อนึ่ง การพิจารณาวินิจฉัยของอัยการสูงสุดเรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เฉพาะของอัยการสูงสุด ตามมาตรา 68
ไม่ได้ก้าวล่วงการใช้อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาวินิจฉัยขององค์กรอื่นแต่อย่างใด
จากข้อความนี้ก็เห็นชัดแล้วนะครับว่าการวินิจฉัยนี้เป็นเรื่องของอัยการเอง
ไม่เกี่ยวกับศาล
ความเห็นย่อมแตกต่างกันได้ครับผมไม่เห็นว่าจะผิดตรงไหน
ศาลเองในชั้นต้น ชั้นอุทรณ์ ชั้นฎีกาก็ตัดสินแตกต่างกันได้ไม่เห็นเป็นเรื่องพิสดารอันใด
ดังนั้นการยกเอาคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุดมาอ้างก็ไม่รู้ว่าจะมาอ้างทำไม อัยการเองก็รู้ว่าตัวไม่มีอำนาจเขาก็บอกไว้
ส่วนเรื่องที่ว่าไม่มีอำนาจแล้วมีอัยการไว้ทำไมก็ไม่น่าถามครับ
เขาก็มีไว้กรองคดีเล็กน้อย คดีที่หลักฐานไม่เพียงพอ คดีรกโรงรกศาลให้ไม่ต้องเอาไปพิจารณากันเสียเวร่ำเวลา
พูดง่ายๆคืออัยการคือเภสัช ถ้าคนไข้ปวดหัวนิดหน่อยจ่ายยาแก้ปวดกลับบ้านได้ก็ไม่ต้องถึงมือหมอ
แต่ถ้าหนักก็ควรถึงมือหมอ หรือหากคนไข้เป็นบุคคลสำคัญ
(เทียบกับคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชน หรือส่งผลกระทบในวงกว้าง)
หมอจะขอเรียกตรวจละเอียดก็ไม่ผิดมารยาทธรรมเนียมอันใด
กรณีนี้จะมาโวยว่าแบบนี้เภสัชก็ร่ำเรียนมาเสียเวลาเปล่าไม่ได้หรอกครับ
ยังไงหมอก็รักษา วินิจฉัยโรคได้ถูกต้องกว่าเภสัช
เภสัชชำนาญเรื่องยากว่าแพทย์ แต่ก็ไม่ใช่แพทย์ครับ
เช่นเดียวกับอัยการที่ไม่ใช่ศาล ยังไงก็ไม่มีอำนาจตัดสินคดี มีอำนาจแค่ตัดตอน
หากศาลเห็นว่าตัดตอนไม่ได้ อัยการก็หมดหน้าที่ครับ
ผมเห็นว่าตัวหนังสือสีเอี้ยที่ไฮไลท์ไว้นั้น เป็นใจความสำคัญมากๆที่จะแยกแยะขอบเขตหน้าที่ระหว่าง
อสส. และ ศาลครับ ขอบคุณสำหรับคำอธิบายครับ