สู่ห้องเรียน..ประวัติศาสตร์ชาติไทย
#151
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:38
ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ
เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน
#152
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:36
- เขาบอกว่าอำนาจเป็นของราษฎรทั้งหลายแล้วไหนล่ะตัวแทนจากการเลือกตั้ง? มันก็แต่งตั้งคนทั้งสภาที่ตัวเองคุมได้
- เขาบอกว่าแต่งตั้งพระยามโนปกรณ์ฯเป็นนายยก แสดงว่ามิได้ตั้งใจกุมอำนาจ แต่พอความเห็นขัดแย้ง ก็รัฐประหารนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย!!!
แค่วรรคข้างต้นก็ฉ้อฉลเต็มที เอียนที่จะวิจารณ์ต่อ.....คคห.148(ดราม่า)
มีข้อเท็จจริงว่าพระยามโนปกรณ์ฯต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังเดิม.....!
Edited by ปุถุชน, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:39.
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#153
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:46
สาระสำคัญของวรรคบนคือตรงตัวหนังสือสีแดง ถ้าอ่านประวัติศาสตร์แล้วจะเห็นว่าสิ่งที่ เขาพูดมันตลกไร้สาร
- เขาบอกว่าอำนาจเป็นของราษฎรทั้งหลายแล้วไหนล่ะตัวแทนจากการเลือกตั้ง? มันก็แต่งตั้งคนทั้งสภาที่ตัวเองคุมได้
- เขาบอกว่าแต่งตั้งพระยามโนปกรณ์ฯเป็นนายยก แสดงว่ามิได้ตั้งใจกุมอำนาจ แต่พอความเห็นขัดแย้ง ก็รัฐประหารนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย!!!
แค่วรรคข้างต้นก็ฉ้อฉลเต็มที เอียนที่จะวิจารณ์ต่อ.....คคห.148(ดราม่า)
มีข้อเท็จจริงว่าพระยามโนปกรณ์ฯต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังเดิม.....!
คำว่าข้อเท็จจริงมันต้องมีหลักฐาน ขอดูหน่อยครับผม?
เพราะตามความรู้เดิมของผม พระยามโนขัดแย้งกับนายปรีดีเรื่องสมุดปกเหลือง(แล้วคุณว่าสมุดปกเหลืองเป็นแนวทางคอมมิวนิสต์หรือไม่ล่ะ?)
Edited by ดราม่า, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:47.
#154
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:50
ข้อมูลในวิกิ ใครเป็นคนลง ต้องรับผิดชอบหรือไม่ หากข้อมูลไม่จริงหรือไปหมิ่นประมาทใคร
ตามความคิดของผมควรลงในส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง สามารถพิสูจน์ได้ มีหลักฐานอ้างอิง
แต่ที่เจอในวิกิกลับมีข้อคิดเห็นจำนวนมากกกกกกกกกกกก
Edited by BlueArmy, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:53.
- ดราม่า likes this
#156
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:14
ขอถามโง่ๆ คั่นรายการ
ข้อมูลในวิกิ ใครเป็นคนลง ต้องรับผิดชอบหรือไม่ หากข้อมูลไม่จริงหรือไปหมิ่นประมาทใคร
ตามความคิดของผมควรลงในส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง สามารถพิสูจน์ได้ มีหลักฐานอ้างอิง
แต่ที่เจอในวิกิกลับมีข้อคิดเห็นจำนวนมากกกกกกกกกกกก
ผมเคยโดนละเมิดจากวิกิ
ผมก็เลยกดปุ่มแสดงความเห็น แจ้งเขาไป
ประมาณ 3 ชั่วโมง วิกิไทยก็แก้ไขตามที่ผมแจ้งครับ
วิกิใช้ระบบช่วยกันสร้าง ถือว่าทุกคนมีสิทธิที่จะสร้างชุดความรู้หรือแก้ไขข้อมูลได้
โดยให้ประชาคมช่วยกันเป็นหูเป็นตา คิดตื้นๆ ก็ดี แต่คิดลึกแล้ว ข้อมูลเป็นร้อยล้านชิ้น
ปล่อยกันเปรอะโดยไม่ต้องรับผิดชอบ มันย่อมไม่ดีแน่ๆ
ผู้ก่อตั้งวิกิเล่นใช้นโยบายช่วยกันทิ้ง แล้วโยนให้สังคมช่วยกันเลือกเก็บขยะออกไป
วงเล็กก็พอไล่ตามไหว แต่ถ้าคนร่วมทิ้งเป็นล้านๆ คนเสียสละมาคัดแยกขยะมีเป็นหมื่น
ในที่สุดวิกิก็จะเจ๊ง คือเชื่อไม่ได้นั่นเอง
- Tee, baboon, overtherainbow and 1 other like this
#157
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:51
เราจะยึด อะไรดีคะ
#158
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 18:01
#159
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 18:15
แต่จะพยายามตามไปดูนะครับ
#160
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 19:39
หนังสือตำรามีหลายเล่ม
เราจะยึด อะไรดีคะ
ผมไม่เชื่อตำราเลยสักเล่ม
แต่ก็อ่านด้วยความรู้บุญคุณ เพราะเขาถางทางให้เราเดิน
หน้าที่เราคือทำทางนั้น ให้เดินสะดวกขึ้น
กำจัดอุปสรรค และทำป้ายชี้ว่าตรงใหนเป็นหล่ม ตรงใหนลื่นเลอะเทอะ
ตรงใหนผิดทาง
- overtherainbow, อู๋ ฮานามิ, nhum and 3 others like this
#161
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 19:53
มีข้อเท็จจริงว่าพระยามโนปกรณ์ฯต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังเดิม.....!
ผมไม่เคยได้ยินนะรอมานานแล้วคุณปุไม่เห็นเอาหลักฐานยืนยันคำพูดมาให้ดูซักที ผมเห็นแต่คณะราษฎรขัดแย้งเรื่องปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์
หลังจากที่ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ในวันที10 ธันวาคม2497 ๒๔๗๕ ผ่านพ้นไปไม่เท่าไร รอยร้าวที่เกิดขึ้นแล้วในพวกผู้ก่อการ ก็ปริแตกหนักหนักขึ้นเพราะ“สมุดปกเหลือง” หรือ “เค้าโครงเศรษฐกิจ” ซึ่งหลวงประดิษฐ์เสนอให้ใช้เป็นแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ แต่ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ แตกความคิดเห็นเป็นสองพวก ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าโครงการนี้มีลักษณะเป็นสังคมนิยมอย่างแรง หรือว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” ไปเลย หากนำมาใช้แล้วจะเกิดจลาจลวุ่นวายแน่นอน พวกที่มีความเห็นเช่นว่านี้คือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา และรัฐมนตรีที่มาจากขุนนางเก่าทั้งหลายที่อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า พวกศักดินา(สมัยนี้ดูเหมือนจะเรียกว่าพวกอำมาตย์) แต่รวมไปถึงผู้ก่อการที่เป็นทหารหลายคน แน่นอนว่าพระยาทรงและทหารเสือทั้งหลายรวมอยู่ด้วย แม้ว่าพระยาพหลต่อมาจะเลือกไปอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามเพราะเขม่นพระยาทรง เลยต้องไป “ชิดชอบ” กับหลวงพิบูล ส่วนหลวงพิบูลนั้นไม่ต้องพูดถึง ข้างไหนก็ได้ แต่ตอนนี้ขอให้ตรงข้ามกับพระยาทรงก่อนก็แล้วกัน
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งแท้ๆ ก็คือหลวงประดิษฐ์และบรรดาผู้ก่อการกลุ่มพลเรือนที่เป็นพวกพ้องร่วมอุดมการณ์และลูกศิษย์ลูกหา พวกนี้ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มและมีหัวรุนแรงทั้งสิ้น เห็นว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ประเทศสยามถึงกาลที่จะต้องเปลี่ยนรูปแบบและโครงสร้างได้แล้ว เพื่อให้ราษฎร(สมัยนี้ดูเหมือนจะเรียกว่าพวกไพร่)เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
อย่างที่ท่านอาจารย์เทาชมพูว่าการปฏิวัติมิได้จบแค่24มิถุนายน เห็นไหมครับ เดี๋ยวนี้ถึงแม้ตัวแสดงจะเปลี่ยนไป แต่การสู้รบกันเองที่ทุกฝ่ายต่างอ้างว่าเพื่อประชาธิปไตย ในเมืองไทยยังไม่ได้จบลงเลย จะต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้ออีกเท่าไหนก็ไม่รู้
เกี่ยวกับเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ นี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯได้ทรงมีพระราชวิจารณ์ไว้ใน “สมุดปกขาว” มีความสำคัญตอนหนึ่งว่า
“….โครงการนี้นั้น เป็นโครงการอันเดียวกันอย่างแน่นอนกับที่ประเทศรัสเซียใช้อยู่ ส่วนใครจะเอาอย่างใครนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบ สตาลินจะเอาอย่างหลวงประดิษฐ์ หรือหลวงประดิษฐ์จะเอาอย่างสตาลินก็ตอบไม่ได้ ตอบได้ข้อเดียวว่าโครงการทั้งสองนี้เหมือนกัน เหมือนกันจนรายละเอียดที่ใช้ และรูปแบบของวิธีการกระทำ จะผิดกันก็แต่รัสเซียนั้นแก้เสียเป็นสยาม หรือสยามนั้นแก้เป็นรัสเซีย ข้าวสาลีแก้เป็นข้าวสาร หรือข้าวสารแก้เป็นข้าวสาลี…”
เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อหลวงประดิษฐ์เสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จึงแพ้โหวตในที่ประชุม ทำให้ตกไป ไม่สามารถเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภาได้ ทำให้ฝ่ายหลวงประดิษฐ์ไม่พอใจในรัฐบาลพระยามโนเป็นอย่างยิ่ง และพากันอภิปรายโจมตีพระยามโนที่ประชุมสภาอย่างเผ็ดร้อนในทุกโอกาส ยิ่งกว่านั้นสมาชิกหลายคนยังได้ใช้สิทธิ์ในฐานะที่เป็นผู้ก่อการคณะปฏิวัติ มีใบอนุญาตให้พกปืนป้องกันตัวไปไหนมาไหนได้ ถือเป็นโอกาสพกปืนเข้าไปในที่ประชุมสภากันอย่างเปิดเผย ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม สร้างความหวาดเสียวแก่บรรดาสมาชิกสภารุ่นอาวุโส และผู้รักความสงบเป็นอย่างยิ่ง หลายท่านไม่อยากไปประชุมเพราะเกรงว่าวันหนึ่งอาจโดนลูกหลง
เมื่อเหตุการณ์ชักวุ่นวายมากขึ้น พระยามโนจึงได้ขอร้องให้พระยาทรง จัดทหารมาคอยตรวจค้นอาวุธปืนของพวกสมาชิกสภา ใครพกปืนมาก็ให้ริบไว้ก่อน เลิกประชุมแล้วจึงคืนให้ แต่สมาชิกสภากลุ่มกลับโกรธแค้นพระยามโนเป็นอย่างยิ่ง เกรี้ยวกราดโจมตีว่ารัฐบาลละเมิดอำนาจสภา เป็นเผด็จการเอาทหารมาคุมสภา อันได้ทวีความโกลาหลในที่ประชุมสภายิ่งขึ้นอีกเป็นอันมาก
สถานะคณะรัฐบาลเองก็อยู่ในภาวะคับขันมากขึ้น หลวงประดิษฐ์กับพระยามโนมีความเห็นขัดแย้งกันรุนแรงจนไม่สามารถทำงานอะไรได้ เพื่อป้องกันมิให้ประเทศชาติต้องเสี่ยงกับการจลาจล พระยามโนจึงตัดสินใจดำเนินการกับสมาชิกสภาหัวรุนแรงด้วยการออกพระราชกฤษฎีกาให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเดิม ยกเว้นหลวงประดิษฐ์และพรรคพวกเพียง ๒-๓ คน รัฐบาลใหม่ยังถือโอกาสออก “พระราชบัญญํติคอมมิวนิสต์” เพื่อป้องกันและลงโทษผู้ประพฤติเป็นคอมมิวนิสต์ตามออกมาในวันเดียวกันนั้น เองอีกด้วย ถือได้ว่าเป็นมาตรการรุนแรงที่พระยามโนนำออกมาจัดการกับหลวงประดิษฐ์และพรรคพวกโดยเฉพาะ และเป็นเหตุให้หลวงประดิษฐ์จำใจต้องเดินทางออกไปนอกประเทศ เพื่อศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสอย่างไม่มีกำหนด โดยคำแนะนำของพระยามโนและคณะรัฐมนตรีฝ่ายทหาร มิฉนั้น จะไม่รับรองความปลอดภัย ว่าอย่างนั้นเถอะ
หลังจากนั้นไม่นาน “สี่ทหารเสือ” คือทั้งพระยาพหล พระยาทรง พระยาฤทธิ์อัคเนย์ และพระประศาสน์อก็ได้พร้อมใจกันยื่นใบลาออกจากหน้าที่ ทั้งในด้านทหารและด้านการเมืองทุกตำแหน่ง ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 24มิถุนายน2476 เป็นต้นไป นับเป็นข่าวใหญ่ของเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ถึงกับมีหน้าม้าจัดการเดินขบวนของกรรมกรขึ้นเพื่อแสดงความอาลัยต่อการลาออกของ “สี่ทหารเสือ” ถือเป็นการเดินขบวนแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
http://www.reurnthai...p?topic=3363.45
ลองไปอ่านสมุดปกเหลือของปรีดีดูก็ได้ สถาบันปรีดีเขาก็โพสไว้เองอย่างไม่อายความจริง http://www.pridi-pho...omic-plan-1932/
Edited by ดราม่า, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 19:54.
#162
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:33
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท1 ที่มาจากการเลือกตั้งกลุ่มนึง มีร้อยโท ณ เณร ตาละลักษณ์ ส.ส.พระนครผู้ที่ปากกล้าเสียงดังฟังชัดที่สุด และเป็นบ.ก.หนังสือพิมพ์รายวัน “ชุมชน” ด้วย ประกาศตนเป็นฝ่ายค้านรัฐบาลอย่างไม่เกรงกลัวอิทธิพลผู้ใด และออกโรงเชียร์พระยาทรงโดยเปิดเผยว่าเป็นบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่สุด เมื่อพระยาพหลประกาศยุบสภาแพ้การลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องที่รัฐบาลเอาที่ดินของพระคลังข้างที่ออกมาขายให้พรรคพวกของตนในราคาถูกแสนถูก แถมยังมีผ่อนส่งอีกต่างหาก ถือเป็นการคอรัปชั่นเชิงนโยบายตามศัพท์อันทันสมัย เมื่อได้ส.ส.ใหม่เข้าสภาแล้ว ได้จัดให้มีการประชุมลับเฉพาะส.ส.ประเภท1เพื่อหยั่งเสียงว่าจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรีแทน มีผู้เสนอชื่อพระยาทรงคู่กับหลวงพิบูล ปรากฎว่าคะแนนพระยาทรงชนะขาดถึง37ต่อ5 วันรุ่งขึ้นนสพ.ชุมชนตีภาพพระยาทรงกับหลวงพิบูลขึ้นหน้าหนึ่งคู่กันโดยพาดหัวว่า สภาลงคะแนนลับให้พระยาทรง37คะแนน หลวงพิบูล5แต้ม
ตอนนั้นปรีดีก็ร่วมรัฐบาลด้วยนี่ ไม่เห็นห้ามปรามพวกพ้องประชาธิปไตยด้วยกันเลย?
Edited by ดราม่า, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:34.
#163
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:42
วีระบุรุษสังคังนิยม
(จาดสมุดปกเหลือง)
ความเห็นนักเศรษฐวิทยาเยอรมัน
เราจำต้องดำเนินตามหลักของนักเศรษฐวิทยาของเยอรมันผู้หนึ่ง ชื่อเฟรดอริคลิสต์ซึ่งแสดงความเห็นว่าเยอรมนีต้องทำตนให้เป็นรัฐบริบูรณ์ เสียก่อน กล่าวคือมีอุตสาหกรรม กสิกรรม ศิลปวิทยา ให้พร้อมบูรณ์และเมื่อได้เป็นเช่นนั้นแล้วจะมีการแข่งขันในระหว่างประเทศก็ ควร เยอรมนีได้เจริญขึ้นเพราะถือหลักนี้กันทั้งประเทศเยอรมนีเอง การที่รัฐบาลจัดทำได้ผลดีเพียงไร เช่น การรถไฟเป็นต้น และในปัจจุบันนี้เองประเทศเยอรมนี เห็นว่าบ้านเมืองจะสุขสมบูรณ์ได้ก็แต่รัฐบาลเป็นผู้ประกอบเศรษฐกิจ จึงได้มอบตำแหน่งรัฐบาลให้แก่ฮิตเลอร์ ซึ่งฮิตเลอร์เป็นผู้นิยมในลัทธิที่รัฐบาลจัดทำเศรษฐกิจ ของในอังกฤษมีท่านแมคโดนาล ในประเทศฝรั่งเศสมีท่านดาลาลิเอร์เป็นหัวหน้าในรัฐบาล ท่านเหล่านี้ดำเนินลัทธิอย่างไรก็ย่อมทราบกันอยู่แล้วว่าดำเนินลัทธิที่ ต้องการให้ราษฎรทำร่วมกันกับรัฐบาล และต้องการการประกันของรัฐบาล (Assurance Sociale) ไม่มากก็น้อย
#164
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:23
ปรีดีสายไหน พระยาพหลสายไหน เจอกันที่ไหน ถูกใจกันเรื่องไหน ขัดกันเรื่องไหน คะ
#165
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:37
จึงไม่มีสายใหน มีแต่ถ้าเป็นเรื่องนโยบาย ให้รอหลวงประดิษฐ์
พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนเป็นมือเป็นเท้า ให้มันสมองชื่อปรีดี
ปรีดีมีชื่อมาตั้งแต่เรียน ดอกเดอรอังดรัวไม่ใช่ได้มาง่ายๆ
กลับมาก็มาสอนเนติบัณฑิต และเปิดโรงพิมพ์ พิมพ์หนังสือกฏหมาย
คนเรียกอาจารย์กันทั้งบ้านทั้งเมือง
แต่เมื่อเสนอสมุดปกเหลืองออกมา เราจึงได้รู้ว่า พระปกเกล้าท่านทรงรอบรู้มากกว่า
และมีคนอื่นที่รู้ทันการหมกเม็ดของปรีดี ที่แอบอ้างถ้อยคำปกปิดแก่นของไอเดียไว้
สรุปอย่างย่อก็คือ
1 ยกเลิกกรรมสิทธิ์เหนือที่ดิน รัฐจะบังคับซื้อที่ดินไป เจ้าของที่ดินถือใบเงินกู้ของรัฐบาลเอาไว้กินดอก
2 ความสัมพันธ์ทางการผลิต ประชาชนทุกคนเป็นลูกจ้างรัฐ ทำงานตามที่รัฐจัดให้
3 ระบบเศรษฐกิจ รัฐเป็นผู้ประกอบการแต่เพียงผู้เดียว
พระปกเกล้าจึงยืนยันว่าเหมือนสตาลิน
มีเรื่องตลกก็คือ ปรีดีบอกว่า ชาวนา 99 % ไม่มีที่ดิน
ดังนั้น การยึดที่ดินจึงไม่ได้ยึดจากชาวนา แต่ยึดจากทรัพย์สินของเอกชน
ไม่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ ให้เรียกคอมมิวหน่อยหรือ
- baboon, overtherainbow, ดราม่า and 1 other like this
#166
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:47
ลองอ่านสมุดปกขาว( พระบรมราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจ ) ดูครับว่าใครเหนือชั้นกว่า
http://www.kpi.ac.th...ประดิษฐ์มนูธรรม
การที่จะคิดป้องกันการปิดประตูค้านี้ก็เป็นการดีอยู่ แต่ถ้าจะพูดถึงความจำเป็นแล้วว่า เราควรจะกลัวการปิดประตูค้าแล้วหรือไม่ ก็จะต้องตอบว่าไม่ควรกลัวเลย การปิดประตูการค้านี้ ถ้าใครจะทำกับประเทศสยามแล้ว ก็เป็นการโง่ของผู้นั้น เพราะจะมาเสียเงินทำเช่นนั้นทำไม มีวิธีอื่นที่จะบังคับให้ประเทศสยามยอมจำนนได้ถมเถไป มีอาทิเช่น ส่งเรือรบซึ่งมีเครื่องบินบรรทุกอยู่เสร็จเข้ามากับเรือครูเซอร์ บรรทุกทหารมาขึ้นที่กรุงเทพฯ ก็คุมกรุงเทพฯ อยู่แล้ว ทุกวันนี้เราย่อมรู้ดีว่าเพื่อนบ้านเขาไม่ชอบวิธีการเศรษฐกิจแบบนี้ ถ้าเราทำขึ้นเมื่อใดก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาจะไม่ส่งคนของเขาเข้ามายึดทรัพย์สิ่งของเราดั่งกล่าวแล้ว กวาเราจะมีกำลังพอป้องกันการปิดประตูค้าได้ บ้านเมืองของเราก็หมดไปเสียแล้ว โดยแม้แต่บานประตูก็คงจะยังทำไม่แล้วทัน เพราะฉะนั้น การกลัวที่จะปิดประตูค้านี้เป็นการกลัวที่หามูลมิได้ เป็นการเอาอย่างประเทศรัสเซียเท่านั้น
เสียดายไม่เคยอ่านแบบต้นฉบับ หาอ่านยากมากๆ กลายเป็นว่าสมุดปกเหลือหาอ่านง่ายกว่าเยอะ ใครมีต้นฉบับช่วงสงเคราะห์ให้ด้วยนะครับ
Edited by ดราม่า, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:49.
#167
ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:25
http://www.upload-th...07e50a4c4f7b0d0
#168
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:51
ถือว่ารัฐบาลผิดพลาดอย่างร้ายแรง ที่ไม่สามารถสกัดการเติบโตของขบวนการได้
๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๖
"...ฉันทราบมาว่าพวกนักเรียนไทยที่ฝรั่งเศสเขาชุมนุมกันเสมอ นัยว่าจะมีการคบคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นดีมอคเครซี แต่พวกนี้ออกจะหัวรุนแรงมาก ฉันเกรงไปว่ามันจะไม่ใช่ดีมอคเครซีน่ะซิ...."
http://www.sarakadee..._sethaputra.htm
#169
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 07:32
เจอข้อมูลนี้ในประวัติ ส. เศรษฐบุตร แสดงว่าข่าวคณะราษฎรแพร่งพรายออกมาล่วงหน้า 10 กว่าปีทีเดียว
ถือว่ารัฐบาลผิดพลาดอย่างร้ายแรง ที่ไม่สามารถสกัดการเติบโตของขบวนการได้
๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๖
"...ฉันทราบมาว่าพวกนักเรียนไทยที่ฝรั่งเศสเขาชุมนุมกันเสมอ นัยว่าจะมีการคบคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นดีมอคเครซี แต่พวกนี้ออกจะหัวรุนแรงมาก ฉันเกรงไปว่ามันจะไม่ใช่ดีมอคเครซีน่ะซิ...."
http://www.sarakadee..._sethaputra.htm
น่าสนใจกับข้อมูลพวกนี้นะคะ
ถ้าเป็นที่รู้กันว่า มีเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของสถาบัน แบบนี้
ฝ่ายความมั่นคงสมัยนั้น ไม่ได้ทำอะไร หรือทำแล้วแต่ไม่พอ
ชักคล้ายๆ สมัยนี้เลย รึปล่าวคะ
พลเรื่อนก็ไปเรียน ทหารก็ไปเรียน ที่นั่น น่าจะมีเกล็ดอะไรมาเล่า น่าสนใจเหมือนกันนะคะ
Edited by overtherainbow, 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 07:40.
#170
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 07:37
แวะมาเก็บข้อมูลค่ะ Face ใกล้เสร็จแล้วค่ะ
ขออนุญาตเข้าไปดูได้ไหมครับ
- overtherainbow likes this
#172
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:16
พึ่งหามาได้จากห้องสมุดครับ ถ้าสนใจลองโหลดไปศึกษาดูครับ “บันทึกพระบรมราชวินิจฉัยเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม”
http://www.upload-th...07e50a4c4f7b0d0
อ่านมานานแล้วครับ เลยทำให้ตระหนักว่า พระปกเกล้าฯ ท่านทรงมีความรู้ความสามารถด้านการเมือง, การปกครองและภาษาเป็นอย่างมาก เสียแต่ว่าท่านยังทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก หลายเรื่องที่เสนอไปแล้วก็โดนเหล่าอภิรัฐมนตรีบางท่านที่กลัวการเปลี่ยนแปลงแสดงความไม่เห็นด้วยอยู่เป็นประจำ
- overtherainbow likes this
จุดยืนของผม "ต่อต้านระบอบทักษิณ, เสื้อแดง, พวกล้มเจ้า ไม่เอาแป๊ะลิ้ม"
#173
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:35
พึ่งหามาได้จากห้องสมุดครับ ถ้าสนใจลองโหลดไปศึกษาดูครับ “บันทึกพระบรมราชวินิจฉัยเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม”
http://www.upload-th...07e50a4c4f7b0d0
อ่านมานานแล้วครับ เลยทำให้ตระหนักว่า พระปกเกล้าฯ ท่านทรงมีความรู้ความสามารถด้านการเมือง, การปกครองและภาษาเป็นอย่างมาก เสียแต่ว่าท่านยังทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก หลายเรื่องที่เสนอไปแล้วก็โดนเหล่าอภิรัฐมนตรีบางท่านที่กลัวการเปลี่ยนแปลงแสดงความไม่เห็นด้วยอยู่เป็นประจำ
จริงค่ะ ท่านก็อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง มีที่ปรึกษาเป็นฝรั่งด้วย
แต่ก็มีคนแย้งว่า คนไทยยังไม่พร้อม
แล้วก็มี เรื่องจนได้
#174
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:38
เจอข้อมูลนี้ในประวัติ ส. เศรษฐบุตร แสดงว่าข่าวคณะราษฎรแพร่งพรายออกมาล่วงหน้า 10 กว่าปีทีเดียว
ถือว่ารัฐบาลผิดพลาดอย่างร้ายแรง ที่ไม่สามารถสกัดการเติบโตของขบวนการได้
๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๖
"...ฉันทราบมาว่าพวกนักเรียนไทยที่ฝรั่งเศสเขาชุมนุมกันเสมอ นัยว่าจะมีการคบคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นดีมอคเครซี แต่พวกนี้ออกจะหัวรุนแรงมาก ฉันเกรงไปว่ามันจะไม่ใช่ดีมอคเครซีน่ะซิ...."
http://www.sarakadee..._sethaputra.htm
น่าสนใจกับข้อมูลพวกนี้นะคะ
ถ้าเป็นที่รู้กันว่า มีเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของสถาบัน แบบนี้
ฝ่ายความมั่นคงสมัยนั้น ไม่ได้ทำอะไร หรือทำแล้วแต่ไม่พอ
ชักคล้ายๆ สมัยนี้เลย รึปล่าวคะ
พลเรื่อนก็ไปเรียน ทหารก็ไปเรียน ที่นั่น น่าจะมีเกล็ดอะไรมาเล่า น่าสนใจเหมือนกันนะคะ
เพราะ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มีพระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญและให้มีรัฐสภาอยู่แล้ว
และไม่คิดว่าพระองค์และพระราชวงศ์จะถูกจองล้างจองผลาญ ใส่ความ เนรเทศ จนถึงขนาดลอบปลงพระชนม์รัชกาลถัดมา
#175
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:00
สาระสำคัญของวรรคบนคือตรงตัวหนังสือสีแดง ถ้าอ่านประวัติศาสตร์แล้วจะเห็นว่าสิ่งที่ เขาพูดมันตลกไร้สาร
- เขาบอกว่าอำนาจเป็นของราษฎรทั้งหลายแล้วไหนล่ะตัวแทนจากการเลือกตั้ง? มันก็แต่งตั้งคนทั้งสภาที่ตัวเองคุมได้
- เขาบอกว่าแต่งตั้งพระยามโนปกรณ์ฯเป็นนายยก แสดงว่ามิได้ตั้งใจกุมอำนาจ แต่พอความเห็นขัดแย้ง ก็รัฐประหารนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย!!!
แค่วรรคข้างต้นก็ฉ้อฉลเต็มที เอียนที่จะวิจารณ์ต่อ.....คคห.148(ดราม่า)
มีข้อเท็จจริงว่าพระยามโนปกรณ์ฯต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังเดิม.....!
คำว่าข้อเท็จจริงมันต้องมีหลักฐาน* ขอดูหน่อยครับผม?
เพราะตามความรู้เดิมของผม พระยามโนขัดแย้งกับนายปรีดีเรื่องสมุดปกเหลือง*(แล้วคุณว่าสมุดปกเหลืองเป็นแนวทางคอมมิวนิสต์หรือไม่ล่ะ*?)
1. ข้อเท็จจริง(fact)กับความจริง(truth)...
ถึงวันนี้ผมยังไม่รู้"ความจริง"เลย....
เพียงอ่านจากหนังสือเขียน/เรียบเรียงก่อนหน้านี้หลายสิบปี....
เวลานี้เลิกอ่าน เลิกติดตามแล้ว
เฝ้าดู"พัฒนาการ"ระบอบการปกครองแบบ"ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"เท่านั้น
ผมไม่อาจอ้างเป็น"หลักฐาน"เพื่อไม่ต้องเป็นผู้ขยายความให้เชื่อว่าเป็น"ความจริง".....!
2.ระหว่าง"ท่านปรีดี"กับ"พระยามนโนฯ"มีเรื่องขัดแย้งหลายเรื่อง...
เรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจใน"สมุดปกเหลือง"....
และ"ความต้องการเปลียนแปลงระบอบการปกครองกลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังเดิม...
3.สมุดปกเหลืองเป็นแนวทางคอมมิวนิสต์หรือไม่ล่ะ....
ผมไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ให้คนที่อยากรู้ศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจเอาเอง....
ปล ในขณะนี้ผมไม่เชื่อถือข้อมูลใดโดดๆ โดยไม่เทียบเคียงกับข้อมูลอื่นๆ และรู้อยู่ในใจไม่ขอยืนยันกับผู้ใด
คนที่ต้องการรู้ข้อเท็จจริงหรือ"ความจริง"ต้องใผ่ค้นคว้าด้วยสติปัญญาเอาเอง...
ผมพ้นวัย เวลานั้นแล้วครับ.....!
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#176
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:06
เมื่อปี 2486 ป.กุ้งเผา ได้ยื่นไปลาออกจากตำแหน่ง นายกฯ ต่อคณะผู้สำเร็จราชการ (นายปรีดีฯ, พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ) นัยว่าต้องการหยั่งเชิงให้ ยับยั้งใบลาออก แต่คณะผู้สำเร็จราชการได้เซ็นต์อนุมัติการลาออก และได้ส่งเรื่องให้ สภาฯประกาศ ป.กุ้งเผา แค้นจัด จึงส่งนายทหารไปเอาใบลาออกคืน แต่คณะฯ ไม่ให้ เพราะได้ทำตามขั้นตอนไปแล้ว
ป.กุ้งเผา เลยแก้ลำ ออกประกาศให้คณะผู้สำเร็จราชการ มารายงานตัวต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ป.กุ้งเผา) ภายใน 24ชม. มีเพียงพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ เท่านั้นที่ไป ส่วนนายปรีดีฯ แจ้งกลับไปว่า "ข้าพเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการ แทนพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นจอมทัพตามรัฐธรรมนูญ ถ้าข้าพเจ้าลดตัวไปอยู่ใต้บัญชาของ ผบ.สส. เท่ากับลดพระราชอำนาจ" ป.กุ้งเผา จึงต้องยอมถอนประกาศนั้นไป
พอจะเห็นได้ว่า มุมมองเรื่องสถาบันฯ ระหว่าง ป.กุ้งเผา กับนายปรีดีฯ ยังมีความแตกต่างกันอยู่
จุดยืนของผม "ต่อต้านระบอบทักษิณ, เสื้อแดง, พวกล้มเจ้า ไม่เอาแป๊ะลิ้ม"
#177
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:11
ในประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองเห็นด่าเจ้าเสียฉิบหาย พอจวนตัวก็อิงอำนาจเจ้า สมเป็นบิดาแห่งหารเมืองไทยจริงๆมีเกร็ดเล็กๆ ระหว่างการงัดอำนาจกันระหว่าง ป.กุ้งเผา กับ นายปรีดีฯ
เมื่อปี 2486 ป.กุ้งเผา ได้ยื่นไปลาออกจากตำแหน่ง นายกฯ ต่อคณะผู้สำเร็จราชการ (นายปรีดีฯ, พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ) นัยว่าต้องการหยั่งเชิงให้ ยับยั้งใบลาออก แต่คณะผู้สำเร็จราชการได้เซ็นต์อนุมัติการลาออก และได้ส่งเรื่องให้ สภาฯประกาศ ป.กุ้งเผา แค้นจัด จึงส่งนายทหารไปเอาใบลาออกคืน แต่คณะฯ ไม่ให้ เพราะได้ทำตามขั้นตอนไปแล้ว
ป.กุ้งเผา เลยแก้ลำ ออกประกาศให้คณะผู้สำเร็จราชการ มารายงานตัวต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ป.กุ้งเผา) ภายใน 24ชม. มีเพียงพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ เท่านั้นที่ไป ส่วนนายปรีดีฯ แจ้งกลับไปว่า "ข้าพเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการ แทนพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นจอมทัพตามรัฐธรรมนูญ ถ้าข้าพเจ้าลดตัวไปอยู่ใต้บัญชาของ ผบ.สส. เท่ากับลดพระราชอำนาจ" ป.กุ้งเผา จึงต้องยอมถอนประกาศนั้นไป
พอจะเห็นได้ว่า มุมมองเรื่องสถาบันฯ ระหว่าง ป.กุ้งเผา กับนายปรีดีฯ ยังมีความแตกต่างกันอยู่
#178
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:14
มีข้อเท็จจริงว่าพระยามโนปกรณ์ฯต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังเดิม.....!
น่าจะหาอะรัยมายืนยันคำพูดหรือความรู้ตัวเองนะครับ
ส่วนคนอื่นจะเชื่อหรือเห็นตามหรือไม่ก็อยู่วิจารณญาณของแต่ละคน
ถ้าจะให้ไปหาข้อพิสูจน์เอาเอง น่าจะเปลี่ยนจากคำว่า ข้อเท็จจริง เป็น ได้ยินมาว่า หรือ เคยอ่านเจอ ดีกว่านะครับ
#179
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:15
ในประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองเห็นด่าเจ้าเสียฉิบหาย พอจวนตัวก็อิงอำนาจเจ้า สมเป็นบิดาแห่งหารเมืองไทยจริงๆ
ผมว่าเป็นต้นแบบแห่งการล้มเจ้าและโหนเจ้า ด้วยซ้ำ
แต่ดูไปแล้ว สายปรีดีฯ ยังประนีประนอมกว่าสาย ป.กุ้งเผา
จุดยืนของผม "ต่อต้านระบอบทักษิณ, เสื้อแดง, พวกล้มเจ้า ไม่เอาแป๊ะลิ้ม"
#180
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:22
คืนหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางความมืดและเงียบสงัด เสียงตีนตะขาบของรถเกราะบดขยี้ลงบนพื้นถนนพระอาทิตย์ดังกึกก้อง แสงไฟจากรถสาดส่องไปยังทำเนียบท่าช้างสว่างจ้า ขณะนั้นเป็นเวลา 1 นาฬิกาเศษของวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
เหมือนเช่นทุกคืน นายปรีดีกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องนั่งเล่นบนชั้น 2 ของทำเนียบท่าช้าง มิได้คาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์รัฐประหารของกลุ่ม พล.ท. ผิน ชุณหะวัณ
นายปรีดีได้บันทึกเหตุการณ์ในวันนั้นว่า
คืนวันเดียวกับที่เกิดรัฐประหาร ข้าพเจ้าได้หลบหนีทหารที่ล้อมรอบบ้านพักออกไปได้อย่างหวุดหวิด และข้าพเจ้าได้ไปพักอยู่กับเพื่อนทหารเรือที่ฐานทัพเรือสัตหีบอยู่ระยะเวลา หนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสู้รบระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเดินทางจากเมืองไทย เพื่อลี้ภัยไปอยู่สิงคโปร์ก่อน โดยรอคอยเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างสันติ [1]
เดิมนั้น นายปรีดีตั้งใจว่าจะลี้ภัยการเมืองที่ประเทศเม็กซิโก โดยเดินทางผ่านซานฟรานซิสโก แม้ว่านายปรีดีมีวีซ่าสหรัฐอเมริกาอย่างถูกต้อง แต่กลับถูกรองกงสุลสหรัฐอเมริกาประจำเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นพวก ซี.ไอ.เอ ขีดฆ่าวีซ่าโดยพลการ ทำให้นายปรีดีมิสามารถเดินทางไปยังเม็กซิโกได้
ประจวบกับขณะนั้น บรรดามิตรและศิษย์นายปรีดีที่ต้องการฟื้นคืนระบอบการปกครองประชาธิปไตยตาม รัฐธรรมนูญฉบับ 2489 วางแผนก่อการอภิวัฒน์โค่นรัฐบาลรัฐประหาร นายปรีดีจึงได้เดินทางกลับประเทศไทยเป็นการลับเพื่อนำการต่อสู้
ด้วยการสกัดกั้นอย่างเต็มที่ของกองทหารรัฐบาล ซึ่งบัญชาการโดย พล.ต. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ได้รับคำสั่งให้ยิงถล่มพระบรมมหาราชวังซึ่งเป็นที่มั่นของฝ่ายขบวนการ ประชาธิปไตย
นายปรีดีตระหนักว่า
เมื่อเห็นว่ากำลังสนับสนุนของเราเดินทางมาไม่ทันเวลาและ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายสถานที่อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัตถุโบราณ อันล้ำค่าของชาติในพระบรมมหาราชวัง ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้กองกำลังถอยร่นมาอยู่ในกองบัญชาการทหารเรือที่ พระราชวังเดิม ข้าพเจ้าได้จัดการให้เพื่อนร่วมขบวนการข้ามแม่น้ำไปด้วยเรือ ซึ่งนายพลเรือท่านหนึ่งเป็นผู้จัดหาให้ [2]
เมื่อนายปรีดีเห็นว่าไม่มีทางก่อการเพื่อฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย จึงตัดสินใจเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนไปยังกรุงปักกิ่งซึ่งเพิ่งได้รับการ ปลดปล่อยโดยกองทัพปลดแอกราษฎรจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จากนั้นได้เริ่มชีวิตลี้ภัยการเมืองอันยาวนานในต่างแดน จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ณ ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยมิได้กลับแผ่นดินเกิดอีกเลย
21 ปีลี้ภัยการเมืองในสาธารณรัฐประชาชนจีนและอีก 13 ปีในประเทศฝรั่งเศส เป็นชีวิตที่ผันผวนพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนและญาติมิตร ต้องอาศัยขันติธรรม ความเข้มแข็ง และความอดทนเป็นที่ตั้ง ด้วยการที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า นายปรีดีเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในพุทธวจนะที่เป็นสัจธรรม อันเป็นคติเตือนใจตนตลอดเวลาว่า “อโถ สุจิณฺณสฺส ผลํน นสสติ” (ผลของกรรมดีที่ก่อไว้นั้น ย่อมไม่สูญหาย) และ “ธมฺโมหเว รกฺติ ธมฺมจารี” (ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม)
รัฐธรรมนูญฉบับแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีมาตราหนึ่งกล่าวไว้ว่า บุคคลชาวต่างประเทศผู้ที่ได้ต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมและถูกข่ม เหงกลั่นแกล้งจากฝ่ายอธรรมจนไม่อาจจะพำนักอาศัยอยู่ในประเทศของตนได้ ทางประเทศจีนถือว่าบุคคลนั้นเป็นอาคันตุกะของประเทศ และยินดีให้การต้อนรับพำนักอาศัยในประเทศจีนในฐานะมิตรและแขกผู้มีเกียรติ ด้วยความสะดวกสบาย
ด้วยเหตุดังกล่าว จากการงานและการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมที่ปรากฏเป็นรูปธรรมมากหลาย นายปรีดีจึงได้รับเกียรติจากทางจีนที่ได้ให้การต้อนรับ ความรู้สึกมิตรไมตรีของจีนนี้ ทำให้นายปรีดีได้อุทิศกำลังกายและใจในการฟื้นฟูมิตรภาพระหว่างราษฎร จีน-ไทยอยู่ตลอดเวลา [4]
ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 ประธานเหมาเจ๋อตงได้ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ประตูเทียนอันเหมิน นายปรีดีได้รับเชิญเป็นเกียรติเข้าร่วมในพิธีสถาปนาประเทศจีนใหม่ในวันอัน เป็นประวัติศาสตร์สำคัญ ซึ่งในพิธีนั้นมีแขกชาวต่างประเทศเพียงไม่กี่สิบคน
นายปรีดีเป็นผู้ใฝ่หาความรู้ทางด้านวิทยาการต่าง ๆ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน ได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ รวมทั้งผลงานของเมธีทางด้านปรัชญาและสังคมศาสตร์ เช่น มาร์กซ เองเกลส์ เลนิน สตาลิน และเหมาเจ๋อตง ในเชิงเปรียบเทียบสภาพสังคมไทยทุกแง่ทุกมุม ระบอบเศรษฐกิจ การเมือง ทัศนะสังคม ประวัติศาสตร์ ชนชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี ฯลฯ แล้วได้เรียบเรียงเป็นบทความ ซึ่งได้ตีพิมพ์ในโอกาสต่อมา
ความเป็นอนิจจังของสังคม เป็นผลงานชิ้นสำคัญของนายปรีดีที่นำพุทธปรัชญามาวิเคราะห์วิวัฒนาการของมนุษยสังคม
สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดนิ่งคงอยู่กับที่ ทุกสิ่งที่มีอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง…พืชพันธุ์ รุกขชาติ และสัตวชาติทั้งปวง รวมทั้งมนุษยชาติที่มีชีวิตนั้น เมื่อได้เกิดมาแล้วก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงโดยเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ จนถึงขีดที่ไม่อาจเติบโตได้อีกต่อไป แล้วก็ดำเนินสู่ความเสื่อมและสลายในที่สุด
ถึงแม้รัฐบาลจีนให้การต้อนรับเยี่ยงอาคันตุกะ แต่นายปรีดีก็ดำเนินชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายสมถะและติดดิน ทำการสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรจีน โดยเฉพาะสนใจในปัญหาชาวไร่ชาวนาและเกษตรกรรมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในช่วงแรก ๆ ที่พำนักอยู่ในกรุงปักกิ่ง และช่วงหลังที่พำนักอยู่ในนครกวางโจว เมื่อมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมสหกรณ์และคอมมูนประชาชนอยู่เนือง ๆ เรียนรู้การจัดตั้งและการจัดการของชาวไร่ชาวนา การคิดค้นเครื่องมือดำนา การใช้ปุ๋ยและการเลี้ยงสัตว์ เป็นอาทิ นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมเหมืองถ่านหิน โรงงานถลุงเหล็กกล้า โรงงานผลิตเครื่องจักรกล โรงงานสร้างรถยนต์ ฯลฯ ซึ่งล้วนอยู่ในความสนใจของนายปรีดีทั้งสิ้น ศึกษาวิเคราะห์และหาข้อสรุป ทั้งนี้เพื่อพิจารณาหาข้อดีข้อเสียตามความเหมาะสมแก่สภาพท้องที่ กาละของแต่ละสังคม โดยยึดมั่นว่าสิ่งใดที่ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับประเทศจีน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งต่อมานายปรีดีได้สรุปให้บรรดาศิษย์ฟังว่า
สิ่งใดของอังกฤษหรือฝรั่งเศสหรือประเทศใด ซึ่งเป็นวิธีการที่ดี เราก็ย่อมที่จะเอามาเพียงเป็นเยี่ยงอย่างแล้วปรับปรุงให้เหมาะสมแก่สภาพท้อง ที่ กาลสมัยของไทย และมีส่วนที่เราเห็นว่าเหมาะสมของเราเอง ปรุงแต่งขึ้นเพื่อของไทยเราโดยเฉพาะ [5]
ความสนใจของนายปรีดีหลากหลาย รวมทั้งชาติพันธุ์และถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ครั้งหนึ่งได้ไปเยือนมณฑลกวางสี (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเขตปกครองตนเองชนชาติจ้วงในกวางสี) ทำให้ได้รู้จักชนชาติจ้วงในฐานะคนไทที่มีรากเหง้าทางด้านภาษาและวัฒนธรรม เดียวกับไทย ก่อนหน้านี้นายปรีดีมักตั้งคำถามอยู่เสมอถึงถิ่นกำเนิดไทยที่บ้างว่ามาจาก เทือกเขาอัลไต บ้างก็ว่าอาณาจักรน่านเจ้า ตามข้อสันนิษฐานของนักโบราณคดีชาวไทยและต่างประเทศบางท่าน เมื่อได้ไปสำรวจและศึกษาเขตต้าหลี่ ในมณฑลหยุนหนานแล้ว มีความกระจ่างว่า อาณาจักรน่านเจ้า (หรือ “หนาน-เจา” ) นั้นเป็นถิ่นฐานของชาวไป๋หยีมาเป็นเวลาช้านานนับพัน ๆ ปี ภาษาและวัฒนธรรมของชาวไป๋หยีแตกต่างกับชนชาติไทยโดยสิ้นเชิง ดังนั้นอาณาจักรน่านเจ้าจึงมิใช่เป็นถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย
ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน นายปรีดีได้มีโอกาสพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำพรรคและรัฐบาลจีน ประธานเหมาเจ๋อตุง นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล จอมพลเฉินยี่ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายเติ้งเสี่ยวผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งท่านเหล่านี้ล้วนมีไมตรีจิตมิตรภาพอันดี นอกจากนี้นายปรีดียังได้พบปะสนทนากับผู้นำกอบกู้เอกราชของชาติในอินโดจีน อาทิ ประธานโฮจิมินห์ นายกรัฐมนตรีฝ่ามวันดง เจ้าสุวรรณภูมา เจ้าสุภานุวงศ์ และเจ้าสีหนุ โดยเฉพาะมิตรภาพระหว่างนายปรีดีกับประธานโฮจิมินห์นั้น ยืนยาวมาตั้งแต่สมัยที่ท่านผู้นี้ต่อสู้กับฝรั่งเศส
ตลอดระยะเวลาที่พำนักอยู่ในประเทศจีน นายปรีดีอยู่อย่างมีเกียรติ รักษาเกียรติภูมิ มีคุณธรรม รักษาผลประโยชน์ของประเทศและราษฎรไทย บนพื้นฐานหลักการที่เคารพซึ่งกันและกัน และความถูกต้อง บางครั้งมีคนบางกลุ่มได้ใช้ความพยายามเรียกร้องให้นายปรีดีตกลงเห็นคล้อยตาม ความคิดที่ไม่ถูกต้อง โดยอ้างว่าเป็นข้อเรียกร้องของทางจีน ขอให้นายปรีดีเห็นด้วยและปฏิบัติตาม ซึ่งนายปรีดีเห็นว่าจะเป็นทางเสียหายและไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ ก็ได้ชี้แจงตอบโต้ไม่เห็นด้วยกับความคิดอันผิดพลาดไม่ถูกต้องของบุคคลเหล่า นั้นอย่างเด็ดเดี่ยว และในที่สุด ผู้นำจีนคือ ประธานเหมาเจ๋อตุง และนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลได้ชี้แจงให้นายปรีดีทราบว่า ความคิดของบุคคลเหล่านั้นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง และเป็นความเห็นส่วนตัวของเขาเหล่านั้นเอง ซึ่งผู้นำจีนมีความเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นชาติใหญ่หรือชาติเล็ก ย่อมมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และได้มีการตำหนิโทษพวกที่เสนอความเห็นเหล่านั้นด้วย [6]
ด้วยความเข้าใจอันดีจากนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล ที่ได้พยายามถามไถ่ทุกข์สุขของนายปรีดีอยู่เสมอตลอดมา ต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2513 โจวเอินไหลได้อำนวยความสะดวกให้นายปรีดีเดินทางจากประเทศจีนไปยังกรุงปารีส เพื่อให้บุตรหลานและญาติมิตรร่วมฉลองครบรอบปีที่ 70 จึงเป็นการสิ้นสุดการพำนักลี้ภัยการเมืองในประเทศจีน
ด้วยความช่วยเหลือจากนายกีโยม จอร์จ-ปีโก (Guillaume Georges- Picot) มิตรเก่าที่มีตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตถาวรของประเทศฝรั่งเศส และโดยได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดี เดอ โกลล์ (Charles De Gaulle) นายปรีดีได้พำนัก ณ ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงปลายชีวิตอย่างสันติสุข
ภายหลังที่เดินทางไปถึงกรุงปารีสแล้ว นายปรีดีได้ยื่นคำร้อง ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส เพื่อให้รับรองสภาพการมีชีวิตและหนังสือรับรองลายมือชื่อในใบมอบฉันทะเพื่อ ให้ญาติทางกรุงเทพฯ เป็นตัวแทนเบิกและรับบำนาญแทน แต่ทางสถานทูตไทยประจำกรุงปารีสปฏิเสธคำร้องดังกล่าว เป็นเหตุให้เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2513 นายปรีดีได้ทำการฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสกับพวก ในข้อหาร่วมกันละเมิดสิทธิของโจทก์ โดยจงใจแกล้งไม่ออกหนังสือรับรองสภาพการมีชีวิตของนายปรีดีเพื่อขอรับบำนาญ ซึ่งเป็นสิทธิตามกฎหมาย อันเป็นการกระทำผิด ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งกฎบัญญัติองค์การสห ประชาชาติ ในที่สุดจากการไกล่เกลี่ยของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จึงเป็นที่สุดด้วยการยินยอมพร้อมใจกันยอมความ โจทก์จึงได้ถอนฟ้อง ผลต่อมารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้มีคำสั่งให้สถานทูตไทยใน ปารีสออกหนังสือเดินทางให้นายปรีดีอีกด้วย [7]
การได้รับความรับรองจากทางราชการในฐานะคนไทยโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายทุก ประการ และได้รับบำนาญทางราชการ ย่อมเป็นเครื่องหมายแสดงการรับรองในความบริสุทธิ์และสุจริตของนายปรีดี เฉกเช่นข้าราชการนอกประจำการผู้สุจริตคนอื่น ๆ ทั้งหลาย นอกจากนั้น บำนาญอันน้อยนิดบวกกับเงินก้อนจากการขายบ้านสีลมและบ้านสาทร ได้จุนเจือนายปรีดีและครอบครัวให้ยังชีพในประเทศฝรั่งเศสด้วยวิถีชีวิตเรียบ ง่ายและสมถะต่อไป
การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของนายปรีดีหาได้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ไม่ หากท่านยังจำต้องต่อสู้เพื่อหาความเป็นธรรมต่อไปอีกหลายครั้งหลายครา อาทิ
เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2513 นายปรีดี พนมยงค์ ได้มอบอำนาจให้นายวิชา กันตามระ เป็นตัวแทนมีอำนาจเต็มฟ้องบริษัทสยามรัฐ จำกัด, หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, นายสำเนียง ขันธชวนะ, นายประจวบ ทองอุไร, และนายประหยัด ศ. นาคะนาท ซึ่งร่วมกันไขข่าวแพร่หลายทางหนังสือพิมพ์ สยามรัฐ รายวันฉบับวันที่ 1 สิงหาคม 2513 ภายใต้หัวเรื่องว่า “แง่คิดจากข่าว” โดย ส.ธ.น. และทางหนังสือพิมพ์ สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม 2513 ภายใต้หัวเรื่องว่า “ป๋วย-ปรีดี???” โดย ส.ธ.น. และเอกสารหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ
ประกาศ
ตามที่นายปรีดี พนมยงค์ ได้เป็นโจทย์ฟ้องบริษัทสยามรัฐ จำกัด ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายสำเนียง ขันธชวนะ นายประจวบ ทองอุไร และนายประหยัด ศ. นาคะนาท เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งในข้อหาละเมิดโจทก์ ตามคดีดำหมายเลขที่ 7236/2513 เนื่องจากหนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ฉบับลงวันที่ 1 สิงหาคม 2513 และหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับลงวันที่ 30 สิงหาคม 2513 ลงข้อเขียนซึ่งเขียนโดยนายสำเนียง ขันธชวนะ ใช้นามปากกาว่า ส.ธ.น. ซึ่งมีใจความว่าโจทก์พัวพันในคดีสวรรคตนั้น
จำเลยขอแถลงความจริงว่า โจทก์ไม่เคยเป็นจำเลยในคดีสวรรคตเลย และไม่เคยถูกศาลพิพากษาว่ากระทำผิด เมื่อโจทก์ไม่เคยถูกศาลพิพากษาลงโทษ จึงถือว่าโจทก์ยังบริสุทธิ์
ส่วนการที่โจทก์หลบหนีออกจากประเทศไทยนั้น เป็นเพราะหลบหนีการรัฐประหาร จึงขอให้ผู้อ่านทราบความจริง และขออภัยในความคลาดเคลื่อนนี้ด้วย
บริษัทสยามรัฐ จำกัด
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
นายสำเนียง ขันธชวนะ
นายประจวบ ทองอุไร
นายประหยัด ศ. นาคะนาท
ประกาศ
ตามที่นายปรีดี พนมยงค์ ได้เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัทไทยเดลี่การพิมพ์ จำกัด ที่ 1 นายสาร บรรดาศักดิ์ ที่ 2 นายรุ่งโรจน์ นรเชษฐวุฒิวัย ที่ 3 และนายจำนง แก้วโสวัฒนะ ที่ 4 เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งในข้อหาละเมิดปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และหมิ่นประมาทโดยใส่ความ ทำให้โจทก์เสียหายตามคดีหมายเลขดำที่ 113/2514 เนื่องจากหนังสือพิมพ์ หลักเมือง สมัยไทยเดลี่ ฉบับลงวันที่ 25 ธันวาคม 2513 หน้า 8 ลงข้อความซึ่งเขียนโดยจำเลยที่ 2 ใช้นามปากกาว่าขวานทอง ในคอลัมน์ตอบปัญหาขัดข้องหมองใจ เป็นการหมิ่นประมาทนายปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมว่า เป็นคนลืมชาติกำเนิดของตนเอง ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา จะเป็นผู้มีน้ำใจเป็นนักประชาธิปไตยไม่ได้ และเป็นอ้ายโจรปล้นราชบัลลังก์ มีการพัวพันในกรณีสวรรคตด้วยนั้น
บัดนี้ ข้าพเจ้าจำเลยทั้งสี่คน ได้รู้สึกสำนึกว่าข้อความที่จำเลยเผยแพร่ข้างต้นนั้น มิได้มีมูลความจริงแต่ประการใดเลย
ข้าพเจ้าจำเลยทุกคนจึงขออภัย นายปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม โจทก์ ที่ถูกข้าพเจ้าทั้งหลายใส่ความด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ดังกล่าวแล้ว ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ ได้กรุณาให้อภัยและถอนฟ้องคดีแล้ว
นายรุ่งโรจน์ นรเชษฐวุฒิวัย
ในนามบริษัทไทยเดลี่การพิมพ์ จำกัด จำเลยที่ 1
นายสาร บรรดาศักดิ์ จำเลยที่ 2
นายรุ่งโรจน์ นรเชษฐวุฒิวัย จำเลยที่ 3
นายจำนง แก้วโสวัฒนะ จำเลยที่ 4
สัญญาประนีประนอมยอมความ
ข้อ 1 ตามที่จำเลยทั้งสามได้พิมพ์และจำหน่ายจ่ายแจกหนังสือที่จำเลยที่ 1 แต่งขึ้น ชื่อว่า ประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2520 อันมีข้อความคลาดเคลื่อนต่อความจริงบางประการนั้น บัดนี้จำเลยได้ทราบความจริงจากเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่โจทก์ได้ยื่นต่อศาลเป็นพยานเอกสาร และเหตุผลที่โจทก์ชี้แจงประกอบไว้แล้ว จำเลยจึงยอมส่งมอบหนังสือ ประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นฉบับพิพาทในคดีนี้ที่อยู่ในความปกครองของจำเลย และที่จำเลยสามารถเก็บคืนได้นั้น มาส่งมอบให้ต่อศาลเพื่อทำลาย และถ้าหากโจทก์ได้พบเห็นหนังสือดังกล่าวอยู่ ณ ที่ใด โจทก์มีสิทธิที่จะซื้อหนังสือเล่มนั้นมาส่งศาลเพื่อทำลาย โดยจำเลยต้องรับผิดในค่าหนังสือนั้น
ข้อ 2 จำเลยยอมรับว่า จะไม่เขียนหรือพิมพ์ซ้ำข้อความตามหนังสือเล่มนั้นออกจำหน่ายจ่ายแจกอีกต่อไป ถ้าจะเขียนหรือพิมพ์โดยแก้ไขใหม่เพื่อจำหน่ายก็จะให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง และเหตุผลตามเอกสารที่โจทก์บรรยายไว้ในฟ้องและเอกสารท้ายฟ้อง ถ้าหากจำเลยจะส่งร่างที่แก้ไขเพื่อให้โจทก์ตรวจเพื่อความถูกต้องเกี่ยวกับ ตัวโจทก์ โจทก์ก็ยินดีจะให้คำแนะนำเมื่อโจทก์มีเวลาว่าง และมีสุขภาพสมบูรณ์ที่จะช่วยเหลือได้
ข้อ 3 จำเลยยอมลงโฆษณาใจความสัญญาประนีประนอมตามประกาศแนบท้ายสัญญานี้ในหนังสือพิมพ์ มติชน และ สยามรัฐ รายวันหน้าหลังของแต่ละฉบับมีกำหนด 3 วัน โดยให้ลงติดต่อกันด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หากจำเลยไม่จัดการโฆษณา โจทก์มีสิทธิ์จะนำลงโฆษณาได้ โดยจำเลยต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายนั้น
ข้อ 4 จำเลยยินดีมอบเงินให้แก่โจทก์เพื่อสมทบทุนลูกจันทน์ พนมยงค์ ซึ่งเป็นทุนการศึกษา ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันนี้
คำประกาศขอขมา
ข้าพเจ้านายชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ จำเลยที่ 1 และห้างหุ้นส่วนจำกัด ประพันธ์สาส์น จำเลยที่ 4 ขอแถลงความจริงว่าโจทก์เป็นผู้บริสุทธิ์ในกรณีสวรรคตของในหลวงอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และรัฐธรรมนูญ เป็นที่เห็นประจักษ์ ดังได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องโจทก์ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ตามประกาศพระบรมราชโองการ ณ วันที่ 8 ธันวาคม พุทธศักราช 2488 นั้นแล้ว และการที่โจทก์หลบหนีออกนอกประเทศนั้น เพราะหลบหนีภัยรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490
จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
ลงชื่อ นายชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ จำเลยที่ 1
ลงชื่อ ประพันธ์ เตชะธาดา ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดประพันธ์สาส์น จำเลยที่ 4
สุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายจำเลย
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2522 ในฐานะอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และอดีตนายกรัฐมนตรี นายปรีดี พนมยงค์ ได้ทำหนังสือประท้วงไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในกรณีที่คณะกรรมการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ พุทธศักราช 2519 ได้มอบรางวัลชมเชยหนังสือยอดเยี่ยมประจำปี 2518 ประเภทสารคดี ให้ไว้แก่สำนักพิมพ์บรรณกิจ ผู้พิมพ์หนังสือเรื่อง ชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า ซึ่งแต่งโดย พล.ท. ประยูร ภมรมนตรี นอกจากนั้นนายปรีดียังเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการเป็นจำเลยที่ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัดบรรณกิจเทรดดิ้ง เป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลแพ่งตามคดีหมายเลขดำที่ 8586/2523 ฐานโฆษณาหนังสือที่มีข้อความฝ่าฝืนความจริงทำให้โจทก์เสียหาย
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
ตั้งแต่ พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติขึ้น ตามคำแนะนำขององค์การศึกษาสหประชาชาติ และคณะกรรมการคณะนี้ได้รับหน้าที่ดำเนินการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติสืบ ต่อมา คณะกรรมการดังกล่าวนั้นก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการ และอนุกรรมการรับช่วงงานต่อ ๆ กันไป
เมื่อ พ.ศ. 2519 คณะกรรมการพิจารณาหนังสือแห่งชาติประเภทสารคดี ได้ตัดสินให้รางวัลชมเชยหนังสือยอดเยี่ยมประจำปี พ.ศ. 2518 ประเภทสารคดีแก่สำนักพิมพ์บรรณกิจ ผู้พิมพ์หนังสือเรื่อง ชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า โดยพลโท ประยูร ภมรมนตรี และคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ พุทธศักราช 2519 ได้ให้สิ่งที่เป็นหลักฐานแก่สำนักพิมพ์นั้น ซึ่งได้ลงพิมพ์ภาพไว้ในหน้าต้นแห่งหนังสือเล่มนั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2522 นายปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และอดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นคำประท้วงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแสดงว่ามีข้อความมากมาย หลายประการในหนังสือเล่มนั้นที่ฝ่าฝืนความจริงที่ปรากฏในเอกสารหลักฐาน และไม่สมเหตุสมผลแห่งหนังสือประเภทสารคดีตามความเข้าใจของคนไทยโดยทั่วไป และตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติได้กำหนดไว้
กระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อผดุงไว้และส่งเสริมสัจจะแห่งประวัติศาสตร์ของชาติไทย และเพื่ออนาคตแห่งกุลบุตรกุลธิดาของชาติไทย เห็นตัวอย่างศีลธรรมจรรยาอันดี และเพื่อให้ความเสียหายที่นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับจากคำจูงใจของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวนั้นกลับคืนดี กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศเพิกถอนคำตัดสินของคณะกรรมการพิจารณาหนังสือแห่ง ชาติ ประเภทสารคดี ที่ได้ตัดสินให้รางวัลชมเชยหนังสือเล่มนั้นของพลโท ประยูร ภมรมนตรี ว่าเป็นหนังสือดีเด่น ประเภทสารคดีประจำปี พ.ศ. 2518 และประกาศถอนสิ่งที่เป็นหลักฐานซึ่งคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ พ.ศ. 2519 ที่ให้แก่สำนักพิมพ์บรรณกิจนั้นด้วย
ประกาศ ณ วันที่ 14 มีนาคม 2523
นายสิปปนนท์ เกตุทัต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
http://www.pridi-pho...di-a-displaced/
ผมพบเวบไซท์นี้โดยบังเอิญ จึงนำมาให้อ่าน....
โปรดใช้หลักกาลามสูตรในการพิจารณาความต่างๆ......อา
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#181
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:23
ในประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองเห็นด่าเจ้าเสียฉิบหาย พอจวนตัวก็อิงอำนาจเจ้า สมเป็นบิดาแห่งหารเมืองไทยจริงๆ
ผมว่าเป็นต้นแบบแห่งการล้มเจ้าและโหนเจ้า ด้วยซ้ำ
แต่ดูไปแล้ว สายปรีดีฯ ยังประนีประนอมกว่าสาย ป.กุ้งเผา
เปลี่ยนคำว่าประนีประนอม เป็นคำว่าเนียนดีกว่าครับ
สิ่งที่เรามองไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มีจริง
#182
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:24
ประกาศเรื่อง
กระทรวงศึกษาธิการเพิกถอนรางวัลชมเชยหนังสือชื่อ ชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า เรียบเรียงโดย พล.ท. ประยูร ภมรมนตรี
และคำขอขมาของห้างหุ้นส่วนจำกัดบรรณกิจเทรดดิ้ง จำเลยที่ 2
ตามที่คณะกรรมการพิจารณาหนังสือแห่งชาติประจำปี 2519 ตัวแทนของกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตัดสินและให้เอกสารหลักฐานรางวัลชมเชยหนังสือยอดเยี่ยมประจำปี พ.ศ. 2518 ประเภทสารคดี แก่สำนักพิมพ์บรรณกิจ ผู้พิมพ์หนังสือเรื่อง ชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า เรียบเรียงโดย พล.ท. ประยูร ภมรมนตรี ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัดบรรณกิจเทรดดิ้งได้โฆษณาจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไปนั้น
นายปรีดี พนมยงค์ จึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการเป็นจำเลยที่ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัดบรรณกิจ เทรดดิ้งเป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลแพ่งตามคดีหมายเลขดำที่ 8586/2523 ฐานโฆษณาหนังสือที่มีข้อความฝ่าฝืนความจริงทำให้โจทก์เสียหาย
กระทรวงศึกษาธิการจำเลยที่ 1 โดยนายสิปปนนท์ เกตุทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น ได้มีประกาศลงวันที่ 14 มีนาคม 2523 เพิกถอนการให้รางวัลชมเชยหนังสือเล่มที่ พล.ท. ประยูร ภมรมนตรี เรียบเรียง และเพิกถอนเอกสารหลักฐานที่ให้แก่ ห.ส.จ. บรรณกิจเทรดดิ้งนั้นแล้ว
ห้างหุ้นส่วนจำกัดบรรณกิจเทรดดิ้ง ขอรับผิดที่ได้โฆษณาหนังสือเล่มดังกล่าวซึ่งทำให้นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับความเสียหาย และยอมส่งมอบหนังสือ ชีวิต 5 แผ่นดินฯ ที่เหลืออยู่อีก 1 พันเล่ม ต่อศาลแพ่งเพื่อทำลาย และได้ทำสัญญาประนีประนอมต่อศาลยอมรับผิดตามที่โจทก์ฟ้องทุกประการ
ศาลแพ่งได้พิพากษาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2525 ให้คดีสิ้นสุดลงตามหนังสือประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้ว
ห้างหุ้นส่วนจำกัดบรรณกิจเทรดดิ้ง จำเลยที่ 2 จึงประกาศขอขมานายปรีดี พนมยงค์ ณ ที่นี้ พร้อมทั้งได้นำประกาศกระทรวงศึกษาธิการพิมพ์ไว้ต่อท้ายคำขอขมาของห้างฯ ด้วย
ประกาศมา ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2525
ลงชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัดบรรกิจเทรดดิ้ง จำเลยที่ 2
โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีพระบรมราชโองการโปรด เกล้าฯ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส และให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจราชการแผ่นดิน เพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป นายปรีดีแม้อยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่ใจแนบแน่นอยู่กับบ้านเกิดเมืองนอนเสมอมา ได้ใช้สติปัญญาความรู้ ความสามารถเสนอแนะรัฐบาลให้ดำเนินการบางประการเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยใน สังคมไทย ตลอดทั้งให้ข้อคิดแก่นิสิตนักศึกษาและราษฎรที่รักประชาธิปไตย ร่วมกันต่อต้านการฟื้นคืนของระบอบเผด็จการ
นายปรีดีได้เขียนบทความหลายเรื่องอันเป็นการปูพื้นฐานความคิดประชาธิปไตยให้แก่ราษฎร ดังเช่นบทความเรื่อง “ประชาธิปไตยเบื้องต้นสำหรับสามัญชน” ได้กล่าวไว้ว่า
การที่ปวงชนจะมีความเป็นใหญ่ในการแสดงมติได้ ก็จำเป็นที่ชนทุกคนรวมกันเป็นปวงชนนั้น ต้องมี ‘สิทธิและหน้าที่ของมนุษยชน’ อันเป็นสิทธิและหน้าที่ตามธรรมชาติของทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ คือ ‘สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค’ ซึ่งมนุษย์จะต้องใช้พร้อมกันกับหน้าที่ มิให้เกิดความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์อื่นและหมู่อื่นหรือปวงชนเป็นส่วนรวม
ข้าพเจ้าขอร้องว่ารัฐธรรมนูญใหม่จะต้องเคารพเจตนารมณ์ ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของปวงชนชาวไทย ซึ่งตรงกับเจตนารมณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม และตรงกับ “สังคมสัญญา” ระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในฐานะแทนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กับปวงชนชาวไทยที่พระองค์ทรงโอนพระราชอำนาจเพื่อให้ประชากรของพระองค์ ‘ดำรงอิสราธิปไตยโดยบริบูรณ์’ ดังปรากฏในพระราชปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ซึ่งพระองค์ได้ทรงยกร่างขึ้นโดยพระองค์เอง
โดยให้ราษฎรมีสิทธิถอดถอนผู้แทน (Recall), ให้รัฐจ่ายค่าป่วยการแก่ราษฎรที่เดินทางมาลงคะแนนเสียง, วิธีเลือกตั้งที่ไม่ซับซ้อน, ไม่บังคับให้ผู้สมัครสังกัดพรรค, สภาเดียว
ความคิดเห็นของข้าพเจ้าที่แสดงไว้นั้น บางเรื่องอาศัยจากการที่ข้าพเจ้าเคยเรียนมาทางตำราแต่ยังไม่เคยนำมาปฏิบัติ ในประเทศไทย บางเรื่องเคยปฏิบัติในประเทศไทยและในต่างประเทศ บางเรื่องข้าพเจ้าได้คิดขึ้นเองคือการให้รัฐจ่ายค่าป่วยการให้ราษฎรที่เดิน ทางมาลงคะแนนเสียง ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่ารัฐมีเงินนอกงบประมาณพอจ่ายได้ในการเลือกตั้ง 25 ครั้งในรอบ 100 ปีนี้ ฯลฯ [8]
เศรษฐกิจเป็นรากฐานสำคัญแห่งมนุษยสังคม ส่วนระบบการเมืองเป็นแต่เพียงโครงร่างเบื้องบน ที่จะต้องสมานกับความต้องการทางเศรษฐกิจของมวลมนุษย์ในสังคม ถ้าหากรัฐธรรมนูญอันเป็นแม่บทแห่งกฎหมายสอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจ นั้น วิกฤตการณ์ทางสังคมก็ไม่เกิดขึ้นและประเทศชาติก็ดำเนินก้าวหน้าไปตามวิถีทาง วิวัฒน์ (Evolution) อย่างสันติ ถ้าหากรัฐธรรมนูญไม่สอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจของสังคม วิกฤตการณ์ก็ต้องเกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติแห่งข้อขัดแย้งระหว่างสองสิ่งที่เป็น ปฏิปักษ์กัน [9]
ขอให้ท่านพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าการต่อต้านเผด็จการนั้น ไม่ว่าวิธีใดก็ย่อมเสี่ยงต่อชีวิตและร่างกายทุกวิธี แม้วิธีสันติซึ่งแขนงนี้เป็นวิธีที่กฎหมายอนุญาต แต่ก็รู้ไม่ได้ว่าฝ่ายเผด็จการกลับมีอำนาจขึ้นมาแล้วสิ่งที่ถูกกฎหมายในเวลา นี้อาจจะถูกฝ่ายเผด็จการจับตัวไป โดยมาว่าเป็นผู้ต่อต้านเผด็จการก็ได้ ดั่งปรากฏตัวอย่างในอดีตที่มีผู้ถูกเผด็จการจับตัวไปขังทิ้งยิงทิ้ง ปัญหาสำคัญอยู่ที่ผู้ต่อต้านเผด็จการต้องพร้อมอุทิศตนเสียสละชีวิตร่างกาย, ความเหน็ดเหนื่อยเพื่อชาติและราษฎร” และได้กล่าวต่อไปอีกว่า “ผมขอให้ท่านทั้งหลายระลึกอีกอย่างหนึ่งว่า ในบรรดาบุคคลแห่งฝ่ายต่อต้านเผด็จการนั้นย่อมมีความแตกต่างกันในจุดหมายปลาย ทางแห่งระบอบสังคม ฉะนั้นจึงควรพิจารณาว่าความต้องการเบื้องต้นที่ตรงกันคืออะไร แล้วสถาปนาความสามัคคีตามพื้นฐานนั้นก่อน ผมสังเกตว่าเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 นิสิตนักศึกษานักเรียนโดยความสนับสนุนของมวลราษฎรได้สมานสามัคคีกันเพื่อให้ ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบเบื้องต้นก็จะเป็นคุณูปการแก่การต่อ ต้านเผด็จการให้สำเร็จได้
ขณะพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศส นายปรีดีได้รับเชิญให้ไปแสดงปาฐกถาของสมาคมนักเรียนต่าง ๆ ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นสามัคคีสมาคมในสหราชอาณาจักร สมาคมนักเรียนไทยในสหพันธรัฐเยอรมัน สมาคมนักเรียนไทยในฝรั่งเศส หรือแม้แต่นิสิตนักศึกษาในประเทศไทยและชาวไทยในสหรัฐอเมริกา ก็ได้ขอบทความและคำขวัญ ซึ่งนายปรีดีได้สนองตอบด้วยความยินดีและเต็มใจ
ผมมีความยินดีจะสนองศรัทธาเท่าที่จำได้ แต่ก็จำต้องขอความเห็นใจล่วงหน้าว่าในบรรดาเรื่องที่ท่านจะซักถามผมนั้น อาจมีเรื่องที่ผมไม่รู้หรือเกินสติปัญญาของผม ผมก็ต้องผลัดคำตอบไว้ในโอกาสหน้า ภายหลังที่ผมได้ค้นคว้าศึกษาเสียก่อน และ ก็อาจมีบางเรื่องที่ผมรู้ แต่เผอิญเข้าลักษณะของคำพังเพยโบราณว่า เป็นเรื่องที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้ ผมก็ต้องขอผลัดไปในโอกาสที่สถานการณ์อำนวยให้พูดออกบอกได้ ถ้าหากโอกาสนั้นยังไม่เกิดขึ้นในอายุขัยของผม [11]
ทั้งท่านอาจารย์และคุณป้ามีความทรงจำดีมาก ท่านอาจารย์ยอมรับทั้งข้อคิดเห็นที่แตกต่างจากท่านถ้ามีเหตุผลพอ ทุกครั้งที่เราไปคุยกับท่าน เรามีความรู้สึกเหมือนกับได้คุยกับญาติผู้ใหญ่และครูอาจารย์ ในเวลาเดียวกันท่านให้ความเมตตา เป็นกันเอง ท่านสั่งสอน แนะนำ ถ้ามีสิ่งใดที่เรายังไม่รู้แจ้ง ท่านก็จะบอกให้ไปหาความรู้ศึกษาเพิ่มเติม…
ท่านพูดสั่งสอนอยู่เสมอว่า จะต้องเป็นคนมีจิตใจเป็นวิทยาศาสตร์ จะต้องไม่เชื่อเรื่องที่เป็นคำบอกเล่า หรือคำที่เขา ‘กล่าวกันว่า’ (hearsay) ท่านย้ำอยู่บ่อย ๆ ในข้อนี้ ท่านสอนว่าจะต้องค้นคว้าหาความรู้จาก authentic document ไม่ใช่จากที่เขาอ้างกันต่อ ๆ มา
ท่านอาจารย์ปรีดีเป็นคนที่ทันสมัย ท่านติดตามข่าวคราวบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นข่าวที่เกี่ยวกับประเทศไทยหรือข่าวต่างประเทศ ท่านอ่านหนังสือพิมพ์ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส (หลายฉบับไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ของฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา) ภาษาไทย (ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน) ท่านฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ท่านไม่ได้มองอะไรอย่างฉาบฉวย กาลเวลาและเหตุการณ์ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าบางสิ่งบางอย่างที่ท่านเคยพูด ไว้เป็นจริงตามนั้น
ความรักชาติ เป็นห่วงบ้านเมืองไทยของท่านอาจารย์เป็นสิ่งที่ไม่มีข้อสงสัย ท่านมักจะคุยกับนักเรียนถึงเรื่องนี้ ความรักชาติของท่านไม่จำเป็นต้องอ้างชื่อ ‘ประชาชน’ ’มวลชน’ เหมือนดั่งที่ใคร ๆ เอ่ยกันจนน้ำลายไหล สิ่งใดที่ท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ท่านก็ไม่รีรอที่จะปฏิบัติรับใช้บ้านเมือง แต่ก็มีผู้ใจอคติ โง่และอวดรู้ ใส่ไคล้ท่านอยู่เสมอ [12]
ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกอาชีพย่อมมีนักวิชาการของตน และมีปัญญาพอวินิจฉัยได้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญใดเป็นประโยชน์แก่อาชีพของตนและแก่ส่วนรวมของชาติ ข้าพเจ้าได้เคยชี้แจงแก่นักเรียนไทยในอังกฤษในการชุมนุมที่สมาคมนั้นเรียก ว่า ‘สภากาแฟ’ ซึ่งดำเนินไปเมื่อวันที่ 26 และ 27 ก.ค. 2516 นั้น ขอให้นักเรียนทุกคนซึ่งมีความรู้ทางทฤษฎีสูงเพียงใดก็ตาม จงอย่าประมาทปัญญาของมวลราษฎรที่แม้จะอ่านหนังสือไม่ออก แต่มีความสันทัดจัดเจนในทางปฏิบัติ ซึ่งนักเรียนควรศึกษา เพราะมีหลายปัญหาที่ตำราทางทฤษฎีไม่กล่าวไว้ แต่เราสามารถศึกษาได้จากมวลราษฎร [13]
สุ เสาวนิตย์ถ้อย ทั้งผอง
จิ เจตนาตรอง ตริค้น
ปุ จฉาลอง เลาเลศ
ลิ ขิตข้อคำต้น เกี่ยงแก้กันลืม
คือวิธีเข้าสู่สภาพเป็นบัณฑิตหรือปัญญาชนนั้นเมื่อรับฟัง (สุ) เรื่องใดแล้วก็ต้องใช้สมองเคลื่อนไหวอีกชั้นหนึ่ง คือ ตรึกตรอง (จิ) ว่าตามเหตุผลจะเป็นไปได้อย่างไรเพื่อสอบให้แน่นอนก็ตาม (ปุ) แล้วจึงขีดเขียน [14]
เพื่อประกอบการพิจารณาของนิสิตนักศึกษานักเรียนและมวลราษฎร ที่รักชาติในวิธีการรักษาและพัฒนาเจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคมนั้น ข้าพเจ้าเสนอให้ท่านทั้งหลายศึกษาความผิดพลาดบกพร่องของคณะราษฎรและคณะอื่น ๆ ที่ปรากฏในทางประวัติศาสตร์ว่า ไม่สามารถรักษาชัยชนะก้าวแรกไว้ได้ และไม่อาจพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ได้ ทั้งนี้เพื่อท่านทั้งหลายจะอาศัยบทเรียนไม่ทำการพลาดซ้ำอีก และในขณะเดียวกัน ก็ควรศึกษาถึงวิธีการที่คณะหรือองค์การอื่นสามารถรักษาชัยชนะก้าวแรกไว้ได้ อย่างมั่นคง แล้วสามารถพัฒนาก้าวต่อไปให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้ ทั้งนี้เพื่อนำเอาความถูกต้องมาประยุกต์ตามสภาพท้องที่กาลสมัยของประเทศไทย [15]
ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้าผู้เดียวที่ทำผิดในการเสนอคณะราษฎร ให้เชิญพระยามโนปกรณ์ฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล เพราะสมาชิกคณะราษฎรอื่นๆ มิได้คุ้นเคยกับพระยามโนปกรณ์ฯ มาก่อนเท่าข้าพเจ้า… ความผิดพลาดของข้าพเจ้าดังกล่าวนี้ ย่อมเป็นบทเรียนของศูนย์นิสิตนักศึกษาและนักเรียนชนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่จะ ไม่ทำผิดซ้ำอีก โดยต้องวิจารณ์ลักษณะอันเป็นธาตุแท้ของบุคคลที่จะร่วมมือ หรือมอบหมายในการรักษาและพัฒนาชัยชนะก้าวแรกของวีรชน คือบางคนอาจแสดงความเป็นประชาธิปไตยชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อถึงระยะที่จะพัฒนาชัยชนะต่อไปแล้ว ก็อาจจะดำเนินไปตามทรรศนะอันเป็นซากแห่งความคิดเก่าของตนที่ตกทอดมา อันเป็นการบั่นทอนไปถึงรากฐานแห่งการที่จะรักษาชัยชนะที่ได้มาในก้าวแรกนั้น ด้วย [16]
การที่บุคคลจะเข้าใจปรัชญาซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ได้ก็ต้องมี ’จิตใจ-วิทยาศาสตร์’ (Scientific Spirit) ซึ่งมี 6 ประการดังนี้คือ
ก. จิตใจสังเกต
ข. จิตใจมาตรการ
ค. จิตใจค้นคว้าหาหลักฐานและเหตุผล และใช้ความคิดทางตรรกวิทยา
ง. จิตใจพิเคราะห์หรือวิจารณ์
จ. จิตใจปราศจากอคติ
ฉ. จิตใจที่มีความคิดเป็นระเบียบ [17]
ครั้งแรกที่ได้เห็นนายปรีดี ผู้เขียนเองรู้สึกประหลาดใจที่เห็นท่านไม่แก่อย่างที่คาดไว้ แต่งกายด้วยชุดสากลสีเทา ท่านนั่งอย่างสำรวมและยิ้มอ่อนโยนในบางครั้ง พูดอย่างธรรมดา ๆ ด้วยเสียงค่อนข้างเบาแต่ชัดเจนดี สายตาเหม่อมองเพดานบ่อยครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่แล้วมาและบางครั้งเมื่อ พยายามลำดับข้อเท็จจริงเมื่อถูกถาม ก็หันไปถามท่านผู้หญิงพูนศุขเพื่อความแน่ใจ ท่านตอบคำถามอย่างตั้งใจและด้วยความระมัดระวัง แต่ก็มิได้เน้นถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ และถ่อมตัวด้วยการตำหนิตนเองในความแข็งทื่อถือดีในขณะดำรงตำแหน่งอยู่ แต่เมื่อพูดถึงมิตรและศัตรู ท่านเอ่ยถึงโดยใช้ตำแหน่งเต็ม และไม่ปรากฏว่าได้ใช้ถ้อยคำที่ไม่บังควรแม้แต่ครั้งเดียว ท่านกล่าวถึงหลักการแต่พอเป็นเค้าและยึดอยู่ในหลักความเป็นอนิจจังของพระ พุทธเจ้า ที่กล่าวถึงวิถีแห่งความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนของสากลโลก ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาวะการเอาเปรียบ (Exploitation) นั้น ท่านถือเป็นเพียงหมายเหตุเท่านั้น และไม่พยายามที่จะโยงเข้ากับลัทธิชาตินิยมแต่อย่างใด การปราศรัยจบลงอย่างเรียบ ๆ รู้สึกว่าผู้ฟังต่างพอใจ และชื่นชมยินดีอย่างเห็นได้ชัด
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#183
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:26
การที่ท่านพูดอย่างตั้งใจและถ่อมตัว ก่อให้เกิดความนิยมนับถือ ถึงแม้จะเหินห่างไปบ้าง แต่ที่ท่านยังสามารถให้ข้อคิดเห็นอย่างเฉียบแหลมอยู่ทั้งในทางการเมืองและ สังคม ทำให้ผู้ฟังต่างตระหนักว่า ท่านยังไม่ถึงกับหลงลืมหรือฟั่นเฟือน ที่ประทับใจมากที่สุดก็คือ การนับถือในบุคคลที่ท่านมีต่อมิตรและศัตรู นับแต่ท่านประธานเหมา หม่อมราชวงศ์เสนีย์และคึกฤทธิ์ ปราโมช หนังสือพิมพ์สยามรัฐ และมิตรผู้ร่วมก่อการเมื่อปีพุทธศักราช 2475 การปรบมือตอบรับอย่างยาวนาน แสดงว่าท่านได้ชนะจิตใจของผู้ฟังกลุ่มใหญ่อย่างแท้จริง
ลอร์ด หลุยส์ เมานท์แบตแทน (Lord Louis Mountbattan) อดีตผู้บังคับบัญชาการสูงสุดของกองทหารสัมพันธมิตรประจำภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิก ซึ่งเป็นพระปิตุลาของเจ้าชายฟิลิปส์ ดยุก แห่งเอดินบะระ พระสวามีในสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบทที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ได้เชิญให้นายปรีดีกับภรรยาไปเยือนและพำนักที่คฤหาสน์ Broadlands ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2513
นายปรีดีรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรอยู่เสมอมา กับสถานเอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ซึ่งได้เชิญให้นายปรีดีไปร่วมงานวันชาติของประเทศเหล่านั้น
นอกจากนี้ในบทบาทที่นายปรีดีเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมสหประชาชาติแห่งเอเชีย อาคเนย์ขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้น คราใดที่มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ มักจะมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว A.P. บ้าง A.F.P. บ้าง Reuter บ้าง BBC บ้าง หนังสือพิมพ์ Le Monde บ้าง หนังสือพิมพ์ The Herald Tribune บ้าง หนังสือพิมพ์ Bangkok Post บ้าง สัมภาษณ์ถามความคิดเห็นของนายปรีดีอยู่เสมอ ซึ่งนายปรีดีให้ข้อคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ดังเช่นคำให้สัมภาษณ์ J. Armand-Prevost เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 “ปารีส, 28 กรกฎาคม (A.F.P.) อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ปรีดี พนมยงค์ ได้แถลงต่อผู้แทนแห่ง A.F.P. วันนี้ในการสัมภาษณ์กรณีเยือนปักกิ่งของประธานาธิบดีนิกสันที่จะมีขึ้น
ข้าพเจ้าเชื่อความจริงใจของผู้นำจีน ในการคงอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ระหว่างประเทศที่มีระบบการเมืองต่างกัน แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าประธานาธิบดีนิกสันมีความจริงใจเช่นเดียวกันหรือไม่ เพราะเขาตกเป็นเชลยแห่งความคิดรุกรานมาช้านาน แน่นอน การเยือนนี้ก่อให้เกิดก้าวหนึ่งไปข้างหน้าและเป็นสิ่งที่ดีให้ ถ้าประธานาธิบดีนิกสันเป็นผู้เห็นแก่สภาพแท้จริง ก็เป็นวิธีเดียวที่จะลุล่วงทางตันในปัญหาเอเชียอาคเนย์ คือการไปพบผู้นำจีน แต่จะต้องรอคอยระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งบางทีอาจนานหน่อย ที่จะได้ผลในการพบปะกันนั้น
ข้าพเจ้า (หมายถึงผู้สัมภาษณ์-ผู้เรียบเรียง) ทำความประหลาดใจให้ ดร. ปรีดีที่เต็มใจตกลงสนทนากับข้าพเจ้า แต่ภายหลังที่ได้แนะนำโดยย่อทางโทรศัพท์แล้ว ข้าพเจ้าได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีที่บ้านพักปารีสของรัฐบุรุษไทยที่น่า สนใจที่สุด
ดร. ปรีดีกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าขอร้องท่านอย่างหนึ่ง คือโปรดลงพิมพ์ตรงตามที่ข้าพเจ้าพูด ท่านรู้อยู่แล้วว่าถ้อยคำถูกบิดเบือนบ่อย ๆ โดยตั้งใจหรือโดยประการอื่น’
ดังนั้นข้าพเจ้า (ผู้สัมภาษณ์) จึงเปิดเครื่องอัดเสียงบันทึกลงในเทปพร้อมทั้งเสียงของจักรยานยนต์ รถบรรทุกและรถดับเพลิงที่ผ่านไปมา ถ้อยคำของบุคคลที่ต้องถูกเนรเทศ 21 ปี ยังเรียกประเทศไทยว่า ‘บ้านเมืองของข้าพเจ้า’
ชีวิตมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจวาจาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทุกชีวิตหาได้หลีกหนีกฎอนิจจังไปได้ไม่
เวลา 11 นาฬิกาเศษ ของวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ณ บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส นายปรีดีสิ้นใจอย่างสงบด้วยอาการหัวใจวายขณะกำลังเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำ งาน
…
ท่านก้าวสู่ความตายอันไม่ตาย
เสรีภาพผ่อนคลายจักฉายฉ่ำ
ส่องแผ่นดินกันดารอันมืดดำ
ประวัติศาสตร์จะจดจำเป็นตำนาน
เปิดหน้าประวัติศาสตร์ประชาสิทธิ
จงจิตรจรดจิตสืบผะสาน
จงเจตน์สืบเจตนาการ
คารวะท่านปรีดี พนมยงค์ [19]
ชาวไทยในฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี และจากหลายที่ อีกทั้งมิตรต่างประเทศจำนวนหลายร้อยคน ได้อำลาเป็นครั้งสุดท้ายผู้ให้กำเนิดระบอบประชาธิปไตยของไทย ด้วยความเคารพและอาลัยรัก
วิญญาณที่ผูกพันอย่างแนบแน่นกับประเทศชาติและราษฎรอันเป็นที่รัก ได้ละสังขารไปตามกฎธรรมชาติ แต่กงล้อประวัติศาสตร์หมุนไปข้างหน้าเช่นทุกเมื่อเชื่อวัน ดังที่นายปรีดีกล่าวไว้
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมิได้หยุดชะงักภายใน อายุขัยของคนใดหรือเหล่าชนใด คือประวัติศาสตร์จะต้องดำเนินต่อไปในอนาคตโดยไม่มีสิ้นสุด ดังนั้นผมขอฝากไว้แก่ท่านและชนรุ่นหลังที่ต้องการสัจจะช่วยตอบให้ด้วย [20]
- ^ Pridi Banomyong, Ma vie mouvementee et mes 21 ans d ‘ éxil en Chine Populaire
- ^ จากหนังสือเล่มเดียวกัน
- ^ จากหนังสือเล่มเดียวกัน
- ^ ศุขปรีดา พนมยงค์, ชีวิตของท่านปรีดี พนมยงค์ ในประเทศจีน พ.ศ. 2492-2513 (หนังสือวันปรีดี พนมยงค์ 11 พฤษภาคม 2534)
- ^ ปรีดี พนมยงค์, ข้อเสนอของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสต่อ ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี เรื่อง วิธีส่งเสริมให้ราษฎรสนใจประชาธิปไตย (8 ธันวาคม พ.ศ. 2516)
- ^ ศุขปรีดา พนมยงค์, ชีวิตของนายปรีดี พนมยงค์ ในประเทศจีน พ.ศ. 2492-2513 (หนังสือวันปรีดี พนมยงค์ 11 พฤษภาคม 2534)
- ^ สุพจน์ ด่านตระกูล, การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของรัฐบุรุษอาวุโส (2516)
- ^ ปรีดี พนมยงค์, ข้อเสนอของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสต่อ ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี เรื่อง วิธีส่งเสริมให้ราษฎรสนใจประชาธิปไตย (8 ธันวาคม พ.ศ. 2516)
- ^ ปรีดี พนมยงค์, จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม (10 ธันวาคม พ.ศ. 2516)
- ^ วาณี สายประดิษฐ์, จดหมายถึงคุณพ่อ (หนังสือวันปรีดี พนมยงค์ 11 พฤษภาคม 2534)
- ^ ปรีดี พนมยงค์, ปาฐกถาสามัคคีสมาคม เมือง Doncester ประเทศอังกฤษ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2516
- ^ เริง รังษี, มองอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ในสายตาของนักเรียนไทยในฝรั่งเศส (จากนิตยสาร วงการ มิถุนายน 2526)
- ^ ปรีดี พนมยงค์, สาส์นถึงรองนายกรัฐมนตรี”(15 ธันวาคม พ.ศ. 2516)
- ^ ปรีดี พนมยงค์, บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบอบประชาธิปไตย (24 มิถุนายน พ.ศ. 2515)
- ^ ปรีดี พนมยงค์, จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม (10 ธันวาคม พ.ศ. 2516)
- ^ จากบทความเรื่องเดียวกัน
- ^ ปรีดี พนมยงค์, สังคมปรัชญาเบื้องต้น (2 สิงหาคม พ.ศ. 2518)
- ^ ปรีดี พนมยงค์, คำ แถลงของนายปรีดี พนมยงค์ เรื่องขอให้พี่น้องชาวไทยผู้รักชาติและชาวต่างประเทศอย่าหลงเชื่อบุคคลที่ ใช้เล่ห์กลเพื่อทำให้ผู้เข้าใจผิดว่านายปรีดี พนมยงค์ เป็นพวกของต่างประเทศฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด (พฤศจิกายน พ.ศ. 2523)
- ^ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, วิญญาณท่านปรีดี พนมยงค์ (3 พฤษภาคม พ.ศ. 2526)
- ^ ปรีดี พนมยงค์, ปาฐกถาสามัคคีสมาคม เมือง Doncester ประเทศอังกฤษ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2516
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#184
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:30
ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้าผู้เดียวที่ทำผิดในการเสนอคณะราษฎร ให้เชิญพระยามโนปกรณ์ฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล เพราะสมาชิกคณะราษฎรอื่นๆ มิได้คุ้นเคยกับพระยามโนปกรณ์ฯ มาก่อนเท่าข้าพเจ้า… ความผิดพลาดของข้าพเจ้าดังกล่าวนี้ ย่อมเป็นบทเรียนของศูนย์นิสิตนักศึกษาและนักเรียนชนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่จะ ไม่ทำผิดซ้ำอีก โดยต้องวิจารณ์ลักษณะอันเป็นธาตุแท้ของบุคคลที่จะร่วมมือ หรือมอบหมายในการรักษาและพัฒนาชัยชนะก้าวแรกของวีรชน คือบางคนอาจแสดงความเป็นประชาธิปไตยชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อถึงระยะที่จะพัฒนาชัยชนะต่อไปแล้ว ก็อาจจะดำเนินไปตามทรรศนะอันเป็นซากแห่งความคิดเก่าของตนที่ตกทอดมา อันเป็นการบั่นทอนไปถึงรากฐานแห่งการที่จะรักษาชัยชนะที่ได้มาในก้าวแรกนั้น ด้วย [16]
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#185
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:33
รับผิดโดยโยนความผิดให้กับคนอื่น
#186
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 11:07
-หลวงประดิษฐ์ฯ จึงเป็นผู้เสนอให้เชิญพระยามโนฯ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้น เรียกว่า "ประธานคณะกรรมการราษฎร" ทั้งนี้ เพราะเห็นว่า พระยามโนฯ เป็นคนหัวสมัยใหม่ จบเนติบัณฑิตมาจากอังกฤษ เคยแสดงความคิดเห็นว่า "ไม่ชอบระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ นิยมระบอบประชาธิปไตยแบบอังกฤษ" ทั้งยังเป็นอาจารย์ อยู่ในโรงเรียนกฎหมาย ร่วมกับหลวงประดิษฐ์ฯ แต่่เป็นผู้ใกล้ชิดกับพระปกเกล้าฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ จึงมีภาพพจน์ว่าเป็น "คนกลาง" น่าจะเป็นผู้สามารถสมานรอยร้าวให้บรรเทาลงได้ ทุกคนก็เห็นชอบกับข้อเสนอ ของหลวงประดิษฐ์ฯ
-ในขณะที่รัฐบาลกำลังเปิดประชุมพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานข้อกังขามายังพระยามโนปกรณ์นิติธาดาว่า
"การใช้คำว่า กรรมการราษฏร แทน Minister ทรงเห็นว่าไม่เหมาะสม ในขณะที่กรุงสยามมีกษัตริย์ กรรมการราษฏรหนักไปทาง Commissar ของโซเวียตรัสเซีย ซึ่งปกครองโดยแบบรีพับลิค"
ในที่สุด จากผลของการลงมติที่ประชุมรัฐสภาให้ใช้คำว่า รัฐมนตรี แทน กรรมการราษฏร และให้ใช้คำว่า นายกรัฐมนตรี แทนคำว่า ประธานคณะกรรมการราษฏร
-พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงสนพระทัยในเรื่องนี้ จึงรับสั่งให้พระยาพหลฯ และหลวงประดิษฐ์ฯ เข้าเฝ้า ถามว่า "จะร่างโครงการเศรษฐกิจไปทางไหน มีไอเดียแล้วหรือยัง" ซึ่งหลวงประดิษฐ์ฯ ก็กราบทูลว่า "จะยึดแนวโซเซียลลิสต์และลิเบอรัล รวมทั้งวิธีการของสหกรณ์เข้ารวมกัน" ซึ่งพระปกเกล้าฯ ทรงสนพระทัยให้ไปร่างมาให้ดู
-ก่อนการปฏิวัติ พระยาทรงฯ ขอพบหลวงประดิษฐ์เป็นพิเศษเพื่อปรึกษาเรื่องรัฐธรรมนูญ …..ข้าพเจ้าได้นั่งฟังอยู่ด้วยโดยตลอดเวลา หลวงประดิษฐ์มนูธรรมพยายามบรรยายถึงความจำเป็นที่จะต้องทำการปฏิวัติให้ครบรูป ทางด้านการปกครอง การเศรษฐกิจ และการสังคมประกอบกันไป ได้สาธยายลัทธิโซเชียลิสม์ และแนวเศรษฐกิจของศาสตราจารย์ซาร์ยิด อย่างพิศดารกว้างขวาง
พระยาทรงสุรเดชนั่งฟังอยู่สักครู่ใหญ่ และในที่สุดก็ได้ปรารภพูดตัดบทว่า "ที่มาพบกันวันนี้ต้องการฟังเรื่องหลักการที่จะร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นสำคัญ ขอให้งดเว้นเอาเรื่องเศรษฐกิจการสังคมมาพัวพัน หน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงสร้างรัฐธรรมนูญขึ้นมาป็นกฏหมายสูงสุดในการบริหารประเทศชาติ ให้มั่นคง
และรุ่งเรือง ส่วนเรื่องการเศรษฐกิจการสังคมเป็นเรื่องปัญหาลัทธิการเมือง อันเป็นหน้าที่ของผู้แทนราษฎรที่จะได้รับเลือกตั้งมา
ซึ่งจะต้องตกเป็นภาระของรัฐบาลตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญต่อไป หาใช่หน้าที่ของคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง จะมากำหนดบีบบังคับไว้ล่วงหน้าประการใดได้ไม่"
และได้ย้ำในวาระสุดท้ายว่า "ให้ร่างรัฐธรรมนูญตามแนวของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ ดังเช่นประเทศอังกฤษ" แล้วก็ลุกลาออกมาบ่นกับข้าพเจ้าว่า "ร้อนและยุงกัด ทนฟังตาขรัวอาจารย์ปรีดีของลื้อพูดจานอกเรื่อง ดูจะร้อนวิชาอยู่มาก ขอให้ช่วยติดตามฟังดูเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ แล้วนำมาปรึกษากันใหม่" แล้วลากลับไป (บันทึกจาก.. รท.ประยูร ภมรมนตรี)
- ดราม่า likes this
จุดยืนของผม "ต่อต้านระบอบทักษิณ, เสื้อแดง, พวกล้มเจ้า ไม่เอาแป๊ะลิ้ม"
#187
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 11:08
ข้อความนี้ น่าจะใช้ตบปากพวกแดงอ่านน้อย ที่ชอบอ้างว่านายปรีดีโดนไล่ออกไปเพราะ 112
การที่โจทก์(คือนายปรีดี)หลบหนีออกจากประเทศไทยนั้น
เป็นเพราะหลบหนีการรัฐประหาร จึงขอให้ผู้อ่านทราบความจริง
และความจริงอีกอย่างจากปากนายปรีดีก็คือ
เขาเป็นผู้นำในสงครามกลางเมือง 2492 กบฎวังหลวง นี่คือถ้อยคำของเขาเอง
บรรดามิตรและศิษย์นายปรีดีที่ต้องการฟื้นคืนระบอบการปกครองประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2489 วางแผนก่อการอภิวัฒน์โค่นรัฐบาลรัฐประหาร นายปรีดีจึงได้เดินทางกลับประเทศไทยเป็นการลับเพื่อนำการต่อสู้
เมื่อเห็นว่ากำลังสนับสนุนของเราเดินทางมาไม่ทันเวลา และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายสถานที่อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัตถุโบราณ อันล้ำค่าของชาติในพระบรมมหาราชวัง ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้กองกำลังถอยร่นมาอยู่ในกองบัญชาการทหารเรือที่ พระราชวังเดิม ข้าพเจ้าได้จัดการให้เพื่อนร่วมขบวนการข้ามแม่น้ำไปด้วยเรือ ซึ่งนายพลเรือท่านหนึ่งเป็นผู้จัดหาให้
Edited by amplepoor, 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:12.
- overtherainbow, อู๋ ฮานามิ and ดราม่า like this
#188
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:34
นายปรีดียอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานในความผิดพลาดแต่หนหลังของตนว่า
ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้าผู้เดียวที่ทำผิดในการเสนอคณะราษฎร ให้เชิญพระยามโนปกรณ์ฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล เพราะสมาชิกคณะราษฎรอื่นๆ มิได้คุ้นเคยกับพระยามโนปกรณ์ฯ มาก่อนเท่าข้าพเจ้า… ความผิดพลาดของข้าพเจ้าดังกล่าวนี้ ย่อมเป็นบทเรียนของศูนย์นิสิตนักศึกษาและนักเรียนชนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่จะ ไม่ทำผิดซ้ำอีก โดยต้องวิจารณ์ลักษณะอันเป็นธาตุแท้ของบุคคลที่จะร่วมมือ หรือมอบหมายในการรักษาและพัฒนาชัยชนะก้าวแรกของวีรชน คือบางคนอาจแสดงความเป็นประชาธิปไตยชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อถึงระยะที่จะพัฒนาชัยชนะต่อไปแล้ว ก็อาจจะดำเนินไปตามทรรศนะอันเป็นซากแห่งความคิดเก่าของตนที่ตกทอดมา อันเป็นการบั่นทอนไปถึงรากฐานแห่งการที่จะรักษาชัยชนะที่ได้มาในก้าวแรกนั้น ด้วย [16]
รู้สึกจะพลาดบ่อย เลยทะเลาะกับเขาไปทั่ว สุดท้ายทะเลาะกับแปลกจนอยู่ประเทศไทยไม่ได้....ฮา
Edited by ดราม่า, 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:34.
#189
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:05
การที่ ส. อ้างว่ารักสถาบัน ผมว่ามันจะจริงถ้า เขาปกป้องสถาบันให้ได้สักครึ่งของที่ปกป้องปรีดี
Edited by ดราม่า, 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:06.
#190
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:18
และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายสถานที่อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัตถุโบราณ อันล้ำค่าของชาติในพระบรมมหาราชวัง
ใครล่ะ ที่นำกองกำลังยึดวังหลวงเป็นกองบัญชาการ
ตอนเข้าไป ไม่ได้นึกห่วงสถานที่เลยหรือ
แล้วที่ต้องออกจากวังหลวง เพราะเขาไม่ยอมรับการจับโบราณสถานเป็นตัวประกันใช่หรือเปล่า
เมื่อเขายิงประตูวัง ยกเข้ามาได้
วังหลวงก็จะกลายเป็นคุกเพราะมีกำแพงล้อมทุกด้าน
เอ็งจึงต้องหนี ใช่หรือเปล่า
คนที่กล้ากล่าวเท็จขนาดนี้ จะไม่กล้าทำเลวหรือ
Edited by amplepoor, 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:20.
#192
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:34
ขอบคุณทุกท่าน
อยากให้มีคนแย้งคัดค้านบ่อยๆจริง
#193
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:23
เจอข้อมูลนี้ในประวัติ ส. เศรษฐบุตร แสดงว่าข่าวคณะราษฎรแพร่งพรายออกมาล่วงหน้า 10 กว่าปีทีเดียว
ถือว่ารัฐบาลผิดพลาดอย่างร้ายแรง ที่ไม่สามารถสกัดการเติบโตของขบวนการได้
๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๖
"...ฉันทราบมาว่าพวกนักเรียนไทยที่ฝรั่งเศสเขาชุมนุมกันเสมอ นัยว่าจะมีการคบคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นดีมอคเครซี แต่พวกนี้ออกจะหัวรุนแรงมาก ฉันเกรงไปว่ามันจะไม่ใช่ดีมอคเครซีน่ะซิ...."
http://www.sarakadee..._sethaputra.htm
น่าสนใจกับข้อมูลพวกนี้นะคะ
ถ้าเป็นที่รู้กันว่า มีเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของสถาบัน แบบนี้
ฝ่ายความมั่นคงสมัยนั้น ไม่ได้ทำอะไร หรือทำแล้วแต่ไม่พอ
ชักคล้ายๆ สมัยนี้เลย รึปล่าวคะ
พลเรื่อนก็ไปเรียน ทหารก็ไปเรียน ที่นั่น น่าจะมีเกล็ดอะไรมาเล่า น่าสนใจเหมือนกันนะคะ
หาเกร็ดมาเพิ่มเติมครับ :
หนังสือ นักเรียนนายร้อยไทยในเยอรมนียุคไกเซอร์ โดยคุณสรศัลย์ แพ่งสภา ที่ระบุว่า
เมื่อ พลตำรวจตรี พระยาอธิกรณ์(ปู่คุณกรณ์) ประกาศกราบทูลรายงานแด่ จอมพลสมเด็จกรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เรื่องคณะบุคคลคิดการร้าย พร้อมทั้งถวายรายชื่อระดับหัวหน้า
เสนาบดีทรงพระสรวล รับสั่งว่า พวกนี้มัน ขเด็ทเยอรมัน (สังคมนายร้อยยุคเก่าที่เรียนจบจากเยอรมนีเรียกขานกัน) รุ่นหลังฉันทั้งนั้น
ตาพจน์(พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา) ก็รู้จักใกล้ชิด แกจะคิดยังงั้นได้ยังไง ซ้ำเคยเป็นราชองครักษ์ตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.7) ครั้งเสด็จประพาสชวาด้วย
นายเทพ (พันเอก พระยาทรงสุรเดช ) นี่จะเอามาเป็นนายทหารประจำตัวฉันอยู่แล้ว
ประยูร(รท.ประยูร)นี่ก็ลูกครูแย้ม มหาดเล็กพระมงกุฎที่ท่านทรงฝากเข้าโรงเรียนนายร้อยด้วยพระองค์เองนี่นา”
จะเห็นได้ว่า แม้จะระแคะระคายเรื่องเหล่านี้ แต่ก็ยังทรงวางพระทัย ด้วยเห็นว่าเป็นคนใกล้ชิด มีอีกเรื่องๆฑูตที่ฝรั่งเศสรายงาน ไว้หาเจอจะเอามาเล่าให้ฟังใหม่ครับ
- overtherainbow and ดราม่า like this
จุดยืนของผม "ต่อต้านระบอบทักษิณ, เสื้อแดง, พวกล้มเจ้า ไม่เอาแป๊ะลิ้ม"
#194
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:45
แบบนี้เรียกได้ว่าประมาท
คนใกล้ตัวนี่ ตัวดี ทั้งนั้นเลย
#195
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:55
#196
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:57
อยากให้คุณดราม่า เอาเรื่องที่ปรีดีโกหกนี่ไปถามส. จริงๆเลย
ส.ศิวรักษ์ ชอบตอบคำถามในเฟสนะ แต่ตอบเฉพาะที่เข้าทางแก่
ผมถามเรื่องกบฎวังหลวงไปหลายทีไม่ยักตอบ
เอาแค่เรื่องสืบสันตติวงศ์นี่แก่ก็มั่วจนเบื่อ ไม่รู้เป็นไร ส. ชอบที่จะให้ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ เป็นอันดับหนึ่งให้ได้ ทั้งที่ไม่ใช้ อันดับหนึ่งคือร.8ของเราครับ
สำหรับบัญชีรายพระนามเจ้านายเรียงลำดับตากฎมณเฑียรบาล ซึ่งกระทรวงวังเป็นผู้จัดทำขึ้น และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนริศรานุวัติวงศ์ได้ลงพระนามว่า "ถูกต้อง" มีรายพระนามดังต่อไปนี้
๑. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์
๒. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล
๓. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช
๔. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
๕. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฎพงศ์บริพัตร
๖. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร
http://www.oknation....t.php?id=505442
Edited by ดราม่า, 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:05.
#197
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:05
เพิ่งรู้ว่าลุงปุเป็นแฟนนายปรีดี....ฮา
ข้อความนี้ น่าจะใช้ตบปากพวกแดงอ่านน้อย ที่ชอบอ้างว่านายปรีดีโดนไล่ออกไปเพราะ 112
การที่โจทก์(คือนายปรีดี)หลบหนีออกจากประเทศไทยนั้น
เป็นเพราะหลบหนีการรัฐประหาร จึงขอให้ผู้อ่านทราบความจริง
และความจริงอีกอย่างจากปากนายปรีดีก็คือ
เขาเป็นผู้นำในสงครามกลางเมือง 2492 กบฎวังหลวง นี่คือถ้อยคำของเขาเอง
บรรดามิตรและศิษย์นายปรีดีที่ต้องการฟื้นคืนระบอบการปกครองประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2489 วางแผนก่อการอภิวัฒน์โค่นรัฐบาลรัฐประหาร นายปรีดีจึงได้เดินทางกลับประเทศไทยเป็นการลับเพื่อนำการต่อสู้เมื่อเห็นว่ากำลังสนับสนุนของเราเดินทางมาไม่ทันเวลา และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายสถานที่อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัตถุโบราณ อันล้ำค่าของชาติในพระบรมมหาราชวัง ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้กองกำลังถอยร่นมาอยู่ในกองบัญชาการทหารเรือที่ พระราชวังเดิม ข้าพเจ้าได้จัดการให้เพื่อนร่วมขบวนการข้ามแม่น้ำไปด้วยเรือ ซึ่งนายพลเรือท่านหนึ่งเป็นผู้จัดหาให้
เพิ่งรู้ว่าลุงปุเป็นแฟนนายปรีดี....ฮา
ผมสนใจการเมืองย้อนอดีตตั้งตีปี 2500....
ปีนั้นจอมพลสฤษติ์ทำการรัฐประหารจอมพล ป.+ นายพลเผ่า+ จอมพลถนอม....
ใครๆก็กลัว แต่นักเรียนนุ่งขาสั้นสีน้ำเงินแห่งหนึ่งไม่กลัว
ประท้วงครูใหญ่จนหยุดเรียน ทำลายทรัพย์สินของโรงเรียนส่วนหนึ่ง
จอมพลสฤษติ์มาเอง ประกาศผ่านลำโพงว่า
ทหาร ตำรวจ ผู้ร้ายกล้วเขา
จึงมาดูว่านักเรียนโรงเรียนนี้ไม่กลัวเขาเพราะอะไร......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาพวกขวาตกขอบ ขวาพิฆาตซ้าย พวกอนุรักษ์นิยมรื้อฟื้นเรื่องราวของ"ท่านปรีดี" หรือ"ปรีดี" แพร่หลาย
เพื่อแสดงความชาตินิยม ความจงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่คอร์รั่ปชั่น
กลบเกลื่อนการแย่งอำนาจจากจอมพล ปและบริวาร การเป็นเผด็จการ(ตัวพ่อ)ในเวลาต่อมา.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หม่อมคึกฤทธิ์อยู่แถวหน้าวิพากษ์วิจารณ์ เผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับ"ท่านปรีดี" และจอมพล.ป.
ติตตามอ่านหนังสือ บทความทั้งสองฝ่าย.....
ด้วยความประหลาดใจว่า"ท่านปรีดี"เป็น"เป้า"คนเดียวเพราะเหตุใด
แม้ภายหลังลี้ภัยไปต่างประเทศอยู่ประเทศจีนและฝรั่งเศสในบั้นปลายชีวิต
ยังมีคนเขียนถึง"ปรีดี"เป็นตัววายร้ายไม่เหนื่อยหน่ายจนถึงทุกวันนี้......ฮา
Edited by ปุถุชน, 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:30.
- overtherainbow likes this
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#198
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:15
มีคนชำนาญปรีดีคอยดู
ถ้าผมไปผิดทางก็ช่วยแตะเบรคด้วย....ฮา
- overtherainbow likes this
#199
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:55
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ อยู่อันดับ 4 ครับ ส่วนพระองค์เจ้าจุมเป็นพระโอรสองค์โตของเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ ส่วนพระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์ บิดาของหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์โดนข้ามไป แต่ก็ยังมีบางพวกที่อ้างว่าคุณชายหมูมีสิทธิในราชบัลลังก์ซะงั้น
อยากให้คุณดราม่า เอาเรื่องที่ปรีดีโกหกนี่ไปถามส. จริงๆเลย
ส.ศิวรักษ์ ชอบตอบคำถามในเฟสนะ แต่ตอบเฉพาะที่เข้าทางแก่
ผมถามเรื่องกบฎวังหลวงไปหลายทีไม่ยักตอบ
เอาแค่เรื่องสืบสันตติวงศ์นี่แก่ก็มั่วจนเบื่อ ไม่รู้เป็นไร ส. ชอบที่จะให้ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ เป็นอันดับหนึ่งให้ได้ ทั้งที่ไม่ใช้ อันดับหนึ่งคือร.8ของเราครับสำหรับบัญชีรายพระนามเจ้านายเรียงลำดับตากฎมณเฑียรบาล ซึ่งกระทรวงวังเป็นผู้จัดทำขึ้น และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนริศรานุวัติวงศ์ได้ลงพระนามว่า "ถูกต้อง" มีรายพระนามดังต่อไปนี้
๑. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์
๒. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล
๓. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช
๔. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
๕. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฎพงศ์บริพัตร
๖. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร
http://www.oknation....t.php?id=505442
Edited by Solidus, 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:00.
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#200
ตอบ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:18
ทั้งอาจารย์ และผู้ติดตาม น่าชื่นชมน่ะค่ะ
เห็นต่างกันก็จริง แต่ก็มีเหตุผลมาสนับสนุนแนวทางของแต่ละท่าน
น่าชื่นชมค่ะ...
นี่หล่ะค่ะ...แนวทางประชาธิปไตย เป็นการเิริ่มต้นที่น่าติดตามค่ะ
ด้วยความเคารพทุกท่านค่ะ..
ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน