ข่าวเก่า วันที่ 3 ตุลาคม 2554
http://www.bangkokbi...0111003/411949/เปิดมุมมอง!ธนินท์ค่าแรงขั้นต่ำต้อง-500-บาท.html
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวบรรยายพิเศษให้คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 2552 เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกขณะนี้ โดยเฉพาะปัญหาหนี้ในสหภาพยุโรป (อียู) ยังมองไม่เห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเลย
ส่วนหนึ่งที่ อียู ได้รับผลกระทบหนักขนาดนี้ จนลามไปทั่วโลก เพราะเป็นกลุ่มที่มีหลายประเทศรวมตัวกันเป็นเศรษฐกิจเดี่ยว ซึ่งหากประเทศหนึ่งประเทศใดจะจ่ายเงิน เพื่อแก้ไขปัญหาให้ประเทศสมาชิกรายอื่นๆ ก็จะถูกประชาชนในประเทศของตัวเองต่อต้าน ต่างกับสหรัฐที่เชื่อว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลา ดังนั้น วันนี้จึงยังไม่มีประเทศใดที่จะมาแทนที่สหรัฐได้
“มีคำเปรียบเปรยว่าเมื่อใดที่สหรัฐจาม ทุกประเทศในโลกก็ต้องป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ เพราะทุกคน ทุกประเทศ ยังต้องใช้เงินดอลลาร์ เป็นเงินสกุลหลักอยู่ ต่อมาเมื่ออียูเข้มแข็งขึ้น คนเริ่มคิดกันว่าเงินยูโร น่าจะมาเป็นหลักได้ แต่วิกฤติหนี้ที่เกิดขึ้นกับอียูในขณะนี้ บอกได้เลยว่าเลิกคิดเรื่องเงินยูโรได้แล้ว ประเทศในอียูที่จะร่วงตามกันไป คือ กรีซ สเปน ส่วนประเทศที่จะมีปัญหาใหญ่ตามมารายต่อไป คือ ฝรั่งเศส"
ผู้บริหารซีพี ให้เหตุผลว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอียู ทำให้มีแต่คนถอนเงินออก ต่างกับในสหรัฐ ที่เกิดปัญหาแล้วอัดเงินเข้าไปให้ธนาคาร อีกอย่างสหรัฐสามารถพิมพ์เงินได้เอง ซึ่งตนเชื่อว่าจากนี้เงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น เพราะโลกจะไปใช้เงินยูโรไม่ได้
ส่วนเงินหยวนของจีน ก็ยังไม่มีความแน่นอน แต่เป็นไปได้มาก ว่าเงินหยวนของจีน จะขึ้นมาแซงเงินยูโรกลายเป็นสกุลเงินอันดับ 2 ของ
แนะจับตา2ชาติเอเชีย
นายธนินท์ กล่าวว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะส่งผลกระทบมาถึงทวีปเอเชียแน่นอน ซึ่งตนจับตาดู 2 ประเทศในเอเชียเป็นหลัก คือ ไทยและจีน เพราะปัจจุบันไทยมีมูลค่าการส่งสินค้าไปยังจีนสูงเกือบ 50% ของการส่งออกทั้งปี และไทยยังได้เปรียบดุลการค้าจีน ซึ่งมีประชากรกว่า 3,000 ล้านคน เทียบกับมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐ ที่ราว 10% และอียูอีก 10% เท่านั้น
ดังนั้น วิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐและอียู แม้จะส่งผลกระทบต่อไทยไม่มากในทางตรง แต่ต้องระวังในเรื่องของจีนว่าจะเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจถดถอยไปด้วยหรือไม่
ปัจจุบันจีนใช้ ทฤษฎีสองสูง ในการบริหารประเทศ คือ ปล่อยให้สินค้าราคาแพงขึ้น แต่เกษตรกรก็มีรายได้สูงขึ้น ส่วนไทยนั้น นายธนินท์ ระบุว่า จากที่ศึกษาดู พบว่า มูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นจากในอดีตกว่า 200 เท่า ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นกว่า 20 เท่า แต่ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มน้อยที่สุด ทั้งราคาข้าว ราคาหมู และราคาไก่ เพิ่มขึ้นประมาณ 10-11 เท่า
เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อราคาสินค้าเกษตรแพงขึ้นก็ถูกรัฐบาลควบคุมราคา แต่ในยามขาดทุนหรือราคาตกต่ำกลับไม่มีใครช่วย ดังนั้น ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนคือเกษตรกรรายย่อยที่จะต้องล้มหายตายจากไปก่อนธุรกิจเกษตรขนาดใหญ่
“รัฐบาลที่มีความสามารถจะต้องมาดูกันว่า การทำให้คนจนมีรายได้มากขึ้นต้องทำอย่างไร ไม่ใช่ไปควบคุมราคาสินค้า เพราะการควบคุมราคาสินค้าก็คือการเอาเงินของคนจนที่เป็นเกษตรกร มาชดเชยให้กับคนจนในเมือง ก็คือคนจนทั้งคู่ ท้ายที่สุดทุกคนก็ยังจนเท่ากัน เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐบาลจะหารายได้จากที่ไหนมาใช้จ่าย มาขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ เพราะแม้แต่สหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ ที่ใช้ ทฤษฎีสองต่ำ คือ ราคาสินค้าถูก ค่าแรงต่ำ ทำมาแล้วก็อยู่ไม่ได้”
ลั่นค่าแรงขั้นต่ำต้อง500บาท นายธนินท์ กล่าวว่า ค่าแรงขั้นต่ำที่เหมาะสมของไทยควรอยู่ที่วันละ 500 บาท ไม่ใช่ 300 บาท เพราะคิดจาก 25 เท่า ตามสัดส่วนของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากในอดีต หากไทยทั้งรัฐและเอกชน กล้าจ่ายค่าแรงขั้นต่ำในระดับนี้ ผลดีที่ตามมาคือ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ก็จะมีรายได้มากขึ้นทันที เกษตรกรก็จะมีรายได้มากขึ้นไปด้วย
"ทั้งหมดนี้ขอให้นักธุรกิจทุกคนเข้าใจว่าคือการลงทุน เราต้องยอมเสียในตอนแรกก่อน แล้วจะได้คืนในภายหลัง เมื่อประเทศรวยทุกคนก็จะยิ่งรวยขึ้นไปอีก ปัญหาสังคม ปัญหาการเมือง ก็จะดีขึ้นด้วย เพราะคนพ้นจากความยากจน ถ้าทำอย่างนี้เราจะดูได้เลยว่าไทยจะรวย คนยากจนจะมีจำนวนลดลง คนระดับกลางจะมีเป็นจำนวนมาก คนรวยก็มีน้อย ผมฝากให้รัฐบาลไปดูแลเรื่องนี้ด้วยเพราะไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม ถ้าธุรกิจเอสเอ็มอีไม่โต ประเทศไม่มีวันรวย ประเทศก็จะอยู่ไม่ได้และต้องมีการเปลี่ยนแปลง”
หนุนรับจำนำข้าว
สำหรับเรื่องนโยบายข้าวนั้น ตนเห็นว่าคนที่ออกมาคัดค้านโครงการรับจำนำ โดยให้เหตุผลว่าราคาข้าวไทยในตลาดโลกจะสูงขึ้น แล้วถูกประเทศเวียดนามแย่งขายข้าวนั้น คนที่พูดอย่างนี้ พูดอย่างไม่เข้าใจ เพราะเวียดนามขายข้าวเพียงปีละ 4-5 ล้านตันเท่านั้น ส่วนไทยขายได้มากถึงปีละประมาณ 10 ล้านตัน
ดังนั้นต่อให้ไทยขายข้าวในราคาถูก เวียดนามก็จะขายในราคาถูกกว่า แต่ไทยต้องมีข้าวเก็บในสต็อกอย่างน้อย 4 เดือน เพื่อป้องกันการขาดตลาด ซึ่งจำเป็นต้องมีการสร้างไซโลเก็บข้าวอย่างดีไว้จำนวน 5 ล้านตัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่มีมูลค่าข้าวกว่า 1 แสนล้านบาท แล้วจ้างคนมาดูแลโดยไม่ต้องใช้ข้าราชการ ให้บริษัทเซอร์เวเยอร์เข้ามาช่วย แล้วให้ธนาคารเป็นผู้รับรอง
"ผมยืนยันเลยว่าถ้าทำได้แบบนี้ แล้วไม่มีใครกล้าเอา ผมเอาเอง" ชี้จุดอ่อนการเมืองไม่นิ่ง
นายธนินท์ กล่าวด้วยว่าจุดอ่อนของประเทศไทยวันนี้ อยู่ที่การเมืองไม่นิ่ง การศึกษาและการออกกฎหมายล้าสมัย การขนส่งและโลจิสติกส์ ไม่ครบวงจร ทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจในไทยสูง และไม่มีความสะดวก
ส่วนจุดแข็งของไทยคือการท่องเที่ยว แม้ปีที่ผ่านมาเกิดความวุ่นวายในประเทศ ก็ยังมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากถึง 15 ล้านคน ได้เงินเข้าประเทศกว่า 6 แสนล้านบาท แต่นักท่องเที่ยวจีนยังเข้ามาน้อย มีแค่ 1 ล้านคนเท่านั้น เพราะทางการจีนห้ามคนจีนมาไทย
หากไทยสงบไม่มีปัญหาสามารถเพิ่มนักท่องเที่ยวจากจีนได้ ซึ่งมีกำลังซื้ออีกประมาณ 15 ล้านคน ไทยก็จะได้นักท่องเที่ยวรวมปีละ 30 ล้านคน รายได้จากการท่องเที่ยวก็จะเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้านบาท เชื่อว่าไทยทำได้ เพราะเราอยู่ที่จุดศูนย์กลางของคนจีนกว่า 3,000 ล้านคน
นอกจากนี้ ไทยยังติดอันดับโลก ในเรื่องสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ จึงจำเป็นที่รัฐบาลต้องตั้งหน่วยงานมาศึกษาให้ชัดเจน และมีเป้าหมายว่าจะขายสินค้าอะไร ให้ประเทศใด
ทั้งยังต้องอำนวยความสะดวกข้อมูลให้แก่ภาคเอกชน สามารถออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศ รวมไปถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ไทยส่งออกได้เป็นอันดับ 3 ของเอเชีย
ส่วนภาษีนิติบุคคลควรจะต้องลดลงไปอีก เพราะว่าจะช่วยดึงเอกชนจากต่างชาติให้มาลงทุน ฐานภาษีของประเทศก็จะใหญ่ขึ้น ยังมีการจ้างงานและการลงทุนเพิ่มขึ้น รายได้ของประเทศก็จะสูงขึ้นในที่สุด[/b][/color]