เราเป็นคนที่โชคดีมาก ญาติเราไม่มีใครเป็นเสื้อแดงเลย
มีแต่เพื่อนที่ทำงาน อยากเอาเท้ากระแทกปากจริงๆ ทุกวันนี้ไม่ค่อยพูดกับมันหรอก พูดไปก็ไม่เข้าใจ
- ดีแต่อ่าน likes this
Posted by korkang on 5 January 2013 - 11:02
Posted by korkang on 2 January 2013 - 07:52
ล้มเจ้าทุกตัว แต่ดันบอกว่าว่ารัก "ในหลวง"ทั้งๆ แกนนำทุกตัวบนเวที เสียดสีพระองค์ท่าตลอด
กลับมองไม่ ยิ่งประกาศ "ทำให้ศิริราชหายไป"
พวกเอ็งบอกว่าจงรักภักดี ทำไมไม่รวมหัวรุมกระทืบ
ให้นอมจมกองขี้คาเวที
ข้อเดียวก็เกินพอครับ
หนูจินนี่คิดว่าไง อยากทราบความรู้สึก
Posted by korkang on 28 December 2012 - 11:42
หล่อ หลัก ลอย ปี 53 เค้ายังเฉยๆเลยช่าย...มาร์ค ชั่งไข่ เค้าก็ยังเฉยๆ......นี่อะไร แดะมาก
ฉายานักการเมือง
ปีนี้มีนักตั้งฉายาเกิดขึ้นมากกว่าปีก่อนๆ เฉพาะสายสื่อมวลชนก็ได้เกิดนักตั้งฉายาขึ้นหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้สื่อข่าวอาชญากรรม กลุ่มผู้สื่อข่าวบันเทิง และกลุ่มผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาลเป็นต้น
แม้แต่นักการเมืองที่อยากดัง ก็ขยันออกมาทำตัวเป็นเกจิอาจารย์ตั้งฉายาแข่งกับนักข่าวบ้าง เช่น เสี่ยอ่าง เป็นต้น
พิจารณาจากฉายาที่มีการตั้ง ถ้าเป็นดาราซึ่งไม่มีอำนาจต่อรอง ดูเหมือนจะถูกตั้งฉายาแบบ “จิกศีรษะ” ในขณะที่ตำรวจระดับนายพลซึ่งมีอำนาจเต็มตาชั่ง ก็มีการตั้งฉายาแบบ “เกรงใจ” บวกด้วย “เกรงกลัว”
แน่นอนครับ ยิ่งรัฐมนตรีซึ่งขณะนี้มีอำนาจ “ล้นตาชั่ง” สื่อก็จะตั้งฉายาแบบ “เกรงอำนาจ”
เสี่ยอ่างก็ไม่แตกต่างไปจากสื่อ โดยคิดตั้งฉายาให้นักการเมืองทั้งที พี่ก็ตั้งแบบ “มีไมตรีลึกๆ”
จึงขอนำฉายาของนักการเมืองบางคนที่ถูกสื่อและเสี่ยอ่างตั้งให้ มาเปรียบกับฉายาที่ชาวบ้านมอบให้อย่างกระชับย่อ ดังนี้
“เสี่ยโอ๋” ถูกสื่อตั้งฉายาเป็น “ตามล่าหน้าหล่อ” ในขณะที่เสี่ยอ่างมอบฉายาให้เสี่ยโอ๋เป็น “โอ๋จัดให้” แต่คนทั่วไปกลับเห็นว่า ฉายาที่เสี่ยโอ๋ควรได้รับคือ “ขจัดเสี้ยนหนามแทนนาย” น่าจะตรงกับผลงานที่เสี่ยโอ๋ทำไว้
“เลดี้กูกู้” เสี่ยอ่างตั้งฉายาให้ค่อนข้างลิเกเป็น “ปูไข่ไก่หลง” สื่อตั้งให้เป็น “ปูกรรเชียง” คนทั่วไปอยากมอบฉายา “มนุษย์หลายหน้า” ให้แก่ชี
“ดาวฤกษ์” เสี่ยอ่างตั้งฉายาให้ลิเกที่สุดเป็น “ทาสรัก” สื่อตั้งให้เป็น “กันชนตระกูลชิน” แต่เจ้าตัวกลับสารภาพความจริงว่าตนเองเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” ซึ่งน่าจะเป็นฉายาที่เหมาะสม
“จังโก้นักฆ่าจระเข้” เสี่ยอ่างมาได้ตั้งฉายาให้ แต่สื่อตั้งเป็น “ปั้นน้ำเป็นทุน” ชาวบ้านกลับเห็นว่าฉายาน่าจะเป็น “จังโก้ตื่นตูม” มากกว่า
“หล่อใหญ่” เสี่ยอ่างตั้งให้เป็น “มาร์คเมาไบกอน” ส่วนสื่อไม่ได้ตั้งฉายาให้ ปีที่แล้วจอมเสื้อกั๊กตั้งให้เป็น “มาร์คเมาอู้” ปีนี้ชาวบ้านเห็นว่าน่าจะมอบฉายา “มาร์คถูกมอมยา” ให้จึงจะเหมาะ เพราะถูกมอมยาจนทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายค้านได้ไม่เต็บสูบ
กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม
http://www.naewna.co.../columnist/4700
นี่ขนาดเกรงอำนาจและเกรงกลัวแล้วนะเนี่ย ถ้าไม่เกรงนะ ฮึ่มมากกว่านี้อีก
Posted by korkang on 28 December 2012 - 11:13
ถามก่อนว่า .. การเดินแบบนั้น ขัดพระวินัยหรือไม่...ถามก่อนว่า .. การพูดว่า อร่อยจนลืมกลับวัด ขัดพระวินัยหรือไม่...
ผมว่าไม่ขัดแต่ไม่เหมาะทั้งคู่...
ถ้าท่านคิดว่าอันไหนขัด ... ช่วยบอกผมหน่อย...
ขัดครับ
ขัดตั้งแต่
1. ผิดเจตนารมณ์ของการ"ธุดงค์" แล้ว
2. เบียดเบียนเส้นทางจราจรของชาวบ้าน พระพุทธเจ้าท่านห้ามหนักหนาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว
พระทำอะไรต้องเรียบง่าย อย่าให้ญาติโยมต้องเดือดร้อน
3. มีการโรยด้วยเครื่องหอม ของสวยงาม กระตุ้นกิเลส นี่อยู่ในศีลแปดเลยเน้อ
4. วัตถุประสงค์คือต้องการเชิญสื่อมาทำข่าว
*อย่างไรก็ตาม วอนผู้รู้ทางศาสนามาช่วยบอกข้อมูลอีกทีนะครับ เผื่อผมเข้าใจผิด
ผมว่า ท่านต้อง ยก พระวินัยมาอ้าง เป็น ข้อๆ แล้วละครับ..
แค่ ขัดครับ... แล้ว รอผู้รู้... เหอๆๆ...
สำหรับผม มีค่าเท่ากับ ... ใครๆก็รู้
หาข้อมูลมาให้
ธุดงค์ไม่ใช่การเดิน ไม่ใช่การอยู่ป่า และไม่ใช่บทบัญญัติทางวินัย
ธุดงค์ ๑๓ (องค์คุณเครื่องสลัดหรือกำจัดกิเลส, ข้อปฏิบัติประเภทวัตรที่ผู้สมัครใจจะพึงสมาทานประพฤติได้ เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส ช่วยส่งเสริมด้วยมักน้อยและสันโดษเป็นต้น)
หมวดที่ ๑ จีวรปฏิสังยุต (เกี่ยวกับจีวร)
๑. ปังสุกูลิกังคะ (องค์แห่งผู้ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คำสมาทานโดยอธิษฐานใจหรือเปล่งวาจาว่า "คหปติจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ, ปํสุกูลิกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "เรางดคฤหบดีจีวร สมาทานองค์แห่งผู้—")
๒. เตจีวริกังคะ (องค์แห่งผู้ถือทรงเพียงไตรจีวรเป็นวัตร คำสมาทานว่า "จตุตฺถ จีวรํ ปฏิกฺขิปามิ, เตจีวริกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดจีวรผืนที่ ๔ สมาทานองค์แห่งผู้—")
หมวดที่ ๒ ปิณฑปาตปฏิสังยุต (เกี่ยวกับบิณฑบาต)
๓. ปิณฑปาติกังคะ (องค์แห่งผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร คำสมาทานว่า "อติเรกลาภํ ปฏิกฺขิปามิ ปิณฺฑปาติกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดอติเรกลาภ สมาทานองค์แห่งผู้—")
๔. สปทานจาริกังคะ (องค์แห่งผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับเป็นวัตร คำสมาทานว่า "โลลุปฺปจารํ ปฏิกฺขิปามิ, สปทานจาริกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดการเที่ยวตามใจอยาก สมาทานองค์แห่งผู้ —")
๕. เอกาสนิกังคะ (องค์แห่งผู้ถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร คือฉันวันละมื้อเดียว ลุกจากที่แล้วไม่ฉันอีก คำสมาทานว่า "นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขิปามิ, เอกาสนิกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดเว้นการฉัน ณ ต่างอาสนะ สมาทานองค์แห่งผู้— ")
๖. ปัตตปิณฑิกังคะ (องค์แห่งผู้ถือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร คือ ไม่ใช้ภาชนะใส่อาหารเกิน ๑ อย่างคือบาตร คำสมาทานว่า "ทุติยภาชนํ ปฏิกฺขิปามิ, ปตฺตปิณฺฑิกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดภาชนะที่สอง สมาทานองค์แห่งผู้—")
๗. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ (องค์แห่งผู้ถือห้ามภัตที่ถวายภายหลังเป็นวัตร คือเมื่อได้ปลงใจกำหนดอาหารที่เป็นส่วนของตน ซึ่งเรียกว่าห้ามภัต ด้วยการลงมือฉัน เป็นต้นแล้ว ไม่รับอาหารที่เขานำมาถวายอีก แม้จะเป็นของประณีต คำสมาทานว่า "อติริตฺตโภชนํ ปฏิกฺขิปามิ, ขลุปจฺฉาภตฺติกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดโภชนะอันเหลือเฟือ สมาทานองค์แห่งผู้— ")
หมวดที่ ๓ เสนาสนปฏิสังยุต (เกี่ยวกับเสนาสนะ)
๘. อารัญญิกังคะ (องค์แห่งผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร อยู่ห่างบ้านคนอย่างน้อย ๕๐๐ ชั่วธนู คือ ๒๕ เส้น คำสมาทานว่า "คามนฺตเสนาสนํ ปฏิกฺขิปามิ, อารญฺญิกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดเสนาสนะชายบ้าน สมาทานองค์แห่งผู้—")
๙. รุกขมูลิกังคะ (องค์แห่งผู้ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร คำสมาทานว่า "ฉนฺนํ ปฏิกฺขิปามิ, รุกฺขมูลิกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดที่มุงบัง สมาทานองค์แห่งผู้—")
๑๐. อัพโภกาลิกังคะ (องค์แห่งผู้ถืออยู่ที่แจ้งเป็นวัตร คำสมาทานว่า "ฉนฺนญฺจ รุกฺขมูลญฺจ ปฏิกฺขิปามิ, อพฺโภกาสิกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดที่มุงบังและโคนไม้ สมาทานองค์แห่งผู้—")
๑๑. โสสานิกังคะ (องค์แห่งผู้ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร คำสมาทานว่า "อสุสานํ ปฏิกฺขิปามิ, โสสานิกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดที่มิใช่ป่าช้า สมาทานองค์แห่งผู้— ")
๑๒. ยถาสันถติกังคะ (องค์แห่งผู้ถืออยู่ในเสนาสนะแล้วแต่เขาจัดให้ คำสมาทานว่า "เสนาสนโลลุปฺปํ ปฏิกฺขิปามิ, ยถาสนฺถติกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดความอยากเอาแต่ใจในเสนาสนะ สมาทานองค์แห่งผู้—")
หมวดที่ ๔ วิริยปฏิสังยุต (เกี่ยวกับความเพียร)
๑๓. เนสัชชิกังคะ (องค์แห่งผู้ถือการนั่งเป็นวัตร คือเว้นนอน อยู่ด้วยเพียง ๓ อิริยาบถ คำสมาทานว่า "เสยฺยํ ปฏิกฺขิปามิ, เนสชฺชิกงฺคํ สมาทิยามิ" แปลว่า "ข้าพเจ้างดการนอน สมาทานองค์แห่งผู้—")
ข้อควรทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุดงค์ ๑๓
ก. โดยย่อธุดงค์มี ๘ ข้อ เท่านั้น คือ
๑) องค์หลัก ๓ (สีสังคะ) คือ สปทานจาริกังคะ (เท่ากับได้รักษาปิณฑปาติกังคะด้วย) เอกาสนิกังคะ (เท่ากับได้รักษาปัตตปิณฑิกังคะ และขลุปัจฉาภัตติกังคะด้วย) และอัพโภกาสิกังคะ (ทำให้รุกขมูลิกังคะ กับ ยถาสันติกังคะ หมดความจำเป็น)
๒) องค์เดี่ยวไม่คาบเกี่ยวข้ออื่น ๕ (อสัมภินนังคะ) คือ อารัญญิกังคะ ปังสุกุลิกังคะ เตจีวริกังคะ เนสัชชิกังคะ และโสสานิกังคะ
ข. โดยนิสสัยคือที่อาศัย มี ๒ คือ ปัจจัยนิสิต ๑๒ (อาศัยปัจจัย) กับ วิริยนิสิต ๑ (อาศัยความเพียร)
ค. โดยบุคคลผู้ถือ
๑) ภิกษุ ถือได้ทั้ง ๑๓ ข้อ
๒) ภิกษุณี ถือได้ ๘ ข้อ (คือ ข้อ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๑๒-๑๓)
๓) สามเณร ถือได้ ๑๒ ข้อ (คือ เว้นข้อ ๒ เตจีวรกังคะ)
๔) สิกขมานาและสามเณรี ถือได้ ๗ ข้อ (คือ ลดข้อ ๒ ออกจากที่ภิกษุณีถือได้)
๕) อุบาสกอุบาสิกา ถือได้ ๒ ข้อ (คือ ข้อ ๕ และ ๖)
ง. โดยระดับการถือ แต่ละข้อถือได้ ๓ ระดับ คือ
๑) อย่างอุกฤษฏ์ หรืออย่างเคร่ง เช่น ผู้ถืออยู่ป่า ต้องให้ได้อรุณในป่าตลอดไป
๒) อย่างมัธยม หรืออย่างกลาง เช่น ผู้ถืออยู่ป่า อยู่ในเสนาสนะชายบ้าน ตลอดฤดูฝน ๔ เดือน ที่เหลืออยู่ป่า
๓) อย่างอ่อน หรืออย่างเพลา เช่น ผู้ถืออยู่ป่า อยู่ในเสนาสนะชายบ้านตลอดฤดูฝนและหนาวรวม ๘ เดือน
จ. ข้อ ๙ และ ๑๐ คือ รุกขมูลิกังคะ และอัพโภกาสิกังคะ ถือได้เฉพาะนอกพรรษา เพราะวินัยกำหนดให้ต้องถือเสนาสนะในพรรษา
ฉ. ธุดงค์ไม่ใช่บทบัญญัติทางวินัย ขึ้นกับความสมัครใจ มีหลักทั่วไปในการถือว่า
ถ้าถือแล้วช่วยให้กรรมฐานเจริญ หรือช่วยให้กุศลธรรมเจริญ อกุศลธรรมเสื่อมควรถือ
ถ้าถือแล้วทำให้กรรมฐานเสื่อม หรือทำให้กุศลธรรมเสื่อม อกุศลธรรมเจริญ ไม่ควรถือ
ส่วนผู้ที่ถือหรือไม่ถือ ก็ไม่ทำให้กรรมฐานเจริญหรือเสื่อม เช่น เป็นพระอรหันต์แล้วอย่างพระมหากัสสปะ เป็นต้น หรือคนอื่นๆก็ตาม ควรถือได้
ฝ่ายแรกควรถือในเมื่อคิดจะอนุเคราะห์ชุมชนในภายหลัง ฝ่ายหลังเพื่อเป็นวาสนาต่อไป
ช. ธุดงค์ที่มาในบาลีเดิม ไม่พบครบจำนวนในที่เดียว
(ที่พบจำนวนมาก คือ ม.อุ.๑๔/๑๘๖/๑๓๘ มีข้อ ๑-๓-๕-๘-๙-๑๐-๑๑-๑๒-๑๓;
องฺ.ทสก.๒๔/๑๘๑/๒๔๕ มีข้อ ๑-๕-๖-๗-๘-๙-๑๐-๑๑-๑๒-๑๓;
ขุ.ม.๒๙/๙๑๘/๕๘๔ มีข้อ ๑-๒-๓-๔-๗-๘-๑๒-๑๓)
นอกจากคัมภีร์บริวาร (วินย.๘/๙๘๒/๓๓๐; ๑๑๙๒/๔๗๕) ซึ่งมีหัวข้อครบถ้วน
ส่วนคำอธิบายทั้งหมดพึงดูในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
อ้างอิง
วิสุทฺธิ.๑/๗๓-๑๐๔.
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ขอบคุณภาพจาก http://images.palung...watthumpra.com/
http://www.dhammatha.../dictionary.php
Posted by korkang on 26 December 2012 - 14:49
Posted by korkang on 26 December 2012 - 08:48
ทักษิณ ชินวัตร อ้างประชาชน และหลอกใช้ประชาชน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ปลุกระดมประชาชนมาชุมนุม ก่อการ โค่นรัฐบาลที่ตนเองไม่สามารถสั่งการได้ เมื่อได้รัฐบาลที่ตนเองบงการได้ ทักษิณก็เคยประกาศ “ถีบหัวเรือส่ง” ด้วยวาทะ “พี่น้องแจวเรือพาผมมาถึงฝั่งแล้วฯ” แถมเรียกร้องให้มารดาคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตยอมเสียสละ ยอมรับแนวทางนิรโทษกรรมของทักษิณ อ้างความต้องการของประชาชน ฯลฯ
ล่าสุด ทักษิณอ้างว่า ประชาชนยังไม่ได้อยู่ดีกินดี ทำมาหากินยากลำบาก เพราะรัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องสนับสนุนการทำประชามติ แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งฉบับเสียก่อน เป็นการหลอกลวง-หลอกใช้ประชาชนซ้ำซาก เพราะรัฐบาลปัจจุบันทำงานห่วยแตกแต่ไพล่ไปโทษรัฐธรรมนูญ
พฤติกรรมในลักษณะคล้ายกันกับทักษิณ ยังโคลนนิ่งมาสู่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งตระกูลชินวัตรอีกคนหนึ่งด้วย
1) นักข่าวถามว่า นายกฯ จะพูดให้ชัดได้หรือไม่ว่าการแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่แก้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ?
นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า “ค่ะ ใช่ค่ะ การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเพื่อประชาชน เราอยากให้รัฐธรรมนูญเป็นฉบับที่มาจากประชาชน และเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ดิฉันจึงต้องถามไปว่า ในรายละเอียดนั้น คณะทำงานควรจะให้ความกระจ่างกับประชาชนว่า การแก้ไขพี่น้องประชาชนและส่วนรวมได้ประโยชน์อะไร”
ยิ่งกว่านั้น เธอยังกล่าวต่อไปอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลยว่า หากผลการทำประชามติไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชนก็สามารถกลับไปใช้แนวทางการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราได้ และไม่ถือว่าเป็นความล้มเหลวที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ เพราะไม่ได้เป็นแนวนโยบายของรัฐบาล แต่การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามคำแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญ
นี่คือสิ่งที่สะท้อนออกมาจากกะโหลกของผู้บริหารประเทศ
ไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ เลย
แถมยังบอกว่า ถึงประชามติไม่ผ่าน ก็จะแก้รายมาตราต่อไป
แบบนี้ ยังกล้าอ้างอีกว่า ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วม
ตนเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเกิดประโยชน์อะไรกับประชาชน?
จำเป็นอย่างไรหรือที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับเอาเสียให้ได้?
นักการเมืองจะโกงกินน้อยลงไหม?
ราคาสินค้าเกษตรจะสูงขึ้นไหม?
ค่าครองชีพจะลดลงไหม?
หนี้สินของประชาชน หนี้สินของประเทศจะลดลงไหม? ฯลฯ
อันที่จริง ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีปัญญาแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ก็ควรออกไปเสีย คนที่มีประสบการณ์ความรู้ความสามารถที่พร้อมจะทำงานภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญยังมี
และถ้าไม่ได้ทำเพื่อทักษิณ เหตุใดไม่กล้ายืนยันว่า คดีทุจริตของทักษิณ คดีที่ศาลพิพากษาชี้ขาดไปแล้ว รวมถึงคดีที่อยู่ในชั้นกระบวนการยุติธรรม จะมิให้ได้รับอานิสงส์ใดๆ จากการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ (ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านเขายืนยันว่าพร้อมต่อสู้ตามกระบนการยุติธรรม ยอมรับคำพิพากษาของศาล โดยไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่ต้องการนิรโทษกรรม)
2) นางสาวยิ่งลักษณ์อ้างประโยชน์ของประชาชน-ความต้องการประชาชน-การมีส่วนร่วมของประชาชน
ลองไปดูผลสำรวจของ “สำนักงานสถิติแห่งชาติ” ซึ่งได้สำรวจความต้องการของประชาชนเพื่อให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือและแก้ปัญหา ในช่วง 1-15 ตุลาคมที่ผ่านมา
ย้ำ... นี่ไม่ใช่โพลล์กะโหลกกะลา แต่เป็นผลสำรวจของหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ด้านนี้โดยตรง
สอบถามถึงปัญหาและความเดือดร้อนของชุมชน/หมู่บ้านในช่วงปี 2555 และยังสอบถามความต้องการของประชาชนว่า ในปี 2556 ประชาชนอยากจะให้รัฐบาลช่วยเหลือแก้ไขปัญหาใดมากที่สุด?
รัฐบาลน่าจะลองแหกตาดูว่า มีเรื่องแก้รัฐธรรมนูญไหม
ปรากฏว่า
(1) ในรอบปี 2555 ที่ผ่านมา ประชาชนระบุว่า ชุมชน/หมู่บ้านได้รับความเดือดร้อนจากปัญหายาเสพติดมากที่สุด ร้อยละ 34 รองลงมาคือปัญหาน้ำท่วม ร้อยละ 26, ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ 25, หนี้สิน ร้อยละ 22 และการจราจรติดขัด ร้อยละ 18 ตามลำดับ (5 อันดับแรก)
ไม่มีชุมชนไหนเดือดร้อนเพราะรัฐธรรมนูญ
ยกเว้นชุมโจรในคราบนักการเมืองขี้โกง จงใจทำผิดกฎหมายและข้อห้ามในรัฐธรรมนูญ
และอาจยกเว้นชุมชน/หมู่บ้านสีแดงส่วนที่ต้องการล้มล้างเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ซึ่งไม่สามารถกระทำได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ
(2) ความต้องการให้รัฐบาลดำเนินการในปี 2556
ปรากฏว่า ประชาชนเกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 40.9) ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหาของแพงมากที่สุด
ตามมาด้วยแก้ปัญหาหนี้สิน – ยาเสพติด-จราจรติดขัด – ความยากจน (ตามลำดับ)
ไม่มีเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเลย!
เลิกอ้างประชาชน เลิกแหลเพื่อพี่!
http://www.naewna.co.../columnist/4666
Posted by korkang on 22 December 2012 - 08:18
Posted by korkang on 19 December 2012 - 14:14
ถูกต้อง ฉะนั้น ต้องไม่ออก จะได้ไม่ครบ 23 ล้าน เพราะออกไปโหวตไม่รับเมื่อไร แพ้เห็นๆบัตรลงประชามติ มันมีแค่2ช่องคือ เห็นด้วย กับ ไม่เห็นด้วย ไม่มีช่อง VOTE NO (ไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใคร)
สำหรับผม ง่ายก็คือนอนอยู่บ้านไม่ต้องออกไปโหวต
แต่ถ้าโดนกำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต ปลัด นายอำเภอ ขีกาก ซี้เก่าพวกนี้มันรบเร้ามากๆ
ก็ออกไปโหวตโน แค่นั้นครับ ผมถือว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีอยู่แล้ว
อย่างน้อยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก้ทำให้เศรษฐีขี้ครอกจอมโกงกิน ต้องระเห็จระเหเร่ร่อนไม่มีแผ่นดินอยู่มาจนทุกวันนี้
ถ้าเดินเข้าไปใช้สิทธิ์ จะกลายเป็น 1เสียงของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงครับท่าน
Community Forum Software by IP.Board 3.4.6
Licensed to: serithai.net