nopantaman_agian

วาทกรรมติดหู มัน

 

 

พวกวอร์รูมแม้วมันเก่งนะครับ

มันสามารถสร้างวาทกรรมใหม่มา "บิดเบือนประเด็น" ได้เลยว่า "เมียซื้อผัวเซ็น ติดคุกได้หรือ"

เหมือนสร้างวาทกรรมเบี่ยงประเด็นเรื่อง "แค่ทำกับข้าวก็ถูกปลด"

ทั้งที่ข้อเท็จจริงมันคนละโลกเลย  

 

แค่เก่งในการใช้คำที่ "ติดหู จำง่าย" แค่นี้แหละ พลิกความจริงได้เลยง่ะ  คิดดู๊!!!

มันเป็นยังงั้นจริงๆครับ

อย่างกรณีที่ท่านผึ้งฯยกตัวอย่างนั้น

ทั้งฝูงพูดเหมือนกันหมด

หน้าตาท่าทางที่พูด เชื่อมั่นเต็มที่

 

ไม่ได้ดูกฎหมง กฎหมายไดๆเลย

ดูกฎหมาอย่างเดียว

 

ดูไอ้เตี้ยสุพันเมื่อวาน แน่ะ

มันเข้าใจยังงั้นไปด้วยอีกตัว

 

 

555 วาทกรรมติดหู มันก็ใช้กันทั้ง 2 ฝั่งนั่นแหละครับ

 

ดูง่ายๆ ในกระทู้นี้ ยังมีบาง คคห. ยังใช้วาทกรรมประเภท 

 

"ให้วันสิ้นปีเป็นวันทำงานจะได้โอนทันไม่ต้องเสียภาษีแพง"

 

"ก่อนซื้อมีกฎหมายห้ามสร้างตึกสูง ซื้อเสร็จแก้กฏหมาย"

 

"เอาบัตรข้าราชการไปเบ่งซื้อ"

 

ไม่ต้องดูกฎหมง กฎหมาย(ความเป็นจง ความเป็นจริง)ใดๆ เลย     

หลายท่านก็ยังคงยึดมั่นในอคติของตัวเองเหมือนเดิมนะครับ สังเกตง่ายๆ ใครที่ยังอคติบังตาอยู่จะเข้ามาพร้อมด่าว่าพวกเสื้อแดงมันเสี้ยมอีกแล้ว

 

ผมไม่เถียงหรอกครับว่าไอ้โกหกทีวีมันเอามาโพสต์ มันก็เป็นการเสี้ยมอย่างนึง 

 

แต่ที่ควรด่าด้วย และด่าก่อน คือรายการฟ้าทะลายโจร ของช่องบลูสกายทีวี ที่นำมาเผยแพร่เป็นที่แรก

 

ถ้าหากคุณคิดว่าการนำมาเผยแพร่คือการเสี้ยม มันควรต้องด่าทั้งคู่ อย่าเอาแต่ด่าฝั่งตรงข้ามโดยลืมที่จะเตือนสติฝั่งเดียวกันสิครับ

 

ไม่งั้นมันจะกลายเป็นความคิดแบบอคติด้านเดียว ประเภทพวกเราทำอะไรไม่ผิด แต่ถ้าฝั่งตรงข้ามทำคือผิด 

 

ประเทศมันไม่หยุดทะเลาะกันก็เพราะคนส่วนใหญ่ทั้งสองฝั่งเป็นอย่างนี้แหละครับ 

มีข้อสงสัยในเรื่องความคิดว่าถ้าแก้ 309 แล้วทำให้ คตส. หายไปจะทำให้งานที่ส่งต่อให้ ปปช. เป็นโมฆะครับ 

 

คือผมลองเทียบเคียงกับองค์กรอื่น ที่มีการยุบ, รวม หรือเปลียนแปลงไป เช่น กทช, กสช เป็น กสทช หรือ รสพ. หรือ ฯลฯ

 

คำถามคือ 

 

1. งานที่องค์กรเหล่านี้ดำเนินงานเสร็จแล้ว ถือว่าเป็นโมฆะหรือไม่ 

 

2. งานที่องค์กรเหล่านี้ทำยังไม่เสร็จ และส่งต่อให้หน่วยงานอื่น ถือว่าเป็นโมฆะหรือไม่

 

ผมว่าน่าจะเทียบเคียงกับกรณีนี้ได้นะครับ 

 

ปล. ตามความเข้าใจของผม การแก้รัฐธรรมนูญ ไม่น่าจะสามารถแก้ไขประมาณว่า "ให้ ม.309 เป็นโมฆะ" หรืออะไรประมาณนี้ได้

 

โดยการแก้คือการตัดมาตรานี้ทิ้ง ดังนั้นผมเลยคิดว่าน่าจะเทียบเคียงกับกรณีกฎหมายให้ยุบ/รวมองค์กรได้ครับ

ผมว่าขึ้นอยู่กับเราตีความคำว่า เมืองหลวง ว่า หมายถึงอะไรครับ

ถ้าหมายถึงแค่ส่วนราชการ ผมก็เห็นด้วยว่าน่าจะย้ายออกนะ กทม. จะได้เบาบางขึ้น

ดูอย่างหลายๆ จังหวัดที่ย้ายศูนย์ราชการออกนอกตัวเมืองไปนิดหน่อย ผมว่าก็ไม่แออัดดีนะครับ

เห็นด้วยแค่ประเด็นถ้าย้ายเมืองหลวง คนย้ายจะได้เก็งกำไรที่ดินและมีงบก้อนใหญ่ไปลง

ส่วนประเด็นฐานมวลชนกับป้องกันปฏิวัติ ผมว่าเป็นการคิดไกลไปหน่อยครับ

กรณีฐานมวลชน การย้ายเมืองหลวงมีตัวอย่างให้เห็นทั่วโลกว่าหลายๆ ที่ไม่ได้ย้ายเมืองเศรษกิจไปด้วย

ดังนั้น กทม. ซึ่งมีธุรกิจอยู่เยอะแล้วและมีโครงสร้างพื้นฐานและโครงสร้างทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมคงไม่มีธุรกิจย้ายตามไปมากเท่าไร

ดังนั้น ผมคิดว่าถึงย้ายไป กทม. ก็ยังคงเจริญเช่นเดิม

ส่วนกรณีปฏิวัติ ย้ายไปไหนก็ปฏิวัติและถูกปฏิวัติได้ครับ มันขึ้นอยู่กับคนถือปืนหน่วยไหนจะปฏิวัติต่างหาก

เพราะถ้าอำนาจเปลี่ยน มันก็เปลี่ยนฝ่ายกันได้ ดังนั้ันถ้ามองในแง่นักวางแผน ผมว่าถ้าเขาอยากกันปฏิวัติ เขากันที่การแต่งตั้งแทนง่ายกว่าเยอะ

เผื่อบางคนยังไม่เข้าใจ ลองไปดูป้ายสัญญาการก่อสร้างสนามนี้ ที่ http://www.pantip.co.../S12893789.html คคห. 51

แล้วจะเข้าใจภาพรวมของงบประมาณมากขึ้น (อย่าลืมว่างบต้องขอก่อน -> ได้งบ -> ทำสัญญา)

คำถามคือ เมื่อดูเหมือนทุกฝ่ายจะรับรู้กันตั้งแต่แรกแล้วว่าสนามนี้เสร็จไม่ทัน ทำไมถึงต้องมาเร่งเพื่อให้ทัน และพอไม่ทัน ควรจะโทษใครดี???

อย่ามัวแต่เอาสีเสื้อเข้าว่าเลย ว่ากันไปตามจริงเถอะ


ปล. คำสัมภาษณ์ท่านผู้ว่าก็ชวนเพลียขนาดนั้นไม่ยักกะเป็นประเด็นในนี้นะ ทีฝ่ายนายกปูมีรูปนั่งเฉยๆ ยังอุตส่าห์มาตั้งเป็นประเด็นแถมเห็นด้วยกดไลด์กันให้ควัก

เสรีไทยยยยยยจริงๆๆ