าสุดรมต.ชัชชาติขึ้นเรือแสนแสบ!

4 กันยายน พ.ศ. 2556 - 15:31

 

29603.jpg

เอารูปมาแปะ จิ้นน้ำแตกอยู่คนเดียว อธิบายกันบ้างสิเพ่

 

 

 

คำอธิบายภาพ

 

ไม่คิดว่าจะหน้ามืดทำจริง มรว. หมูฟิตจัด ขึ้นเรือแสนแสบสำรวจเส้นทาง!  :D


In Topic: การปิดถนน ยึดศาลากลางที่บ้านตัวเอง ถือว่าเป็นวิธีที่ฉลาดแล้วหรือไม่ครับ?

4 กันยายน พ.ศ. 2556 - 15:23

 

เผยยางไทยผลผลิตสุดต่ำ แค่300กิโลกรัม/ไร่/ปี ขณะที่”กัวเตมาลา” กรีดน้ำยางได้ไร่ละ 1พันกิโล จี้รบ.ช่วย
ยางไทย 300 x 80 = 24,000 บาท/ไร่
 
ประเทศไทย  ผลิตข้าวได้  454.4  กิโลกรัม  ต่อ  1  ไร่
15,000 x 0.45 = 6,750 บาท/ไร่
ปีนึงปลูก 2 รอบ = 6,750 x 2 = 13,500 บาท/ไร่

 

 
ผลผลิตข้าวเจ้า อยู่ประมาณ 550-750 กิโลกรัมต่อไร่ เฉลี่ย 600 กิโลกรัมต่อไ่
ผมตีว่า 1 ปี ผลิตข้าวได้ 2 รอบก็ 1,200 กิโลกรัมต่อไร่
 
ต้นทุน ผลปลูกข้าว ตั้งแต่ 2000 - 5000 บาทต่อไร่ ตีให้ว่าต้นทุน 4000 บาทต่อไร่
 
ถ้าข้าวราคา ตันละ 15,000 บาท x 1.2 ตัน มีรายได้ 18,000 บาท หักต้นทุน 8000 บาท กำไร 10,000 บาท ต่อไร่
 
--------------------------------------------------------------------------------
 
ยาง 80 บาทต่อกิโลกรัม ผลิตได้ 300 กิโลกรัมต่อไร่ เท่ากับมีรายได้ 24,000 บาทต่อไร่
แบ่งครึ่ง 50:50 เท่ากับมีรายได้ 12,000 บาทต่อไร่
กรณี เป็นเจ้าของไร่ มีต้นทุนเฉลี่ย ประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อไร่
คำนวณ โดยเอาต้นทุน 7 ปีแรกมาเฉลี่ย 20 ปี + ด้วยค่าปุ๋ยในแต่ละปี (ยังไม่ได้คำนวณที่ที่ดิน)
 
----------------------------------------------------------------------------------
 
นอกจากคำนึงถึงรายได้แล้ว ต้องคำนึงถึง ความยากลำบากของการปลูกข้าว กับกรีดยาง แตกต่างกัน
ปลูกข้าว สามารถทำกลางวันได้ กรีดยางต้องทำกลางคืน ซึ่งมีความเสียงในการทำงานมากกว่า
ปลูกข้าว สามารถทำได้เป็นสิบๆ ไร่ได้ แต่กรีดยาง หลายที่ต้องเดินทางขึ้นเนินขึ้นเขา ยากต่อการขนปุ๋ยขึ้น ขนยางที่กรีดลง ทำได้ให้กรีดยางได้จำนวนไร่ไม่มาก

 

 

 

คุณเอารายได้สวนยางไปแบ่งครึ่ง 50:50 อันนั้นมันกำไรส่วนของเถ้าแก่ครับ

50 ที่คุณหักไปมันเป็นค่าแรงงาน

ส่วนต้นทุนปลูกข้าวที่คุณเอามา กลับไม่คิดค่าแรง

 

คุณบอกว่าปลูกยางยากกว่าปลูกข้าว ลองให้ชาวสวนยางไปทำนาดูมั๊ยครับ?


In Topic: สรุปว่า เงินที่เอามาแจก 2,000 เป็นเงินที่กู้มา สมาชิกเห็นด้วยกันไหมครับ

4 กันยายน พ.ศ. 2556 - 15:18

 

http://www.eppo.go.t...2-01-13.html#13

 

ทั้งนี้ วงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จะประกอบด้วย

  1. งบประมาณรายจ่ายเพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ จำนวน 95,860.5237 ล้านบาท
  2. งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 19,139.4763 ล้านบาท

รวมทั้งสิ้นจำนวน 115,000 ล้านบาท โดยมีแหล่งเงินที่พึงได้มาสำหรับจ่ายตามงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ดังนี้

  • (1) เงินกู้เพื่อการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 95,860.5237 ล้านบาท
  • (2) ภาษีและรายได้อื่น จำนวน 19,139.4763 ล้านบาท

ทั้งนี้ วงเงินสูงสุดที่รัฐบาลกู้ได้ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ตามนัยบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 21 จะมีจำนวนรวม 417,940.9 ล้านบาท แต่ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลไปแล้ว จำนวน 249,500 ล้านบาท ดังนั้น จึงยังมีวงเงินกู้ที่สามารถกู้เพิ่มเติมเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีกจำนวน 168,440.9 ล้านบาท และเนื่องจากเงินกู้มิใช่เป็นรายได้ที่จะนำมาตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จึงกำหนดแหล่งที่มาของรายได้จากภาษีและรายได้อื่น ดังกล่าว

 

แล้วเอ๊ง ตอบได้ไหมว่า งบกลางปี เงินกู้ นะ สามารถนำออกมาใช้ได้เมื่อไหร่ ต้องผ่าน สภา เมื่อไหร่ แล้ว เบิกเมื่อไหร่

 

ในเมื่อธนาคารออกเช็คตั้งแต่เดือน มีนา 

 

แล้ว เอ๊งคิดว่า 2. งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 19,139.4763 ล้านบาท นำมาใช้ไม่ได้เหรอ ทั้ง ๆที่มติ ครม เมื่อวันที่ 3 มีนา 52 ยกเว้นการเก็บรักษา และ ส่งคืนคลัง

 

 

ช่วยตอบตรูที อย่าได้แต่ก๊อบมาวาง อย่าได้แต่จำไม ๆ ๆ

 

 

 

จะมีใครกล้ามาช่วยพอลคุงผู้น่าสงสารแถต่อมั๊ยน้อ?  :D 


In Topic: เคยแซวเล่นๆ ไม่คิดว่าจะหน้ามืดทำจริง ล่าสุดรมต.ชัชชาติขึ้นเรือแสนแสบ!

4 กันยายน พ.ศ. 2556 - 15:16

29603.jpg