Yasuhiro

สมัย Collin Powell เป็น รมต กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ เคยโดนสื่อโจมตีว่าเป็น รมต. ต่างประเทศที่เดินทางไปเยือนต่างประเทศน้อยที่สุด

ซึ่ง Powell ได้แสดงความเห็นออกมาครับ ว่า หน้าที่หลักของเอกอัครราชทูตคือการเป็นตัวแทนของประเทศในการสานสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆในทุกๆมิติ หากรมต การต่างประเทศเดินทางไปยังประเทศต่างๆ บ่อยแล้ว จะมีเอกอัครราชทูตไว้ตามประเทศต่างๆไว้ทำไม?? ในขณะเดียวกัน รมต การต่างประเทศควรอยู่ที่ดีซี เพื่อให้คำปรึกษา แนะนำ แก่ประธานาธิบดีในด้านนโยบายการต่างประเทศมากกว่า เพราะประธานาธิบดีมีหน้าที่ความีรับผิดชอบต่อการบริหารประเทศเยอะมาก (พูดง่ายๆ คือ ปธน. ทำงานบริหารประเทศหนัก และหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่เดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ โดยไม่จำเป็น เพราะเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน และ ทำให้เอกอัครราชทูตของประเทศตนทีี่อยู่ตามประเทศต่างๆ เป็นเหมือนแค่เลขา คอยจัดหาที่พัก จัดตารางนัดพบ)

น่าคิดนะครับ

ในฐานะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์คนหนึ่ง และมีโอกาสได้เรียนต่อ Graduate Schools (ผมนึกคำไทยไม่ออกครับ) ในสหรัฐและญี่ปุ่น
ส่วนตัวผมเฉยๆกับการใส่หรือไม่ใส่เครื่องแบบนักศึกษา (สมัยผมเรียน ถ้าใครไปเรียนวิชาโทที่บัญชีต้องใส่ชุดนักศึกษาเพราะคณะนั้นบังคับ)
คณะเศรษฐศาสตร์ที่ผมจบมา ก็ไม่มีการบังคับให้ใส่เครื่องแบบแต่อย่างใด แต่เป็นที่รู้กันว่าต้องแต่งตัวไปมหาวิทยาลัยให้เรียบร้อยในระดับหนึ่ง

จริงอยู่ที่ในธรรมศาสตร์มีเสรีภาพมากกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆ (เป็นที่เดียวที่เขียนป้ายวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของอธิการบดีได้โดยไม่ถูกยกเอาไปทิ้ง)

แต่ขณะเดียวกัน พฤติกรรมของกระเทยที่อยากดังในทางที่แย่ๆ อย่างไอ้คนนี้ (เพื่อนผมเป็นเพศที่สามก็หลายคน ไม่เห็นเขาทำตัวแรงแบบนี้กันเลย)

หรืออย่างพฤติกรรมของนักศึกษาหลายๆคน มันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า วัยวุฒิ วุฒิภาวะของเด็กรุ่นใหม่มันด้อยลงหรือเปล่า (เมื่อเทียบกับประเทศอื่น) และมีความเข้าใจผิดอย่างแรงว่า การมีเสรีภาพ คือการทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน

แต่ที่จริงมันไม่ใช่ เมื่อมีสิทธิเสรีภาพ มันต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง และคนรอบข้างด้วย การแสดงออกอย่างก้าวร้าว และเอาคำว่าเสรีภาพ สิทธิส่วนบุคคลมาเป็นเกราะกำบัง ผมว่ามันเป็นเรื่องตลก

แถมเผลอๆ เจ้าตัวก็รู้ลึกๆในใจว่าทำอะไรแย่ๆออกไป

ธรรมศาสตร์ในวันนี้ ถูกเข้าใจผิดเพียงเพราะคนแค่หยิบมือเอาเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธรรมศาสตร์ไม่ว่าอดีต หรือ ปัจจุบัน มาบิดเบือนเพือให้ตนเองมีความชอบธรรมในการกระทำเลวๆได้ (แถมบางเรื่องถูกบิดไปซะจนยากที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดนั้นๆของสังคมไปแล้ว) แต่ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามขึ้นครับว่า เพราะสื่อบางตัวเลือกที่จะเล่นเรื่องกระเทยอยากดังนี้ เพื่อที่จะเบี่ยงประเด็นสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชนหรือเปล่า ผมก็ว่าเป็นเรื่องที่น่าคิด

เพราะสุดท้ายแล้วไอ้กระเทยอยากดังคนนั้น พอจบออกมาก็จะพบความจริง และจะไม่มีคนคบ ทำงานก็คงโดนให้ออก เพราะทำตัวเอง ซึ่งผมรู้สึกว่าประเทศเรามีเรื่องใหญ่ๆที่ต้องคอยตรวจสอบอีกเยอะครับ

 

สำหรับผู้ที่ต้องการดูคลิปวีดีโอจำนวน 13 คลิป ที่แวดวงข่าวกรองของนานาชาติชี้ชัดไปในทางเดียวกันว่าคราวนี้เป็นฝีมือของรัฐบาลซีเรีย สามารถชมได้ที่ http://www.senate.gov/isvp/?type=arch&comm=intel&filename=intel090613

 

ช่วงนี้เอกสาร declassified เริ่มทะยอยออกมาเรื่อยๆ เพื่อนสมาชิกที่สนใจสามารถสืบค้นได้ทางเนตครับ

บอกตามตรงว่าดูละเอียดไม่ไหวจริงๆครับ ผมค่อนข้างอ่อนไหวกับเหตุการณ์ที่มีภาพเด็กบาดเจ็บและเสียชีวิตมาก เวลาดูแล้วอารมณ์ขึ้นทุกที

 

ผมก็เป็นแบบเดียวกับคุณครับ ดูแล้วของขึ้น และอีกใจหนึ่งผมยังเป็นห่วงอย่างมากว่า ถ้าวันนึงบางกลุ่มมันสิ้นคิดแล้วมาก่อวินาศกรรมในเมืองสำคัญๆของไทย แล้วตอนนั้นเรามีมาตรการรับมืออย่างไร 

สำหรับผู้ที่ต้องการดูคลิปวีดีโอจำนวน 13 คลิป ที่แวดวงข่าวกรองของนานาชาติชี้ชัดไปในทางเดียวกันว่าคราวนี้เป็นฝีมือของรัฐบาลซีเรีย สามารถชมได้ที่ http://www.senate.gov/isvp/?type=arch&comm=intel&filename=intel090613

ช่วงนี้เอกสาร declassified เริ่มทะยอยออกมาเรื่อยๆ เพื่อนสมาชิกที่สนใจสามารถสืบค้นได้ทางเนตครับ

ลึกๆผมยังลุ้นให้มีการปฎิบัติการด้าน Safety แบบถูกต้องตามที่ได้ฝึกๆกันมา แต่ถ้าข้อเท็จจริงออกมาว่าไม่ได้ปฎิบัติตามขั้นตอนก็น่าโดนประนาม

คนนำเข้าเป็นผู้จัดจำหน่ายรวยขึ้นครับ ซึ่งพวกนี้ก็มีอยู่ไม่กี่ตระกูล ที่เหลือผมไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย เพราะมันไม่ได้ทำให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาฝีมือในการออกแบบ หรือผลิตอะไรได้มากขึ้นเลย

 

บินไทยไถลออกรันเวย์ไฟลุกท่วม เจ็บเล็กน้อย 12 ราย

http://www.manager.c...D=9560000113167

9 กันยายน 2556 01:38 น.

 

 

ความคิดเห็นที่ 7 +105 ผมอยู่บนเทีายวบินนี้ด้วยพอดีครับ ขณะลงจอดล้อหลังแตะที่พื้นแล้ว แต่เหมือนล้อหน้าไม่กางทำให้หัวเครื่องบินกระแทกพื้นแล้วเสียหลัก ทำให้ปีกเครื่องบินแถกับพื้น เครื่องยนต์ระเบิดเกิดเพลิงใหม้ ผู้โดยสารทุกคนแตกตื่น แต่ที่น่าเสียใจมากคือเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินเปิดประตูฉุกเฉินให้ผู้โดยสารชั้นBusinessออกไปก่อน แล้วกันผู้โดยสารชั้นธรรมดาไว้ ทั้งๆที่เพลิงใหม้จากทางด้านปีกอยู่ฝั้งชั้นธรรมดา และกำลังจะลามเข้ามาด้านใน พอผู้สารกระโดดออกมาจากประตูฉุกเฉินได้แล้ว ต่างคนก็ต่างวิ่งหนีตายอยู่บนสนามหญ้าบนรันเวย์ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาดูแลเลยว่าจะให้วิ่งไปรวมกันทางไหน เพราะแอร์ก็วิ่งหนีตายเหมือนกัน ทั้งๆที่หน้าที่คือคอยดูแลผู้โดยสารเป็นคนสุดท้าย กินเวลา20นาทีกว่าจะมีรถของเจ้าหน้าที่มาดับไฟถึงที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นพอเข้าไปในอาคารผู้โดยสารได้แล้ว แทนที่จะมีเจ้าหน้าที่กักตัวผู้โดยสารไว้เพื่อแสดงความรับผิดชอบหรืออธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น กลับไม่มีเจ้าหน้าที่ของการบินไทยสักคนเดียวมาสนใจเลย จะถามข้อมูลอะไรไม่มีใครตอบหรือรู้เรื่องสักอย่าง ได้แต่บอกว่าผู้โดยสารที่ไม่ได้รับบาดเจ็บผ่าน ตม. กลับบ้านไปได้เลย โดยไม่ได้แจ้งให้ผู้โดยสารถึงกระเป๋าที่โหลดอยู่ใต้เครื่องจะทำยังไง จะไปแจ้งรับได้ที่ไหน ได้แต่บอกว่ายังไม่ทราบข้อมูลจากผู้ใหญ่ว่าจะจัดการยังไง ได้แต่ไล่ให้ไปแจ้งกับจุดรับแจ้งกระเป๋าหาย อยากจะบอกว่าการบินไทยบริการห่วยมากก แอร์หายหัวไปหมด หลังจากเกิดเหตุแล้วไม่มีเจ้าหน้าที่ของบริษัทการบินไทยออกมาดูแลหรือแสดงความเอาใจใส่เลย เจ้าหน้าที่ของสนามบินก็ทำอะไรไม่ได้ ฝากชีวิตไว้กับการบินไทยไม่ได้เลย และทรัพย์สินที่อยู่บนเครื่องจะรับผิดชอบให้ผู้โดยสารยังไง ฝากถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องช่วยออกมาดูแลหรือรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยอย่างด่วนเลยครับ
JOE ผู้โดยสารที่ไม่ได้รับการดูแล

 

ตาผมไม่ได้ฝาดใช่ไหม นึกว่าอยู่ศตวรรษที่ 19 บนเรือไททานิค ที่ซักซ้อมเวลาอพยพลงจากเครื่องเวลาฉุกเฉินลืม และคืนครูฝึกกันหมดเลยเหรอ...

ดีที่ไม่มีการเสียชีวิต แต่ทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าไม่จำเป็น ไม่อุดหนุนสายการบินแห่งชาติดีกว่า เพราะไม่อยากโดนดูแลแบบพลเมืองชั้น 2 (ให้ชั้นธุรกิจไปก่อน)

ขอแถมอีกรูป เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นครับว่าในวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมามีบริเวณไหนบ้างที่ได้รับผลกระทบจากการใช้อาวุธเคมี

ไม่มีทางครับ ที่ผ่านมาถึงมีการถกเถียงกันเป็นวงกว้างว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนชาวซีเรียในด้านมนุษยธรรม และช่วยประชาชนชาวซีเรียจากการโจมตีจากรัฐบาลซีเรียอย่างไรตั้งแต่ปลายปี 2012
ผลที่สรุปออกมาตอนนั้้นคือ การให้เงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นจำนวนหนึ่ง และอาจจะสนับสนุนให้อาวุธเบา เพื่อไม่ให้อาวุธตกไปในมือของอัลเคด้า (แต่เรื่องหลังนี่ถกกันอยู่ยาว เพราะเรื่องใหญ่ ถ้าพลาดขึ้นมาความมั่นคงของสหรัฐและชาติต่างๆอันตรายทันที)

ถ้ากระหายสงครามจริงๆ สหรัฐคงลุยไปเมื่อปลายปีที่แล้วนู่นครับ  ไม่รอให้รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีทำร้ายประชาชนหรอกครับ แต่การละเมิดกติกาสากลโดยใช้อาวุธเคมี หากสหรัฐและชาติอื่นๆไม่ทำอะไรเลย มันก็ทำให้อีกฝั่งได้ใจ และนำไปสู่การสนับสนุนให้พวกก่อการร้ายใช้อาวุธเคมีในการก่อการร้ายด้วย แล้วประชาชนธรรมดาๆ จะต้องเสียชีวิตไปอีกเท่าไหร่

เพิ่มเติมครับ ตอนนี้ไม่มีใครอยากให้ซีเรียกลายเป็นปากีสถานแห่งที่สองของโลกครับ พูดกันตามตรงรบเพื่อเอาชนะซีเรียประเทศเดียวน่ะง่าย แต่หลังจากล้มรัฐบาลซีเรียปัจจุบัน แล้วหลังจากนั้นเป็นเรื่องท้าทายต่อประชาคมโลกมากกว่าครับ

สำหรับการ์ตานะครับ มีเชื้อพระวงศ์คนนึงเคยประกาศเปิดเผยว่าหนุนอัลเคดา และให้เงินสนับสนุนด้วย และทั้งอัลเคด้าและตอลีบัน ต่างมีสำนักงานในการ์ตาทั้งคู่ (ถึงแม้ฝ่ายหลังจะพยายามลดการติดต่อหรือลดความสัมพันธ์กับฝ่ายแรกก็ตาม)
ที่สำคัญมูลนิธิของเชื้อพระวงศ์คนนี้ก็เคยบริจาคให้กับองค์กรการกุศลที่กลุ่มหัวรุนแรงในอินโดนีเซียเปิดบังหน้า และตามแหล่งข่าวความมั่นคงของไทยที่ให้ข่าวกับนสพ.ไทยบางฉบับเมื่อหลายปีที่แล้ว มูลนิธิที่ผู้ก่อความไม่สงบของไทยเปิดบังหน้าเพื่ออำพรางธุรกรรม ก็ได้รับเงินบริจาคจากมูลนิธิของอินโดนีเซียมาอีกทอดหนึ่ง 
 

จากบทสัมภาษณ์ของอดีตเลขาสมช. ท่านหนึ่ง พวกผู้ก่อความไม่สงบที่ภาคใต้ในสมัยหนึ่งบางส่วนใช้พาสปอร์ตปลอมเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้านไปยังตุรกี ก่อนที่จะเข้าไปซีเรีย หรือเดินทางต่อไปลิเบีย และไปฝึกในค่ายแถวชานเมืองหลวงของซีเรีย (ไม่แน่ใจว่าสำนักงานใหญ่ของพูโลตั้งในส่วนไหนของซีเรีย) แต่ที่แน่ๆคือหนึ่งในหลักสูตรที่ฝึกก็คือการผสมสารเคมี และไหนจะส่งไปฝึกภาคสนามในเลบานอน อัฟริกา ก่อนกลับเข้าไปทางสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยอีก

ถึงแม้ส่วนตัวผมจะไม่ชอบซีเรียมากมายแค่ไหน เพราะว่าเพื่อนสนิทชาวเกาหลีของผมเกือบโดนลวงไปฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ หรือโดนรัฐบาลส่งคนติดตามดูพฤติกรรมระหว่างอยู่ซีเรียทุกวัน หรือเวลามันจะส่งข่าวมาถึงผมที่โตเกียว พิมพ์ๆไปก็มีข้อความขึ้นมาว่า ข้อความที่พิมพ์ไปให้ลบออก หากฝ่าฝืนจะโดนจับ (แปลว่ามันดูข้อมูลทุกคนที่ใช้เนตในประเทศ) หรือสุดท้ายอดีตแฟนของเพื่อนผมที่เป็นชาวซีเรียที่เจอกันที่ญี่ปุ่นเพราะมาเรียนภาษาญี่ปุ่นระยะสั้นแล้วมาคบหากับเพื่อนสนิทผม เกือบจะโดนพ่อของตนเองฆ่าเอา ข้ออ้างคือเพื่อรักษาเกียรติของตระกูล จนเพื่อนผมต้องเลิกคบเพื่อรักษาชีวิตอดีตแฟน หรือว่าคนซีเรียอยู่ในกะลาเหยียดคนเอเชีย เหยียดคนญี่ปุ่นและเกาหลี (แต่ก็ใช้สินค้าจากสองประเทศนี้เป็นจำนวนมาก)

แต่ทั้งหมดนี้ถ้าผมไม่เจอบทสัมภาษณ์ของอดีตเลขาสมช. หรือไม่ได้เจอข่าวจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงของไทย หรือเห็นภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นในซีเรีย (ภาพที่สะเทือนใจผมมากที่สุดคือ พ่ออุ้มร่างลูกสาว 3 ขวบที่โดนฝ่ายกองกำลังของอัลไคดาที่ต่อต้านรัฐบาลซีเรียตัดหัวเด็กคนนั้น เพียงเพราะพ่อเด็กนับถือคนละนิกาย หรือเด็กชาวซีเรียที่หน้าหายไปครึ่งหนึ่ง เพราะการโจมตีของฝ่ายรัฐบาล) ผมก็คงไม่ตามติดแบบละเอียดเท่าขณะนี้ แต่ว่าเรื่องของซีเรีย เป็นเรื่องจำเป็นที่คนไทยต้องมีความรู้ที่คลาดเคลื่อนน้อยที่สุด เพราะมันใกล้ตัวกว่าที่คิดครับ

ผมไม่แน่ใจว่าที่เมืองไทยมีการนำเสนอข่าวไปหรือยังครับว่า บางเมืองในซีเรียที่มีการสู้รบอยู่ระหว่างฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่มีความสัมพันธ์กับอัลเคด้า กับรัฐบาลซีเรีย ในเมืองนั้นเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตอาวุธเคมี ซึ่งถึงแม้ว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลส่วนนี้อาจจะรบชนะในอนาคต ก็ไม่เป็นผลดีต่อความมั่นคงของโลก รวมทั้งไทยในระยะกลางถึงยาวอยู่ดี เพราะที่ผ่านมาผู้ก่อความไม่สงบทางภาคใต้ของไทยฝึกโดยครูฝึกชาวอินโดนีเซียและซีเรียในประเทศเพื่อนบ้านที่ติดกับไทย ที่ระเบิดที่ลีการ์เด้น ที่หาดใหญ่ที่เจ้าหน้าที่ไทยจับกุมผู้ต้องหาคนนึงได้ ก็เป็นชาวซีเรียและโดนส่งออกนอกประเทศไทย และตอนนี้มีชาวอินโดนีเซียจำนวนอย่างต่ำ 50 คน + นักรบรับจ้างชาวมาเลเซียรบอยู่ในซีเรียอีกจำนวนหนึ่ง

ปัญหาเรื่องซีเรียที่ชาติตะวันตกกังวลกัน คือเรื่องของการที่มุสลิมบางคนเดินทางไปยังซีเรียเพื่อทำสงครามต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ถูกชักจูงจากพวกหัวรุนแรง และเข้าร่วมกับฝ่ายที่เชื่อมโยงกับอัลเคด้ามากกว่าฝ่ายสายกลาง เมื่อพวกนี้กลับประเทศพร้อมประสบการณ์การรบ การใช้อาวุธเคมี ก็จะเป็นภัยอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศนั้นๆ 

สำหรับกรณีที่ผู้นำซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนก็ผิดเต็มประตู และมีประชาชนชาวซีเรียต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก (เท่าที่มีการประเมินไว้มีจำนวน 1 แสนกว่าราย) ไหนทางรัฐบาลซีเรียจะมีความสัมพันธ์กับกลุ่มHezbollah ที่ชอบมาวางแผนที่ประเทศไทย ที่ล่าสุดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการปาระเบิดใส่แท๊กซี่ในไทยอีก (ที่ตอนหลังได้มีการขยายผลจับกุมถึงได้พบโกดังเก็บวัตถุดิบสำหรับเตรียมการก่อวินาศกรรมสถานทูตสหรัฐ และอิสราเอลในไทยที่สมุทรสาครอีก  ซึ่งอาวุธเคมีที่ผลิตแล้ว หรือมีการฝึกการผลิตอาวุธเคมีขึ้นมาใช้อีก ประชาชนผู้บริสุทธิจะต้องเสียชีวิตไปอีกจำนวนมากเท่าไหร่ ซึ่งไทยเราก็ไม่อาจจะรอดพ้นความเสี่ยงไปได้ด้วยครับ 

(สำหรับสมาชิกที่สนใจอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม ข้อมูลทั้งหมดสามารถสืบค้นได้ทางเนตครับ )

แม้แต่พื้นที่ 1 มม. ของแผ่นดินไทยก็แบ่งแยกไม่ได้ครับ

ผมไปเจอข่าวนี้มาครับ


กลุ่มกบฏยอมรับผิดแล้วกรณีการใช้อาวุธเคมี

กลุ่มติดอาวุธในซีเรียสารภาพกับนักข่าว AP แล้วว่าพวกเขาจัดการผิดพลาดกับอาวุธเคมีที่ซาอุดี ส่งมาให้ จนเกิดเป็นอุบัติเหตุ

โดย Paul Joseph Watson
เผยแพร่ใน Infowars.com วันที่ 30 สิงหfาคม 2556


กลุ่มกบฏซีเรียที่อยู่ในเขตฆูเฏาะฮ์ ชานเมืองดามัสกัส ให้การยอมรับสารภาพกับผู้สื่อข่าวที่ชื่อ Dale Gavlak แล้วว่า พวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์การใช้อาวุธเคมีที่สื่อตะวันตกเอาไปใช้ ประณามกองกำลังทหารของบัชชาร อัลอะซัด พร้อมทั้งเปิดเผยว่าการบาดเจ็บล้มตายของผู้คนจำนวนมากในเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นผลมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการจัดการผิดพลาดกับอาวุธเคมีเหล่านั้น ที่ทางซาอุดีอาระเบียส่งมาสนับสนุนพวกตน





“จากการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นคณะแพทย์ ประชาชนผู้อาศัยในเขตฆูเฏาะฮ์ ตลอดจนนักรบในกลุ่มกบฏและครอบครัวเองของพวกเขา... หลายคนเชื่อว่ากลุ่มกบฏบางคนได้รับอาวุธเคมีมาจากเจ้าชายบันดาร์ บินซุลตาน หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของซาอุดี และพวกเขาเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการโจมตีด้วยอาวุธแก๊ส (ที่คร่าชีวิตผู้คน)” Gavlak รายงาน
กลุ่มกบฏบอกแก่ Gavlak ว่า พวกเขาไม่ได้รับฝึกอบรมมาในด้านการใช้อาวุธเคมี หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร พวกเขาคิดว่าอาวุธเหล่านี้ถูกขนส่งมาตั้งแต่ตอนแรกให้แก่ญับฮะฮ์ อัลนุศเราะฮ์ ซึ่งเป็นสาขาย่อยของอัลกออิดะฮ์
“พวกเราเองก็อยากรู้เกี่ยวกับอาวุธพวกนี้เหมือนกัน แต่โชคร้ายตรงที่นักต่อสู้บางคนจัดการกับอาวุธพวกนี้ไม่ถูกต้อง เลยทำให้เกิดการระเบิดขึ้นมา”นักรบติดอาวุธ ชื่อย่อ J บอกแก่ Gavlak
คำบอกเล่านี้ได้รับการยืนยันจากการให้สัมภาษณ์ของนักรบหญิงอีกคนหนึ่ง ชื่อย่อ K ซึ่งได้เล่าให้ Gavlak ฟังว่า “พวก เขาไม่ได้บอกเราว่าอาวุธเหล่านี้คืออะไร และจะต้องใช้อย่างไร เราไม่รู้เลยว่ามันคืออาวุธเคมี เราไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นอาวุธเคมี”
อะบูอับดิลมุนอิม พ่อของนักรบในกลุ่มกบฏคนหนึ่ง ได้บอกกับ Gavlak ว่า “ลูกชายของผมมาหาเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ถามถึงสิ่งที่ผมเข้าใจว่าเป็นอาวุธที่พวกเขาถูกสั่งให้ขนย้าย” เขาบรรยายภาพอาวุธพวกนั้นว่า “มีลักษณะเป็นแท่งๆ” บางส่วนก็ “คล้ายกับขวดแก๊สขนาดมหึมา” ชายคนดังกล่าวเอ่ยชื่อของนักรบชาวซาอุดีที่ส่งมอบอาวุธนี้มาให้ว่าเขาชื่อ อะบูอาอิชะฮ์
ตามข่าวที่ได้รับจาก [อะบู] อับดุลมุนอิม อาวุธเหล่านั้นเกิดการระเบิดขึ้นในอุโมงค์ ทำให้มีนักรบฝ่ายต่อต้านเสียชีวิตไปถึง 12 คน
“นักรบมากกว่า 12 คน ที่ถูกสัมภาษณ์ได้ให้ข่าวกับเราว่า พวกเขาได้รับเงินเดือนจากรัฐบาลซาอุดี” Gavlak เขียนไว้ในรายงานข่าวของเขา
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เรื่องนี้จะเป็นการทำลายแผนการของอเมริกาในการเข้าโจมตีซีเรียที่สร้างขึ้นมาบนข้อกล่าวอ้าง “ที่ไม่อาจปฏิเสธได้” ว่า อัลอะซัดอยู่เบื้องหลังการสังหารผู้คนด้วยอาวุธเคมี
ความน่าเชื่อถือของ Dale Gavlak เป็นสิ่งที่เราต้องทึ่งเลยทีเดียว เขาเป็นผู้สื่อข่าวตะวันออกกลางที่ทำงานให้แก่ Associated Press มาแล้วนับสองทศวรรษ ทำงานให้แก่ National Public Radio (NPR) แล้วยังเขียนบทความลงตีพิมพ์ใน BBC News อีกด้วย
เว็บไซต์ที่เผยแพร่เรื่องนี้เป็นครั้งแรก คือ Mint Press (ซึ่งขณะนี้เกิดความขัดข้อง อันเนื่องจากมีการเปิดเข้าไปอ่านบทความดังกล่าวในปริมาณมหาศาล) เป็นองค์กรสื่อที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย มีสำนักงานประจำอยู่ที่รัฐมิเนโซตา สหรัฐอเมริกา และเมื่อปีกลาย หนังสือพิมพ์มิเนโซตาโพสต์ก็ได้ตีพิมพ์ประวัติความเป็นมาและผลงานของสำนัก ข่าวดังกล่าวเอาไว้
บทบาทของซาอุดีอาระเบียในการสนับสนุนอาวุธเคมีให้แก่กลุ่มกบฏไม่ใช่ เรื่องใหม่ที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะมีกระแสข่าวเล็ดลอดออกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ซาอุดีได้แสดงท่าทีข่มขู่รัสเซียว่าอาจจะมีเหตุก่อการร้ายในงานโอลิมปิกฤดู หนาวที่จะจัดขึ้นในเมืองโซชชิ ปีหน้านี้ ถ้าหากว่ารัสเซียไม่ถอนตัวจากการสนับสนุนประธานาธิบดีซีเรีย
“ผมรับประกันกับคุณได้ว่าจะปกป้องงานโอลิมปิกฤดูหนาวปีหน้าไม่ ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น (เพราะ) กลุ่มกบฏเชเชนที่ถือเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของงานมหกรรมกีฬาดังกล่าว อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา” รายงานข่าวหลายชิ้นของหนังสือพิมพ์ Telegraph ระบุคำพูดของเจ้าชายบันดาร์ บินซุลตาน ซึ่งกล่าวกับวะลาดิเมียร์ ปูติน
รัฐบาลของโอบามาเตรียมความพร้อมที่จะแสดงผลการสืบข่าวในทางลับที่ได้จาก หน่วยข่าวกรองของตน เพื่อนำมาพิสูจน์ให้เห็นว่ากองกำลังของอัลอะซัดอยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วย อาวุธเคมีเมื่อสัปดาห์ก่อน แม้ว่าเจ้าหน้าที่อเมริกาเองจะออกมายอมรับกับนิวยอร์กไทมส์แล้วว่า เรื่องดังกล่าว ไม่มี “เบาะแส” ใดๆ ที่สามารถเชื่อมโยงประธานาธิบดีอัลอะซัดกับเหตุการณ์โจมตีที่เกิดขึ้นได้เลย
เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาได้บอกกับ Associated Press ว่า กระแสข่าวเกี่ยวกับความผิดของอัลอะซัดที่สืบได้ไม่มีเรื่องใดที่จะเป็น “จุดตาย” ให้เขาดิ้นไม่หลุดได้เลย
ดังที่เราได้รายงานมาก่อนหน้านี้แล้วเมื่อต้นสัปดาห์ว่า หน่วยสืบข่าวลับได้เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเพียงไม่กี่ชั่วโมง กระทรวงกลาโหมของซีเรียได้โทรศัพท์ไปยังกรมอาวุธเคมีหลายต่อหลายครั้งด้วย ความตื่นตระหนก เพื่อคาดคั้นเอาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องอาวุธเคมี ซึ่งเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการสั่งการของ กองทัพอัลอะซัดแต่อย่างใด

อัพเดท : Associated Press ได้ติดต่อมายังเราเพื่อยืนยันว่า Dave Gavlak เป็นผู้สื่อข่าว AP อย่างแน่นอน แต่ทว่ารายงานของเขาเรื่องนี้ไม่ได้ถูกตีพิมพ์ภายใต้ชื่อของสำนักข่าวดัง กล่าว จึงขอชี้แจงในที่นี้ว่า ทางเราไม่ได้กล่าวอ้างว่าข่าวนี้รายงานโดย Associated Press เพียงแต่กล่าวถึง Associated Press ในฐานะต้นสังกัด เพื่อชี้ให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของ Dave Gavlak ที่นอกจากจะเป็นผู้สื่อข่าว AP แล้วยังเขียนข่าวป้อนให้แก่ PBS, BBC และ Salon.com
*********************
Paul Joseph Watson เป็นบรรณาธิการและนักเขียนของ Infowars.com and Prison Planet.com.
เขาเขียนหนังสือชื่อว่า Order Out Of Chaos นอกจากนี้ Watson ยังเป็นผู้จัดรายการ Infowars Nightly News อีกด้วย
*********************
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sahibzama...ntent&Itemid=55

ลิงค์ต้นฉบับ (ภาษาอังกฤษ) http://www.infowars....weapons-attack/